คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : วันที่...เรียนวิชาแรกและได้พบกับ...ใคร!?
Tristan the Master of peaceful wind
ช่วงเวลาของการพักผ่อนนั้นมันไม่ได้ยาวนานอย่างที่คิด ผมถูกทริสทันปลุกขึ้นมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่แล้วลากไปซ้อมธนูกันตั้งแต่เช้าที่ป่าในเขตของปราสาท ตอนแรกก็งอแงแต่พอได้เจอกับไอซ์บั๊กเก็ตกับสายลมของท่านผมก็ตาสว่างขึ้นมาทันที
ทริสทันในตอนนี้สวมชุดลำลองตามปกติของเจ้าตัวซึ่งไม่มีชุดเกราะสักชิ้น มีเพียงแค่ดาบที่ข้างเอวและคันธนูเป็นของติดตัว ผมสีแดงสดที่เคยปล่อยสยายถูกมัดรวบเป็นหางม้าสูงทำให้อีกฝ่ายดูทะมัดทะแมงมากกว่าเดิมเท่าตัว
“ดูจากการจับคันธนูเจ้าคงมีพื้นฐานจากการล่าสัตว์งั้นสินะ ดีแล้วต่อไปก็คงต้องเพิ่มระดับการฝึกให้สูงขึ้นอีกหน่อย”
ทริสทันว่าพลางยื่นมือไปดึงหนึ่งในลูกธนูที่ผมพึ่งยิงออกไปมาดูใกล้ๆแล้วหันมาหาผมเพื่ออธิบายต่อในขั้นที่สูงกว่านั้นแล้วค่อยคว้าคันธนูของตนมาเล็งที่ผลไม้สีชมพูอ่อนบนต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อย ประมาณห้าสิบเมตรเห็นจะได้
“ศาสตร์ของการยิงธนูนั้นอาศัยกระแสลมไปตัวบอกทุกสิ่ง หากเจ้าเป็นผู้ใช้พลังธาตุลมเจ้าจะได้ยินเสียงของวัตถุที่แหวกผ่านอากาศได้อย่างชัดเจน ซึ่งนั้นเป็นข้อดีของนักธนูที่ใช้สายลมเป็นธาตุเบื้องต้น พวกเขาสามารถใช้สายลมเพื่อบังคับให้ลูกศรไปถึงเป้าหมายได้อย่างแม่นยำเช่นเดียวกับข้า”
วินาทีที่เขายิงสายลมระลอกเล็กก็พัดผ่านเข้ามาหาลูกธนูที่ถูกยิงออกไปซึ่งมันเป็นการเร่งความเร็วให้ธนูนั้นพุ่งไปหาเป้าหมายจนพูดได้ว่าเร็วพอๆกับเสียง ไม่นานผลไม้ลูกนั้นก็หล่นลงมาใส่ตะกร้าที่เขาวางไว้พร้อมกับของอื่นๆราวกับจับวาง
“เจ้าน่ะเป็นธาตุสายสมดุลที่ควบคุมพลังธาตุอื่นได้บ้าง ทีนี้เจ้าลองบ้างนะเคดาจเราจะได้รู้กันว่าเจ้ามีสายลมเป็นธาตุรองรึเปล่า”
อ่า..ผมเองก็ไม่ได้อยากเป็นเทพทรูหรอกนะครับ...
