ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Historia ผมในโลกคู่ขนาน (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #6 : วันที่...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 60


    Kings Advisor Merlin
    Credits from Fate/Grand order


     

            หลังจากการประชุมชะตาชีวิตผมกับแอทริธก็ตามเมอร์ลินออกมาเพื่อไปพักผ่อนก่อนอาหารเย็นซึ่งระหว่างทางเขาได้อธิบายเรื่องราวต่างๆให้ฟังไม่ว่าจะเขตที่อยู่ในปราสาททั้งภายนอกกับภายในและที่ๆผมกับแอทริธเข้าไปได้และส่วนหวงห้ามที่เข้าไปไม่ได้

            ผมมารู้ตอนหลังก็คืออัศวินโต๊ะกลมทั้งคณะนั้นอาศัยอยู่ในเขตปราสาทเนี้ยแหละแต่แค่เมื่อเปิดประตูห้องของพวกเขามันจะเชื่อมไปยังคฤหาสน์ที่พวกเขาครอบครองไว้อยู่แทนซึ่งก็เหมือนต้นไม้ของผมต้องเป็นคนที่เจ้าตัวอนุญาตเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ ซึ่งฟังดูแล้วสะดวกยังไงไม่รู้แหะ

     

            “ข้าได้ทำเรื่องติดต่อย้ายพวกเจ้ามาอยู่ที่ปราสาทแล้วเรียบร้อย แอทริธจะมาอยู่คุมเจ้าให้ไปเรียนตามตารางที่ข้าให้ไว้และแน่นอนต้องเปลี่ยนเนื้อหาที่สอน ข้าจะสอนเจ้าเรื่องเวทมนต์และตำนานส่วนแอทริธจะสอนเจ้าเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุและประวัติศาสตร์”

     

            โอ๊ะจากดาบไอ้ซึนมันมีวิชารองเป็นเล่นแร่แปรธาตุและประวัติศาสตร์หนิเนอะ...ก็ทำไงได้ผมมีอาจารย์ที่มีฝีมือเก่งกาจสิบสามท่านค่อยฝึกดาบและเวทให้แล้วหนิ

     

            “พรุ่งนี้เช้าเจ้าจะเริ่มเรียนธนูกับทริสทันเป็นคนแรกเพราะฉะนั้นอย่าได้สายเป็นอันขาดเข้าใจแล้วสินะ ห้องนี้เป็นของเจ้าแอทริธ”

     

            เขาหันไปผ่ายมือให้ห้องสว่างขึ้นมาเพื่อให้มองเห็นภายใน ซึ่งบอกตามตรงคืออลังการดาวล้านดวงห้องของแอทริธนี่หรูหราราวกับห้องพักในโรงแรมสิบดาว ผมหันไปหาคนผมดำที่ยืนสตั๊นกับห้องของตัวเองก่อนจะโดนเมอร์ลินลากไปดูห้องพักตัวเองบ้าง

            เดินมาประมาณห้านาทีผมเริ่มรู้แล้วว่าห้องพักผมเป็นแบบไหนตั้งแต่เดินวนขึ้นบันได้มาสามชั้นแล้ว ผมอยู่ในหอคอยล่ะ อะไรกันครับพวกคุณอยากให้ผมเป็นเจ้าหญิงบนหอคอยรึไงครับ พอเงียบๆได้ไม่นานสุดท้ายเมอร์ลินก็ยิ้มแล้วเปิกประตูให้ผมดูภายในห้องทันทีที่พวกเรามาถึง

            หนึ่งห้องนี้หรูพอๆกับห้องของแอทริธเป๊ะแค่โทนสีต่างกันเท่านั้น เครื่องเรือนที่ทำจากไม้ชั้นดีจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบตามมุมต่างๆ ไม่ว่าจะโต๊ะหนังสือ โซฟา ตู้เสื้อผ้าหรือเตียงทุกอย่างล้วนอยู่ในสภาพที่เยี่ยมพร้อมใช้งานทั้งนั้นจนผมแอบคิดไม่ได้ว่าท่านราชาเขารู้รึเปล่าว่าผมจะไม่ปฏิเสธเขาน่ะ

     

            “เจ้าชอบรึเปล่าเคดาจ”

            “..ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าควรพูดยังไงดีแต่ขอบคุณสำหรับห้องพักนะครับ”

     

            กล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูใส่หน้าทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง

     

