ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dimension Voyagers

    ลำดับตอนที่ #4 : ชะตาที่เชื่อมโยงกัน

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 65


    หลังจากที่แยกทางกับอิลูเซ่ฝาแฝดทั้งสองก็เริ่มต้นการสำรวจของพวกเขา ผ่านรุ่งเช้าผ่านถนนคนเดินเริ่มมีผู้คนออกมาเดินและยิ่งเวลาผ่านไปเหล่าผู้คนก็ออกมากันมากขึ้นไม่มีหยุดหย่อน 

    ร่างเล็กของฝาแฝดทั้งสองหันซ้ายขวาไปมาเพื่อยืนยันตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ก่อนจะสะดุดตากับหอนาฬิกาขนาดใหญ่ ณ เบื้องหน้าที่พวกเขาจำได้ว่ามันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่บ่งบอกที่ตั้งประเทศที่พวกเขารู้จักอย่างชัดเจน 

    พวกเขาอยู่ที่อังกฤษ อยู่ที่ลอนดอนเมืองหลวงของประเทศอังกฤษ เมืองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของพวกเขา ซึ่งทันทีที่รู้ข้อมูลพื้นที่โยชัวแฝดคนน้องก็ตัดสินใจกระตุกแขนเสื้อแฝดคนพี่เบาๆเพื่อเป็นสัญญาณให้เดินต่อไปเพื่อหาพื้นที่สำหรับพักผ่อน และต้องให้อีกฝ่ายเดินนำด้วยในเมื่อตอนนี้เธอมีสถานนะไม่ต่างอะไรจากคนตาบอดนักในสายตาคนอื่นๆ 

     

    “คนเยอะดีเนอะโยฮัน” 

    “นั้นสินะโยชัวระวังอย่าหลงล่ะ” 

     

    ทั้งสองเดินกันมาถึงจตุรัตกลางที่ตั้งของรูปปั้นขนาดใหญ่แต่พวกเขาแทบจะไม่ใส่ใจมันเลยในตอนนี้แต่พวกเขากลับสนใจของในกระเป๋าที่อิลูเซ่ให้มามากกว่า 

    ในกระเป๋าเป้ของโยฮันมีกระเป๋าหนังใบเล็กที่มีเงินอยู่ไม่มากนักหนึ่งใบ สมุดบันทึกสองเล่มกับเครื่องเขียน ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนและกระปุกยาขวดใหญ่หนึ่งขวด มีดพกหนึ่งเล่มและเสื้อกันหนาวสองตัวกับร่มอีกหนึ่งคัน 

    ในขณะเดียวกันในกระเป๋าสะพายข้างของโยชัวนั้นก็มีกระเป๋าเงิน สมุดบันทึกกับเครื่องเขียนเช่นเดียวกับโยฮัน ทว่าสิ่งที่ต่างกันนั้นคือเธอมีไพ่หนึ่งสำรับ ลูกดอกเซ็ตหนึ่ง สายชาร์ตกับ...เฮดโฟนสองอันและMP3สองเครื่อง…

     

    เดี๋ยวนะไอ้แรกๆยังพอว่าแต่สองอันหลังนีมันแปลกแยกเกินไปหน่อยรึเปล่า… 

     

    “เอ้าส่วนของพี่น่ะ” 

     

    แม้จะยังแปลกใจอยู่บ้างกับความแตกต่างที่ดูไม่เข้ากับยุคสมัยแต่เฮดโฟนกับเอ็มพีสามเครื่องหนึ่งถูกส่งต่อให้ผู้เป็นพี่รับไว้ ขณะที่โยฮันส่งเสื้อโค้ทกันหนาวสีดำให้น้องของเขารับไว้ขณะที่เขาเก็บตัวที่เป็นสีน้ำเงินไว้เอง 

     

    "สรุปคือถ้าใช้ตังหมดก็ต้องหาตังเอง...เจริญแล้วไง” 

     

