คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : วันที่...กำลังจะได้เจอกับความวุ่นวาย
หลังจากนั้นผมก็พากันเดินกลับไปที่สถาบันพร้อมกับแอทริธซึ่งพวกผมแค่พักในโพรงไม้แปปเดียวพอมารู้ตัวอีกทีนี่ก็ตอนเย็นซะแล้ว นักเรียนทุกคนอยู่ในช่วงขนย้ายข้าวของเข้าหอพักในวันแรกเพราะงั้นจึงเป็นโชคของแอทริธที่ไม่มีการสอน
น่าแปลกที่นักเรียนส่วนใหญ่ก็ทำทุกอย่างตามกิจวัตได้อย่างปกติราวกับเรื่องที่พลังของผมนั้นไม่ได้อยู่ในหัวพวกเขาแม้แต่นิดเดียว แต่ก็เลิกแปลกใจทันทีที่นึกถึงหน้าใครบางคนใครเข้า การที่จะเปลี่ยนความทรงจำคนจำนวนนั้นจำเป็นต้องมีพลังเวทมหาสารซึ่งที่เข้าเครือข่ายก็มีแค่คนๆเดียว
ที่ปรึกษาของกษัตริย์อาเธอร์ พ่อมดเมอร์ลิน...
กร๊อบ...
แก้วน้ำในมือถูกบีบแหลกคามือของผมเมื่อนึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้น รอยยิ้มหวานๆเคล้าไปด้วยจิตสังหารมากพอที่จะทำให้พื้นที่ก้าวเดินไปนั้นทิ้งร่องรอยของหายนะไว้เข้ามาแทนที่รอยยิ้มปกติของผม แม้แต่แอทริธที่เดินอยู่ข้างๆยังถอยหลังเว้นระยะห่างจากผมเลย
ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปลายๆปรากฏขึ้นมาในหัวเรือนผมสีเงินสั้นไว้รากไทรยาวเปล่งประกายล่อแสงกับนัยน์ตาสีม่วงนั้น ยังคงติดตาไม่หายไปไหนแม้แต่สัมผัสของริมฝีปากผมเองก็ไม่ลืม แค่คิดผมก็หงุดหงิดแล้ว
แต่แล้วพวกผมที่กำลังเดินไปที่อาคารกลางเพื่อติดต่อเรื่องหอพักกับตารางเรียนอยู่ดีๆคณะอัศวินเจ้าเก่าก็เดินเข้ามาหาแต่ครั้งนี้เป็นหน่วยย่อยของเซอร์ทริสทัน อัศวินหน่วยพลธนูเวทเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงกับรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตร
“แอทริธ เฟดีวัล เคดาจ โรลัน มีคำสั่งจากฝ่าบาทให้ทั้งสองเข้าเฝ้า”
ทริสทันพูดขึ้นมาพร้อมกับผายมือไปทางประตูไม้บานใหญ่ที่เป็นทางไปที่อาคารกลางที่มีทางเชื่อมไปปราสาทให้ผมกับแอทริธมองหน้ากันแบบช่างใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะเป็นคำสั่งของกษัตริย์ พวกเราก็ขัดคำสั่งไม่ได้อยู่แล้ว
“เข้าใจแล้วแต่ผมขอไปทำใจแปป ยังไม่อยากเจอหน้าท่านเมอร์ลินครับ”
ผมว่าพลางถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อโค้งให้ทุกคนที่สละเวลามารอก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องสมุดทันทีแบบแทบจะใส่เกียร์หมาวิ่งหนีพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ทำให้หน่วยของทริสทันเริ่มแตกตื่นวิ่งกรูตามผมเข้าไปในห้องสมุดแทบจะในทันที