            “อ่ะฮะฮะ เจ้าอย่าใจร้ายกับข้านักสิศิษย์ของข้าเปิดให้ว่าที่อาจารย์คนนี้เข้าไปคุยกับเจ้าก่อนสิ”

     

            เมอร์ลินที่อยู่อีกฝังของประตูใช้เท้ากั้นไม่ให้ประตูปิดลงง่ายๆทำให้ผมเริ่มหน้าซีดเล็กน้อยว่าไอ้คุยที่ว่าพี่ท่านจะคุยอีท่าไหน ผมเลยกระทืบเท้าอีกฝ่ายระบายความแค้นแล้วพยายามปิดประตูอย่างเอาเป็นเอาตายแทนเพื่อไม่ให้เขาเข้ามาข้างใน

     

            “ท่านเมอร์ลินครับกรุณาให้ผมพักเถอะเจอเรื่องมาทั้งวันผมเครียดนะ”

            “ข้าช่วยเจ้าได้นะเดี๋ยวข้าจะช่วยทำให้เจ้าผ่อนคลายเอง”

     

            ที่คุณท่านทำอยู่มันไม่ช่วยให้ผมผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อยเพราะโดนชวนคุยเขากับผมเลยท่องเวทไม่ได้เลยใช้กำลังอย่างเดียวกับประตูที่น่าสงสาร ซึ่งผมคิดว่ามันไม่น่าส่งสารแล้วเพราะผมลืมไป..จากข้างในมันใช้แบบดันเปิดไปข้างนอก

            ประตูที่ผมดันไว้ถูกเปิดออกให้ผมเสียหลักล้มหน้าทิ่มลงไปกับพื้นซึ่งมันก็เกือบๆถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายนั้นรอรับผมอยู่ รอยยิ้มบางๆที่เหมือนกำลังเอ็นดูผมเต็มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหล่าของพ่อมดหนุ่ม อ้อมแขนกว้างโอบกอดร่างเล็กๆของผมไว้ไม่ให้เสียหลักล้มลงไปกับพื้นเบื้องล่างพร้อมๆกับถ่อยคำอันแผ่วเบาที่กระซิบข้างใบหูให้ผมหลบตาอีกฝ่าย

     

            “ปากบอกไม่ให้ข้าเข้าไปแต่เจ้ากลับเข้าหาข้าแทน...หรือว่าเจ้ากำลังเชื้อเชิญข้าอยู่งั้นเหรอ”

     

            ไม่ใช่! ผมไม่ได้เชิญเลยนะอย่ามาสรุปเองสิ!

     

            ดวงตาสีม่วงอ่อนจับจ้องมาที่ดวงตาสีน้ำเงินอมม่วงราวกับนักล่าที่กำลังจ้องเหยื่อของตัวเองอย่างหิวโหยแต่ทว่าไม่ได้คิดจะกินในทีเดียวแต่จะค่อยๆเล่นสนุกไปเรื่อยๆจนกว่าจะตายใจแล้วค่อยกินแบบไม่ให้รู้ตัว ซึ่งพ่อมดหนุ่มนั้นสะกดมันไว้เต็มที่ไม่ให้ออกมาลงมือกับเขาก่อนจะดันอีกฝ่ายเข้าไปแล้วปิดประตูห้อง

     

            “ไม่ต้องกลัวไปข้าแค่ต้องการถามอะไรเจ้าสักอย่าง ใช้เวลาไม่นานหรอก”

     

            ร่างสูงกล่าวออกมาเบาๆก่อนที่ร่างเล็กจะเอนลงสัมผัสกับเตียงนุ่มที่คอยรับอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตาสีน้ำเงินม่วงเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกพร้อมๆกับริมฝีปากที่ถูกช่วงชิงอีกครั้งทว่าครั้งนี้มันช่างนุ่มนวลและอ่อนโยนจนต้องคล้อยตามไปอย่างว่าง่าย ทุกครั้งที่เรียวลิ้นลุกล้ำเข้าไปในโพรงปากสติของร่างเล็กก็ค่อยๆเลือนรางจนนัยน์ตาค่อยๆไร้ประกายเสมือนกำลังจมลงสู่ความมืดในห้วงความฝันที่น่าหลงใหล

            มนตราที่ร่ายออกมาก่อนที่จะจูบนั้นคือคำตอบของทุกสิ่งเพื่อตรวจสอบพลัง เพื่อค้นหาที่มาของพลังแม้ว่าต้องถลำลึกมากกว่านี้เขาก็ไม่สน ไม่ว่าเขาอยากจะรู้อะไรเขาก็ต้องรู้ให้ได้มันเป็นนิสัยที่ติดตัวของพ่อมดหนุ่มที่ไม่อาจลบเลือนไปได้ทุกยุคสมัย

