ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dimension Voyagers

    ลำดับตอนที่ #5 : ลางบอกเหตุ

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 65


    นี่เขาหมดสติตั้งแต่ตอนไหนกันนะ… 

     

    ท่ามกลางสติที่ยังคงรอคอยการตื่นจากนิทราสิ่งที่เขาเห็นตอนนี้มีเพียงแค่ความมืดที่ว่างเปล่า เด็กหนุ่มได้แต่นึกคิดอย่างเงียบงันกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่ยิ่งคิดแล้วมันยิ่งสมเพช ทั้งที่ตัวเขาเป็นพี่แท้ๆแต่กลับต้องให้น้องดูแลแบบนี้ 

     

    ตอนนี้โยชัวจะเป็นห่วงมากมั้ยนะ... 

     

    โยฮันส่ายหน้าเบาๆแล้วลองมองดูรอบๆอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเคยไม่มีอะไรเลยสักนิดนอกจากความมืดเว้นแต่พื้นใต้เท้าที่เขากำลังยืนอยู่ซึ่งเขาพึ่งจะรู้ตัวว่ามันเป็นกระจกเงาและสิ่งที่สะท้อนนั้นมีแต่ความมืดรอบๆตัวและตัวเขาเอง…ไม่สิต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่คล้ายกับตัวของเขามากกว่า 

    ตัวของโยฮันข้างใต้กระจกเงานั้นเป็นตัวเขาที่ดูแก่กว่าสักห้าไม่ก็หกปีที่มีผมสีขาวพร้อมกับปอยผมสีดำอยู่ทางขมับขวา ผิวสีเทาเข้มกับดวงตาสีทองเปล่งประกายอย่างเย็นยะเยือกอย่างน่ากลัวกำลังแสยะยิ้มให้แล้วพูดบางอย่างออกมาอย่างไร้เสียงทว่าไม่ทันจะได้คำตอบเสียงบาดแก้วหูของบางอย่างก็ดังขึ้นมา 

     

    เพล้ง! 

     

    "เอ๋?" 

     

    เสียงกระจกข้างใต้เท้าของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆในขณะที่ร่างของเขาเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอยู่บนพื้นน้ำแข็งที่ไม่มั่นคงและกำลังตกลงไปข้างใต้ช้าๆ วินาทีต่อมาความรู้สึกราวกับกำลังจมลงไปใต้น้ำก็ถาถมเข้าใส่ 

    เด็กหนุ่มที่ไม่ได้พบผ่านฝันร้ายมานานนั้นเริ่มมีอาการตื่นตระหนก ขณะที่ใต้จิตสำนึกของเขามีแต่ใบหน้าของน้องสาวฝาแฝดผุดขึ้นมา แต่ทว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เขาตื่นตระหนกนั้นมันกลับไม่ใช่ตรงนั้น 

    ไม่ใช่ในส่วนความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังจมน้ำแต่มันคือเงาร่างสะท้อนของตัวเขาในกระจกที่เห็นในทีแรก ซึ่งร่างตรงหน้านั้นค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ทีล่ะน้อยในขณะที่ตัวเขากลับขยับไปไหนไม่ได้

     

    โยชัว! 

     

    เด็กหนุ่มร้องตะโกนในหัวเผื่อว่าร่างผมดำน้องสาวฝาแฝดของเขาจะได้ยินและปลุกเขาขึ้นมาจากฝันร้ายนี้เร็วๆ เมื่อกลิ่วคาวเลือดเริ่มลอยคลุ้งจมูก 

    ทว่าในวินาทีที่ร่างผมขาวเข้าถึงตัวเด็กหนุ่มผมดำร่างกายที่แข็งทื่อนั้นสามารถขยับได้อีกครั้งซึ่งตัวเขาไม่รอช้าที่จะตะเกียกตะกายว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ ออกจากความมืดกลับคืนสู่ความจริง ร่างสะท้อนของโยฮันที่มีผมสีขาวค่อยๆเลื่อนมือออกไปดึงรั้งตัวโยฮันในร่างเด็กไว้ 

