คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : วันที่...วางแผนอยากฆาตกรรมชาวบ้าน
ผ่านมาสิบปีแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วซะจนแทบจำไม่ได้เลยทีเดียวตอนนี้ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านโดยสมบูรณ์ไม่ตอนที่เข้ามาในหมู่บ้านในวันแรก ผมน่ะจืดจางจนแทบจะไม่มีใครสนใจ
แต่พอเริ่มช่วยงานในไร่นาและหาพวกของป่าช่วยลุงเซทรา ทุกคนก็เริ่มสนิทกับผมมาขึ้นให้การต้อนรับเหมือนเป็นหนึ่งในครอบครัว ในขณะเดียวกันผมก็ตอบแทนพวกเขาด้วยการใช้เวลาไปกับการศึกษาสมุนไพรป่าจากพวกเอลฟ์ในป่าและเรียนดาบควบคู่ไปด้วย ทำให้ผมกลายเป็นเสาหลักของหมู่บ้านไปโดยปริยาย
ทำให้ทุกๆวันผมใช้ชีวิตแบบนี้จนเป็นกิจวัตร ทั้งตอนเช้าต้องช่วยงานในไร่กับคุณลุงเซทรา ช่วงสายไปหาของป่าหายากมาทำยา ตกบ่ายไปเรียนกับพวกเอลฟ์และตอนเย็นก็ล่าสัตว์กับแอทริธไม่ก็มาสอนเด็กๆในหมู่บ้าน
ตอนแรกๆพวกเขาที่อายุแก่กว่าไม่อยากฟังผมหรอกแต่พอหาเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับของในป่าไว้แกล้งชาวบ้านพวกเขาก็มาหาผมแล้วบอกให้เป็นอาจารย์ คิดสภาพออกมั้ยเด็กหกขวบเป็นอาจารย์ของเด็กโตๆน่ะ!
จากสองสามคนกลายเป็นสี่ห้าคนนับๆอีกปีกลายเป็นว่าเด็กเกือบทั้งหมู่บ้านมาเรียนกับผมซะงั้น ตั้งแต่อายุพอที่จะเรียนรู้เบื้องต้นยันพวกคนที่กำลังจะเข้าเรียน ทั้งศาสตร์และศิลป์ของภาษา วิชาดาบและศาสตรา และแน่นอนเรื่องเวท
ไม่มีใครสงสัยเรื่องที่ผมมีความรู้มากมายเกินอายุ เพราะพวกเขารู้ผ่านปากและของขวัญที่ได้รับมาในวันแรกที่มาถึงในโลกนี่ว่าผมเข้าไปในส่วนที่ลึกสุดของป่าเชอร์วู๊ดและได้รับไมตรีจากพวกเอลฟ์ จนกลายเป็นที่มาของความรู้และความสามารถพวกนี้
จากหกขวบกลายเป็นจะอายุสิบหกซะแล้วตามกฎของประเทศเมื่ออายุครบวาระเมื่อไหร่ก็ต้องเริ่มเข้าเรียนตามหลักสูตรสามัญที่เมืองหลวงเจ็ดปี เชื่อรึเปล่าว่าไอ้พวกที่ผมสอนไปเมื่อสิบปีก่อนจบมาจากที่นั้นด้วยคะแนนสูงสุดในระดับชั้นปีทั้งนั้น จนพอกลับมานี่แทบจะยกผมขึ้นขบวนแห่แล้วแห่ผมไปทั่วหมู่บ้านยกย่องให้ผมเป็นอาจารย์ซะงั้น
ไอ้พวกศิษย์เนรคุณบังอาจมาก!ทั้งๆที่ผมเรียนกับพวกเอลฟ์พวกเขายังไม่ให้คะแนนร้อยเต็มกับผม แต่นี้พวกมันกลับได้ร้อยเต็มเกือบทุกคนแถมยังคะแนนสูงกว่าผมอีก รับไม่ได้โว้ย!
“ท่านลุงแอทริธกำลังรอส่งท่านที่ท่าเรือให้ผมไปส่งนะ!”