            ทันทีที่ผละออกมาเมื่ออีกฝ่ายนั้นไม่ไหวใช้เวลาเพียงไม่กี่วิเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ามนตรายังคงสภาพไว้ได้หรือไม่เขาก็เลือนมือไปปิดตาร่างเล็กไว้ด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างค่อยๆเลื่อนผ่านใต้เสื้อเข้าไปสัมผัสกับอกซ้ายบริเวณหัวใจ สัมผัสกับความอบอุ่นที่แฝงอยู่ภายในนั้นก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อมองเข้าไปในส่วงลึกของจิตใจ

    .

    .

    .

    .

    .

            ทุ่งหญ้าคือสิ่งแรกที่เขาเห็น พ่อมดหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆห้องของจิตใจของเด็กหนุ่มผมขาวที่เขาดูแลอยู่มันเป็นเหมือนกับพื้นที่ขนาดใหญ่มากกว่าจะเป็นห้อง ป่าไม่เขียวขจี ทะเลสาบคริสตัลใส ภูเขาสูงใหญ่กับน้ำตกสูงเสียดฟ้าภายใต้ผืนฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว มันช่างงดงามนักเมื่อเทียบกับป่าไม้ในโลกจริงจนอดไม่ได้ที่จะเสียดายไปกับมัน

            แต่จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่สิ่งนี้ พ่อมดหนุ่มเริ่มก้าวเดินไปตามทุ่งหญ้าช้าๆเพื่อตามหาต้นต่อของสิ่งที่เขาตามหาก่อนจะพบเจอกับชายหนุ่มผมน้ำตาลในชุดเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงดำที่เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความว่างเปล่าแล้วค่อยวิ่งไปตามทุ่งหญ้าลงไปยังผืนป่าที่ทอดต่อไปยังทะเลสาบ เขาจึงเลือกที่จะวิ่งตามชายหนุ่มคนนั้นไป

            ผ่านทุ่งหญ้าเข้าสู่ผืนป่าหนาทึบเขาพยายามไล่ตามสุดความสามารถจนไล่ตามชายหนุ่มทันไปสู่เขตป่าโปร่งที่ค่อยๆเผยทางราวกับกำลังต้อนรับชายหนุ่มผมน้ำตาลให้เข้าไปสู่สถานที่ต่อไปซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจเขา เมื่อออกจากป่าทะเลสาบคริสตัลที่กว้างใหญ่สุดสายตาก็ปรากฏให้เห็นแต่เขาไม่มีเวลามาชื่นชมความงามนั้นเขารีบไล่ตามชายหนุ่มไปยังหน้าผ่าสูงที่อยู่อีกฟากแทนก่อนจะต้องชะงักเมื่อเขาเจอกับแสงสว่าง

            มันเป็นแสงสว่างแบบเดียวกับพลังของเคดาจ โรลันที่เขาปลดปล่อยให้ในพิธี แสงสว่างที่อบอุ่นและศักดิ์สิทธิ์จนรู้สึกผ่อนคลายราวกับเรื่องทุกข์ร้อนต่างๆละลายหายไปจากตัว พ่อมดหนุ่มตระหนักได้ว่าชายหนุ่มผมน้ำตาลคนนั้นคือเคดาจ โรลันไม่ผิดแน่แต่รูปลักษณ์นั้นเขาจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบเพิ่มอีกหน่อย

            “เจ้าต้องการมีชีวิตมากกว่าใครๆข้ารู้ดี...”

     

            เสียงนุ่มทุ้มที่ไพเราะยิ่งกว่าเครื่องดนตรีชิ้นไหนที่เคยได้ยินดังขึ้นมาพร้อมๆกับสายลมอ่อนๆที่พัดผ่านใบหน้าเบาๆชายหนุ่มอย่างอ่อนโยนก่อนที่แสงสว่างสีขาวจะส่องสว่างเจิดจ้าขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อบุรุษร่างสูงในชุดคลุมสีขาวยื่นมือมาจากข้างในแสงสว่างนั้นให้กับอีกฝ่าย

     

            “ถือซะว่าเป็นความเมตตาจากข้า โอกาสของเจ้าเด็กน้อยผู้ไม่รู้จักโลกเอ๋ย...พรข้อสุดท้ายที่เจ้ายังมิได้ขอจากข้า เจ้าต้องการอะไร...”

