ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dimension Voyagers

    ลำดับตอนที่ #8 : กลับสู่จุดเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 65


    4 ปีให้หลัง หลังจากการตายของโยชัวและมานา วอคเกอร์… 

     

    ภายในเมืองเต็มไปด้วยหมอกหนา ในกลางค่ำคืนของช่วงฤดูร้อนที่เกาะอังกฤษ เสียงหวูดรถไฟเป็นสัญญาณเตือนเมื่อกำลังเข้าเทียบชานชาลา ณ กรุงลอนดอนเด็กหนุ่มทั้งสองในชุดนักเดินทางต่างลงจากรถไฟหลังจากการเดินทางข้ามประเทศร่วมสามเดือนที่ยาวนานจบลง 

    วางกระเป๋าในมือของพวกเขาลงเพื่อพักมือก่อนเริ่มเดินทางต่อ เด็กหนุ่มทั้งสองต่างเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าในสถานที่อันเป็นจุดเริ่มต้นของพวกเขาด้วยแววตาที่ปนไปด้วยความรู้สึกต่างๆปะปนกัน 

    ทั้งความสุขของวันวานที่เคยอยู่ด้วยกัน ความคิดถึงของความทรงจำที่แบ่งปันกัน ความเศร้าของการจากลา ความว่างเปล่าของการสูญเสีย ความเหงาของบางอย่างที่ไม่สามารถนำกลับมา 

     

    และความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตต่อแทนส่วนของคนที่ไม่อาจกลับมาได้

     

    เวลาเพียงแค่สี่ปีลบไปหนึ่งสำหรับการฟื้นฟูสภาพจิตใจของอเลน พวกเขาทั้งสองได้เรียนรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิตถึงแม้จะลำบากไม่น้อยเลยก็ตามทีเพราะต้องทำงานชดใช้หนี้ของอาจารย์ที่เคารพรักของพวกเขา 

    พวกเขาเริ่มรู้สึกขอบคุณอีกแล้วที่โยชัวสอนเล่นโป๊กเกอร์ให้ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่โป๊กเกอร์ที่เธอสอนแต่ยังมีเกมพนันอื่นๆด้วยเหมือนกัน เมื่อสองปีที่เคยอยู่ด้วยกันเมื่อสมัยก่อนนั้นมันช่างน่าประหลาดใจมากโดยเฉพาะเมื่อทั้งสองรู้ว่างานพิเศษที่สมาชิกครอบครัวคนเล็กสุดทำนั้นคืออะไร 

    โยชัวมักออกไปเดินเล่นตอนกลางดึกแล้วกลับที่พักพร้อมเงินปริศนาเป็นปึกในกระเป๋ากางเกงถามไปก็ไม่ตอบเลยใช้โอกาสในคืนหนึ่งแอบตามไปดูแต่สิ่งที่เห็นกลับเกินกว่าจะรับไหว

    งานพิเศษของโยชัวคือ...การไปเป็นลูกค้าไม่ก็ดีลเลอร์แบบพาร์ทไทม์ในบ่อนหรือคาสิโนในสถานที่ที่พวกเขาเดินทางไป แถมยังได้สิทธิพิเศษที่จะเข้าไปเล่นด้วยแม้ว่าอีกฝ่ายจะยังเป็นเด็กก็ตาม 

    ตั้งแต่เล่นไพ่ แทงสนุกเกอร์ สล็อต รูลเล็ตท์หรือแม้กระทั่งปาลูกดอก เด็กคนนั้นทำได้หมดทุกอย่างแบบเซียนด้วยอีกตะหาก แถมโกงได้แนบเนียนด้วย

     

    ดวงจันทร์ที่แสนเจ้าเล่ห์…

     

    โยฮันส่ายหน้าเล็กน้อยกับความคิดในหัวก่อนจะเดินออกจากสถานีกับอเลนเพื่อเดินทางต่อไปยังศาสนจักรแห่งความมืด มือซ้ายกำด้ามจับของกระเป๋าเดินทางไว้แน่นในขณะที่มือขวาเอื้อมไปกุมล็อกเกตสีเงินที่เขาได้มาในวันที่พวกเขาเดินทางออกจากลอนดอนหลังฟื้นตัวเสร็จ 

    ล็อกเกตโหล่ๆที่มีความทรงจำแสนสำคัญที่มีเพียงแค่สี่เส้นบนโลก เส้นหนึ่งถูกฝังไปพร้อมกับมานา อีกเส้นหนึ่งฝังพร้อมโยชัว และอีกสองเส้นอยู่ที่เขากับอเลน…

