ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dimension Voyagers

    ลำดับตอนที่ #7 : ผู้รอดและผู้ร่วงหล่น

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 65


    ทำพลาด?... 

    ไม่สิเนื้อเรื่องหลัก มันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว... 

    เพราะต่อให้พวกเขาพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง… 

    มันก็มีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่เหมือนกัน… 

     

    สองปีของการเดินทางที่สิ้นสุดลงกลางฤดูหนาวในคืนที่มีหิมะแรกโปรยปรายลงมาในเมืองแห่งหมอก สถานที่แรกที่ดวงชะตาของพวกเขาถูกเชื่อมโยงกัน 

    หลังจากที่งานศพของมานาวอคเกอร์ผ่านไปไม่นานนักหลังจากอุบัติเหตุรถม้าครั้งนั้น เด็กน้อยทั้งสามผู้ใช้นามสกุลวอคเกอร์ได้แต่จ้องมองป้ายหลุมศพของผู้ที่พวกเขารักและนับถือเหมือนเป็นพ่อด้วยท่าทีที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งอเลนที่เศร้าหมอง โยฮันที่พยายามยิ้มออกมา และโยชัวที่แสดงสีหน้าที่ไร้อารมณ์ 

    ช่วงสองปีที่ผ่านมาการเดินทางของพวกเขาทำให้ทั้งสามเติบโตและแสดงนิสัยจริงออกมาให้เห็น อเลนพยายามเดินตามรอยเท้าของมานาขณะที่โยฮันที่ร่างกายแข็งแรงขึ้นเริ่มเผยนิสัยที่แก่นแก้วออกมาจนโยชัวต้องคอยเป็นผู้ใหญ่ในกลุ่มให้พวกเขา 

    สองปีที่คอยฝึกเพื่อป้องกันตัวเองจากเหล่าอาคุม่าและเอ็กโซซิสท์ และสองปีของความสัมพันธ์ที่แน่แฟ้นจนเหมือนกับเป็นครอบครัวสายเลือดเดียวกัน 

     

    ทว่าตอนนี้มันกลับเริ่มพังทลายช้าๆ… 

     

    อเลนไม่ได้ยิ้มเลยสักครั้งหลังจากที่มานาตายเขาเอาแต่ร้องไห้อยู่ตรงหน้าหลุมศพระหว่างที่โยฮันก็ได้แต่ทำหน้าที่อยู่ข้างๆเด็กผมน้ำตาลที่ใจสลายส่วนโยชัวก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย เพราะนี่คือผลจากการผูกพันกันมากเกินไป... 

     

    มันช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกินเมื่อถึงคราวจากลา... 

     

    ม่านฉากของสงครามในมุมมองของอเลนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วที่เหลือก็ตามแต่เนื้อเรื่องหลักจะนำพาไป พอมานึกดูแล้วชีวิตแสนสงบสุขมันช่างสั้นอย่างที่คิดไว้จริงๆ 

    ร่างเล็กที่อยู่ห่างจากหลุมศพเริ่มกอดกระเป๋าไวโอลินของตนไว้แน่เมื่อรู้สึกถึงความสูญเสียจนบรรยากาศรอบข้างเริ่มสั่นไหวเล็กน้อยราวกับว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในสายหมอกที่อยู่รายล้อมรอบตัวพวกเขา 

    ก่อนจะรู้ตัวมันก็เริ่มปกคลุมรอบข้างไว้จนเหลือไว้เพียงแค่บริเวณรอบๆที่ทั้งสามอยู่เท่านั้นก่อนที่เสียงหัวเราะอันรื่นเริงจะดังขึ้นมาเป็นสัญญาณหลักของเวทีแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่เริ่มต้นขึ้น 

     

    "จ๊ะเอ๋~หนูน้อยทั้งสามสายัณห์สวัสดิ์ขอรับกระผม~" 

     

    ร่างอ้วนใหญ่ที่ไม่คุ้นตากับหมวกทรงสูงและรอยยิ้มที่ไม่ใช่มนุษย์โผล่ขึ้นมาณเบื้องหน้าของเด็กทั้งสามพร้อมร่างไสยเวทย์ของอาคุม่าสองตัวสร้างความตื่นตระหนกให้สองแฝดผู้มาจากต่างโลกในขณะที่อเลนได้แต่นั่งเหม่อมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไร้วิญญาณ 

     

    "หนูน้อย~มาทำให้มานา วอคเกอร์ฟื้นคืนชีพกันดีมั้ย?~" 

     