    ร่างเล็กที่สวมผ้าปิดตาพูดขึ้นมาพลางขยี้ผมตัวเองเบาๆเมื่อนึกถึงหนทางข้างหน้าที่มีอาคุม่ากับความวินาศรอยู่ร่อมๆอย่างหัวเสียในขณะที่คนพี่ได้แต่เขียนแผนการและลำดับเนื้อเรื่องที่จำได้ลงในสมุดบันทึก 

     

    “เอาน่าๆ จะเก็บมีดไว้เองมั้ยโยชัว” 

    “ไม่เอาพี่เก็บไว้เหอะอ่อนแอแบบพี่ต้องพกอาวุธไว้หน่อยนะเดี๋ยวจะม่องเอาง่ายๆ” 

    “นั้นปากเหรอนั้นยัยน้องเล็ก” 

     

    โยฮันแทบมือกระตุกใช้มีดเสยคางน้องตัวเองเข้าแล้ว ความจริงเขาไม่ได้อ่อนแอนะแค่...ขี้โรคเฉยๆ 

     

    “ช่างมันก่อนปัญหาหลักของเราคือตอนนี้คือเราอยู่ไทม์ไลน์ไหนตะหากแล้วก็ยังเรื่องที่พักกับเงินด้วยที่สำคัญ...” 

     

    โยฮันลุกขึ้นจากม้านั่งทันทีที่ได้ยินเสียงท้องร้องของแฝดของตัวเองก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับโยชัวที่เดินตามไปติดๆ ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนรอบข้างตรงที่ใส่ผ้าปิดตาแล้วทำไมถึงเดินเหมือนมองเห็นหยั่งงั้น 

    ทั้งสองเดินกลับไปในเมืองอีกครั้งเพื่อตามหาที่พักซึ่งก็เป็นไปตามคาดพวกเขาเจอห้องพักถูกๆอยู่จึงไม่รอช้าที่จะขอเข้าพักทันทีที่ๆพวกเขาอยู่นั้นติดกับถนนหลักแต่มีพื้นที่น้อยในห้องพักนั้นก็ไม่มีอะไรมากมีแค่เตียงไม้หนึ่งหลังโซฟาตัวยาวหนึ่งตัวกับโต๊ะกาแฟอีกหนึ่งถือว่าโอเคสำหรับคนที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง 

    หลังจากการหาที่พักเสร็จสิ้นพวกเขาก็แวะออกไปหาอะไรกินที่คาเฟ่เล็กๆที่อยู่ไม่ไกลนักอาหารมื้อแรกของพวกเขาคือเซ็ตอาหารเช้าเล็กๆที่ประกอบไปด้วยขนมปังหนึ่งตะกร้าน้ำส้มกับกาแฟลาเต้คนละแก้วบวกกับระหว่างทางพวกเขาซื้อถุงมือให้โยชัวใส่เพื่อปกปิดสีของมือที่แปลกนั้นด้วยทำให้จำนวนเงินนั้นลดลงไปจนกระเป๋าแทบจะแบน 

     

    "โอเค...ทีนี้เอาไงต่อ" 

     

    โยฮันละสายตาจากบันทึกในมือมองโยชัวที่กำลังค้นหาเพลงในเอ็มพีสามอยู่พร้อมกับตั้งเสียงของเฮดโฟนสีครามเข้ม ซึ่งหลังจากที่ลดระดับเสียงเพลงได้โยชัวก็เริ่มอธิบายออกมาเมื่อเธอนั้นเป็นแฝดที่ศึกษารายละเอียดยิบย่อยมากกว่าตัวพี่ชายที่ศึกษาด้านฤษฎีซะส่วนใหญ่ 

    กับข้อมูลในเมืองคร่าวๆถามไถ่ข่าวเก่าๆโดยอ้างว่าตามหาครอบครัวที่หายไปและจากหนังสือพิมพ์ที่พวกเขาอ่าน ปีนี้คือปี 1893 ปลายยุควิคตอเรียหนึ่งปีหลังข่าวของคณะละครสัตว์ที่มีคนหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา โดยรวมแล้วตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก 

     

    “ก็ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเวลาในเนื้อเรื่องจริงไอ้หงอก (อเลน) ยังไม่ได้ถูกสาปเนื้อเรื่องยังเดินไม่ถึงตอนแรกเพราะงั้นตอนนี้หลังจากคดีคณะละครสัตว์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนก็น่าจะกำลังเดินทางกับมานาอยู่ล่ะนะ” 