    เด็กหนุ่มผมขาวที่แก่กว่านั้นชะงักไปเล็กน้อยเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ก่อนจะมองซ้ายขวาเพื่อค้นหาร่างผมขาวอีกคนหนึ่งก่อนจะตะโกนขึ้นมา

     

    "โยฮัน!พวกคนในคณะละครสัตว์บอกว่าจะให้เราติดขบวนไปด้วยละรีบไปกันเถอะ"

    “อ๊ะ อ่า จะไปเดียวนี้แหละ"

     

    โยฮันที่ตั้งสติได้ผิวปากเรียกสหายคู่ใจอย่างเฟอเรทสีขาวให้ปีนขึ้นมาเกาะไหล่ไว้เตรียมเดินทางกันต่อ ซึ่งพรีโม่สหายรักของแฝดคนพี่นั้นถูกครอสดัดแปลงให้เป็นโกเล็มรูปแบบกึ่งสิ่งมีชีวิตโดยใช้การเชื่อมต่อของอินโนเซนส์หรือเลือดของโยฮันเป็นแกนกลาง 

     

    ซึ่งตราบใดที่เจ้านายยังอยู่มันก็จะไม่มีวันตาย…

     

    "แล้วทิมล่ะอเลน?"

     

    โยฮันถามออกไปหลังจากที่รถม้าเริ่มเคลื่อนที่ไปได้สักพักเพราะว่ามองไม่เห็นเจ้าโกเล็มสีทองที่คล้ายๆลูกโกลเด้นสนิทช์ที่ชื่อว่าทิมแคนพีเลยสักนิดทำให้อเลนที่รับครัวซองสองชิ้นจากคนในคณะละครสัตว์เริ่มหน้าเสียทันที

     

    ถ้าไม่มีทิมพวกเขาก็ไปต่อไม่ถูกน่ะสิ!!

     

    "ทิมแคนพี!! อยู่ไหนน่ะทิมแคนพี!!"

     

    อเลนเริ่มตะโกนออกไปเพื่อตามหาเนวิเกเตอร์นำทางที่อาจารย์ครอสมอบให้ซึ่งไม่นานนักมันก็บินมาหาพวกเขาในสภาพที่สมบูรณ์ครบทุกส่วนแบบที่ยังไม่โดนตัวอะไรกินเข้าไปแต่…

     

    แมวนั่นหายไปไหนแล้วล่ะตัวที่สมควรกลืนทิมลงท้องน่ะ…

     

    โยฮันหันไปมองรอบๆอีกครั้งก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นมาเมื่อเห็นบาทหลวงคนหนึ่งโบกมือให้กับซิสเตอร์และตำรวจสาวที่เหมือนจะเป็นพี่น้องกันไม่ผิดแน่ ทว่าเขากลับมองไม่เห็นอาคุม่าเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าฟันเฟืองของเนื้อเรื่องเริ่มเปลี่ยนไป ไม่สิ มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เขากับโยชัวมาแล้วล่ะ…

     

    “อาคุม่า!!!”

     

    โอเคเหมือนจะมีบางอย่างไม่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี…

     

    “โยฮัน!”

     

    เสียงของอเลนดังขึ้นมาเรียกให้โยฮันได้ตั้งสติอีกครั้ง ซึ่งมันนำพาเด็กหนุ่มทั้งสองให้วิ่งไปตามทิศที่พวกเขาได้ยินเสียงแต่ท้ายสุดแล้วชายหนุ่มนักเดินทางจากต่างโลกก็รู้ดีว่าครอบครัวต่างสายเลือดของเขาจัดการเลือดได้อยู่แล้ว เขาแค่ต้องไปดูเผื่อมีใครบาดเจ็บเท่านั้น

     

    “จัดการไวเหมือนเคยนะอเลน”

     

    โยฮันที่วิ่งตามหลังร่างผมขาวอีกคนเอ่ยขึ้นมาทันทีที่มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมกับกระเป๋าของพวกเขาในอ้อมแขนแต่ก็ถูกทักทายโดยอเลนที่ถูกฌอนนั่งคร่อมไว้แล้วถามไถ่เรื่องศาสตรากำราบอาคุม่าของเขา ซึ่งตัวโยฮันนั้นไม่รอช้าที่จะช่วยอีกฝ่ายขึ้นมา

     

    “อ่ะฮะฮะ…ก็พอดีมันตามสัญชาตญาณน่ะโยฮัน”

    “จริงๆเลย นายก็รู้อยู่ว่าผมหลงทางง่ายยังจะกล้าทิ้งกันได้ลงคอ”

     