“ลำบากเจ้าแย่เลยเคดาจ ขอบใจมาก”
วันนี้ท่านลุงเซทรากำลังจะย้ายไปหาภรรยากับลูกๆของเขาที่เมืองวาดิลเลนในขณะที่ผมกับแอทริธกำลังจะไปที่เมืองหลวงวันพรุ่งนี้ในฐานะนักเรียนและอาจารย์รู้นะว่าใครเป็นนักเรียนใครเป็นอาจารย์
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นผมเป็นอาจารย์ของว่าที่อาจารย์ที่กำลังจะมาสอนอาจารย์ตัวเองเนี้ยนะ บ้าเอ๊ย อย่ามาจ้ำจี้จ้ำไชให้มากล่ะกัน
เรือนผมยาวสีขาวบริสุทธ์ถูกรวบเป็นหางม้าสูง ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์กระโดดลงจากต้นไม้แล้วลงไปยืนเบื้องหน้าชายวัยกลางคนอย่างมั่นคง ใบหน้าหล่อเหลาในแบบสามัญชนแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตรเมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่าย
“ไปกันเลยนะครับ”
เวทบทเล็กที่ใช่ในการเคลื่อนย้ายถูกร่ายขึ้นมาเบาๆครอบคลุมพื้นที่ผมกับคุณลุงอยู่พลางทิวทัศน์รอบข้างก็เปลี่ยนไปเป็นท่าเรือที่อยู่อีกฝั่งของหมู่บ้าน และแน่นอนเจอคนที่คุ้นเคยอีกคนหนึ่ง
“ท่านลุง เคดาจมาทันเวลาพอดีเลยเรือกำลังจะออกในไม่ช้าแล้วล่ะ”
ไอ้หนุ่มหน้านิ่งแอทริธที่ตอนนี้อายุยี่สิบหกพึ่งจบจากสถาบันและกำลังจะได้รับตำแหน่งอาจารย์ที่นั้น ที่เข้ารับผมในตอนแรกผมรู้แล้ว เพราะเขาเป็นห่วงทั้งผมและท่านลุงของเขาหลังจากที่ผมอยู่ที่หมู่บ้านอาทิตย์หนึ่งเขาก็ไปเรียนตามกฎของประเทศ
หน้านิ่งๆแต่นิสัยมุ้งมิ้งนะจะบอกให้ ไอ้ซึนเนี้ย
“คงจะไม่ได้เจอกันอีกนาน พวกเจ้าไปเรียนก็อย่าฆ่ากันตายนะ รู้ด้วยว่าใครศิษย์ใครอาจารย์ เคารพกันและกัน ก่อนไปต้องล็อกประตูบ้านเอาเจ้าฟูฟี้ไปฝากไว้ที่บ้านของอาร์เน่ระหว่างที่พวกเจ้าไป พอไปแล้วก็ต้องอาบน้ำแปรงฟันสม่ำเสมอ กินอาหารให้ครบห้าหมู่ ถ้าเป็นหวัดให้รีบกินยาแล้วพักผ่อนซะ แล้ว..แล้ว..อ๋อ อย่าหลงเชื่อคนง่ายๆ ไม่รับของจากคนแปลกหน้า ถ้าเห็นว่ากำลังเจออันตรายซัดมันไม่ก็หนี จำไว้นะทั้งสองคน”
โอเคลุง เยอะไป นั้นค้างคาหรือคำสั่งเสียอะผมอยากรู้ให้มาซะยาวเป็นหางว่าวเลย แต่แอทริธที่หน้านิ่งอยู่ข้างๆก็ดันเป็นคนถามออกไปแทน
“นั้นเรื่องค้างคาหรือคำสั่งเสียท่านลุง ข้าฟังไม่ทัน โอ๊ย!”
“นั้นปากเจ้าเหรอแอทริธ ข้าพูดไปเพราะเป็นห่วงพวกเจ้านะเว้ย! หัดดูเคดาจบ้าง เห็นมั้ยรับคำที่ข้าสั่งแล้วพยักหน้าอย่างว่าง่ายเลย นั้นแหละเด็กดีเจ้าหลานบ้า!”