ผมลองทำตามที่อีกฝ่ายบอกด้วยการเล็งลูกศรไปทางเป้านิ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็ปล่อยลูกศรไม่ได้เพราะพี่แกจ้องผมอยู่ไม่วางตา ทริสทันพอว่าแต่สายตาอีกคู่นี้ สายตาของเพอร์ซิวัลที่จ้องมาที่ผมหลังต้นไม้นั้นน่ะมันจ้องแบบจะงับหัวผมขาดแล้วล่ะ
ผมรู้สึกว่าอยู่กับทริสทันน่ะปลอดภัยระดับสามตามเพอร์ซิวัลมาอยู่ใกล้ๆลดระดับเลยเป็นติดลบ
เมื่ออีกฝ่ายเห็นผมกำลังสั่นเป็นผีเข้า ทริสทันก็ถอนหายใจออกมาแล้วเดินตรงเข้ามาจับแขนผมจากข้างหลังเพื่อจัดท่าให้พลางเอ่ยบอกเบาๆตามลักษณะการสอนของเจ้าตัวที่ผมไม่แน่ใจว่าเขาสอนแบบนี้กับทหารด้วยงั้นเหรอไรเถือกๆนี้
“อย่าเกร็งมากนักสิ แล้วก็อย่าให้แขนตกด้วยผ่อนลมหายใจออกมาแล้วตั้งสติเข้าไว้”
ลมหายใจร้อนๆถูกผ่อนออกมาจากปากของอีกฝ่ายกระทบเข้ากับใบหูจนผมเริ่มเกร็งขึ้นอีกรอบจนตัวสั่น แต่ก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นการฝึกผมจึงถอนหายใจออกมาให้สติได้ผ่อนคลายจนอัศวินผู้ใช้ธนูเริ่มเผยยิ้มออกมามากขึ้นก่อนจะเลื่อนมือไปกุมมือข้างที่ถือคันธนูไว้เพื่อให้ผมเลิกสั่นอีกครั้ง
“แบบนั้นแหละ ตั้งสติฟังเสียงและทิศทางของลมจับจิตของมันไว้ให้มั่นแล้วก็ เล็งไปที่เป้าหมาย”
เขาค่อยๆเบนทิศทางการยิงของผมให้หันไปทางต้นไม้ที่อยู่อีกฝั่งทันทีที่ผมเริ่มรวบรวมจิตของลมและผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่รวมจิตของลมได้ระยะห่างระหว่างผิวกายเริ่มหดน้อยลงจนแทบจะแนบชิดกันอยู่แล้ว
“รวบรวมมันไว้ที่หัวลูกสรแล้วจากนั้นก็....ยิงออกไป”
ลูกธนูที่ผมเล็งไว้นั้นถูกปล่อยตามที่อีกฝ่ายสั่งซึ่งไปได้ครึ่งทางผมก็สังเกตเห็นแสงสีเขียวอ่อนเรืองๆอยู่รอบลูกธนูที่ถูกยิงไปซึ่งมันก็เพิ่มความเร็วจนไปถึงเป้าหมาย ต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปและเป็นต้นเดียวกันกับที่เพอร์ซิวัลซุ่มดูอยู่ด้วยล่ะ
“ดูท่าว่าผมจะยิงถึงด้วยล่ะครับ”
ผมพูดออกมาแบบทึ่งนิดหน่อยที่มันไม่เซไปทางอื่นจนผมพลาดเป้าแต่ก็ยังเทียบชั้นกับทริสทันที่หลับตายิงไม่ได้หรอก คนผมแดงยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าพึ่งพอใจกับผลงานครั้งแรกของผมก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“ดีแล้วล่ะอาทิตย์แรกนี้เป็นการฝึกหาพลังธาตุที่เจ้าสามารถควบคุมได้รองจากธาตุแสง การฝึกของข้าถ้าเทียบกับคนอื่นน่ะถือว่าเบาสุดแล้วเคดาจ”
“งั้นแสดงว่า ผมต้องมาเรียนกับคุณบ่อยๆสินะครับ”
“จะว่าเช่นนั้นก็คงได้ หรือเจ้าจะไปเรียนกับกาลาฮัดที่เป็นสายโจมตีโดยตรงก็ได้ ตอนนี้เจ้ายังมีเวลาอยู่ก่อนถึงวิชาถัดไปใช้เวลานี้ไปพักผ่อนซะล่ะ”
“ขอผ่านครับโจมตีโดยตรงคงไม่เหมาะกับผมสักเท่าไหร่ ขอตัวก่อนนะครับ”
เมื่อเขาอนุญาตผมก็ค่อมหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงขอตัวก่อนจะเดินไปเก็บของเพื่อกลับไปที่ห้องและเตรียมตัวไปเรียนวิชาถัดไปซึ่งเป็นของเซอร์เคย์
.
.
.
.
.