    พ่อขุนนางพันปีแย้มยิ้มกว้างออกมาเมื่อเด็กผมน้ำตาลเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความว่างเปล่าเหมือนตุ๊กตาหุ่นเชิด 

     

    "จะทำให้...มานา...กลับมางั้นหรอ" 

     

    คำถามของอเลนทำให้เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินเข้าไปแตะไหล่ของเด็กน้อยเบาๆพร้อมกับเอ่ยพูดออกมาพยายามเชิญชวนและชักจูงให้เหยื่อหลงมาติดกับของเขา 

     

    "แน่นอนขอรับกระผม~ด้วยร่างไสยเวทย์ที่ผมสร้างขึ้นมาผมสามารถนำเขากลับมาจากพระเจ้าที่น่าชิงชังนั้นได้แต่กระผมก็ต้องให้เธอใช้เสียงเรียกเขากลับมาด้วยนะขอรับกระผม~" 

    "มานา...มานาจะกลับมา" 

    "ใช่แล้วอเลน วอคเกอร์คุง~เขาจะกลับมาอยู่กับเธอและน้อง ของเธอไง~ เป็นครอบครัวอีกครั้งเหมือนเดิมยังไงล่ะขอรับ กระผม~ " 

     

    ต่อให้รู้ว่าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่… 

     

    "อเลนมันแปลกๆนะโครงกระดูกนั้นน่ากลัวยังไงไม่รู้เรากลับกันเถอะ" 

     

    แฝดคนน้องที่ตั้งสติและเฝ้ามองทุกอย่างมาตั้งแต่เริ่มเอ่ยพูดขึ้นมาทำให้พ่อขุนนางพันปีหันไปมองเธอราวกับเจอตัวเกะกะดีๆแล้วค่อยๆเดินหมุนตัวไปจับไหล่เธอไว้ราวกับว่าจะไม่ให้เธอได้หนีไปเป็นอันขาด 

     

    "ไม่ต้องกลัวไปหรอกขอรับกระผม~พอเขากลับมาเนื้อหนังเขาก็จะกลับมาด้วยเหมือนกัน~" 

    "ใช่แล้วโยชัวมานาจะกลับมาหาพวกเราแล้วพวกเราจะมีความสุขกันอีกครั้งเป็นครอบครัวอีกครั้ง" 

    "ถูกต้องแล้วล่ะขอรับกระผม!~เอาล่ะอเลนคุงเรียกเขากลับมาเถอะอย่าปล่อยให้เขารอนานเลย~" 

     

    อเลนค่อยๆยิ้มออกมาแล้วเดินไปหาร่างไสยเวทย์ตัวแรกที่อยู่ข้างๆความเศร้าโศกและความคิดถึงเริ่มโหยหาผู้ที่ล่วงลับไปเด็กน้อยผมน้ำตาลค่อยๆยกมือขึ้นกุมไว้เหนือหัวใจแล้วเตรียมตะโกนร้องเรียกไปสุดเสียงทำให้โยฮันที่อยู่ข้างๆเริ่มทำทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำอะไรบ้าๆ ทว่ามันก็สายเกินไป 

     

    "อเลนหยุดเถอะ!อย่าเรียกเชียวนะ!!" 

    "....มานา...มานา....มานา!!---" 

     

    เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วสุสานพร้อมสายฟ้าสีม่วงที่ผ่าลงมาที่ร่างไสยเวทย์ชื่อของคนที่เขาเรียกถูกบรรจงสลักขึ้นมาด้วยสายพลังแห่งความมืดในรูปของริบบิ้นเส้นน้อยและดาวห้าแฉกสีดำโผล่ขึ้นมาที่กลางหัวกะโหลกเพื่อเป็นรอยตีตราอาคุม่าเพื่อไม่ให้วิญญาณไปสู่สุคติ 

     

    "อ..อ...อเลน..." 

     

    เสียงที่คุ้นเคยของชายหนุ่มที่พวกเขาเคยเห็นเป็นพ่อดังขึ้นมาจากร่างไสยเวทย์ที่อยู่ตรงงหน้าพร้อมกับอเลนที่ก้าวเท้าเข้าหามานาช้าๆด้วยความโหยหา 

     

    "มานา..." 

    "..แก...แกบังอาจ!แกบังอาจทำให้ฉันกลายเป็นปีศาจ!!” 

     

    ร่างไสยเวทย์ที่บรรจุวิญญาณของมานาพึมพำออกมาขณะที่ก้าวเท้าเข้าหาเด็กผมน้ำตาลที่เบิกตากว้างขึ้นในวินาทีถัดมาที่เขารู้ตัวและตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ทว่าสตินั้นกลับถูกเติมเต็มด้วยโทสะจนทุกอย่าง รวมถึงเสียงของฝาแฝดทั้งสองนั้นไม่อาจส่งไปถึงอีกฝ่ายได้อีกแล้ว 

     

    “ฉันขอสาปแช่งแกอเลน!!" 