ลุงคือ...ผมอะคิดแต่ไมกล้าถามออกไปอะ ว่าแล้วก็เหลือบมองแอทริธที่เหลือบมองมาทางผมเป็นเชิงคำถามว่า มึงรับด้วยเหรอซึ่งผมก็แหลด้วยการพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปกอดลาคุณลุงที่ช่วยดูแลผมมาตลอด
“ท่านลุงขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาครับ”
“ข้าก็ดูแลเจ้าเหมือนเป็นลูกชายของข้าจริงๆเคดาจ เวลาผ่านไปเร็วจนข้านึกเสียดายจริงๆ ทั้งที่ยังเห็นเจ้าเป็นแค่เด็กแอ๊บผู้ใหญ่แท้ๆ”
ก็เป็นผู้ใหญ่แล้วมาแอ๊บเด็กมันพิลึกหนิ
“ครับๆท่านลุง ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“อือ..ข้าไปก่อนนะถ้ามีโอกาสก็มาหาข้าบ้างล่ะ”
คุณลุงโบกลาพวกเราเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขึ้นเรือไป ปล่อยให้แอทริธหันมาจ้องผมแทน ผมก็เลยหันไปแยกเขี้ยวใส่
“ อย่ามายุ่งกับผมล่ะกันแอทริธ ถึงจะเป็นอาจารย์แต่ผมก็อาจารย์คุณนะ”
“ เหอะ..ใครเขาจะไปอยากยุ่งกับเจ้ากันไอ้หงอก”
“ เฮ้ย พูดงี้มาต่อยเลยดีกว่าไอ้ศิษย์เนรคุณบังอาจทำร้ายจิตใจอาจารย์บังเกิดเกล้าได้นะ”
“ ได้ไอ้อาจารย์บ้า เข้ามาถ้าข้าทำให้เจ้าเชื่องไม่ได้ตอนไปเรียนอย่ามาเรียกว่าอาจารย์เลย”
“ก็สวยดิแอทริธ!”
นี่แหละไอ้ตีกันตายที่ลุงแกว่า ลุงแกเขาห่วงเรื่องนี้ที่สุดนอกเหนือจากการทำอย่างอื่น และแล้วเย็นวันนั้นก็จบลงด้วยเหตุตีกันอันเป็นเรื่องปกติของผมกับแอทริธ และเตรียมตัวไปที่เมืองหลวงกันด้วยเวทข้ามมิติ
.
.
.
.
.
“พร้อมรึยัง”
“เออ...”
ผมในวันนี้ได้รับชุดนักเรียนของสถาบันมาตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยเวทขนส่งของทางหลวง เครื่องแบบนักเรียนอันประกอบไปด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในกับกางเกงสีเดียวกันและเสื้อกั๊กสีดำทับด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มในขณะที่แอทริธใส่ชุดคลุมสีดำขลิบเงินพร้อมผ้าพาดไหล่ของอาจารย์ประจำสาขาวิชาศาสตร์และศิลป์แห่งดาบ
ดูดีจนน่ามั่นใส่ไอ้หัวดำซึนเดเระเอ๊ย!