หลังจากที่ร่างผมขาวได้หายลับไปพ้นสายตาทริสทันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกยาวซึ่งเห็นไม่ค่อยบ่อยนักแต่ทว่าบนใบหน้านั้นกลับเผยรอยยิ้มละมุนออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนึกถึงตอนที่ฝึกเด็กหนุ่มคนนั้น มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้สอนใครแบบตัวต่อตัวซึ่งตอนแรกแม้ว่าเขาจะปฏิบัติเหมือนทหารคนอื่นๆแต่พออยู่ด้วยกันไม่นานเขาก็เริ่มผ่อนคลายลงแล้วฝึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นน้องชายร่วมสายเลือดจริงๆ
“เป็นไงบ้างล่ะทริสทันท่านดูมีความสุขซะเหลือเกินนะ”
เพอร์ซิวัลเอ่ยถามอัศวินผมแดงด้วยรอยยิ้มเช่นเคยซึ่งเขาก็ตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
“หากเจ้าทำถูกวิธีเด็กคนนั้นจะว่านอนสอนง่ายจนน่ารักมากเลยล่ะเพอร์ซิวัล แต่กว่าจะได้เรียนกับเจ้ามันก็หัวค่ำหนิ แล้วเจ้ามาทำอะไรกัน”
“ข้าแค่มาดูว่าเขาจะมีธาตุอะไรเป็นธาตุเสริม อันแรกธาตุลมงั้นสิ หากเขามีธาติไฟข้าจะดีใจไม่น้อยเลยสหาย”
ธาตุไฟกับธาตุลมนั้นสามารถส่งเสริมกันได้หากเด็กหนุ่มนั้นควบคุมธาตุไฟได้ด้วยเขาจะรู้สึกดีไม่น้อยที่มีคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจพอที่จะงัดพลังออกมาใช้เพราะฝึกกับคนอื่นไปเขาเองก็คงไม่รอด
เพอร์ซิวัลหัวเราะเล็กน้อยกับความคิดของตนก่อนจะหยิบผลไม้ในตะกร้าขึ้นมากัดแล้วโยนม้วนจดหมายในมือให้ทริสทันทียืนอยู่ข้างๆให้เจ้าตัวได้เลิกคิ้วมองแต่ก็ต้องขมวดคิ้วกับใบหน้าที่จริงจังของสมาชิกที่เด็กที่สุดของคณะอัศวิน
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ไปตรวจสอบเขตตะวันตก”
.
.
.
.
.
ผมเดินกลับมาที่ห้องเพื่ออาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดเพื่อรอเรียนกับเซอร์เคย์ที่หอสมุดของอาคารกลางซึ่งเขาจะสอนผมเรื่องสมุนไพรกับของป่าและแน่นอนผมคงได้เรียนเรื่องการควบคุมธาตุดินเบื้องต้นจากท่านนี้แน่ๆ ผมค่อนข้างที่จะตั้งหน้าตั้งตารออยู่เลยเพราะเอลฟ์สอนอะไรผมมา ผมจะเอามาคว้าเกรดวิชานี้!
เดินออกมาจากห้องน้ำสภาพเปียกโชกผมก้มหน้าลงมองลงบนเตียงที่มีเสื้อคลุมสี่น้ำเงินขลิบทองอยู่และดูเหมือนจะคล้ายกับเสื้อคลุมของคลาสสามัญแต่กลับมีความสูงส่งและระดับที่สูงกว่า ก็แหงล่ะเล่มมีอาจารย์ยิ่งใหญ่ เขาคงคิดว่าให้นักเรียนใส่แบบธรรมดาจะโดนเข้าใจผิดเลนออกแบบให้ใหม่ แบบที่ดูแล้วจะส่งตัวกลับมาถวายให้ถึงในปราสาทงั้นสินะ
ผมหันไปมองนาฬิกาโบราณเรือนโตในห้องที่กำลังบอกว่าตอนนี้นั้นเจ็ดโมงครึ่งที่จริงผมเรียนกับทริสทันตอนเจ็ดโมงแล้วเลิกตอนแปดโมงกว่าๆแล้วเริ่มเรียนกับเซอร์เคย์ตอนเก้าโมงแต่เพราะแกมาปลุกผมก่อนแล้วพาไปฝึกตอนเช้าตรู่เวลาเลยเหลือหนึ่งชั่วโมงครึ่งกับการทานอาหารเช้าและแน่นอนนอนพัก
“เวลาว่างก็ไปเล่นล่ะ”
ไม่รอช้าใดๆทั้งสิ้นผมคว้ากระเป๋าที่ใส่หนังสือสำหรับวิชาถัดไปหลังจากที่แต่งตัวเสร็จพอดี ผลักประตูห้องแล้วปิดมันอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งไปตามทางลงบันไดของหอคอยและมาหยุดที่บริเวณชั้นสามที่อยู่ติดกับกิ่งไม้
สัญชาตญาณบอกว่าไง ก็ต้องโดดไปตามกิ่งไม้แบบพวกเอลฟ์สิ
เมื่อคิดได้ผมก็เหวี่ยงตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้ก่อนจะไต่ลงไปยังกิ่งที่ต่ำกว่าแล้วเริ่มโดดไปตามต้นไม้ในเขตของปราสาทคาเมล็อตด้วยรอยยิ้มทันที
เปรี๊ยะ!