ห้องสมุดของสถาบันวัลฮาเรียนั้นเป็นส่วนที่กินพื้นที่มากสุดในอาคารกลาง จากทั้งหมดสี่สิบสองชั้นห้องสมุดนี้กินพื้นที่ไปประมาณยี่สิบสองชั้นเลยทีเดียวทำให้ห้องสมุดเป็นพื้นที่สำรวจที่ดีที่สุดของพวกบ้าเรียนไปโดยปริยายถ้าไม่นับรวมพวกที่เข้าไปกำจัดอสูรที่หลุดอออกมาจากในหนังสือประหนึ่งผู้กล้าเข้าดันเจี้ยนล่ะนะ
ผมไม่ได้อะไรทั้งนั้นแหละแค่ไม่อยากเห็นหน้ามันเท่านั้น
ผมใช้เวลาไม่นานในการเดินวนรอบห้องสมุดจนหลงซึ่งแน่นอนผมตั้งใจทำแบบนั้นเพื่อถ่วงเวลาการเจอหน้าพ่อมดหน้าตาหลอกลวงประชาชนนั้น ผมถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อไม่มีวี่แววของทั้งอัศวินและทริสทันผมเลยตัดสินใจเดินไปนั่งพักที่หน้าต่างบานใหญ่ระหว่างชั้นหนังสือที่ดูท่าจะลึกพอสมควรจากทางเดินหลัก
ระหว่างที่ผมรอเวลาผ่านไปเสียงค้นหาของทริสทันยังคงดังก้องอยู่แถวชั้นล่างๆผมเลยใช้เวลานี้หาหนังสืออ่านเล่นไปพลางแล้วเริ่มไล่เดินหาหนังสือดีๆที่อยู่ใกล้ตัวทันที
“หากเจ้าต้องการข้าว่าเล่มนี้น่าจะดีกว่านะ”
มือหนาข้างหนึ่งยื่นหนังสือเล่มหนาที่มีปกแดงและลงอักษรสีทองไว้อย่างประณีตว่า วิธีการคุมตัวนักโทษแบบเบามือ....... หนังสือบ้าอะไรวะครับ!
พอผมจะโวยวายกลับผมจะสะดุ้งขึ้นมาสุดตัวเมื่อสายตามองเห็นชุดเกราะที่ปกคลุมร่างสูงก่อนจะต้องหน้าซีดเมื่อเห็นใบหน้าที่ตรงกับในหนังสือที่เคยอ่านก่อนเข้ามาที่สถาบันว่าด้วยเรื่องประเทศและเหล่าอัศวินที่ดำรงอยู่ มันเป็นหนังสือเวทที่จะเพิ่มและปรับเปลี่ยนเนื้อหาข้างในตามยุดสมัยพร้อมรายละเอียดพื้นฐานซึ่งพอเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าผมก็หน้าซีดเป็นไก่ต้มเมื่อโครงหน้าของเขานั้นตรงกับที่เคยเห็นไม่มีผิด
ผมสีไลท์บลอนด์ที่ยาวถึงกลางหลังกับนัยน์ตาสีอความารีน ใบหน้าที่หลอเหลาแบบเย็นชานั้น กับบรรยากาศเย็นๆตอนที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ คนตรงหน้าผมคือ เซอร์เบดิเวียร์ ผู้ใช้พลังธาตุน้ำแข็งที่แข็งแกร่งที่สุด
“อ๊ะ..ขอบคุณมากครับ”
ราวกับเวลาถูกน้ำแข็งหยุดนิ่งไว้หลังจากที่ผมรับหนังสือเล่มนั้นมา สายตาของผมจ้องมองไปที่ใบหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆอย่างไร้ความรู้สึกแต่ในใจน่ะหรอ กำลังประมวลทางหนีที่ดีที่สุดอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
“มีคำสั่งจากฝ่าบาทให้เจ้าเข้าเฝ้าพระองค์ หากขัดขืนข้าจะไม่ปราณีในครั้งต่อไปที่เจอกัน”
จ๊ะ...ยอมแล้วจ๊ะ...จะต้มยำทำแกงอะไรก็เชิญขอแค่ไม่เจอเมอร์ลินก็พอ
เหมือนว่าการจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆของผมจะเป็นคำตอบที่น่าพึงพอใจของเขา เพราะทันทีที่ผมก้มหน้าหนังสือในมือก็ถูกหยิบไปเก็บเข้าที่เดิมแล้วเขาก็เดินกลับมาอุ้มผมเพื่อพากลับไปรวมกับคนอื่นๆแต่ขอโทษเถอะ พี่แกเขาเล่นอุ้มผมด้วยท่าอุ้มเจ้าสาวแล้วจะไม่ให้ผมอายได้ไงวะครับ!
