ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Historia ผมในโลกคู่ขนาน (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #9 : วันที่...ผมเจอสต๊อกเกอร์

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 60


    King Arthur Pendragon Ruler of Camelot


            ตึก...ตึก...ตึก....

     

            เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินไปตามทางเดินหินของมหาวิหารที่อยู่ใต้ดินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ภายในความมืดที่มีแค่แสงสลัวๆจากดวงไฟสีน้ำเงินคอยเป็นเครื่องนำทางให้

            ในตอนนี้ทริสทันได้เข้ามาอยู่ในอาณาเขตหลักของโบราณสถานแล้วซึ่งเป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุดจากภายนอกหากแต่อันตรายที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการสมบัติที่อยู่ลึกสุดของมหาวิหารนี้

            นัยน์ตาอำพันเข้มค่อยๆกวาดมองไปรอบๆอย่างระมัดระวังเพื่อตรวจให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ไปติดกับดักอันไหนหากก้าวเท้าพลาดไปโดน

     

    กึก...

     

            เสียงกลไกกับดักอันแรกดังขึ้นมาให้อัศวินหนุ่มได้แตกตื่นเล่นเมื่อสายน้ำระลอกใหญ่ไหลซัดเข้ามาจากทางข้างหน้าเขา ส่งผลให้เขาต้องหันหลังวิ่งไปตามเส้นทางเดิมที่เขาเดินตามมาแทบจะทันทีโดยที่ไม่รู้ตัวว่าเส้นทางทั้งหมดนั้นกำลังถูกปิดตายลงช้าๆ

     

            “ไปทางซ้าย...”

     

            หากไม่ได้เสียงของสายลมมันคงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะฝ่าไปได้ถึงเขตชั้นในสุดของโบราณสถานแค่ในบริเวณชั้นนอกกับดักของที่นี่ก็อันตรายพอที่จะฆ่าคนธรรมดาๆได้แล้ว แต่ใครว่าอัศวินจะไปต่อได้ล่ะเขาเองก็ต้องหนีเหมือนกัน

             วินาทีที่เห็นทางข้างหน้ากำลังจะถูกปิดในไม่ช้าอัศวินหนุ่มไม่สนอะไรทั้งสิ้นสลัดมาดที่สั่งสมไว้มาตลอดเพื่อแหกปากร้องเพิ่มแรงฮึดในการวิ่งให้ไปถึงเส้นชัยที่กำหนดความเป็นตายของเขา

            เขาไม่ได้กลัวน้ำแต่อย่างใดแต่ในบริเวนที่เพดานสูงเช่นนี้เห็นทีคงจะไม่ไหว ไม่ใช่อย่างอื่นใดแค่เขานั้น...ว่ายน้ำไม่เป็น

     

            มีใครรู้เขาได้อายตายแน่

     

            เป็นถึงอัศวินที่คุ้มครองอาณาจักรแต่ดันว่ายน้ำไม่เป็นแค่ได้ยินก็คงฮากลิ้งกันเป็นแทบๆ ยิ่งผู้ใช้วารีแบบกาเวนยิ่งแล้วใหญ่ เพราะงั้นต่อให้ไม่มีใครเห็นเขาก็มาจมน้ำตายในที่แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

            เขารีบไถลตัวลอดใต้กำแพงที่กำลังปิดกั้นทางออกของเขาอย่างไม่คิดชีวิตทำเอาผ้าคลุมของชุดเกราะเบาหลุดหายไปกับพื้นหิน แต่เขาก็ยังวางใจไม่ได้เมื่อพ้นกับดักนั้นมายังไงมันก็ต้องมีกับดักรอเขาอยู่อย่างแน่นอนแต่มันจะเป็นอะไรล่ะถ้าไม่ใช้หินกลิ้ง ธนูไฟ หรืองูพิษ

            สำหรับโถงกว้างที่ไม่มีทางไปต่อแบบนี้ไม่มีแม้กระทั้งช่องทางเล็กๆให้สัตว์ร้ายโผล่หัวออกมา มีแต่คบเพลิงให้ความสว่างแก่ห้อง จะว่าเป็นลานพิธีมันก็โล่งเกินไปอีกจะมีก็อย่างเดียวคือ...