ทุกท่านโปรดจำไว้หากได้ยินเสียงนี้ จงรู้ไว้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว
กิ่งไม้ที่ผมพึ่งเหยียบนั้นมีรอยไหม้ตรงจุดที่ยืนเล็กน้อยราวกับพึ่งโดนไฟลนไม่ก็ฟ้าผ่าลงมาซึ่งหากผมไม่กระโดดหลบไปกิ่งอื่นผมคงถูกย่างสดไปซะแล้วและแน่นอนผมลองมองข้างล่างก็เห็นต้นต่อของรอยไหม้ทันที
เรือนผมสีเทาเข้มกับนัยน์ตาสีส้มที่เรืองรองในความมืด ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนรอยยิ้มแสยะเหมือนแมวเจ้าเล่ห์เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆที่โผล่ออกมาให้เห็น แต่ที่น่าจดจำที่สุดคงเป็นดวงตาไม่ผิดแน่ นัยน์ตาสีส้มเรืองรองในความมืดที่มีประกายไฟฟ้าเล็กๆสะท้อนให้เห็นอยู่ข้างใน ไม่ต้องถามว่าใครเพราะคนตรงหน้าผมคงมีแค่หนึ่งเดียวในอาณาจักรอัศวิน และชื่อนั้นก็คือ...
เซอร์ลามอรัค...คู่หูนรกของเบดิเวียร์
รู้อะไรมั้ยควรทำไงต่อ...ใส่เกียร์กระรอกเผ่นไปหาโพรงหลบน่ะสิ!
ผมรีบโดดไปตามกิ่งไม้แบบไม่เหลียวหลังไปมองคุณพี่ท่านแต่อย่างใดแต่เท่าจากที่สายฟ้ามันไปเกรงว่าพี่แกจะตามผมอยู่อย่างแน่นอนแบบแฮปปี้ด้วยล่ะ
“เคดาจไม่ต้องหนีข้าแค่จะคุยด้วย”
“คุยกะผีน่ะสิฟาดสายฟ้ามาขนาดนี้จะให้ผมเป็นตอตะโกก่อนหรอ!”
ผมให้แกหยุดแล้วทำท่าทางช็อคใส่ราวกับตกใจกับการกระทำที่ส่อแววจะฆ่าศิษย์ของตนเอง ผมก็เกือบหยุดหนีแล้วถ้าไม่เห็นว่าเขาแสยะยิ้มออกมา
“เปล่าข้ากะจะย่างสดเจ้าก่อนแล้วค่อยส่งให้เบดิเวียร์ทำแผลให้”
อะไรน่ากลัวกว่ากันระหว่างเซอร์ลามอรัคย่างสดเรากับเซอร์เบดิเวียร์ทำแผลให้ คำตอบคือมันก็พอๆกัน! บ้าเอ๊ย ยิ่งอยู่ถึงจะไม่นานแต่ผมก็มั่นใจล่ะว่ายังไงคณะอัศวินตอนที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าประชาชนมันจะเผยนิสัยที่ประเสริฐเฟิร์สคลาสแบบน่าจิตตกให้แน่ๆ
รอช้าอยู่ใยผมไต่ต้นไม้ขึ้นไปสูงกว่าเดิมแล้วใส่เกียร์กระรอกโดดไปตามกิ่งไม้แบบไม่คิดชีวิตทันที จะมีสักคนไหมที่มันป็นที่พึ่งทางใจได้แบบแอทริธ เออ จะว่าไปก็ไม่เห็นมันเลยหนิ นอนไม่ตื่นรึไงฟะ
“เคดาจรอข้าด้วย!”