     

    ฉากที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมาอีกครั้งเมื่อร่างไสยเวทย์ของมานาเริ่มคลุ้มคลั่งแขนเหล็กของร่างเทียมแปลเปลี่ยนเป็นคมดาบในวินาทีถัดมาและตวัดลงใส่ร่างร่างเด็กน้อยผมน้ำตาลลงคำสาปไว้ที่ตาซ้ายด้วยความโกรธแค้น 

    แต่ทว่ากลับมีอีกประโยคดังขึ้นมามันเป็นประโยคที่ไม่คุ้นเคยและไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในฉาก มันทำให้ฝาแฝดทั้งสองรู้ว่า นี้คือมิติความฝันที่ไม่ใช่แค่ความฝันมันคืออีกโลกหนึ่งโดย หนึ่งโดยสมบูรณ์ถ้าพวกเขาตายตอนนี้ก็แก่ไขอะไรไม่ได้ 

     

    "และฉันขอสาปแช่งพวกแก!โยฮันโยชัวโทษฐานที่พวกแกไม่ห้ามอเลนไว้!!" 

     

    คมดาบนั้นหันไปตวัดใส่โยฮันตามหลังจากที่อเลนล้มลงไปเฝ้ามองเหตุการณ์อันโหดร้ายที่เกิดขึ้นตรงหน้าโยฮันยกมือขึ้นกุมตาขวาไว้แล้วข่มความเจ็บปวดไม่ให้ตัวเขาร้องออกมา ก่อนที่ร่างเทียมจะค่อยๆหันไปมองโยชัวที่เป็นเหยื่อรายถัดไปช้าๆ 

    คมดาบที่เปื้อนเลือดสะท้อนเงาของเธอที่ตกอยู่ในความกลัวราวกับกำลังย้ำในความไร้ความสามารถของเธอ ต่อให้ผ่านการต่อสู้กับอาคุม่ามาครั้งสองครั้งแต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะลงมือพ่อขุนนางพันปีก็เอ่ยขึ้นมาก่อน 

     

    "มานาหยุดก่อนขอรับกระผม~ผมเชื่อว่าถ้าสาปเด็กน้อยคนนี้ร่างไสยเวทย์อีกอันของกระผมคงจะมาเสียเปล่าแน่ๆ~" 

     

    เดี๋ยวนะงั้นหมายความว่า... 

     

    ใบหน้าของโยชัวที่ไร้ซึ่งผ้าปิดตานั้นเริ่มฉายแววตื่นตระหนกจนเธอเริ่มพยายามดิ้นออกจากเงื้อมมือของขุนนางพันปีเพื่อพาพี่ชายทั้งสองของเธอหนีก่อนที่อีกฝ่ายจะสั่งออกมาอีกครั้ง 

     

    "มานา วอคเกอร์ผมขอสั่งให้เธอฆ่าเด็กคนนั้นซะ~ " 

     

    เขาชี้นิ้วไปที่ร่างของโยฮันทันทีคำสั่งที่เยือกเย็นและโหดร้ายดังขึ้นมาทำให้โยชัวต้องเบิกตากว้างเมื่อร่างของโยฮันถูกบางอย่างยกขึ้นมาแล้วเตรียมลงดาบใส่เขา ร่างผมขาวที่มีปอยผมสีดำจากที่โดนคำสาป ครอบครัวร่วมสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของเธอ 

     

    "อย่านะครับ...มานา..อย่าฆ่าโยฮันนะครับ" 

     

    อเลนเริ่มลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเลเพื่อเดินไปห้ามร่างไสยเวทย์ของมานาอย่างสุดกำลังในขณะที่โยฮันได้แต่หันไปมองโยชัวที่อยู่ไม่ไกลนักพร้อมประโยคพูดสั้นๆที่สามารถทำให้เธอใจสลายได้ในวินาทีที่คมดาบกำลังจะพุ่งเขาหาร่างผมขาว 

     

    "ย...โยชัว...หนีไป...หนีไปซะ" 

     

    ทุกอย่างถูกตัดสินและแข่งด้วยเวลาไม่ว่าจะโยชัวที่พยายามดิ้นรนไปหาโยฮัน ศาสตรากำราบอาคุม่าของโยฮันที่พยายามตื่นขึ้นมาไม่เว้นแม้แต่ของอเลนที่เริ่มสำแดงฤทธิ์ แต่ทว่า… 

     

    ฉัวะ!!! 