     

    กรึก!

     

            นัยน์ตาสีอำพันทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้นมาเมื่อพื้นที่ยืนอยู่นั้นเริ่มไม่มั่นคงและเปิดอ้าให้ร่างของเขาร่วงลงสู่ความมืดเบื้องล่างโดยไม่รู้ว่ามีอะไรรอเขาอยู่ ทว่าในช่วงวินาทีนั้นเขาตัดสินใจที่จะปิดปากเงียบไม่ให้เสียงร้องเล็ดรอดออกมาและเตรียมใจรอชะตากรรมที่กำลังรอเขาอยู่

    .

    .

    .

    .

    .

            ผมเริ่มจะคุ้นเคยกับวันแรกของผมแล้วล่ะ

     

           หลังจากที่หนีท่านอูเธอร์กับลามอรัคมาผมก็ได้เรียนกับเซอร์เคย์ต่อ เอาตามตรงนะตอนแรกก็กลัวอยู่หรอกแต่แลดูเขาสอนได้อ่อนโยนมากมายเลย ทำให้แทนที่ว่าจะเป็นการสอนคงพูดได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันมากกว่า

     

            “เคดาจ~

     

            ได้ยินเสียงนี้จงก้มหัวลงหลบ สปินตัวหันหลังไปหา แล้วซัดหน้าซะ

     

            หมัดงามๆของผมประเคนเข้าหาใบหน้าของพ่อมดหน้าตาหลอกลวงประชาชนเข้าอย่างจังแบบไม่ออมแรงแม้แต่น้อย จนเจ้าของเสียงนั้นเซถอยหลังไปสองสามก้าวท่ามกลางความตื่นตระหนกของนักเรียนหลายชั้นปีในอาคารกลางแห่งนี้

            ใช่แล้วพวกเราอยู่ที่อาคารกลางโดยที่ผมยังคงใส่เสื้อคลุมที่พิเศษกว่าชาวบ้านและกำลังทำร้ายร่างกายที่ปรึกษาของกษัตริย์อยู่ ด้วยเหตุผลที่ว่าผมเกลียดขี้หน้าเขา

     

            “ไม่เอาน่าเคดาจ เจ้าจะเกลียดข้าอะไรนักหนาข้าแค่มาชวนเจ้าไปทานมื้อกลางวันด้วยกันเองนะ”

     

            พ่อมดหนุ่มทำสีหน้าไม่พอใจเหมือนเด็กที่โดนงดขนมไม่มีผิดแต่ขอโทษเถอะ...

     

            แค่ผมฟังเสียงก็รู้แล้วว่าเขาตอแหลเห็นๆ ไหนจะกลิ่นยาอ่อนๆที่ผมรู้แน่ชัดว่าพี่แกพึ่งไปปรุงมาแล้วกำลังหาหนูทดลองซึ่งแน่นอนถ้าจะวางยาตอนนี้ มุกเดียวที่เหลือพอจะเข้าหาเหยื่อก็คือ ไปทานข้าวด้วยกันไหมนี่แหละ

     

             นิสัยอยากรู้อยากเห็นและช่างทดลองของพ่อมด...มันเป็นสิ่งที่น่าอยู่ห่างสุดๆ

     

           “ท่านเมอร์ลินผมมีนัดกับเซอร์เคย์เรื่องสมุนไพรป่าหายาก ผมสัญญากับเขาไว้ว่าจะเอาสมุดบันทึกผมให้เขาไปอ่านเพราะงั้นขอตัวนะครับ”

     

