ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Historia ผมในโลกคู่ขนาน (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #3 : วันที่...ไม่อยากจำเป็นครั้งแรก

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 60


            หลังจากพิธีปฐมนิเทศจบลง ทีนี่ก็เป็นคราวของพิธีปลุกพลังธาตุในตัวซึ่งมีเมอร์ลินเป็นคนนำพิธีต่อหน้าคณะอาจารย์ อัศวินและกษัตริย์ของพวกเขา ทำให้ทุกคนแลดูตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้เห็นความหล่อเหลาของกษัตริย์หนุ่มที่นั่งยิ้มมองพวกผมอยู่

            พิธีปลุกพลังธาตุในปีนี้ค่อนข้างเร็วพอสมควรเนื่องด้วยนักเรียนที่ค่อนข้างน้อยในลำดับคลาสที่สูงกว่าทำให้ตอนนี้เหลือแค่สี่ห้าคนในคลาสสามัญซึ่งผมก็ชักเริ่มจะหวั่นๆแล้วสิ อ๊ะ หวั่นๆว่าจะสะดุดบันไดต่อหน้าทุกคน แต่ในอีกใจกลับตื่นเต้นที่ว่าตนจะได้พลังแบบไหน เพราะถ้าเป็นธาตุไฟผมคงได้ไปไฟว์กับเจ้าแอทริธเป็นคนแรกแน่ๆ

     

            ว่าแล้วก็น่าสนุกจริงๆนั้นแหละ

     

            ผมเหลือบไปมองแอทริธนิดๆแล้วก็ต้องคิ้วกระตุกเมื่อมันยิ้มแล้วเหล่ไปทางกษัตริย์อาเธอร์กับพวกคณะอัศวินก่อนจะกลับมามองผมแล้วขยับปากอย่างไร้เสียงให้กับผมซึ่งผมบังเอิญอ่านออกพอดี แถมก็ต้องคิ้วกระตุกด้วยเมื่อมันบอกว่า “เป็นไงยังมั่นใจรึเปล่าล่ะว่าหล่อสู้พวกเราได้” แค่นั้นแหละของขึ้นเลย!

     

            แต่หล่อแล้วไงล่ะ หล่อแล้วกินได้มั้ยล่ะ เชอะ!

     

            “คนต่อไป อากาเรส ซัลเฟียร์”

     

            เสียงประกาศของคุณพี่เมอร์ลินที่ยืนรออยู่บนแท่นพิธีเอ่ยเรียกชื่อนักเรียนคนต่อไปซึ่งมันกำลังยืนเกร็งอยู่ข้างๆผมอย่างน่าสงสาร จะไม่ให้สงสารได้ไงก็มันเดินแล้วแขนกับขายังไปทางเดียวกันจนผมอดไม่ได้ที่จะวางมือไว้บนไหล่ของมันเพื่อเรียกสติ

     

            “อย่าเกร็งเลย ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยเชื่อผมสิ”

     

            ผมเผยรอยยิ้มออกมาแม้ใบหน้าจะถูกฮู้ดบังไว้แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการให้กำลังใจเด็กตรงหน้าผมเห็นมันเลิกคิ้วมองผมเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่ไม่เกร็งเหมือนเมื่อกี้แล้วยิ้มออกมาตอบผมเบาๆ

     

            “นั้นสินะ..ขอบคุณมากนะ”

     

            แล้วเขาก็เดินขึ้นไปบนแท่นพิธีด้วยความมั่นใจเต็มที่ ซึ่งเมอร์ลินที่เห็นทุกอย่างได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเด็กหนุ่มผมสีฟ้าอ่อนคนนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าให้เขาวางมือไว้เหนือหัวเพื่อดึงพลังธาตุออกมา

            พลันรากไม้ขนาดใหญ่กับสายน้ำก็ปรากฏขึ้นรอบตัวของเด็กหนุ่มผมฟ้าก่อนจะสลายกลายเป็นละอองลอยกลับเข้าไปในร่าง ซึ่งนั้นคือลักษณะพลังธาตุของเขา ผ่าเหล่าสองธาตุมันเป็นเคสที่พิเศษสำหรับโลกนี้เลยทีเดียว

            พลังธาตุคือพลังที่สถิตอยู่ในร่างมนุษย์ทุกคนบนโลกซึ่งแบ่งออกเป็นสองแบบคือสายสมดุลและสายเบื้องต้น สายเบื้องต้นนั้นประกอบด้วย น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า น้ำแข็ง ไม้และเหล็กกล้า เป็นธาตุที่ประกอบทุกอย่างบนโลก แต่ล่ะคนจะมีธาตุในร่างแค่หนึ่งอย่างแต่มันเป็นเคสพิเศษของอากาเรสที่มีธาตุไม้กับธาตุน้ำในตัว