    ใบหน้าที่เรียบนิ่งและเต็มไปด้วยความเศร้าหมองถูกเลื่อนเข้ามาใกล้ๆกับใบหน้าคนที่ตัวเล็กกว่า ซึ่งมันทำให้เขาถึงกับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะเมื่อเสียงทุ้มนั้นกระซิบข้างหูเบาๆ เด็กหนุ่มผมดำในร่างเด็กเบิกตากว้างขึ้นมาเมื่อร่างผมขาวหัวเราะในลำคออย่างเงียบงัน พร้อมกับร่างของเขาที่ถูกพลิกตัวแล้วผลักเข้าหาแสงสว่างกลับคืนสู่ความจริงอีกครั้ง 

    ทว่าในวินาทีสุดท้ายที่หันไปมองร่างผมขาวที่อยู่เบื้องหลัง สิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับเป็นภาพของฉากเปื้อนเลือดที่มีเขาอยู่ตรงนั้นกับร่างของฝาแฝดของเขาที่นอนจมกองเลือดต่อหน้าต่อตา 

     

    และเมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็ลืมมันไปหมดแล้วไม่ว่าจะคำพูดนั่นหรือฉากจบในฝันร้ายก็ตาม…

    .

    .

    .

    .

    .

    ชายร่างสูงสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมองเห็นร่างของเด็กผมดำที่นอนหมดสติไปนานเพราะบาดแผลกับร่างกายที่อ่อนแอนั้นลุกขึ้นมาปุบปับออกจากห้วงแห่งความฝันสูโลกแห่งความจริง ใบหน้าของโยฮันตอนนี้ซีดกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่ดวงตาสีอำพันนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับมือที่สั่นระริกทำให้รู้ได้ทันทีว่าเขาพึ่งเจอฝันร้ายมา 

     

    “ตื่นแล้วเหรอรู้สึกดีขึ้นรึเปล่า” 

     

    ชายหนุ่มเอ่ยถามเด็กน้อยบนเตียงด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนและความเป็นเป็นห่วงทำให้ตัวเด็กผมดำที่พึ่งตื่นทำได้แค่พยักหน้าให้เบาๆก่อนจะก้มลงมองร่างที่นั่งหลับอยู่ข้างๆเตียงด้วยความสงสัยกับมือที่กุมมือของเขาไว้ไม่ปล่อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่อีกฝ่าย… 

     

    ฝาแฝดของเขายังปลอดภัยดี… 

     

    "หลังจากที่ทำแผลเด็กคนนั้นหนีจากห้องมาอยู่เฝ้าเธอไม่ยอมหลับมาหนึ่งวันเต็มๆเลยนะ” 

     

    ชายหนุ่มว่าออกมาขณะที่ดึงผ้าห่มที่คลุมไหล่ของแฝดคนน้องขึ้นมาหลังจากที่สังเกตเห็นว่ามันใกล้จะหล่นลงพื้นแบบเต็มที่แล้ว ทำให้ตัวแฝดคนพี่ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ แม้ในใจจะรู้สึกตะหงิดๆเรื่องที่บอกว่าหมอมาทำแผลให้ก็ตามแต่ ร่างกายของเด็กแบบนี้คงไม่มีใครแยกเพศออกจริงๆนั่นแหละ 

     

    “นิสัยโยชัวก็หยั่งงี้แหละครับ ไม่ห่วงตัวเองแต่จะห่วงคนอื่นเกินไปจนลืมนึกถึงตัวเองไปซะสนิท” 

     

    ชายหนุ่มแปลกหน้ายื่นน้ำแก้วเล็กให้โยฮันเงียบๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ยื่นมือไปรับมาดื่มอย่างว่าง่ายก่อนที่อีกฝ่ายจะถามอีกครั้ง ถึงสาเหตุที่พวกเขา เด็กฝาแฝดแค่สองคนทำไมถึงมาอยู่ข้างนอกแทนที่จะอยู่บ้าน 