            ผมรีบค่อมหัวให้เล็กน้อยแล้ววิ่งออกไปจากอาคารกลางเพื่อแวะไปหาอะไรทานที่โรงอาหารก่อนกลับไปเอาสมุดบันทึกที่ห้องแล้วค่อยออกมาเดินหาเซอร์เคย์ในเคยปราสาทคาเมล็อต แต่น่าแปลกทั้งที่มีแค่สาวใช้กับทหารยามประจำจุดต่างๆแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมีใครกำลังเดินตามผมอยู่ยังไงหยั่งงั้น

            ช่วงเที่ยงคือเวลาว่างสองชั่วโมงของการพักผ่อนและมีเรียนต่อตอนช่วงบ่ายสองถึงสี่โมงครึ่งและอีกทีตอนห้าโมงครึ่งแล้วเลิกทุ่มหนึ่ง เป็นเวลาที่รับได้อยู่เพราะคาบหลังเที่ยงเป็นของเซอร์เพอร์ซิวัลแล้วก็ต่อด้วยเซอร์แลนสล็อต

            มันคืออารมณ์เรียนศิลป์แห่งดาบแล้วมาพักเพื่อรอเรียนดาบอีกทีติดแค่ว่าสอนคนละแบบ เพอร์ซิวัลเป็นดาบยาวแต่แลนสล็อตจะสอนพื้นฐานการต่อสู้ให้ เหมือนกับว่าคาบเมื่อกี้ได้อะไรมาคาบนี้จงแสดงมาให้หมดไรเถือกๆนั้น

     

            ต่อให้โวยวายก็ทำอะไรไม่ได้แน่ๆ ผมเชื่อแบบนั้นนะ

     

            แต่ผมจะทำไงกับไอ้ความรู้สึกที่เหมือนโดนตามอยู่นี่ยังไงดี ตั้งแต่เรียนคาบตะกี้จบละจะว่าเมอร์ลินก็ไม่น่าใช่สัมผัสไม่เหมือนกัน คนๆนั้นเป็นสัมผัสที่ให้ความรู้สึกชวนกระดกสันทีนขึ้นมารอรับหน้า แต่นี่มัน......ศักดิ์สิทธิ์เกินไป ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมผมถึงคิดแบบนั้น

     

            แต่ผมรู้แค่ว่าถ้าปล่อยไว้ ผมคงไม่สงบใจชัวร์...

     

            ผมหยุดฝีเท้าลงแล้วถอนหายใจเฮือกยาวออกมาก่อนจะพูดออกไปเบาๆให้เจ้าสต๊อกเกอร์ที่ตามหลังมานั้นออกมา

     

            “ออกมาเถอะครับ ตามผมแบบนี้น่ะมันทำให้ผมไม่สบายใจนะ”

     

            ผมรออยู่ชั่วอึดใจเดียวก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่มั่นคงและเป็นจังหวะที่ดังกึกก้องอันเป็นเอกลักษณ์ของส้นรองเท้าที่ทำจากหนังตามมาด้วยพระสุรเสียงอันคุ้นเคยที่ทำเอาผมหน้าซีดฉับพลัน

     

            “ข้าขอโทษด้วยที่ตามเจ้ามาเคดาจแต่หากข้าออกมาทักเจ้าทั้งที่คณะอัศวินของข้ายังอยู่ ไม่เว้นแต่เมอร์ลินข้าคงหมดโอกาสเที่ยวเล่นเป็นแน่”

     

            ท่านกษัตริย์เจ้าปัญหาอัพสถานะเป็นสต๊อกเกอร์ของเด็กน้อยผมหงอกตาดำๆนามว่าเคดาจ โรลัน ยังมีอะไรจะลงอีกมั้ยครับคุณท่านราชา!