     

            ดูท่าแล้วว่ามันน่าจะมีตำแหน่งรออยู่ในอนาคตซะแล้วสิ น่ายินดีๆ

     

            ส่วนพลังสายสมดุลก็มีแค่สองธาตุคือแสงและความมืดที่ค่อนข้างหายากแบบหนึ่งในร้อยล้านซึ่งหนึ่งในร้อยล้านที่ว่าก็นั่งหล่ออยู่ในห้องพร้อมคณะอัศวินเนี้ยแหละ ถามว่ามันดียังไงเท่าที่อ่านเจอในหนังสือมันบอกไว้ว่าคนที่มีธาตุสายสมดุลจะสามารถควบคุมธาตุเบื้องต้นได้อีกสี่ธาตุ เป็นอันจบเรื่องด้วยสกิลโกงล้มบอสได้ในพริบตา

     

            คนที่มีธาตุสมดุลเลยได้รับบทเทพทรูในพริบตา

     

            หลังจากที่ประกาศธาตุของเด็กผมฟ้าแล้วเมอร์ลินก็ไล่ดูรายชื่อในลิสอีกครั้งก่อนจะมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มบางๆแล้วประกาศชื่อผมออกไปอย่างเสียงดังฟังชัดทำให้เสียงซุบซิบของผู้คนที่ได้เห็นเด็กผ่าเหล่าสองธาตุเงียบลง

     

            “คนสุดท้าย เคดาจ โรลัน”

     

            อ๊ะถึงตาผมแล้วล่ะอ่าๆ ตื่นเต้นซะแล้วสิ แต่ไม่ทันจะได้เหยียบขึ้นไปบนบันไดของแท่นพิธีศิษย์รักรุ่นพี่ใจดีก็กระตุกชายเสื้อคลุมแล้วเข้ามากระซิบบอกผมเบาๆ

     

            “อาจารย์ถอดฮู้ดด้วยครับ”

            “โอ๊ะ...จริงด้วยขอบคุณมากนะ”

     

            จริงๆแล้วก็ไม่อยากถอดหรอกแต่ถ้าพวกเขาไม่ให้ผมใส่ไว้ผมเลยต้องดึงฮู้ดขึ้นให้ทุกคนได้เห็นหน้าธรรมดาสามัญของผมขณะที่เดินขึ้นบันไดแท่นพิธี ซึ่งอา...ไม่รู้สิเทียบแล้วคงไม่ได้สักส่วนของแอทริธเลยมั้ง ก็ผมมันสามัญหาได้ทั่วไปตามตลาดหนิ

            แอทริธที่นั่งอยู่กับคณะอาจารย์ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นอาจารย์ของตัวเองเดินขึ้นไปบนแท่นพิธีแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าพ่อมดหนุ่ม ถ้าเขาอ่านใจเด็กผมขาวนั้นได้เข้าจะพูดตรงๆเลยว่า มึงคิดผิด

            รูปร่างของเคดาจไม่ได้หาได้ง่ายๆตามท้องตลาดแน่เมื่อมองสภาพโดยรวมตอนนี้ เรือนผมสีขาวบริสุทธิ์ยาวสยายดุจเส้นไหมก็ไม่ปานถูกรวบไว้หลวมๆ ในขณะที่นัยน์ตาสีน้ำเงินม่วงเปล่งประกายคลายสีของราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาวคมกล้าฉายแววอ่อนโยนพอๆกับนักบุญ อกผึ่งผาย หลังเหยียดตรง ใบหน้าอ่อนเยาว์หากแต่หล่อเหลาแบบน้อยคนนักที่จะเทียบเคียงได้ แม้แต่ท่วงท่าก้าวเดินนั้นก็ดูสง่างามและองอาจราวกับราชาของประเทศไหนสักแห่ง

            เขาอยู่กับเคดาจมาตั้งแต่เด็กๆเห็นการเปลี่ยนแปลงตลอด ได้ยินเสียงเจ้าตัวบนว่าอยากหล่อเหมือนเขาบ้างจนตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะแหย่เล่นตามประสาพี่น้อง เขารู้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจรูปลักษณ์คนอื่นมากกว่าตัวเองจน หากตอนนี้เขาพูดว่าหน้าของเขามันธรรมดา ศิษย์คนนี้จะเป็นคนแหกตาให้อีกฝ่ายมองกระจกดีๆแน่

     

            สนใจตัวเองบ้างเหอะคนทั้งห้องอยากฉุดแกกันจะแย่แล้วนะ!