    เด็กหนุ่มจากต่างโลกทำได้แค่ยิ้มขณะที่เขาหันไปมองเด็กหนุ่มร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขาบ้างก่อนที่เฟอเรทสีขาวตัวน้อยจะเป็นฝ่ายเข้าหาอีกฝ่ายก่อนเสียเอง

     

    “เดี๋ยวเถอะ พรีโม่ แบบนั้นมันเสียมารยาทนะ”

     

    สหายสีขาวตัวยลน้อยที่กำลังปีนป่ายสำรวจตัวเด็กหนุ่มรีบกระโดดกลับไปหาผู้เป็นนายของมันแล้วคลอเคลียอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่มผมขาวที่มีผมยาวกว่าคนที่ตัวเด็กหนุ่มพึ่งพบไป ซึ่งโยฮันได้แต่แย้มยิ้มให้กับฌอนเล็กน้อยแล้วเอ่ยพูดออกมาอีกครั้งในที่สุด

     

    “สวัสดีนะ ผมโยฮัน ส่วนนั่นอเลนพี่ชายของผม…แล้วชื่อของเธอล่ะ?”

    .

    .

    .

    .

    .

    ลงเอยกันแบบเดิมแท้ๆ…

     

    โยฮันถอนหายใจออกมาขณะที่ลูบหัวเพื่อนตัวน้อยของเขาอย่างพรีโม่ เฟอเรทสีขาวที่เขาเลี้ยงดูไว้ขณะที่เงยหน้าขึ้นเหม่อมองท้องฟ้าอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่าเมื่อเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง ฌอนที่เป็นเด็กกำลังโตนั้นปฏิเสธที่จะเชื่อพวกเขาเรื่องที่ลีโอเป็นอาคุม่า แล้วพวกเขาก็คลาดกันจนได้ แต่ทว่า…

     

    เขาจะไม่เป็นตัวถ่วงอีกแล้ว…

     

    ณ ทางไปสู่สุสานยามเย็นที่ดวงตะวันลาลับขอบฟ้าแทนที่ทิวาด้วยราตรีที่พึ่งเริ่มต้นขึ้นเบื้องหน้าของพวกเขานั้นคือร่างของขุนนางพันปีที่ยืนมองพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่สงบนิ่งผิดกับเด็กน้อยที่พยายามปฏิเสธความจริง และอาคุม่าในร่างของเด็กอีกคน

     

    แต่เขาก็โทษลีโอไม่ได้…

     

    เด็กชายที่กำลังโตและสูญเสียผู้เป็นแม่ที่เป็นเหมือนครอบครัวคนสุดท้ายไป ไม่ว่าจะเข้มแข็งหรือเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน แต่ตราบเท่าที่หัวใจยังเป็นมนุษย์ พวกเขาก็ไม่อาจหลีกหนีความสิ้นหวังที่เกิดจากโศกนาฏกรรมไปได้

     

    “เดี๋ยวเป็นโล่ให้ นายไปได้เลยอเลน”

    “ฝากด้วยล่ะโยฮัน”

     

    Fervor, Mei Sanguis…

    จงเดือดพล่าน โลหิตของข้า…

     

    โลหิตสีแดงสดไหลอาบย้อมบนผืนดินแปรเปลี่ยนเป็นโล่ผลึกสีแดงฉานคุ้มครองเด็กชายผู้สูญเสียเพื่อนไปขณะที่เด็กหนุ่มพี่ชายต่างสายเลือดวิ่งตรงเข้าหาศัตรูของพวกเขา ให้พวกเขาเปิดม่านของละครฉากที่สองด้วยการอาบย้อมค่ำคืนอันเงียบสงบให้กลายเป็นสีแดงฉาน 

     

    สวดส่งวิญญาณของเหล่าลูกแกะที่ถูกกักขังกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า…

    .

    .

    .

    .

    .

    ท้องฟ้ายามบ่ายตอนที่เริ่มเดินทางอีกครั้งช่างงดงามเหลือเกิน…

     

    เด็กหนุ่มผมขาวผู้นึกหวนคืนสู่อดีตยิ้มออกมาเล็กน้อยขณะที่เขานั่งมองท้องฟ้าสีครามใสและรอคอยพี่ชายต่างสายเลือดที่ยังอยู่ในคฤหาสน์ของฌอนที่กำลังทำกางเขนให้เพื่อนสนิทของเขา พร้อมกับลูบหัวเฟอเรทตัวน้อยบนตักของตัวเองเหมือนทุกครั้ง กับค่ำคืนที่เหมือนตอกย้ำความผิดพลาดจบลงด้วยน้ำตาและความตั้งใจอันแรงกล้าที่นำพาเขามาสู่จุดๆนี้

    เมื่อได้มองเส้นทางบนแผนที่อีกครั้งซึ่งมันผ่านสถานที่แห่งนั้น สถานที่สุดท้ายที่พวกเขาใช้เวลาด้วยกันก่อนที่ทางแยกของชีวิตจะมาถึง เขาก็อดไม่ได้เหลือเกินที่จะเอ่ยปากขึ้นมา

     

    “นี่อเลน เราแวะไปที่นั่นอีกครั้งดูดีมั้ย…”

    “ที่นั่น...”