            ผมหันหลังไปมองเขาแทบจะทันทีที่เขาพูดจบก่อนจะพบเจอกับดวงหน้าหล่อเหลาที่เคยเห็นเพียงแค่ไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้มันกลับลดความศักดิ์สิทธิ์ลงแล้วเพิ่มความเป็นสามัญชนเข้ามาแทนด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำตาลข้มบนชุดทูนิคหลวมๆสีขาวหม่นที่ใส่ทับกางเกงหนังสีน้ำตาลอ่อนคาดด้วยเข็มขัดสีดำกับรองเท้าบู๊ทหนังสัตว์แบบเรียบง่าย

            แต่ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สวมมงกุฎแต่มันก็ไม่ทำให้ใครต่อใครลืมใบหน้านั้นลงได้แน่เขาจึงตบตาด้วยผ้าพันคอผืนบางกับรอยแผลเป็นที่วาดขึ้นมา

            แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ผมควรรู้เลยสักนิดขนาดดาบของเจ้าตัวเขายังไม่พกมาแสดงว่าตั้งใจจะไม่ให้ใครจับได้แน่ๆ ผมควรถามนั้นแหละดีที่สุด

     

            “นี่ท่านทำอะไรของท่านกันน่ะครับ แล้วงานล่ะ?”

            “ข้าหนีมาน่ะกะจะชวนเจ้าไปเดินเล่นในเมืองด้วยเลยตามเจ้ามาตลอดตั้งแต่ที่เรียนเสร็จไป”

     

            ขุนพระ... กษัตริย์แห่งอาณาจักรอัศวินของพวกเราเอ๋ย...ราชาแห่งแสงผู้ปกป้องประชาชนของพวกเราเอ๋ย เหตุใดท่านจึงหนีงานมาแบบนี้! อย่าบอกนะว่างานมันเยอะเกินจนต้องหนีออกมาน่ะ

     

            “กลับไปทำงานครับฝ่าบาท”

     

            ตอบกลับอย่างไม่ใยดีจนตอนนี้ผมรู้เลยว่าประโยคคำสั่งนั้นหากใช้ในเรื่องที่สมควรแม้แต่กษัตริย์ก็ยังฟังเหมือนหมาบ้านสักตัว

            เมื่อเขาเห็นว่าผมไม่มีทีถ้าว่าจะสนใจใบหน้าหล่อเหลาก็เจื่อนลงแล้วเศร้าหมองเล็กน้อยราวกับลูกหมาโดนทิ้งเมื่อเจ้าของไม่ยอมเล่นด้วยซึ่งมันเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่จะทำให้บุคคลที่หน้าตาเลเวลอ่อนๆเห็นแล้วรู้สึกผิด

     

            มันเป็นสายตาที่อันตรายแบบไม่ต้องสงสัย!

     

            “แต่เคดาจข้าอยากไปสำรวจเมืองหนิ อีกอย่างยังไงเจ้าก็ต้องไปหาดาบสำหรับเรียนกับแลนสล็อตมิใช่หรือถ้าเช่นนั้นก็ไปกับข้านี่แหละข้าจะแนะนำช่างฝีมือดีราคาเป็นกันเองให้”

     

            อ่า...ผมลืมไปเลยว่าผมต้องซื้ออาวุธ

     

            ตามปกติแล้วที่สถาบันวัลฮาเรียนั้นเด็กปีหนึ่งชายทุกคนและผู้หญิงบางส่วนจะได้ฝึกดาบกันในเทอมแรกแต่ดาบที่ใช้นั้นจะเป็นดาบยาวสองมือตามมาตรฐานของสถาบันที่เตรียมไว้ให้เท่านั้น แต่ก็ใช้แค่ชั่วคราวก่อนจะได้รับเงินก้อนหนึ่งซึ่งได้มาจากภาษีประชาชนตอนเลื่อนชั้นเป็นปีสองเพื่อซื้ออาวุธที่ถนัดมาเสริมในรายวิชาของศาสตราที่เลือกในเทอมสอง