     

            ไม่รู้ว่าหน้าของผมมันธรรมดาสามัญจนน่าผิดหวังรึเปล่าแต่ตอนนี้ทุกคนในห้องเงียบกริบราวกับลืมเสียงไว้ที่บ้านก็ไม่ปานดูสิขนาดคณะอัศวินกับกษัตริย์อาเธอร์ยังทำสีหน้าแปลกๆด้วย ฮือ...ใช่สิผมมันไม่หล่อ ผมมันแค่สามัญชน

             เมอร์ลินที่พึ่งได้สติดำเนินพิธีต่อโดยการวางมือไว้เหนือหัวคนผมขาวเพื่อดึงพลังธาตุออกมา

            ครั้นพอจะร่ายเวทออกไปแสงสว่างสีเงินเรืองรองก็ส่องลงมาบริเวณที่คนผมขาวคุกเข่าอยู่พร้อมกับขนปีกสีขาวสะอาดที่ร่วงหล่นลงมาอย่างแผ่วเบา เมื่อคนผมขาวลืมตาสายลมอ่อนๆก็พัดเหล่าขนปีกขึ้นมาก่อตัวเป็นปีกขนาดใหญ่ที่กลางหลังของเด็กหนุ่มผมขาว ทำให้ภาพตรงหน้านั้นช่างเหมือนเทวดาลงมาจุติบนพื้นโลกก็ไม่ปาน

            เขามองเห็นอีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างงดงามด้วยดวงตาสีดำที่เต็มไปด้วยความวางเปล่าก่อนที่ทุกอย่างจะหายไปกลายเป็นละอองสีเงินกลับเขาไปในตัวคนผมขาวทำให้ทุกอย่างเงียบกริบยิ่งกว่าเดิม

     

            “....เอ๊ะ...อ่า นี่ผมทำอะไรลงไปงั้นหรอครับ”

     

            โอเคมันเริ่มน่ากลัวแล้วทุกคนจ้องผมเหมือนตัวประหลาดมาเยือนโลก ดูสิขนาดเมอร์ลินยังนิ่งไปเลย อ๊ะหรือว่าหน้าตาผมมันแย่ถึงขนาดรับไม่ได้ โหย..แล้วแบบนี้ผมจะหาเจ้าสาวยังไงกัน!

            ผมยังไม่รู้เลยนะว่าธาตุของตัวเองคือธาตุอะไรแต่เหมือนจู่ๆทุกอย่างก็มืดแล้วค่อยสว่างอีกทีเหมือนใครปิดไฟในหัวไม่มีผิด แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกัน

     

    ตึง!

     

            เสียงปลายไม้เท้าของพ่อมดหนุ่มดังก้องขึ้นมาทั่วห้องพร้อมไอเวทขนาดเล็กที่ทำให้เกือบทุกชีวิตในหอประชุมใหญ่หมดสติเว้นแค่อาจารย์บางท่านกับราชาตรงนั้นอ๋อแล้วแน่นอนผมก็มีสติอยู่แหละ

            ผมควรทำไงต่อวิ่งดีไหม ไม่อีกฝ่ายใช่เวทจับได้แน่ ใช้เวทนี่ก็ครึ่งๆกลางๆว่าจะไม่สำเร็จจับคนเป็นตัวประกัน...น่าลองเว้ย นับว่าเป็นการตัดสิ้นใจที่ผิดพลาดที่ผมไม่รีบหนี เพราะระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆเมอร์ลินก็เดินมาอยู่ตรงหน้าผมในระยะประชิดทำให้ต้องถอยหลังไป แต่ก็สายไปซะแล้วเมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวลงมาทาบริมฝีปากลงกับปากของผม

     

            ผมโดนขโมยจูบต่อหน้าต่อตา!