หลังจากบอกลาผู้คนในหมู่บ้านผมเข้าไปแวะเวียนและบอกลาเหล่าผู้ที่อยู่ในป่า พวกเขาให้สร้อยผลึกคริสตัลจากทะเลสาบเป็นของขวัญเพื่อคุ้มครองก่อนจะส่งกลับไปที่หมู่บ้าน
ในเมื่อเมืองหลวงอยู่ไม่ห่างนักพวกเราเลยใช้เวทเคลื่อนย้ายไปในวันเปิดเรียนแทนการนั่งรถม้า แอทริธเป็นคนดูแลเรื่องบทร่ายในขณะที่ผมดูแลเรื่องวงเวทแบ่งหน้าที่แบบผมอะขาดทุนเต็มๆ
วินาทีที่แสงจากวงเวทหายไปจัตุรัสหน้าสถาบันก็ปรากฏขึ้นในสายตา มันกว้างขวางมากจนมองแทบไม่เห็นว่าอีกฝั่งนั้นมีอะไร ทั้งผมและแอทริธต่างแยกย้ายกันไปคนล่ะที่ซึ่งผมเองก็มองหาที่ของนักเรียนชั้นสามัญอยู่
สถาบันแห่งอัศวินวัลฮาเรียแบ่งออกเป็นห้าเขต เขตหอพักที่แยกตามบ้านและฐานะ เขตอาคารเรียนที่แยกตามหลักสูตร อาคารกลางที่เชื่อมต่อไปยังปราสาทสนามกีฬาและเขตพักผ่อน
ที่นี่แบ่งแยกนักเรียนเป็นสี่ประเภทชุดคลุมสีขาวของราชวงศ์ สีดำของขุนนาง สีแดงของคนที่มีฐานะสูงส่ง และสีน้ำเงินของสามัญชน แต่ล่ะประเภทจะมีนักเรียนทั้งหมดเจ็ดชั้นปีแบ่งตามเข็มกลัดบนอกเสื้อและจำนวนดาวที่อยู่บนนั้น
อ่าๆ.. ยุ่งยากไม่อยากเรียนโว้ย! พูดจริงเรียนกับเอลฟ์ยังโอเคกว่าเพราะอะไรน่ะหรอเดี๋ยวก็รู้
วินาทีที่เข้ามาในอาคารของกลุ่มนักเรียนชั้นสามัญ สายตาของกลุ่มนักเรียนทั้งชั้นเดียวกันและชั้นที่สูงกว่าหันมาทางผมก่อนที่พวกเขาจะกู่ร้องแล้วกรูเข้ามายกผมขึ้นแห่ไปทั่วลานกว้างข้างในตัวอาคาร
“อาจารย์เคดาจ!”
“อาจารย์ข้าไม่เข้าใจเวทบทนี้ท่านช่วยข้าหน่อย!”
“ อาจารย์มาเป็นคู่ซ้อมดาบข้าที!”
“อาจารย์ข้าจำสิ่งที่ท่านบอกปีก่อนไม่ได้”
“อาจารย์คิดถึงมากเลยสอนข้าอีกนะ ปีสุดท้ายข้าอยากได้ร้อยเต็ม”
โหยดูมันขอมาแต่ล่ะคน ไม่เอาไม่สอนโว้ย!
ผมสูดหายใจเข้าไปลึกๆพลางทำให้จิตใจสงบนิ่งยกมือขวาขึ้นมาเหนือหัวก่อนจะเหยียบหัววิ่งเฉาะมือลงมาแบบแจกทุกคนให้ได้แบบเท่าเทียมกันแล้วตะโกนอย่างไม่อายใคร
“ไอ้พวกศิษย์บ้านั่งลงให้หมด!!!!”
พรึบ
แล้วพวกเขาก็พร้อมใจกันวางผมลงแล้วถอยไปสองสามก้าวเพื่อนั่งลงแล้วจ้องผมไม่ต่างจากหลายปีก่อนที่เข้ามาให้ผมสอน จนผมต้องถอนหายใจ ยังมีเวลาอีกสามชั่วโมงก่อนปฐมนิเทศผมจึงพยักหน้าแล้วเรียกทุกคนเข้ามาให้ถามแบบรายบุคคล
“บทนี้อักขระนี้ให้เขียนโค้งเข้ามาเพื่อเรียกสิ่งที่เป็นเจ้าของ”
“หญ้านินาริสถ้าไปผสมกับใบของดอกมอร์ดูแล้วเอาไปละลายในน้ำแร่มันจะกลายเป็นยาสมานแผลชั้นดี”
“ พวกที่อยากให้ประดาบแยกออกมาทางสนามฝึก”
“ปีก่อนผมพูดไปแล้วว่าธาตุอะไรมันข่มธาตุไหนได้บ้างน่ะลองวนขวาไม่ใช่วนซ้ายแล้วจะเจอคำตอบเอง”
“แล้วก็นะเรื่องร้อยเต็มผมช่วยไม่ได้ทำตามใจเถอะ”
ผมตอบคำถามร้อยแปดอย่างที่พวกเขาพลัดกันถามเข้ามาเมื่อถามเสร็จผมก็ไปฝึกกับพวกปีสามปีสี่ที่ยังไม่เก่งเรื่องวิชาดาบ ขอโทษเหอะ ผมฝึกโหดไปหรือว่าทางสถาบันมันเข้มไม่พอล่ะนั้น ดูดิ๊จากกากๆแปปๆมันไล่ตามผมทันแล้ว ไอ้พวกศิษย์ทรยศ!