     

    หลังจากอธิบายเสร็จโยชัวร์ก็เลื่อนเฮดโฟนที่วางพักบนบ่าขึ้นสวมไว้แล้วเปิดเพลงฟังอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะอธิบายต่ออย่างเบื่อหน่ายกับตัวเลือกที่สามารถตัดสินใจได้ซึ่งมันอาจส่งผลกับเนื้อเรื่องหลัก แม้ว่าอิลูเซ่จะบอกว่าเนื้อเรื่องมีสิทธิผันเปลี่ยนไปเพราะนี้เป็นโลกจริงๆไม่ใช่เรื่องแต่ที่ถูกกำหนดไว้อีกแล้วก็ตาม 

     

    หนึ่งคือเจอกับไอ้หงอกตอนเด็กแล้วร่วมเดินทางด้วยเลย เนื้อเรื่องอาจจะเปลี่ยนบ้างนิดหน่อย... 

    สองเลี่ยงไปก่อนแล้วเข้าไปอยู่ที่ศาสนจักรตอนนี้เพื่อรอต้อนรับมันอย่างอบอุ่น… 

    สามรอให้มันเข้าศาสนจักรแล้วให้มันมารับพวกเขาแทน… 

    สี่อย่าไปยุ่งกับไอ้หงอกหรือศาสนจักรอยู่ในแนวหลังคอยช่วยห่างๆก็พอ… 

     

    โยฮันพยักหน้าตอบรับเบาๆกับตัวเลือกและความคิดเหล่านั้น เพื่อให้เนื้อเรื่องเป็นไปตามบทบางครั้งเขาต้องเข้าไปอยู่ใกล้ๆพวกตัวเอกไว้เพื่อชี้แนะแนวทางสู่ตอนจบที่อาจจะดีกว่า 

    แต่ฉากจบของเนื้อเรื่องที่วาดฝันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาว่าจะทำหรือไม่ทำก็เท่านั้น และตอนนี้ที่นี่คือโลกจริง ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง พวกเขาก็ต้องเตรียมตัวรับมือผลกระทบที่ตามมาด้วยเหมือนกัน 

     

    “จบเรื่องหลักไว้ตัดสินใจทีหลัง ทีนี้ก็เงิน…จะเอาไงล่ะพวกเขาคงไม่คิดจะจ้างเด็กไปทำงานหรอก” 

    “นั้นสินะจะปล้นก็คงไม่รอด ตัดไตพี่ไปขายก็ไม่น่าจะได้เยอะด้วย” 

    “นั่นปากใช่มั้ย แถมนี่พี่นะ ฉันเป็นพี่ชายฝาแฝดเธอนะ” 

    “เพราะเป็นพี่ชายฝาแฝดนั่นแหละถึงได้ทำตัวโหดร้ายใส่ได้ แต่ผมก็รักพี่อยู่ดี” 

     

    โยฮันถอนหายใจอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้กับคำพูดของแฝดตัวเองแล้วจำใจดื่มกาแฟของเขาต่อ แต่ทว่าเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ดื่มต่ออย่างสงบเมื่ออีกฝั่งของคาเฟ่โดนระเบิดแล้วพวกเขาดันถูกลูกหลงด้วย… 

     

    "เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?” 

    “ระเบิดหนิเกิดขึ้นได้ไงเนี่ย” 

    “มีคนเจ็บด้วยรีบๆมาช่วยกันหน่อยเร็ว!” 