ข้อพับขาและแผ่นหลังที่ถูกมือแกร่งใต้ชุดเกราะประคองขึ้นไว้ก่อนจะช้อนตัวผมขึ้นมาได้อย่างง่ายดายจนผมเริ่มกระตุกยิ้มสมเพชตัวเองเล็กน้อยที่ต้องให้ผู้ชายมาอุ้มตัวเอง ทั้งๆที่ผมควรเป็นฝ่ายอุ้มแท้ๆและขอให้คนที่ถูกอุ้มเป็นผู้หญิงด้วย!
“ ถ้าไม่อยากตกก็เกาะให้แน่นๆซะ”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งในขณะที่กำลังเดินตรงไปยังระเบียงที่อยู่ใกล้กับบันไดขึ้นลงของห้องสมุด ซึ่งในตอนนี้พวกผมอยู่ชั้นที่ยี่สิบและกำลังจะลงไปที่ชั้นหนึ่งด้วยการ....กระโดด
“ เฮ้ย! ไม่เอานะครับจะให้โดดแบบนั้นผมไม่เอา!”
ผมรีบโวยวายออกไปทันทีที่มีโอกาสก่อนจะพยายามตะเกียกตะกายออกจากอ้อมแขน(?)ของเบดิเวียร์ที่เริ่มกระตุกยิ้มเย็นใส่แม้ว่าผมจะไม่ใส่ใจกับรอยยิ้มนั้นแต่เพราะความเจ็บปวดที่ตามมาผมเลยต้องหยุดชะงักและทำตามคำสั่งเขา
“ขืนดิ้นอีกที ขาของเจ้าจะกลายเป็นน้ำแข็งโรลัน เคดาจ”
“ขอโทษครับ...ไว้ชีวิตผมด้วย...”
เมื่อเดินไปถึงทีระเบียงอาการกลัวความสูงเริ่มทำร้ายผมจนผมเริ่มใจสั่นและปอดแหกฉับพลัน ตอนที่ขาอีกฝ่ายก้าวขึ้นไปข้างบนระเบียงผมก็รีบกอดคออีกฝ่ายไว้ประหนึ่งที่พึ่งสำหรับชีวิตเสี่ยงตายนี้แล้วผมก็ได้รอยยิ้มบางๆและเสียงหัวเราะเขย่าประสาทของอีกฝ่าย ก่อนจะได้การโดดลงจากระเบียงเป็นของแถม
ตึก...
เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบากระทบลงกับพื้นหินอ่อนอย่างนุ่มนวลหลังจากที่ผมกับเบดิเวียร์พึ่งกระโดดลงมาจากชั้นที่ยี่สิบของหอสมุดในอาคารกลาง ที่แน่ๆมันดันมาหยุดอยู่ตรงหน้าทริสทันกับแอทริธราวกับวางแผนกันไว้เป๊ะ!
ถ้าจำไม่ผิดทริสทัน...อ๋อธาตุลมนี่เองมิน่าล่ะถึงกล้าโดดแบบไม่กลัวตาย...
“เบดิเวียร์! นี่เจ้าคิดอะไรกันหากข้าใช้ลมรับเจ้าไว้ไม่ทันคิดว่าตัวเองจะรอดเหรอ!”
เซอร์ทริสทันที่อยู่ตรงหน้าโวยวายออกมาทันทีกับฉากสตั๊นที่ไม่มีสลิงเมื่อกี้ ทำให้ผมหน้าเสียทันทีที่คิดภาพถ้าไม่มีลมคอยรับไว้ แต่พอจะคลายมือที่กอดคออีกฝ่ายออกผมก็ต้องชะงักเมื่อไม่สามารถดึงมือตัวเองออกมาได้ราวกับถูกแช่แข็งไว้
ไม่ผิดหรอก! เซอร์เบดิเวียร์เขาแช่แข็งมือผมจริงๆ!
เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็กระตุกยิ้มมุมปากให้ราวกับว่ารู้ดีว่าผมกำลังคิดอะไรและกำลังซ้ำเติมผมอยู่ยังไงหยั่งงั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทริสทันที่ยืนกอดอกมองอยู่ตรงหน้า
“ข้าได้ตัวมาแล้ว แต่เหมือนเขาจะไม่อยากปล่อยข้าเหลือเกินทริสทันจะให้ข้าทำอย่างไรดี”
“ตอแหล....”
ผมหลุดพูดออกไปหน้าตายซึ่งไอ้คนที่อุ้มผมอยู่ก็ส่งจิตสังหารมาข่มให้ผมเงียบอีกครั้งแล้วพูดออกมาให้ผมเสียวสันหลังเล่น
“ขืนพูดอะไรไม่เข้าหูอีกไม่ใช่แค่มือแต่จะเป็นแขนของเจ้าที่ข้าจะแช่แข็งต่อ”
และวันนี้ผมก็ได้รู้อะไรหลายอย่าง หนึ่งเมอร์ลินนั้นมีสกิลการจูบที่โครตสูงทำคอมโบฮิตได้เจ็ดสิบภายในสิบวิ สองเบดิเวียร์เป็นSแถมขี้แกล้งตัวพ่อ และทริสทันเป็นที่พึ่งที่ดีพอๆกับแอทริธเท่าจากที่เทียบมาทั้งหมด
ไหนว่าอัศวินนั้นเป็นคนดีไง! หลอกลวงๆ โลกนี่มันช่างหลอกลวง.......มันก็เป็นแค่เพียงภาพลวงหลอกตา ที่เธอสร้างขึ้นมาให้ฉันตายใจ มันไม่เคยจะเป็นของจริงแค่ลวงแค่หลอกกันไป...แค่นั้น
เหมือนกับว่าผมจะใช้เวลานอกเรื่องในหัวนานไปหน่อยแค่หันขึ้นมามองอีกทีก็ถึงตรงหน้าทางเชื่อมไปปราสาทซะแล้วแถมเป็นจุดที่ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ยังเสียบไว้อยู่อีกตะหาก ว่าแต่เจ้าของหายไปไหนทำไมไม่เก็บดาบไปด้วย
“มากันแล้วหรือทั้งสองคน เป็นดั่งที่ท่านเมอร์ลินบอกจริงเสียด้วย”
ไม่น่าพูดเลย พระสุรเสียงของท่านช่างไพเราะยิ่งนัก เมื่อพวกเราหันตามทางต้นเสียงทุกคนก็คุกเข่าทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียงเว้นแต่ผมที่ยังถูกอุ้มอยู่
“เบดิเวียร์เจ้าเองก็เลิกแกล้งเด็กคนนั้นได้แล้ว”
“ขอรับฝ่าบาท”
น้ำแข็งที่มือของผมค่อยๆหายไปทีล่ะน้อยก่อนที่ร่างของผมจะถูกปล่อยลงกับพื้นข้างๆแอทริธที่คุกเข่าอยู่ เซอร์เบดิเวียร์ยอมปล่อยผมตามคำสั่งของอาเธอร์ ผมเลยรอดจากสภาพโดนข่มขู่ได้อย่างหวุดหวิด
“อ๋อ ข้าไม่ค่อยถนัดพวกพิธีรีตองนักด้วยเคดาจ แอทริธ หากไม่ลำบากพวกเจ้าล่ะก็ช่วยเรียกข้าด้วยนาม ไม่ใช่คำว่าฝ่าบาทได้รึเปล่าถือซะว่าข้าอนุญาต บังคับเจ้าสองคนข้างหลังด้วยก็ดีนะเพราะพวกเขาไม่ยอมเรียกข้าตามที่ข้าขอ”
อ๋อ...เดิมที่เขาเคยเป็นลูกชาวนามาก่อน อือๆ เข้าใจล่ะแต่พูดไม่ออกวุ้ย
“ฝ่าบาทไว้ท่านตายแล้วเกิดใหม่ข้าจะเรียกด้วยนามของท่านล่ะกัน “
เพี๊ยะ!