     

            เขาที่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคือพระเจ้า พ่อมดหนุ่มเชื่อหยั่งงั้นก่อนจะมองดูร่างสูงที่ค่อยๆขยับปากออกมาอย่างแผ่วเบาเพื่อขอพรจากพระองค์เป็นข้อสุดท้ายแล้วค่อยๆหายไปเมื่อถูกอ้อมแขนจากแสงสว่างนั้นโอบกอดอย่างนุ่มนวล

            เคดาจ โรลันคือบุตรที่ได้รับความเมตตาจากพระเจ้าเพราะงั้นเขาถึงได้เกิดใหม่พร้อมธาตุแสงที่เป็นสายสมดุลแต่ก่อนจะเกิดใหม่เขานั้นเป็นใครมาก่อนล่ะ ด้วยความสงสัยเขาจึงตามหาคำตอบอีกครั้งโดยการเดินลงไปในทะเลสาบที่เข้าสร้างทางเพื่อเดินลงไปก่อนจะพบกับประตูบานใหญ่ที่แง้มออกให้แสงสว่างเล็ดลอดออกมาแสงทว่ามันไม่ได้อบอุ่น มันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา

            วินาทีที่มือเรียวแตะประตูเสียงนุ่มทุ้มก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบนิ่งและแผ่วเบาราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่างปนเอ็นดูเล็กน้อยจากเบื้องหลังแล้วเขาก็ถูกขับไล่ออกมาจากจิตใจให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริง

     

            “ไม่อนุญาตให้บุคคลผู้ใดล่วงรู้ความทรงจำนี้หากไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของความทรงจำ”

     

            งั้นสินะคงเข้าไปลึกมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว...

            พ่อมดหนุ่มหัวเราะให้กับตัวเองเบาๆแล้วตดสินใจลุกขึ้นมาจากเตียงที่เขาคร่อมร่างเล็กไว้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นคงเป็นเพราะมนตราที่ร่ายที่ไว้ยังไม่สลายไปแต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันที่อีกฝ่ายจะได้พักผ่อนบ้างหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น

            เมื่อนึกย้อนกลับไปรสจูบที่สัมผัสจากอีกฝ่ายมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา มันเป็นจูบที่หอมหวานและน่าหลงใหลราวกับน้ำผึ้ง ที่ทำให้ห้ามใจไม่ไหวที่จะเข้าไปดูดกลืนอีก แต่เขาคงต้องห้ามใจไว้เพราะอีกฝ่ายเป็นศิษย์ของเขาและเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปอีกด้วย

     

            “ฝันดีนะเคดาจ โรลัน “

     

            เขาเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วจูบลงที่หน้าผากเพื่อขับกล่อมให้เด็กหนุ่มหลับฝันดีลืมเลือนทุกเรื่องที่ทุกข์ร้อนไว้ในความฝันแล้วค่อยตื่นขึ้นมา เขาดีดนิ้วเบาๆให้ไฟในห้องดับลงก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปทิ้งให้เด็กหนุ่มได้พักผ่อนเสียที

     

            และเห็นทีเขาของต้องให้ใครสักคนเอาอาหารมาให้เผื่อเจ้าตัวตื่นด้วยสิเนี้ย...

    .

    .

    .

    .

    .

            ผมตื่นขึ้นมาหลังจากที่หลับไปได้สักพักหนึ่งก่อนจะนึกย้อนกลับไปว่าผมนอนบนเตียงได้ไง เท่าทีจำได้ก็มีแค่เมอร์ลินมาส่งผมที่ห้องแยกแยกทางกันแล้วจากนั้นก็...ทุกอย่างดับหมด

     

            ตงเป็นเพราะความเหนื่อยล่ะมั้ง...