     

    เสียงเซ็งแซ่มากมายเริ่มดังขึ้นมารอบๆบริเวณที่เคยเป็นคาเฟ่มาก่อน ท่ามกลางเสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องกับเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นรอบๆอย่างไม่หยุดหย่อนพร้อมกลิ่นคาวเลือดกับกลิ่นเนื้อไหม้ผสมปนเปไปหมดจนต้องหันหน้าหนี 

    ฝาแฝดทั้งสองที่อยู่ริมหน้าต่างของคาเฟ่ได้แผลถลอกกับแผลใหญ่อีกหลายแผลเพราะเศษกระจกหน้าต่างกับแรงระเบิดที่ปะทะเข้ากับพวกเขา แต่ไม่มีใครแทบสังเกตเลยเพราะเสื้อกั๊กดำนั้นปิดรอยแผลไว้ได้หมด แต่ก็ถือว่าโชคดีมากที่ไม่เจ็บอะไรถึงขั้นส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไป แต่หากรู้ไม่ว่าเบื้องหลังของแรงระเบิดนั้นอยู่ใกล้กว่าที่คิด... 

     

    อาคุม่า มีอาคุม่าอยู่ไม่ไกลจากที่ทั้งสองอยู่...

     

    “ไหวมั้ยโยฮัน...” 

    “ไหวอยู่…แค่ปวดหัวนิดหน่อย” 

     

    แฝดคนน้องถามในขณะที่คลานไปหาพี่ชายฝาแฝดของเธอที่นอนกองกับพื้นในจุดที่ห่างจากเธอไม่มากนัก ทำให้เธอต้องรีบจัดการยกเศษอิฐกับเศษไม้จากอาคารที่ทับตัวเขาอยู่ก่อนจะลากเขาออกมาดูอาการให้แน่ชัด ซึ่งก็โชคดีมากที่จุดที่ตัวแฝดคนพี่ถูกทับไว้นั้นมีคานไม้คั้นอยู่ด้วยทำให้ไม่มีอะไรหล่นลงมาทับถูกร่างตรงๆ 

     

    “บาดเจ็บกันรึเปล่าทั้งสองคน” 

     

    เสียงที่ไม่คุ้นเคยชายร่างสูงในชุดเครื่องแบบสีดำที่คุ้นตารีบวิ่งเข้ามาหาสองแฝดที่นั่งประมวลผลสิ่งที่เกิดอยู่อย่างร้อนรนก่อนจะอุ้มเด็กทั้งสองออกมาเพื่อความปลอดภัยเมื่อเสียงกรีดร้องยังคงดังขึ้นมาซึ่งเด็กที่โดนอุ้มทั้งสองนั้นต่างก็เลิกคิ้วเล็กน้อยกับการกระทำของอีกฝ่ายก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายชัดๆ 

    อีกฝ่ายนั้นเป็นชายร่างสูง อายุประมาณยี่สิบปลายๆไม่ก็สามสิบต้นๆ เขามีผมน้ำตาลอ่อนเหลือบเทาที่ฟูและถูกมัดรวบเป็นหางม้าไว้ ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนนั้นฉายแววร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด แต่ตัวโยชัวนั้นไม่มีวันลืมได้อย่างแน่นอนถึงหนึ่งในเสาหลักสำคัญของเนื้อเรื่อง 

     

    “รีบๆออกไปก่อนเร็วตรงนี้มันอันตราย” 

     

    เสียงระเบิดดังขึ้นมาอีกครั้งส่งผลให้ตัวโยชัวหลุดร้องออกมาเล็กน้อยพร้อมกับแขนทั้งสองที่กอดตัวฝาแฝดของตัวเองไว้ไม่ปล่อยเมื่อเธอเห็นเศษซากของตึกพังลงมาใส่พวกเขาอีกครั้ง แต่ทว่าก่อนจะรู้ตัวร่างของพวกเขากลับถูกอุ้มขึ้นมาโดยชายแปลกหน้าที่วิ่งเข้ามาหาพวกเขาก่อนหน้านี้โดยที่ตัวแฝดคนพี่นั้นถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนขณะที่ตัวคนน้องถูกอุ้มขึ้นพาดบ่า 

    ไม่มีคำว่าปริปากบ่นหรืออะไร เอ็กโซซิสท์ขั้นเสนาธิการกระชับแขนทั้งสองข้างที่อุ้มร่างพี่น้องฝาแฝดทั้งสองคนไว้แล้ววิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุที่ตอนนี้เริ่มมีกลุ่มควันมากมายบดบังทัศนวิสัยของผู้คนไว้ ไม่ใช้มีชีวิตไหนมองเห็นความจริงที่เกิดขึ้น เว้นแต่โยชัวที่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อยู่ชัดเจนยิ่งกว่าใคร 