     

    “พวกเธอน่ะทำไมถึงออกมาเร่ร่อนแบบนี้ล่ะพ่อกับแม่ของพวกเธอน่าจะเป็นห่วงแล้วนะ” 

     

    คำถามหนักหัวกลับมาอีกครั้ง…แต่คราวนี้โยฮันกลับส่ายหน้าเล็กน้อยให้เป็นคำตอบแล้วปริปากเล่าเรื่องโกหกที่มีความจริงเคล้าปนกันอยู่ด้วยน้ำเสียงปกติของเด็กคนหนึ่ง 

     

    “ไม่มีหรอกครับ...ผมกับน้องไม่มีพ่อแม่หรอก พวกเราไม่รู้จักท่านเลยด้วยซ้ำ…โยชัวกับผมเป็นฝาแฝดที่ถูกรับเลี้ยงแต่มันก็ไม่ได้เป็นชีวิตที่มีความสุขอะไรหรอก พวกเราได้รับความรักแค่ตอนเป็นทารกเท่านั้นแต่หลังจากนั้นมันก็เหมือนกรงขังดีๆนั้นแหละครับ” 

     

    ไม่เกินไปหรอกวันๆพวกเขาไม่ได้ทำอะไรสักนิดแค่ทำตามที่สามีภรรยานั่นสั่งเท่านั้นทั้งงานบ้านไปโรงเรียนเรียนพิเศษเป็นที่ระบายอารมณ์ตอนที่ผิดหวังจากงานของคนที่ใช้ชื่อว่าพ่อ แม้แต่ความสุขเล็กๆของเด็กก็ยังขัดตาสำหรับเขา 

    ไม่ใช่แค่ที่ระบายอารมณ์แต่ก็ยังเป็นคนใช้คอยดูแลเรื่องในบ้านของคนที่ใช้ชื่อว่าเป็นแม่ที่บางครั้งเวลาที่ไม่ได้ดั่งใจก็ลงไม่ลงมือถึงขั้นบาดเจ็บหนักทั้งที่ตัวเองวันๆก็เอาแต่นั่งสบายอยู่ในบ้านไม่ทำอะไรเลย 

    จะหวังพึ่งเพื่อนบ้านหรือคนรู้จักก็ทำอะไรไม่ได้เพราะพวกเขาเองก็เป็นเหมือนกันพวกที่เห็นเรื่องของคนอื่นที่กำลังเดือดร้อนเป็นเรื่องไกลตัวไม่ควรค่าแก่การสนใจ ไม่สามารถบ่น...ไม่อาจขัดคำสั่ง...เหมือนนกในกรงขังที่ไม่อาจได้รับอิสระ...มันเจ็บปวด... 

    ชายหนุ่มที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดได้แต่พยักหน้าให้เป็นเชิงรับรู้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องที่มีเด็กผมสีน้ำตาลแอบฟังอยู่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนที่เขาจะถามออกมาอีกครั้ง พร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวแฝดคนพี่เบาๆและเผื่อไปทางคนที่นั่งหลับอยู่ด้วย ซึ่งโยชัวก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน 

     

    "งั้นเหรอ...ขอโทษที่ทำให้นึกถึงเรื่องแย่ๆนะ แล้วจากนี้พวกเธอสองคนจะทำยังไงต่อล่ะ” 

    “พวกผมกะว่าจะหางานทำดูแล้วเดินทางกันเองน่ะครับ” 

     

    โยฮันสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงขยับของผืนผ้าที่อยู่ข้างๆก่อนที่เขาจะรีบยื่นมือไปประคองร่างของแฝดคนน้องที่กำลังอยู่ในห่วงนิทราไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเอนตัวตกพื้นซะก่อนโดยมีชายหนุ่มแปลกหน้าเป็นคนอุ้มร่างที่นั่งหลับอยู่ขึ้นมาวางบนเตียงข้างๆแฝดคนพี่ที่เขยิบตัวให้มีพื้นที่เพิ่มเงียบๆ 

     

    “เอาแบบนี้มั้ยทำไมพวกเธอไม่ลองมาเดินทางกับเราล่ะ?” 