     

            ผมลองบิดขี้เกียจเบาๆดูแล้วค่อยลุกขึ้นมาเดินไปดูวิวที่ระเบียงด้านนอก เท่าจากที่เห็นพวกนักเรียนในสถาบันเริ่มนอนกันหมดแล้วผมคงนอนหลับไปนานพอควรจนลืมอาหารแน่ๆเลยสินะ ว่าแล้วก่อนหันกลับไปที่ห้องอีกครั้งก่อนที่จะเจอของบางอย่างบนโต๊ะกาแฟ

            ถาดเงินที่มีสตูว์เนื้อไวน์แดงร้อนๆกับขนมปังนุ่มๆสองก้อนพร้อมๆกับน้ำดื่มและชิฟฟ่อนเค้ก เมื่อผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆผมเลยเห็นข้อความที่แนบไว้อยู่บนถาด มันเป็นลายมือของแอทริธที่ดูท่าจะเอามาวางไว้ไม่นานนี้เอง

     

            [ตื่นแล้วก็ทานซะจะได้มีแรงเรียนวันพรุ่งนี้]

     

            เมื่อไล่สายตาอ่านข้อความผมก็ยิ้มออกมาก่อนจะเหลือบไปเห็นขวดบางอย่างที่อยู่ใกล้ๆกับถาดอาหาร มันเป็นขวดแก้วทรงสวยที่บรรจุของเหลวสีแดงใสที่คุ้นตาเหมือนเห็นในเกมบ่อยๆก่อนที่ผมจะเห็นข้อความที่แนบไว้

     

            [ไว้ใช้ฟื้นฟูร่างกกายและพลังเวทใช้มันดีๆล่ะ.......จาก เมอร์ลิน]

     

             เมื่อรู้ว่ามันมาจากใครผมก็เริ่มหงุดหงิดหน่อยๆแต่ก็ไม่ถึงกับโกรธในเมื่ออีกฝ่ายนั้นดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นคนดีมากกว่าที่คิดผมเลยทิ้งเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทุกอย่างไว้แล้วเริ่มทานอาหารเย็นส่วนของผมทันที

    .

    .

    .

    .

    .

            ไกลออกไป ณ ประเทศห่างไกลไปทางตะวันตกของคาเมล็อต อาณาจักรแห่งมนตราต้องห้าม ดีสซีเดีย ร่างสูงบนบัลลังค์สีดำทอดสายตามองเข้าไปยังลูกไฟสีฟ้าในมือที่กำลังฉายภาพของแสงสว่างบางอย่างที่สว่างไสวจนน่าโมโห เขาสะบัดมือเอาๆสลายลูกไฟทิ้งแล้วเท้าคางมองอย่างเหม่อลอยเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่ออย่างเรื่อยเปื่อย

            มีแสงสว่างอีกดวงกำลังส่องสว่างขึ้นมาเรื่อย หากยังปล่อยไว้สักวันความมืดที่เขาปกครองอยู่ต้องหายไปแน่ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกยิ้มออกมาแล้วกระดิกนิ้วเรียวข้ารับใช้คนสนิทให้เข้ามาในห้อง

     

            “ตามหาเจ้าของแสงสว่างอีกดวงซะ พาตัวมาที่นี่แบบเป็นๆ ข้าไม่อยากให้แผนนี้ล่มก่อนเวลาอันควร”

     

            ข้ารับใช้ในชุดสีดำสนิทพยักหน้ารับคำสั่งอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินออกจากห้องให้นายเหนือหัวของพวกเขาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง ร่างสูงบนบัลลังค์ค่อยๆลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงข้างนอกเพื่อกวาดสายตามองไปยังทิศทางที่ตั้งของประเทศแห่งอัศวินที่เป็นปราการด่านสุดท้ายของมนุษย์

            ราชาที่มีแสงสว่างเป็นพลังเป็นเสี้ยนหนามขัดขวางแผนการของเขาอยู่ตลอด แต่ก็เอาเถอะหากแผนการครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดี ไม่ช้าก็เร็วแสงสว่างที่ขัดหูขัดตานั้นก็จะหายไปอย่างแน่นอนจนถึงตอนนั้นมีเพียงแต่ต้องรอเท่านั้น รอวันที่จะประกาศสงครามอย่างแท้จริง

            และแล้วค่ำคืนอันยาวนานก็ดำเนินต่อไปพร้อมกับเสียงหัวเราะของราชาดินแดนแห่งมนตราต้องห้ามที่ถูกลืมและกำลังรอวันที่จะกลับไปประกาศสงครามกับเหล่าอัศวินอีกครั้ง

     

    --------------------------------------------------------------

    อัพอีกตอนแล้วตามสัญญา เหมือนพ่อมดหนุ่มจะออกตัวแรงจริงๆเนอะแปปๆลากขึ้นเตียงซะแล้วเอาเถอะครับ ขอบคุณที่คอยให้กำลังใจแล้วผมจะมาอัพให้นะครับ จากนี้ไปก็ฝันดีพี่เมอร์ลินลักหลับล่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×