     

    Αντίο, την προσευχή μας… Αντίο, οκόσμος μας… 

    อำลาแด่เหล่าคำสวดภาวนา… อำลาแด่โลกาของเรา… 

     

    แฝดคนน้องเอ่ยบทสวดคำภาวนาที่สลักอยู่บนรอยสักรอบข้อมือทั้งสองอย่างเงียบงัน เริ่มจากซ้ายซ้ายก่อนตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดพร้อมกับมือข้างหนึ่งที่เอื้อมลงไปหยิบลูกดอกในกระเป๋าสะพายขึ้นมา 

    เพียงชั่วพริบตาที่เล็งเป้าหมายได้ มือข้างที่ถือลูกดอกพลันกลายเป็นโครงกระดูกในชั่วพริบตา ลูกดอกในมือถูกปาออกไปอย่างรวดเร็วจนเรียกได้ว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ ลูกดอกที่ถูกปาออกไปแปรเปลี่ยนเป็นหอกแสงเล่มยาวพุ่งทะลุผ่านอาคุม่าที่เป็นตัวก่อเหตุทั้งหมดก่อนที่มือของโยชัวจะกลับสู่รูปลักษณ์ปกติของมันพร้อมกับสติที่ขาดช่วงด้วยกันกับเสียงกรีดรองของอาคุม่าที่สลายไป 

     

    “ย…โยชัว! โยชัว! เป็นอะไรรึเปล่าโยชัว!” 

     

    โยฮันที่พึ่งได้สตินั้นร้องขึ้นมาเมื่อเห็นแฝดของเขาหมดสติไปดื้อๆบนไหล่ของเสนาธิการที่พาพวกเขามาส่งในที่ปลอดภัยนอกเขตสงคราม ซึ่งทันทีที่พวกเขาถูกวางลงกับพื้นโยฮันก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปดูอาการน้องของเขาในทันที 

    ไม่มีบาดแผลภายนอกในจุดที่สามารถมองเห็น มีเพียงแค่ความชุ่มบนแผ่นหลังเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าบาดแผลที่มองไม่เห็นนั้นดูสาหัสกว่าที่คิด กับอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นจนน่ากังวล ทว่าถึงแบบนั้นตัวโยชัวที่เผลอใช้พลังไปครั้งแรกก็ยังสามารถรู้สึกตัวได้อยู่ดี 

     

    “พี่ครับ?... โยฮัน…นี่ผม…” 

    “โล่งอกไปที…โล่งอกไปที! นึกว่าจะตายเพราะแรงระเบิดซะแล้ว” 

     

    โยฮันที่บาดเจ็บน้อยกว่าโยชัวกอดร่างของคนที่ตัวเล็กกว่าเบาๆพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้กระเทือนบาดแผลมากจนเกินไปก่อนจะหันไปหาเอ็กโซซิสท์ที่เป็นคนช่วยพวกเขาไว้บ้างแม้ว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นมือที่ลูบหัวพวกเขาทั้งสองคนอย่างอ่อนโยนก็ตาม 

    ความอบอุ่นของฝ่ามือของชายผู้อ่อนโยนทำให้พวกเขาทั้งสองต่างชะงักไปกับความอบอุ่นที่พวกเขาแทบไม่เคยได้รับจากใครจนดวงตาของฝาแฝดทั้งสองเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาร้องไห้สักหน่อย… 

     

    “ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมกับน้องไว้” 

    “ไม่เป็นไร แต่ทางที่ดีพวกเธอรีบกลับบ้านไปเถอะ แล้วพ่อแม่พวกเธออยู่ไหนกันล่ะให้เด็กตัวเล็กๆสองคนออกมาเดินข้างนอกมันอันตรายไม่ใช่เหรอ” 

     