     

    ชายหนุ่มเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มในขณะที่คนขี้โรคเริ่มทำอะไรไม่ถูกที่จู่ๆก็ถูกชวนให้เดินทางไปด้วยกันแบบนั้นส่วนคนที่นอนอยู่ก็ดันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ 

     

    "แต่ว่าจะดีหรอครับที่จะให้เราเดินทางด้วยน่ะ" 

     

    โยชัวถามออกไปทันทีหลังจากที่ตั้งสติได้แต่ตัวคู่สนทนาของพวกเขาทั้งสองคนก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม 

     

    "ดีแล้วล่ะเพราะพวกเธอมีแผลซะเยอะขนาดนี้คงทำอะไรไม่ไหวหรอกอีกอย่าง ถ้าพวกเธอมาด้วยกันอเลนก็น่าจะมีเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเล่นด้วยน่ะ” 

     

    เด็กทั้งสองต่างเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะมองหน้ากันเล็กน้อยเพื่อตัดสินใจกับปัญหาในครั้งนี้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังมองพวกเขาด้วยความคาดหวังอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจคือการที่แฝดทั้งสองต่างใช้โทรจิตกันได้มากกว่า 

     

    “เย้! มีไอ้ว่าที่หงอกเป็นเพื่อนจากนั้นก็จะพาไปสู่จุดจบด้วยการเป็นลูกศิษย์ของครอสแล้วเดินทางเพื่อใช้หนี้แบบนั้นน่ะนะ...ไม่เอาหรอกเฟ้ย! เอาไงดีล่ะโยชัว” 

    “แต่มีทางอื่นด้วยเหรอ เจ็บแผลจะตายอยู่แล้ว อา ไม่ร่วมเดินทางก็ต้องปวดแผลตายอย่างดีสุดก็แค่ไม่มีงานทำและต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อชดใช้หนี้ให้หมอ” 

    “…แต่ถ้าอยู่ด้วยกันกับเธอ ไม่ว่าที่ไหนพี่ก็จะไปด้วยพี่เคยบอกไว้ใช่มั้ย” 

    “ถ้าอยู่ด้วยกันแค่นั้นก็พอแล้ว…” 

     

    มือทั้งสองที่กุมด้วยกันไว้กระชับกันแน่นราวกับว่าจะไม่ปล่อยซึ่งกันและกันไปเป็นอันขาด พร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหลังจากที่พวกเขาตัดสินใจกันได้ ก่อนที่ทั้งสองจะให้คำตอบออกไป 

     

    "งั้นพวกผมขอไปด้วยคนนะครับ” 

     

    และแล้วชีวิตเดินทางของว่าที่เอ็กโซซิสท์ทั้งสามก็ได้เริ่มต้นขึ้นในที่สุด… 

     

    ในขณะเดียวกันที่อีกฝั่งของเมือง ในตรอกขนาดใหญ่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคาเฟ่ที่ระเบิดไปเมื่อวานนั้นปรากฏร่างของเอ็กโซซิสท์ที่กำลังมองพื้นที่ที่ว่างเปล่าตรงหน้าพวกเขาที่เหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยของหลุมขนาดใหญ่บนพื้นเท่านั้น 

     

    “แทบไม่รู้ตัวเลย ว่ามีอาคุม่าตามหลังอยู่แต่ที่น่าแปลกใจคือการที่มันถูกกำจัดก่อนที่จะรู้ตัวซะอีก” 

     