     

    โยฮันถามขึ้นมาอีกครั้งขณะที่เขากุมสร้อยล็อกเกตที่เขาไม่เคยถอดออกเลยตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ที่เขาเสียน้องสาวของเขาไป ซึ่งจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เคยแก้ข้อมูลให้อเลนฟังเลยว่าความจริงน้องชายคนที่สามของพวกเขาเป็นผู้หญิงตะหาก

     

    “สี่ปีแล้วตั้งแต่ตอนนั้น เราก็เริ่มเดินทางกันเลยโดยไม่แวะไปบอกลา”

     

    ทางด้านเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินทางร่วมกันไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยิ้มให้กับความทรงจำเก่าๆที่เคยใช้เวลาร่วมกันกับสมาชิกอีกคน ซึ่งเขาก็ได้แต่ฝันไว้เท่านั้นว่าหากน้องของพวกเขายังมีชีวิตอยู่แล้วพวกเขาทั้งสามได้เดินทางร่วมกันมันจะเป็นยังไง

     

    คงจะสะดวกไม่น้อย นั่นคือคำตอบ…

     

    “ได้สิ ก็นั่นมันน้องของพวกเรานี่นา”

     

    เมื่อตัดสินใจได้เป้าหมายการเดินทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไป พวกเขาต่างแวะไปที่ร้านดอกไม้ก่อนเพื่อรับดอกไม้ไปเยี่ยมหลุมศพ ทั้งของอเลนที่ไว้มอบให้มานาและโยฮันที่มอบให้โยชัวซึ่งเป็นช่อดอกไอริสที่ประดับด้วยดอกแอนนีโมนีที่เธอชอบ

    ผ่านถนนใกล้ตรอกที่พวกเขาเคยใช้หลบอาคุม่ากัน ผ่านร้านกาแฟเล็กๆที่พวกเขามานั่งทานอาหารมื้อแรกหลังจากที่มาต่างโลก ผ่านลานน้ำพุที่เสียงดนตรีเคยดังเคล้าอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ขาดสาย ผ่านถนนที่พวกเขาได้พบกับมานาและอเลนเป็นครั้งแรก 

     

    จนถึงจุดที่ทุกอย่างเริ่มและสิ้นสุด

     

    ที่สุสานเมืองลอนดอน ณ เนินเขาเล็กๆที่หลุมศพใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่ๆทุกอย่างสิ้นสุดลงและเริ่มต้นขึ้นใหม่ ทุกอย่างนั้นยังคงอยู่ไม่แปรเปลี่ยน เว้นแต่ป้ายหลุมศพใหม่อีกหนึ่งเป็นอันบ่งบอกว่ามีคนทำพิธีศพให้โยชัวแทนพวกเขา

     

    “คำสัญญาเชื่อมโยงพวกเรา ตราบใดที่ยังนึกถึงกันและกัน ภายใต้ผืนฟ้า โชคชะตาของฉันจะอยู่กับเธอเสมอ...โยชัว วอคเกอร์”

     

    เด็กหนุ่มผู้เป็นแฝดคนพี่อ่านคำสลักบนป้ายหลุมศพด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มบางๆพร้อมกับวางช่อดอกไม้ในมือลงหลังจากที่เห็นอเลนเคารพหลุมศพมานาไปแล้ว ซึ่งพอมานึกดูแล้วมันก็น่าขำที่คำพูดเหล่านี้โยชัวมักจะพูดกับเขาเสมอ การที่เห็นมันถูกสลักไว้แบบนี้ มันทำให้นึกถึงคนที่พวกเขาทำสัญญาด้วยทันที

     

    จะเป็นไปได้รึเปล่านะที่เขาจะมาจัดการเรื่องนี้ให้…

     

    “ไม่นึกเลยว่าจะผ่านมาสี่ปีแล้วนะอเลน”

     

    โยฮันว่าขณะที่เขาหันไปมองคนที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตัวพี่ของเขายังคงจ้องป้ายหลุมศพตรงหน้าอยู่อย่างไม่วางตา ซึ่งในดวงตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความโหยหา 