“อ่า...เหนื่อย...”
สองชั่วโมงกว่าของผมหลุดลอยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ผมเดินหนีออกมาจากลานแล้วเดินมาที่จุดทางเชื่อมที่เชื่อมต่อไปยังปราสาทคาเมล็อต ในสายตาก็เหลือบไปมองเห็นดาบในแท่นหินที่เขาลือกันว่าเป็นของกษัตริย์อาเธอร์ พระองค์มักจะนำมันมาเสียบไว้บนแท่นหินเมื่อเข้ามาดูการเรียนการสอนเพื่อไม่ให้ใครรู้ตัวจริงที่สถาบัน
เอื้อมมือไปดึงฮู้ดขึ้นปิดหน้าและหัวไว้แล้วเดินไปรวมกลุ่มกันกับนักเรียนที่ต่อแถวอยากลองดึงดาบออกมาจากแท่นหินดู จากที่แอทริธเล่าพวกเขาแค่อยากลองดูว่าความรู้สึกตอนดึงมันเป็นยังไงแต่คิดอีกทีผมก็หันหลังเดินไปที่หอประชุมของอาคารกลางเพื่อเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศแทน
กรี๊ดสนั่นอู้ลั่ลล้า...
ถามจริงนี่ห้องประชุมหรือท้องพระโรง ใหญ่สุดๆเลย! ห้องประชุมใหญ่ที่ใหญ่ประมาณครึ่งของหนึ่งสนามฟุตบอลเห็นจะได้ปรากฏขึ้นมาทันทีที่พ้นประตู พื้นปูด้วยพรมแดงบนพื้นหินอ่อนบางส่วน ทั่วห้องประดับด้วยเครื่องเรือนหรูหราชั้นดี พร้อมกับแชนเดอเลียสีทองประดับเพชรเล่นเอาแสบตาไปหมด
ผมเดินตามพวกนักเรียนชั้นปีหนึ่งคลาสสามัญทุกคนไปที่หน้าชั้นลอยซึ่งจัดที่นั่งไว้ให้คณะอาจารย์ทุกคนและชั้นที่สูงกว่าเป็นของกษัตริย์กับคณะอัศวิน แปป ผมเห็นแอทริธนั่งโบกมือให้ด้วยรู้แล้วว่าต้องตอบยังไง
ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มกวนบาทาใส่แล้วโชว์นิ้วกลางให้อย่างไม่ลังเล เอาดิ มันลุกไม่ได้เพราะเดี๋ยวเสียฟอร์ม ไอ้ซึนผมดำมันคิ้วกระตุกแล้วแสยะยิ้มเหี้ยมมาแทนโดยที่ไม่รู้ตัวเล๊ยว่ามันทำให้นักเรียนหญิงกรี๊ดกัน
ใช่สิ ใครจะหล่อเหมือนมัน เออ! ผมมันหน้าบ้านๆหนิ เชอะ!
แอทริธมันหล่อนิ่งๆติดอันดับนักเรียนที่หน้าตาดีท็อปสิบในชั้นปีของคลาสสามัญ ทั้งเส้นผมสีดำสนิทกับตาสีส้มแดงนั้น แต่ที่น่าหมั่นไส้สุดคือฝีมือดาบกับไฝเสน่ห์ใต้ตาซ้ายที่สามารถทำให้นักเรียนชายยกพวกไปตีกับมันได้
“ทั้งหมดถวายความเคารพ!”