     

    กาลเวลาเริ่มเคลื่อนช้าลงหยดเลือดสีแดงฉานกระจายลงสู่ผืนดินราวกับหยาดฝนที่ย้อมผืนผสุธาให้กลายเป็นทะเลสีเลือด กับร่างเล็กที่ถูกคมดาบแทงทะลุร่างไปจนเสื้อผ้าสีขาวดำถูกสีแดงเลือดไหลย้อมจนแยกสีไม่ถูก 

    ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงห้อยต่องแต่งโดยมีคมดาบเป็นตัวค้ำยันไว้ทำให้ร่างเล็กอยู่ในสภาพยืนอยู่แต่ที่สะดุดตาที่สุดกลับเป็นนัยน์ตา นัยน์ตาสีทองสว่างปรากฏขึ้นมาแทนที่นัยน์ตาสีแดงเลือด…นัยน์ตาคู่นั้นกำลังจับจ้องไปยังร่างของโยฮันที่อยู่ในความตะลึงเพราะในวินาทีสุดท้ายของชีวิตนั้นคนที่ตายไม่ใช่เขาแต่เป็นโยชัว...

     

     น้องของเขา… 

    น้องเพียงคนเดียวของพวกเขา… 

     

    ใบหน้าหวานซีดเซียวอย่างน่ากลัวเผยรอยยิ้มบางๆให้กับเขาที่เบิกตากว้างเมื่อกลิ่นสัมผัสของเลือดนั้นลอยกระแทกจมูกเธอขยับปากเบาๆสุดความสามารถด้วยกำลังทั้งหมดเพื่อพูดประโยคสุดท้ายออกมา 

     

    "...จงมีชีวิต...อยู่ต่อไป...โย...ฮัน" 

     

    คมดาบถูกถอนออกจากร่างเล็กส่งผลให้ร่างนั้นล้มลงไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาเลือดของผู้เป็นน้องกระเด็นเปื้อนใบหน้าของโยฮันเหมือนกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ หยาดน้ำตาแห่งความสูญเสียค่อยๆคลอเต็มเบ้าแล้วไหลลงมาอาบแก้มเล็กๆนั้นเขากำลังมองร่างไร้วิญญาณที่อยู่บนพื้นอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนที่ความจริงจะรุมล้อมเข้าทำร้ายทั้งสองคน 

     

    "โยชัว!!!" 

     

    พวกเขากรีดร้องออกมาเมื่อรับรู้ความจริงได้ แสงสีเขียวเรืองๆสว่างขึ้นมารอบๆแขนซ้ายของอเลนในขณะที่เลือดสีแดงเข้มค่อยๆไหลออกมาจากปากแผลบนฝ่ามือของโยฮัน 

    เลือดของแฝดคนพี่กลายเป็นผลึกคริสตัลสีแดงเลือดที่อาละวาดทำลายร่างไสยเวทย์และไล่เฉือนพ่อขุนนางพันปีอย่างเอาเป็นเอาตายตามสติที่ขาดหายไปกับการสูญเสียครอบครัวสายเลือดเดียวกันที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย 

     

    "น่าเสียดายจริงนะ~แต่กระผมคงต้องขอตัวก่อนนะขอรับกระผมไว้ถ้ารอดเราคงได้เจอกันใหม่นะขอรับกระผม" 

     

    และขุนนางพันปีก็หายตัวไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องของมานาที่ถูกอเลนทำลายไปผลึกเลือดค่อยๆไหลกลับเข้าไปในฝ่ามือโยฮันก่อนที่เขาจะรีบวิ่งไปกอดร่างที่ไร้วิญญาณของน้องสาวฝาแฝดของเขาไว้แน่น 

     

    “โยชัวร์! ไม่เอานะอย่าทิ้งฉันไปนะสัญญาแล้วหนิว่าจะเดินทางด้วยกันน่ะ ...ตื่นสักทีสิไอ้น้องบ้า!" 