    เสนาธิการผมน้ำตาลอ่อนได้แต่ถอนหายใจออกมากับความผิดพลาดครั้งแรกของตัวเองที่เผลอค้นพบผู้เชื่อมต่อคนใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับอินโนเซนส์โดยไม่รู้ตัวแล้วยังปล่อยให้คลาดสายตาไปอีก 

    ที่ทำให้เขากังวลคือคนพี่หรือคนน้อง คนไหนกันแน่เป็นคนลงมือก่อน ใครกันแน่ที่เป็นผู้ถือครองอินโนเซนส์ หรือว่าพวกเขาเป็นเหมือนกันทั้งคู่ แต่…เท่านี้เขารู้พอรู้เหตุผลที่ทำให้เด็กตัวเล็กๆแบบนั้นต้องออกมาเร่ร่อนแล้ว… 

     

    “เสนาธิการทีเอดอล ไม่พบตัวเด็กฝาแฝดที่ว่ามาในเขตเมืองเลยครับ” 

     

    เอ็กโซซิสท์ร่างสูงว่าขณะที่เดินมาสมทบกับคนผมน้ำตาลที่กำลังถอนหายใจออกมาเฮือกยาวกับข่าวใหม่ที่ได้รับอยู่ แต่ถ้าโดนแบบนั้นไม่ว่าใครก็คงหนีออกจากเมืองไปแล้วจริงๆนั่นแหละ 

     

    “อา พลาดจนได้ อย่างที่คิดไว้เลย ตอนนี้พวกเขาคงตัดสินใจหนีออกไปจากเมืองแล้วล่ะมั้ง มารีพาคันดะไปที่ศาสนจักรแทนฉันทีนะ ฉันจะออกตามหาเด็กพวกนั้นต่อ” 

    “ครับ ถ้าไม่ว่าอะไรช่วยบอกแบบละเอียดได้รึเปล่าครับเสนาธิการทีเอดอลว่าเด็กสองคนนั้นมีลักษณะเป็นยังไง พวกเราจะได้ตามหาถูก และถ้าเจอจะได้พาไปที่ศาสนจักรเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง” 

     

    เสนาธิการรุ่นใหญ่ที่ผ่านอะไรมามากมายนั้นได้แต่พลิกหน้าในสมุดภาพในมือไปยังหน้าล่าสุดที่เขาพึ่งวาดไปเมื่อคืน ซึ่งเป็นภาพร่างของฝาแฝดทั้งสองที่จับมือกันไว้ ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนที่พวกเขาจะแยกทางกัน 

    ทีเอดอลที่ทำใจได้แล้วนั้นตัดสินใจดึงภาพร่างนั่นออกจากสมุดแล้วยื่นมันให้มารี เอ็กโซซิสท์ที่เป็นลูกศิษย์ของเขาซึ่งเขาก็รับมันมาดูด้วยกันกับเอ็กโซซิสท์ฝึกหัดอีกคนที่กำลังจะไปรายงานตัวที่ศาสนจักรพร้อมกับฟังคำอธิบายของชายผู้เป็นอาจารย์ของตนไปด้วย 

     

    “นั่นสินะ พวกเขาเป็นฝาแฝดมีผมสีดำทั้งคู่ เหมือนว่าจะมีเชื่อสายเอเชียด้วยนิดหน่อย คนน้องตาบอด ส่วนคนพี่มีร่างกายที่อ่อนแอ…น่าปวดใจจังนะที่จะให้เด็กสู้ในสงครามน่ะ แต่ฝากที่เหลือด้วยนะมารี” 

     

    เพียงเท่านั้นเอ็กโซซิสท์ทั้งสามต่างก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของพวกเขาเพื่อตามหาฝาแฝดที่ว่า แต่โชคชะตานั้นก็มีอะไรที่ชวนให้ขำอยู่เสมอ เมื่อห้านาทีถัดมาเป้าหมายของเหล่าเอ็กโซซิสท์นั้นก็เดินสวนทางกับพวกเขาเข้าไปในตรอกใหญ่พอดีเพื่อไปเก็บอีกหนึ่งหลักฐานที่ถูกทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ 