    ความลังเลปรากฏขึ้นในท่าทีของแฝดคนพี่ขณะที่เขาช่วยดึงน้องของตัวเองให้ลุกขึ้นมา แต่ทว่าไม่ทันจะได้ตอบเสียงระเบิดกลับดังขึ้นมาอีกครั้งเป็นสัญญาณให้ตัวเอ็กโซซิสท์ได้กลับไปทำหน้าที่ของเขา เช่นเดียวกับฝาแฝดทั้งสองที่รู้ตัวว่าพวกเขาเองก็สมควรหนีบ้าง 

    พวกเขาทั้งสองใช้เวลาที่ตัวเสนาธิการกำลังติดต่อกับโกเล็มสื่อสารอยู่ในการจูงมือกันวิ่งเข้าไปในตรอกเล็กๆที่อยู่อีกฝั่งของถนนพร้อมกับเสื้อโค้ทกันหนาวที่ถูกนำออกมาคลุมหัวไว้ให้พวกเขากลมกลืนไปกับฝูงชน 

    ทิ้งไว้เพียงแค่เสนาธิการแว่นที่พยายามเรียกพวกเขาด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น ทว่าเมื่อรู้ว่าสายเกินไปที่จะหยุดเด็กทั้งสอง เขาก็วิ่งกลับไปที่สนามรบอีกครั้งเพื่อกำจัดศัตรูก่อนที่จะมีคนตายเพิ่ม 

     

    เมื่อความวุ่นวายจากหายไปพอมารู้ตัวอีกทีก็ถึงตอนเย็นซะแล้ว… 

     

    ร่างเล็กทั้งสองที่วิ่งมาถึงที่ชานเมืองนั้นต่างก็ได้แต่นั่งเหม่อมองลานน้ำพุอยู่ที่ม้านั่งเงียบๆ กับความเจ็บปวดของแผลที่พวกเขาได้รับมาทว่าฝั่งโยฮันเหมือนจะกำลังสนอกสนใจพลังของการดึงดูดสัตว์ของเขาอยู่ไม่น้อยเพราะหลังจากที่พวกเขาเดินหลบออกมาจากคาเฟ่ที่โดนระเบิดไป เหล่ากระรอกทั้งหลายแหล่ก็วิ่งตามกันมาเป็นพรวน 

    ซึ่งเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆเหล่านี้ก็ติดโยฮันเป็นว่าเล่นจนถึงขนาดไต่ขึ้นไปนอนบนหัวของเขาเลยก็ว่าได้แต่มันก็ไม่ได้มีแค่กระรอกที่เขาสามารถดึงดูดเขาที่นั่งอยู่เป็นชั่วโมงก็มีนกพิราบบินมาแวะเวียนเป็นบางครั้งทำให้ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว 

     

    "เด็กๆทั้งสอง สนใจจะฟังเพลงหน่อยมั้ย?" 

     

    เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาเบื้องหน้าของเด็กน้อยทั้งสองคนเรียกความสนใจไปสิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือชายชราในชุดนักเดินทางเก่าๆกับไวโอลินคันงามในมือรอยยิ้มอบอุ่นของชายชราที่มอบให้ทั้งสองนั้นเหมือนรอยยิ้มของปู่ที่มอบให้หลานๆตัวน้อยที่น่ารักทำให้ทั้งสองอดยิ้มออกมาไม่ได้ 

    ก่อนที่เสียงของชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่รอบๆที่เห็นร่างอันคุ้นเคยของชายชรานักเดินทางที่ถูกเรียกว่าคุณปู่นั้นจะเริ่มแย้มยิ้มอย่างยินดีตาม เมื่อชายชรานั้นกำลังจะสีไวโอลินให้ฟังอีกครั้งทำให้เด็กน้อยทั้งสองเอียงคอด้วยความสงสัย ทว่าชายชรานั้นกลับเริ่มบรรเลงทำนองเพลงแสนสนุกออกมา 

    ทันทีทำนองเพลงระดับปานกลางที่ฟังได้ไม่รู้จักเบื่อชายชราผู้สีไวโอลินนั้นบรรเลงเพลงออกมาอย่างไพเราะผ่านไวโอลินคันงามที่เหมือนจะเป็นสมบัติของเขา บรรยากาศโดยรอบของลานน้ำพุก็ถูกแปลเปลี่ยนเป็นเหมือนงานเลี้ยงเล็กๆ โดยมีฝาแฝดที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งเป็นตัวจุดชนวนทุกอย่างด้วยเสียงตบมือประกอบจังหวะ ทำให้คนที่อยู่รอบๆต่างก็ตบมือไปตามจังหวะด้วย 