     

    แม้เขาจะร้องเรียกสักแค่ไหนร่างเล็กก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแม้แต่นิดโยฮันเริ่มปล่อยให้อารมณ์นำพาเขาไปเขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใครเลยแม้แต่น้อยตอนนี้เขาอยากร้องไห้ร้องเป็นครั้งสุดท้ายให้น้องของเขา 

     

    'โยฮัน...อเลน...พ่อรักลูกนะ...ขอบคุณที่ทำลายพ่อ' 

    ‘พลาดจนได้ พี่ครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ’ 

     

    เสียงกระซิบอันอ่อนโยนของดวงวิญญาณทั้งสองล่องลอยไปกับสายลมพัดผ่านข้างหูทั้งสองคนอย่างแผ่วเบา พวกเขาเงยหน้ามองเงาร่างทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างโศกเศร้าแต่เงาร่างทั้งสองต่างยิ้มให้เด็กผมขาวทั้งสองคนอย่างอ่อนโยนราวกับกำลังบอกให้ยิ้มส่งลาพวกเขาซึ่งพวกเขาก็ทำตามอย่างว่าง่ายมอบรอยยิ้มให้วิญญาณทั้งสองด้วยหยดน้ำตา 

     

    ‘…’ 

     

    วิญญาณของมานาหันไปมองแสงสว่าง ณ เบื้องหลังเขาช้าๆพร้อมกับหิมะขาวที่โปรยปรายลงมาอีกครั้งเพื่อส่งท้ายการเดินทางแรกของพวกเขา เขาหันไปยื่นมือให้โยชัวที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นเชิงถามว่าจะไปด้วยกันรึเปล่า 

     

    แต่เส้นทางของเด็กผู้มาจากต่างโลกนั้นมันต่างกันเสมอ… 

     

    เด็กน้อยผมดำแย้มยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะคว้ามือของมานาแล้วเดินเข้าไปในแสงสว่างเพื่อเปิดประตูสีขาวสะอาดให้เขาราวเป็นเชิงตอบกลับไปว่าจะแค่ส่งเขาเท่านั้นเพราะตัวเองต้องเดินทางไปคนละที่กัน 

    ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรเพียงแต่ก้มลงกอดเธอไว้เพื่อกล่าวคำอำลาแล้วหันไปโบกมือให้ทั้งสองที่มองพวกเขาอยู่ก่อนที่แสงสว่างนั้นจะจางหายไป เหลือเพียงความว่างเปล่าของสุสานที่ได้รับร่างไร้วิญญาณเพิ่มไปอีกหนึ่ง… 

     

    "วิญญาณที่ถูกบรรจุในอาคุม่านั้นมิอาจได้รับอิสระได้ มีเพียงแค่การทำลายเท่านั้นที่จะสามารถช่วยพวกเขาเพื่อไม่ให้กลายเป็นของเล่นของท่านเคานท์และถูกพันธนาการไปชั่วนิรันดร์...." 

     

    เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มอีกเสียงดังขึ้นมาในขณะที่ร่างสูงค่อยๆนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วโน้มตัวลงยื่นมือไปปิดเปลือกตาของร่างของโยชัวที่ไร้วิญญาณให้เด็กสาวได้หลับอย่างสงบ ครอส มาเรี่ยน เสนาธิการผมแดงค่อยๆยื่นมือไปลูบหัวโยฮันเบาๆก่อนจะมองเด็กทั้งสองนิ่งๆ 

     

    "เธอทั้งสามที่มีศาสตรากำราบอาคุม่าสิงสถิตมาแต่กำเนิด เป็นชะตาที่น่าเศร้าจริงถึงแม้ว่าสาวกคนหนึ่งจะตายไปแล้วก็ตามที...” 

     

    ชายหนุ่มผู้มาใหม่มองไปรอบๆสุสานก่อนจะเดินไปลากโลงศพ โลงหนึ่งมาวางไว้ข้างๆหลุมศพของมานา วอคเกอร์เพื่อใช้เป็นโลงศพให้เด็กที่พึ่งตาย 

    ร่างของแฝดคนน้องที่หลับใหลอย่างสงบถูกวางลงในโลงเปล่าที่เก่าและทรุดโทรมจนรู้สึกผิดที่ต้องมาใช้กับร่างที่ไร้วิญญาณของเด็กที่พึ่งตายเพื่อปกป้องครอบครัวแบบนี้จนตัวครอส มาเรี่ยนจำใจถอดเสื้อคลุมของเขามาคลุมร่างผมดำไว้แล้วค่อยว่าร่างนั้นลงในโลงอย่างเบามือ 

    ข้าวของอย่างของส่วนตัวรวมถึงไวโอลินถูกวางทิ้งไว้ในโลงพร้อมกับฝาโลงที่ปิดลงหลังจากที่พวกเขาได้ส่งลาร่างที่ไร้วิญญาณนั่นเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับคำถามที่ถูกเอ่ยออกมาให้พวกเขาได้ตัดสินใจ 

     

    “เธอทั้งสองคนจะไม่ลองมาเป็นเอ็กโซซิสท์ดูหน่อยเหรอ?"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×