            แต่ของผมนั้นดันได้อาจารย์ระดับท็อปคลาสที่จับดาบของตัวเองเพื่อสอนผมเพราะงั้นหากเอาดาบมาตรฐานมาฝึก คงมีคำว่าหักเป็นแทบๆ ถึงคนอื่นๆในคณะอัศวินจะเห็นพ้องกันว่าจะมอบศาสตราประจำธาตุให้ผมเมื่อผมเข้าเรียนและถูกรับเป็นศิษย์ของพวกเขาเหมือนที่ผมได้ธนูสายลมมาจากทริสทันและดาบเคลย์มอร์แห่งผืนดินมาจากเคย์ แต่สำหรับแลนสล็อตนั้นเขาต้องการให้ผมไปเลือกดาบของตัวเองจริงๆ ดาบที่เป็นธาตุแสงซึ่งเข้ากับพลังของผม

     

            ผมไม่ห่วงหรอกว่าจะหาไม่เจอเพราะแร่ที่ใช้ทำดาบธาตุแสงน่ะมีเยอะจนล้นเลยล่ะ

     

            เพราะว่าถูกคนที่มีธาตุแสงปกครองและค้ำจุนอาณาจักรไว้แร่ธาตุที่หาได้เลยมีแร่ผลึกธาตุแสงด้วย ซึ่งแร่ผลึกธาตุต่างๆนั้นจะมีคุณสมบัติต่างกันไปและถูกนำมาหลอมรวมกับศาสตราวุธเพื่อสร้างเป็นอาวุธเวทไม่เว้นแต่ธาตุแสงแต่เพราะจำนวนคนที่เป็นธาตุแสงน้อยมากชนิดต่ำเตี้ยเรี่ยดินทำให้มันกลายเป็นแร่ที่ใช้ในวาระโอกาสสำคัญเช่นทำเป็นเครื่องรางคุ้มครองหรือคฑาให้นักบวชมากกว่า

     

            ผมยังต้องไปที่เมืองเพื่อซื้อมันอยู่ดี

     

            นี่ผมต้องทำใจพาราชาหนีงานไปเดินเล่นด้วยงั้นหรอวะครับ! นี่กะจะไม่ให้ผมมีเวลาส่วนตัวบ้างรึไงทำไมพวกคุณมึงชอบมาคุมผมกันจัง

     

             “ตกลงครับแต่ท่านต้องสัญญานะครับว่าจะแนะนำให้ผมจริงๆน่ะ”

             “ข้าสัญญาเคดาจ”

     

            เมื่อเห็นผมใจอ่อนคุณท่านราชาหนีงานก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มสว่างไสวให้เป็นคำตอบซึ่งผมก็ได้แต่ถอนหายใจกับท่าทีที่เหมือนเด็กๆของกษัตริย์อาเธอร์คนนี้จริงๆหรือเพราะเป็นกษัตริย์มานานเขาถึงอยากไปเดินในเมืองแบบครั้งที่เคยเป็นประชาชนธรรมดากันนี่ผมก็ไม่แน่ใจแฮะ

            ถึงกษัตริย์อูเธอร์จะครองราชย์ไปแต่ถ้าบุตรที่เกิดมาไม่ได้เป็นธาตุแสงหรือคุณสมบัติไม่พอที่จะครองราชย์ต่อระบบการปกครองจะถูกสลับปรับเปลี่ยนให้สภาอัศวินเป็นคนปกครองประเทศภายใต้การดูแลของราชวงศ์แทน

     

            แต่นี่มันใช่เวลามาคิดถึงวิชาสังคมศึกษามั้ยเนี้ย!แล้วพวกเรามาถึงนอกสถาบันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!!!

     

    -----------------------------------------------------------------

    หายไปนานแต่ก็กลับมาอัพให้นะครับทุกคน ต้องขอโทษด้วยที่หายไปเพราะมหาลัยเปิดและสาขาที่เข้าดันเป็นสาขาเปิดใหม่เลยต้องทำผลงานเพื่อสาขาที่อยู่เลยไม่ค่อยได้มาล่ะ แต่จะพยายามอัพนะครับ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×