“พูดบ้าอะไรของนายกันครับแอทริธ!สำรวมหน่อย! อ๊ะ..ขอโทษครับที่เขาปากเสีย ถึงนิสัยจะแย่ไปบ้างแต่ก็อย่าถือโทษโกรธเขาเลยนะครับ”
ว่าแล้วก็โค้งให้หลังจากที่ตบปากเจ้าซึนเดเระเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากอีกฝ่ายได้อย่างดีรวมกับอีกสองคนที่เหมือนจะกระตุกยิ้มถูกใจคำพูดของแอทริธไม่น้อยทำให้บรรยากาศทางการเมื่อกี้ผ่อนคลายลงได้
“ข้าก็บอกไปแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่าสนใจ”
เสียงหัวเราะระรื่นของพ่อมดหนุ่มดังขึ้นมาจากอีกฝั่งของประตูทางเชื่อมไปที่ปราสาท ก่อนที่มันจะถูกเปิดออกให้ผมได้เจอหน้าเจ้ากรรมนายเวรที่น่าตาหลอกลวงประชาชน พอเห็นหน้าเท่านั้นแหละกระตุกเกียร์หมาไปหลบอยู่ข้างๆดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์อย่างไว
“ห้ามเข้ามาใกล้ในระยะสามเมตรครับท่านเมอร์ลิน”
“กลัวถึงขั้นหนักแล้วนะเคดาจเลิกได้แล้วไอ้นิสัยแค้นแล้วฝังใจน่ะ”
“ไม่แปลกหรอกแอทริธข้ากับเบดิเวียร์คิดว่าจูบแรกของเจ้าหนุ่มที่หวังว่าจะได้รับจากหญิงสาวผู้งดงามแต่กลับโดนตัดหน้าเพราะชายหนุ่มที่รูปงามกว่านั้นเป็นข้าก็แค้นฝังใจเช่นเดียวกัน”
เพิ่มเลเวลความเชื่อใจทริสทันเข้าใจผม!
“พวกเจ้านี่นะ กลับไปที่ปราสาทกันก่อนเถอะแล้วค่อยคุยกันต่อ อ๋อ เคดาจเจ้าช่วยหยิบดาบให้ข้าทีสิ”
อาเธอร์ที่ยังยืนยิ้มมองพวกเราหันมาบอกผมแล้วเตรียมเดินกลับไปที่ปราสาทหากแต่โดนเมอร์ลินสะกิดเข้าแล้วยิ้มหวานใส่ราวกับจะบอกว่า แล้วใครมันจะไปดึงดาบออกได้ล่ะนั้นมันดาบของเอ็งนะ เท่านั้นแหละเข้าก็รีบหันมาทันที
“ขอโทษด้วยข้าลืมไปว่ามันยั--- “
ดาบเจ้าปัญญาที่สมควรจะอยู่ในแท่นหินหลุดติดมือผมออกมาทั้งๆที่ไม่ได้ออกแรงดึงแม้แต่นิดเดียว ผมที่กำลังเมาคนหน้าตาดี(?)อยู่นั้นเลยหายเมาแล้วเบิกตากว้างแทน เพราะไอ้ดาบเส็งเคร็งดันเสือกหลุดออกมาต่อหน้าต่อตาเจ้าของมัน! อ้าวเฮ้ย! กษัตริย์อาเธอร์สติหลุดไปแล้วครับท่านเมอร์ลิน!
----------------------------------------------------------------------------
อ้าวจบกันอีกตอนด้วยความเป็นกันเองของกลุ่มอัศวิน ความจริงก็นะอาเธอร์ของเรานั้นเคยเป็นเด็กธรรมดานั้นแหละก่อนจะดึงดาบออกมาจากแท่นหินเพราะงั้นจะมีนิสัยเป็นกันเองก็คงไม่แปลก
ความคิดเห็น