     

            ถึงแม้ว่าผมจะมั่นใจเรื่องแรงมากแค่ไหนตอนนี้มันกลับไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อยเมื่อได้ลิ้มรสจูบแรกในชีวิต แขนทั้งสองข้างถูกจับยึดไว้กับที่ไม่ให้ผมถอยหลังหนีไปไหน มันเป็นจูบที่รุนแรงและหนักหน่วงจนผมอดไม่ได้ที่จะโวยวายออกไป แต่นั้นกลับเป็นความคิดที่ผิดมหันเพราะมันเป็นการเปิดให้อีกฝ่ายแทรกลิ้นนุ่มเข้ามาในโพรงปาก ช่วงชิงทุกลมหายใจจนขาเริ่มหมดแรงอยู่ตรงนั้น

            สติของผมเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้แต่สมองก็เกือบจะขาวโพลน เมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวว่าเหมือนผมจะไม่ไหว เขาก็ยอมผละออกไปแม้จะรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อยแล้วยิ้มออกมาอย่าน่ามั่นไส้

     

            “น่าสนใจจริงๆ”

     

    เปรี๊ยะ...

     

            เสียงของเส้นกั้นบางๆที่กั้นความอดทนไว้นั้นถึงกันพังลงมาอย่างง่ายดายทันทีที่อีกฝ่ายปริปากพูด ไม่รู้ว่าโกรธมากแค่ไหนแต่เวลานี้ผมกลับซัดหมัดใส่หน้างามๆของอีกฝ่ายจนกระเด็นไปไกลลิบแล้ว

     

            “น่าสนใจบ้านคุณสิ! มาจูบกันแบบนี้คิดบ้าอะไรของคุณกันครับ!

     

            ผมตะโกนออกไปสุดเสียงหลังจากที่ได้ต่อยหน้าอีกฝ่ายแบบเต็มแรงพร้อมความรู้สึกต่างๆนาๆที่ไม่เคยมีมีก่อน ทั้งโกรธที่ถูกขโมยจูบ อายที่โดนต่อหน้าต่อตาชาวบ้าน สับสนไม่รู้ว่าควรทำไงต่อไปแต่ถึงงั้นผมก็เลือกที่จะหนี

            เวทเคลื่อนย้ายถูกร่ายออกมาอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะมีใครหยุดผมไว้แม้แต่เมอร์ลินที่พึ่งลุกขึ้นมายังร่ายเวทสกัดไว้ไม่ทัน มันเป็นครั้งแรกที่ผมร่ายเวทออกมาเร็วแบบนี้เพราะงั้นเลยกำหนดจุดหมายไว้ไม่ได้ ต้องรอให้มันสุ่มจากความทรงจำเอง แต่ก็ดี ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่....

    .

    .

    .

    .

     

            “ท่านคิดอะไรของท่านกันเมอร์ลิน”

     

            กษัตริย์หนุ่มลุกขึ้นมาจากที่นั่งของตนหลังจากที่เด็กหนุ่มผมขาวหายไปบนใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดเล็กน้อยกับการกระทำของที่ปรึกษาของตนที่ทำให้เด็กหนุ่มที่น่าสนใจนั้นหนีหายไปแบบนี้

     

            “ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อมเพียงแค่สงสัยว่าแท้จริงพลังของเคดาจ โรลันนั้นเป็นเช่นใดกันแน่ เลยทำการตรวจสอบพลังที่ว่าเท่านั้น”

     

            พ่อมดหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มแม้ว่าจะถูกต่อยมาก็ตามในใจก็อดนึกชื่นชมอีกฝ่ายไม่ได้ที่สามารถต่อยทะลุผ่านเกราะเวทที่คลุมร่างจนร้าวแบบนี้

     

            “ถ้าเช่นนั้นท่านเมอร์ลิน ท่านบอกเราได้หรือไม่ว่าเด็กคนนั้นแท้จริงแล้วเขามีพลังอะไร”

     

            เมื่อโดนถามเช่นนั้นเมอร์ลินผู้ที่เคยยิ้มอยู่กลับยิ้มหวานกว่าเดิมแล้วขยับริมฝีปากตอบอย่างเสียงดังฟังชัดให้ทุกคนที่ยังมีสติได้รับรู้คำตอบ มันเป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปได้ในทันทีแม้แต่เซอร์แลนสล็อตที่นั่งหน้านิ่งยังต้องเบิกตากว้างเช่นเดียวกับอัศวินท่านอื่นๆ

     

            เด็กหนุ่มคนนั้น เคดาจ โรลัน...เขาเป็น......

    .

    .

    .

    .

    .