     

    "ปู่ครับผมขอลองเล่นได้มั้ย" 

     

    โยชัวถามชายชราด้วยท่าทีที่สุภาพเหมือนกับเด็กที่กำลังขอขนมอยู่ทำให้รอบข้างนั้นค่อยๆเงียบลงและทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างเล็กผมดำที่ผูกผ้าปิดตาไว้ ซึ่งตัวชายชราผู้นั้นก็ทำได้แต่ยิ้มแล้วลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดูก่อนจะส่งไวโอลินคันงามให้อีกฝ่ายไปโดยไม่ลังเล 

    ร่างเล็กรับไวโอลินมาอย่างถนุถนอมแล้วยกขึ้นในท่าเตรียมพร้อม โยฮันได้แต่ยิ้มอย่างนึกสนุกไม่น้อยเพราะฝีมือการเล่นดนตรีที่เขากับน้องเรียนมาด้วยกันเขาแทบจะเทียบฝีมือกับโยชัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำส่วนจะเป็นด้านดีหรือลบมันก็แล้วแต่อีกฝ่ายจะนึก 

    โยชัวหัวเราะออกมาก่อนที่บทเพลงจะถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้งซึ่งมันก็ไพเราะไม่น้อยหน้าไปกว่าที่ชายชราบรรเลงไว้แม้แต่น้อย 

    แล้วเสียงรื่นเริงก็ดังตามมาอีกครั้งไปพร้อมๆกับเสียงไวโอลินสองคันที่เป็นปัจจัยหลักของความบันเทิงนี้และแล้วเย็นของวันแห่งการเริ่มต้นก็ถูกจบลงด้วยเสียงเพลงกับเสียงหัวเราะแห่งความสุขกับเหล่าผู้คน ซึ่งสามารถทำให้แฝดทั้งสองลืมเลือนเรื่องแผลของพวกไปได้โดยไม่รู้ตัว 

     

    เป็นการฆ่าเวลาเพื่อลืมความเจ็บปวด

     

    ช่วงเวลาของความสนุกมีไว้ให้พวกเขาลืมเลือนความเจ็บปวดของบาดแผลไป แต่มันก็เท่านั้นก่อนที่เมื่อยามทิวาสิ้นสุด ความเหนื่อยล้าที่ไม่คุ้นเคยในชีวิตใหม่นี้ก็ย้อนกลับมาสู่ร่างกายของพวกเขา 

    ซึ่งโยชัวที่ยังมีสถานะแข็งแรงกว่าแฝดคนพี่นั้นทำหน้าที่แบกแฝดของตัวเองกลับไปยังที่พักหลังจากที่อีกฝ่ายได้อาการปวดหัวเป็นผลข้างเคียงในการฝึกเหล่ากระรอกรวมถึงเรื่องสุขภาพของตัวเขาเองด้วย 

     

    “อึก…” 

     

    โยชัวที่ถึงขีดจำกัดของตัวเองกลั้นเสียงร้องไว้เมื่อเรี่ยวแรงของขาของเธอนนั้นหมดลงฉับพลันส่งผลให้พวกเขาล้มลงกับพื้นของถนนที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน

     

    “นี่ พวกเธอ เป็นอะไรรึเปล่า” 

     

    เสียงเล็กๆของเด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงและดวงตาสีเทาดังขึ้นมาจากเบื้องหน้าพร้อมกับเงาร่างของคู่เด็กชายกับผู้ใหญ่หนึ่งคนจะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา 

    แต่ทว่าก่อนจะได้ตอบอะไรกลับไปสติของโยชัวกลับคาดช่วงไปฉับพลัน เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เสียงร้องที่แตกตื่นของนักเดินทางทั้งสองเท่านั้น 

     

    ทว่านั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการเดินทางด้วยเช่นกัน…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×