     

    “อ๊ะ เจอแล้วๆ โยชัวนี่เหรอลูกดอกที่ว่าน่ะ” 

    “อันนั้นแหละขอบคุณนะอเลน” 

    “ไม่เป็นไร แต่รีบไปที่ร้ายขายยากันเถอะ” 

     

    เด็กทั้งสองที่ได้ร่วมเดินทางกันนั้นรีบรุดไปที่ร้านขายยาต่อหลังจากที่แฝดขี้โรคนั้นติดหวัดเพิ่มจนนอนซมอยู่ที่เตียงให้แฝดคนน้องได้ออกมาซื้อยาไปให้ แต่ทว่ากลับมีเสียงหวานใสของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีขาดังขึ้นมาเบื้องหลังให้ทั้งเด็กทั้งสองหยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังจะเดินเข้าไปในร้านขายยาก่อนที่โยชัวจะหันไปมองร่างบางที่วิ่งมาหยุดตรงหน้าเธอ 

     

    “พ่อหนูคนนั้นน่ะ ช่วยรอเดี๋ยวสิ!" 

    “มีอะไรงั้นหรอครับพี่สาว” 

    “เธอใช่เด็กที่สีไวโอลินกับคุณปู่เมื่อวานรึเปล่าจ๊ะ” 

     

    ความทรงจำหลังจากที่วิ่งหนีจากตรอกพร้อมพี่ชายฝาแฝดผุดขึ้นมาในหัว ขณะที่ภาพของชายชราที่สีไวโอลินให้พวกเขาลืมความเจ็บปวดของบาดแผลนั้นเป็นภาพเดียวที่เธอจำได้ในบรรดานักดนตรีทั้งหมดที่เธอเห็นเมื่อวันนั้น 

     

    “ผมเองครับ”

    “ช่วยมาด้วยกันทีนะจ๊ะ แค่แปปเดียวเดี๋ยวพี่พามาส่งที่เดิมเอง” 

     

    โยชัวที่ได้ยินแบบนั้นหันไปหาอเลนชั่วครู่เป็นเชิงช่างใจและถามอีกฝ่ายภายในตัว แม้ว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตแล้วถามว่าไปไหนเขาจะได้ตามไปถูกก็ตาม แต่ในใจของโยชัวที่กำลังเดินไปที่โรงพยาบาลนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความกังวลอยู่ดี 

     

    "คุณปู่อัสตินจะเข้าไปแล้วนะคะ" 

     

    พยาบาลสาวเคาะประตูเบาๆก่อนจะเปิดมันออกให้เธอกับโยชัวเดินเข้าไปเธอนำทางร่างผมดำไปถึงข้างๆเตียงคนป่วยที่ชายชรานอนอยู่ 

    ชายชราร่างสูงที่มีผมสีขาวเทาและดวงตาสีเขียวแก่หันมามองเด็กน้อยที่อยู่ข้างๆพยาบาลด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนไม่แปรเปลี่ยน สีหน้าของปู่แกดูเหนื่อยล้าและอ่อนแรงมากกว่าเมื่อวันก่อนเป็นอย่างมากแต่ถึงกระนั้นปู่เขาก็ยังถือไวโอลินคันงามไว้ในอ้อมแขนไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่ดี 

     

    “เด็กน้อยในที่สุดก็มาสักทีสินะ" 

     

    เสียงแผ่วเบาของชายชราดังก้องไปทั่วห้องอันเงียบสงบพยาบาลสาวถือโอกาสถอยออกมายืนอยู่ที่ปลายเตียงให้ทั้งสองได้คุยกันตามลำพังและเพื่อเป็นพยานในวาระสุดท้ายของชายแก่ด้วย 

     

    “ปู่รอมาตลอดหลังจากที่อาการป่วยกำเริบพยายามรอเพื่อที่จะได้เจอใครสักคน จนกระทั่งได้พบเธอพ่อหนุ่ม ปู่รู้ว่าปู่คงอยู่ได้ไม่นาน...เพราะงั้นช่วยเล่นเพลงให้ปู่เป็นเพลงสุดท้ายได้มั้ย" 

    "ทำไมต้องเป็นผมล่ะ..." 