    มันเป็นดวงตาของคนที่คิดถึงใครสักคน ซึ่งโยฮันเข้าใจดีว่ามันเป็นยังไง เพราะนอกจากมานาที่คอยดูแลพวกเขาเหมือนพ่อ ชีวิตพวกเขาก่อนหน้านี้ก็มีเพียงแค่พวกเขาสามคนพี่น้องที่ไม่ได้จำกัดกันด้วยสายเลือดเท่านั้น…

     

    และตอนนี้ก็เหลือกันแค่สองคน…

     

    “สี่ปีนี่ผ่านไปเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะโยฮัน”

     

    อเลนตอบกลับในที่สุดเมื่อการเคารพหลุมศพของพวกเขาจบลงในเวลาสั้นๆเมื่อพวกเขายังต้องเดินทางกันต่อ แต่พอมานึกๆดูแล้วสี่ปีที่เริ่มเดินทางกับครอสนี่มันก็เร็วจริงๆนั้นแหละ แต่ถ้านับรวมตั้งแต่ที่เขามาที่โลกนี้ก็นับรวมได้ประมาณหกปี มันเร็วซะจนภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มที่ผ่านมาถูกกลบไปโดยสิ้นเชิง

    เด็กหนุ่มแย้มยิ้มให้พี่ชายของตนขณะที่เหลือบมองหลุมศพทั้งสองตรงหน้าอีกครั้ง ซึ่งมันมีอยู่บ่อยครั้งที่เขาฝันร้ายถึงวันนั้นบ่อยๆ แต่หากโยชัวมาเห็นเขานั่งโทษตัวเองอยู่ล่ะก็เขาคงโดนเทศนาอีกยาวแน่ๆ 

     

    เพราะงั้นเขาจะเดินหน้าต่อไป…

     

    เสียงระฆังของโบสถ์ดังขึ้นมาบ่งบอกช่วงเวลาที่ล่วงเลยมาถึงยามเย็น เหล่าเด็กหนุ่มทั้งสองที่มาเยี่ยมหลุมศพผู้เป็นที่รักต่างตัดสินใจออกเดินทางต่อสักทีนำพาให้พวกเขาได้เอ่ยอำลาเป็นครั้งสุดท้าย

     

    “พวกเราไปก่อนนะครับมานา” 

    “พี่ไปก่อนนะโยชัว”

     

    ท่ามกลางความสงบยามเย็นของวันที่ต้องเดินทางต่อไปยังศาสนจักรพวกเขาแทบไม่สังเกตเลยว่าหลังต้นไม้ที่หลุมศพนั้นมีร่างในชุดดำเฝ้ามองพวกเขาอยู่พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าและดาบเล่มยาวที่ส่องประกายในความมืด

    ดวงตาสีแสงจันทร์เหลือบขึ้นเหม่อมองท้องฟ้าที่เริ่มปกคลุมด้วยเมฆฝนอีกครั้งก่อนที่ร่างนั้นจะเริ่มออกเดินทางบ้างโดยทิ้งไว้เพียงแค่ข้อความสุดท้ายไว้กับสายลม

     

    “โชคดีล่ะโยฮัน อเลน…”

     

     

     

     

    -_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-

    ทิ้งเรื่องนี้ไปโคตรนานจนลืมแล้วว่าพล็อตเป็นไง 55555555555555

    น้อนแฝดลูกรักคู่แรกของพ่อ!!! พ่อไม่ได้ทิ้งลูกแต่ความคิดเรื่องอื่นมันแล่นมากกว่า!

    เอาเป็นว่าเรื่องนี้มาต่อให้แล้วนะเออ ถึงจะยังไม่เข้าเรื่องหลักก็ตามแต่ว่านะ

    สตอรี่ใน WIT APP ของไรท์มันข้ามขั้นไปไกลมากกกก

    คือประมาณว่าภาคแรกไม่จบแต่ภาคต่อจบแล้ว มันเป็นอะไรที่จี๊ดมาในใจ 555555

    คือเห็นภาพอยู่นะว่าจะทำออกมายังไงดีแต่มันเขียนไม่ออกอะ

    เอาเป็นว่าน้า~ ไรท์จะพยายามให้เวลากับเรื่องอื่นๆด้วยรับรองได้ว่าไม่ทิ้งแน่นอนแค่ดองข้ามปีเท่านั้นเอง!

    เพราะงั้นเจอกันตอนต่อไปน้า~…

    ใครเล็งพี่อายาโตะ ในเกนชินจงแสดงตัวออกมา!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×