            ผมมาโผล่ที่ป่าอันคุ้นเคยอีกครั้งโดยที่ร่างกายอยู่ในโพรงต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ใกล้กับน้ำตกสูงชันใกล้กับป่าเอลฟ์และชิดกับทะเลสาบคริสตัล มันเป็นที่ๆผมใช้หลบผู้คนเพื่อพักผ่อนตอนนี้ก็บ่ายแล้ว พักตอนนี้แหละเดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปเข้าหอพัก

     

            “เคดาจ เจ้าหนีออกมาทำไม”

     

            ในขณะที่กำลังจะหลับตาลงเสียงอันคุ้นเคยของแอทริธก็ดังขึ้นมาจากนอกโพรงไม้ที่ผมอยู่ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง จริงสิ...เมื่อก่อนผมให้แอทริธรู้ที่ซ่อนของผมหนิ

     

            “โดนแบบนั้นผมแค่อยากสงบสติอารมณ์น่ะครับ”

            “เหรอ ข้าเข้าไปได้รึเปล่า”

            “ตามสบาย”

     

            ผมเขยิบตัวขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อนั่งพิงผนังของโพรงต้นไม้ในขณะที่รอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามา ในต้นไม้ต้นนี้หากผมไม่อนุญาตต่อให้เป็นจอมเวทที่ไหนมาบุกต้นไม้ต้นนี้ก็จะไม่มีวันโค่นล้มลงมา แต่ถ้าได้รับการอนุญาตแค่สัมผัสมันก็จะเปิดทางให้

            แอทริธที่อยู่ข้างนอกเดินเข้ามาข้างในโพรงไม้ด้วยท่าทีสงบนิ่งก่อนจะนั่งลงข้างๆผมแล้ววางมือลงบนหัวเพื่อลูบเส้นผมเบาๆ

            ผมชอบเวลาที่แอทริธทำแบบนี้ มันช่วยผมผ่อนคลายทำให้นึกถึงมือของคุณหมอคนนั้น คนที่อยู่เคียงข้างผมเสมอแม้จะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่เขาก็ดูแลผมอย่างดี ผมเลยอดไม่ได้ที่จะเอนหัวลงพิงไหล่อีกฝ่าย

     

            “แอทริธ ผม...ต้องกลับไปด้วยหรอ”

            “ก็แล้วแต่หากเจ้าไม่ต้องการที่จะกลับไปข้าก็จะอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้าจะยอมกลับไปที่สถาบัน”

            “พูดแบบนั้นผมยิ่งปฏิเสธไม่ลงนะครับ”

     

            ผมพูดจริงนะเนี้ยถ้าคนอื่นต้องลำบากเพราะผม ผมยิ่งรู้สึกผิดยิ่งแอทริธที่คอยดูแลผมด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ผมเลยได้แต่เงียบต่อไป

     

            “เคดาจอาจารย์ข้า...ไม่ว่าท่านเมอร์ลินจะคิดอะไรข้าคงตอบได้แค่ไม่รู้ แต่ท่านก็ควรกลับไปพร้อมกันกับข้า ต่อให้เป็นคณะอัศวินหากจวนตัวจริงๆ ท่านก็บินหนีสิ สู่อิสรเสรีที่แท้จริง ข้ามั่นใจหากเป็นท่านปีคู่นั้นต้องพาท่านไปได้แน่”

     

            เมื่ออีกฝ่ายใช้อีกสรรพนามผมก็ลืมตาขึ้นเงยหน้ามองใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายยิ้มให้รอยยิ้มที่นานๆครั้งจะโผล่ออกมา มันเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่อบอุ่นจนผมอดยิ้มตามไม่ได้

     

            “อ่า...ผมจะกลับไปแอทริธ แต่นายต้องสัญญานะว่าจะคอยช่วยผมน่ะ”

            “คิดว่าข้าเป็นใครกันเคดาจ มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วข้าจะดูแลเจ้าต่อไปจนกว่าเจ้าจะพร้อม”

     

            แม้จะอายุยี่สิบหกแต่ผมก็อดชื่นชมเขาไม่ได้จริงๆที่ยังคงความหล่อเหลานั้นไว้ได้ปานเด็กอายุสิบเก้า กระทั่งนิสัยที่ขัดกันแบบลงตัว อ่ะฮะฮะ...เขาเป็นศิษย์ที่ผมพักพิงได้ตลอดเลยสินะ และผมจะพักพิงเขาต่อไปจนกว่าจะพร้อม เหมือน นกที่รอคอยเวลาบินออกจากรัง

     

    ---------------------------------------------------------------

    อ่า น่ารักคู่พี่น้องต่างสายเลือดน่ารัก แอทริธเคดาจ เอ๊ะ เปิดมาพ่อมดมาแรงกว่าราชาชิงจูบเด็กน้อยไปก่อนบอกแล้วว่าเจ้านี่มันหลอกลวงประชาชน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×