เสียงของอัศวินที่อยู่หน้าประตูร้องขึ้นให้นักเรียนทุกคนในห้องโถงคุกเข่าค่อมหัวลงทำความเคารพผู้ปกครองประเทศแห่งอัศวินเจ้าของดาบศักดิ์สิทธิ์ในแท่นหิน กษัตริย์อาเธอร์กับคณะอัศวินโต๊ะกลม พวงด้วยตาพ่อมดเฒ่า.........พระเจ้าช่วย เมอร์ลิน เมอร์ลิน..เมอร์ลินเป็นหนุ่ม!
ผมทำสีหน้าราวกับโลกจะแตก ผมรู้แค่ว่าโลกนี้เป็นโลกคู่ขนานที่ความจริงสลับเปลี่ยนแต่ยังคงมีประวัติศาสตร์ตรงกับโลกจริงบ้างแต่นี้..แต่นี้ คุณหลอกดาว! ผมไม่เชื่อว่าพ่อมดเมอร์ลินจะเป็นหนุ่มผมยาวหน้าตาหล่อเหลาแบบนี้ บ้าเอ๊ย หล่อขนาดแบบเดวิด เบคแฮมยังเทียบไม่ติด
พระเจ้าทำร้ายผมทางอ้อม! ส่งผมมาอยู่ในที่ที่คนแม่งหน้าตาหลอกลวงประชาชน!
ผมเลิกสนใจเมอร์ลินแล้วหันไปมองกษัตริย์ผมทองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างกับความหล่อเหลาบาดลูกตานั้น เรือนผมสีแพลทินัมละเอียดดุจเส้นไหมสั้นระต้นคอ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาปานรูปสลักในวิหารสักการะเทพ และนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่งาม ท่าทางการก้าวเดินที่องอาจและสง่างามสมตำแหน่งกษัตริย์ ขนาดพระสุรเสียงของพระองค์ยังนุ่มทุ้มน่าฟังยิ่งนัก
“ในนามของกษัตริย์ผู้ก่อตั้งสถาบันวัลฮาเรียแห่งนี้ ข้าขออวยพรให้แก่พวกเจ้าทุกคนในที่แห่งนี้ ได้พบกับหนทางของตนเองและจงเติบโตขึ้นเป็นอัศวินของประเทศแห่งนี้ภายใต้การปกครองของข้าอย่างองอาจและสง่างาม จงใช้เวลาเจ็ดปีของเจ้าไปกับเหล่าพวกพ้องร่วมชีวิต ดูแลซึ่งกันและกัน เพราะท้ายสุดนั้นหากไร้ซึ่งความสามัคคีก็ไม่อาจมีประเทศแห่งนี้ได้”
อ๊ะ...คำพูดหล่อมากครับคุณท่านอาเธอร์ หล่อทั้งคำพูดและหล่อทั้ง...แม่งเอ๊ย! ทำร้ายกันอีกแล้วหล่อกันทั้งคณะเป็นบอยแบนด์เลย พระเจ้า!
หากเทียบให้เมอร์ลินเป็นเบคแฮม งั้นทั้งคณะอัศวินนี้คงเป็นบีทูบีผสมโรงกับก็อตเซเว่นในเวอร์ชั่นหล่อแบบหนุ่มยุโรป ทำให้นักเรียนทุกคนเว้นผมหน้าแดงกันหมดแล้ว อ่า...มีเด็กผู้หญิงบางคนกำลังจะเป็นลมด้วย ความหล่อของพวกแกมันเป็นบาป ผมตัดสินใจแล้ว!
ผมจะฆ่าไอ้พวกหน้าหล่อให้มันหมดไปจากโลก!
-------------------------------------------------
มันวางแผนฆาตกรรมสามีตัวเอง! ใครก็ได้ช่วยห้ามมันที อ๊ะ ก็มีแต่เรานี่หว่าช่างเถอะๆ ไว้จะอัพเรื่องอื่นด้วยท่องนะโมสามจบแล้วรอลุ้นกันไปเถอะ!
ความคิดเห็น