เมื่อได้ยินเสียงที่เริ่มเลือนหายผมก็โล่งใจขึ้นมาทันทีก่อนจะเริ่มตรวจสอบรอบๆ มันไม่ใช่เขตป่าโปร่งที่อยู่รอบปราสาทแล้วแต่เป็นเขตป่าทึบหลังปราสาทแทนเหมือนว่าผมจะวิ่งมาไกลพอสมควรผมเลยตัดสินใจลงจากต้นไม้เพื่อหาทางออกไม่ก็หาแหล่งน้ำ
การหาแหล่งน้ำน่ะดีอยู่อย่างเพราะมันเชื่อมต่อไปยังประตูและส่วนต่างๆของปราสาทซึ่งถ้าโชคดีผมก็อาจโผล่ไปนอกปราสาทตรงแถวๆหน้าป่าเชอร์วู๊ด ไม่ก็แถบหมู่บ้านที่ผมอยู่และผมหวังว่าจะไม่มีใครตามผมมาตอนพักละกัน
เปรี๊ยะ...
“โอ๊ย!“”
ผมร้องออกมาเมื่อประกายสายฟ้าค่อยๆสว่างเป็นเส้นตรงจากพื้นที่รอบๆตัวผมจนร่างกายเริ่มชาจากการโดนไฟฟ้าช็อตระดับหนึ่งและถูกท่อนแขนแกร่งคู่หนึ่งนั้นรวบตัวผมจากข้างหลังโดยที่ข้างหนึ่งล็อกตัวไม่ให้ขยับไปไหนส่วนอีกข้างล็อกคอไม่ให้ผมขัดขืน
“ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าหนี ข้าแค่จะคุยด้วย ดูสิได้แผลไหม้เลยไม่ใช่รึไงกลับได้แล้ว ข้าจะได้ส่งเจ้าต่อให้เบดิเวียร์ดูแล”
เหมือนโดนดับความหวังกับการพักแบบสงบๆผมลองเหล่มองอีกฝ่ายเล็กน้อยซึ่งนัยน์ตาสีส้มของอีกฝ่ายเจือแววขบขันเล็กน้อยและแน่นอนตามลักษณะนิสัยที่ขี้แกล้งของเจ้าตัวที่คล้ายๆกับเบดิเวียร์ แต่ลามอรัคจะไม่เล่นอะไรเกินเลยจนเข้าขั้นSMแบบคุณน้ำแข็งซาดิสม์เขา นั้นแหละข้อดี
เพราะข้อดีที่ว่านั้นแหละผมถึงกล้าขัดขืนพี่แกได้!
มือทั้งสองข้างถึงแม้จะอ่อนแรงแต่มันก็มีแรงมากพอที่จะไปถึงจุดหมาย หนังหัวของอีกฝ่ายอยู่ในกำมือผมแล้วเรียบร้อยนั้นทำให้อีกฝ่ายเริ่มเพิ่มแรงที่ล็อกคอผม แล้วต้องทำไงต่อ ก็ดึงหนังหัวเลยจะติดมือมาด้วยช่างมัน! ถ้ามันไม่ปล่อยผมก็ไม่ปล่อยเหมือนกันแหละ
“เราไม่นึกเลยว่าเจ้าจะสนิทกับคนอื่นนอกจากเบดิเวียร์เป็นด้วยนะลามอรัค”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาไม่ไกลจากจุดที่พวกเราอยู่ก่อนจะตามมาด้วยเงาร่างของดรุณีแสนงามเจ้าของเรือนผมสีทองซีดยาวเลยเอวกับนัยน์ตาสีฟ้าใสที่ส่องประกายราวกับไพลินและชุดเดรสสีขาวสะอาด เธอยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสาเมื่อเห็นท่าทีของพวกผมที่กำลังจะฆ่ากันตายทางอ้อมอยู่
“ท่าน...แต่ท่านไม่น่าจะออกมาได้ ทำไมถึง...”
ลามอรัคถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นเธอ แล้วผมล่ะแค่อยู่ในท่าที่อีกคนเหมือนกำลังกอดผมจากข้างหลังนี้ก็แย่แล้วผมดันเอื้อมมือขึ้นไปดึงหนังหัวมันด้วยนี้ยิ่งเหมือนกำลังโอบคออีกฝ่ายลงมาใกล้ๆ แค่นี้ผมก็อายจะตายอยู่แล้ว! ที่สำคัญเธอคนนี้เป็นใครกันครับ!
------------------------------------------------------------
มาต่อแล้วครับ ถวายให้เลยทิ้งด้วยคำถามเธอคนนี้เป็นใครต้องการอะไรแล้วรู้จักคณะอัศวินได้ไง ติดตามสิครับแล้ววันหลังเดี๋ยวก็รู้เอง!
ความคิดเห็น