     

    โยชัวถามออกไประหว่างที่มองอีกฝ่ายปิดปากไอ ซึ่งชายชราได้แต่ยิ้มแล้วลูบหัวเธอเบาๆเหมือนได้เจอหลานตัวน้อยเขาเอนหลังพิงหัวเตียงและมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนกำลังรำลึกความหลังอยู่ 

     

    "วิธีเล่นไวโอลินของเธอ...มันเหมือนกับแอน ลูกสาวที่ตายไปแล้วของปู่มาก ในวันเกิดที่ปู่เสียแอนกับภรรยาไปปู่ไม่เคยมีโอกาสจะมอบไวโอลินคันนี้ให้แกเล่นเลยสักครั้ง...เพราะงั้นปู่ถึงอยากให้เธอเป็นคนเก็บไว้...คนที่ทำให้ได้รู้สึกเหมือนเจอครอบครัวอีกครั้ง ไวโอลินคันนี้จะได้ถูกส่งต่อให้คนที่คู่ควรกับมันสักที" 

     

    น้ำเสียงของเขาเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆชายชราค่อยๆยกมือยื่นไวโอลินให้โยชัวรับไว้ซึ่งเธอก็รับมันมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งที่เจือแววเศร้าหมองลงแต่หากไร้ซึ่งน้ำตาแม้ว่าจะถูกปิดไว้ด้วยผ้าปิดตาก็ตาม ซึ่งโยชัวค่อยๆยกมันขึ้นแล้วตั้งท่าเตรียมเล่นไวโอลินให้ตามที่อีกฝ่ายขอและเรียกรอยยิ้มให้อีกฝ่ายได้ในวาระสุดท้าย 

     

    "ขอบคุณมากนะเด็กน้อยคำถามสุดท้ายเธอชื่ออะไรเหรอ?" 

     

    ชายชราถามในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มสีทำนองเพลงที่ไม่คุ้นหูแต่ก็ไพเราะเหมือนดั่งเพลงกล่อมเด็กค่อยกล่อมให้อีกฝ่ายฟังไปเรื่อยๆชายชราแห่งเสียงเพลงค่อยๆคลี่ยิ้มแล้วปิดเปลือกตาลงฟังเสียงไวโอลินที่เด็กผมดำสีไปอย่างสงบก่อนที่เธอจะตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา 

     

    “ชื่อของผมคือโยชัวแล้วชื่อของปู่ล่ะครับ..." 

     

    ชายชราไม่ได้ตอบเธอในทันทีเขาค่อยๆเลื่อนมือขึ้นมาพักบนหน้าท้องแล้วจึงตอบเธอ 

     

    "บังเอิญดีแท้...ปู่เองก็ชื่อโยชัวเหมือนกัน... ชื่อของปู่คือโยชัว อัสติน...ขอบคุณนะโยชัวน้อย..." 

     

    แล้วลมหายใจของชายชราแห่งเสียงเพลงก็หยุดลงพร้อมๆกับเสียงไวโอลินท่อนสุดท้าย โยชัวใช้มือขวาถือไวโอลินกับคันชักไว้แล้วไขว้ขามาข้างหน้าเพื่อโค้งให้อีกฝ่ายราวกับนักดนตรีที่กำลังโค้งส่งท้ายเหล่าผู้ชมที่มาฟังเสียงดนตรีของเธอ 

     

    "บทเพลงนี้ข้าขอมอบให้แด่ชายชรานักดนตรี จงหลับอย่างสงบเถิด...คุณโยชัว อัสติน"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×