ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Historia ผมในโลกคู่ขนาน (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #1 : วันที่...ได้รับชีวิตอีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 60


            เขาเรียกอาการที่ผมเป็นว่า Sleeping Beauty Syndrome หรือโรคเจ้าหญิงนิทรา โรคที่ทำให้ผู้คนเข้าสู่ห่วงนิทราที่ยาวนานกว่าคนอื่น บางก็เป็นวัน บางก็เป็นเดือนแต่ไม่มีรายไหนเลยที่มีเคสเหมือนกับผม

            ผมเป็นเคสที่พิเศษที่สุดในโรงพยาบาลแล้วก็ไม่แปลก สำหรับผู้ป่วยทุกคนที่เป็นโรคนี้ไม่มีใครที่มาอาการยาวนานกว่าผม ผมที่เป็นเจ้าชายนิทราสามร้อยหกสิบสี่วันโดยจะตื่นขึ้นมาปีล่ะครั้ง

            ก้าวขาที่ไร้เรี่ยวแรงไปตามพื้นกระเบื้องอันเย็นเฉียบของห้องกว้างสีขาวสะอาดอย่างทุลักทุเลแม้ว่าจะมีคนคอยช่วยพยุงอยู่ก็ตามโดยมีปลายทางเป็นเตียงใหญ่ที่เป็นเครื่องเรือนเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้

            ผมพึ่งไปรับการตรวจมาผมจึงไม่รอช้าที่จะล้มตัวลงนอนไปกับเตียงนุ่มที่รอรับร่างของผมอยู่ ร่างกายผอมซูบไร้เนื้อหนังเกิดอาการปวดเล็กน้อยอันบงบอกถึงการมีชีวิตหลังจากที่ขยับร่างกายมากเกินไปจนหมอที่คอยดูแลต้องเขามาพลิกตัวและจัดท่าให้ผมได้นอนสบายๆ

            ผมยกมือที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกขึ้นมองแล้วเปรียบเทียบกับวัยเด็ก มันช่างต่างกันเหลือเกิน แต่ผมไม่สนใจแล้วในเมื่อผมเป็นแบบนี้มาห้าปีแล้ว เมื่อก่อนผมก็เป็นโรคเจ้าหญิงนิทราแต่ไม่เคยหนักเท่าตอนนี้ ผมเลยมอบตัวให้กับโรงพยาบาลรัฐในฐานะ ผู้ป่วยเพื่อการวิจัยทางการแพทย์เพื่อหาทางรักษาโรคนี้โดยแลกกับข้อตกลงเพียงข้อเดียวคือ

     

            อย่าฆ่าผมเมื่อผมไร้ประโยชน์แล้ว...

     

            โรคเจ้าหญิงนิทรานั้นสามารถแก้ได้โดยใช้สารฟลูมาซีนิล ที่ช่วยต้านฤทธิ์ของยานอนหลับแต่ต้องใช้ติดต่อกันไปนานๆไม่งั้นอาการจะกลับมาและอาจหนักขึ้นกว่าก่อนทำให้มันเป็นโรคที่อันตรายสำหรับพวกที่ทำงานเสี่ยงๆหรือทำงานกับเครื่องจักร มันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผม

            หากไม่เสียสละก็ไร้ซึ่งทางไปต่อ...สิ่งที่พ่อผมสอนมาผมจึงใช้มันเพื่อทุกคนเพื่อคนที่ร่วมชะตาเดียวกับผม แต่ผมจะรอดไปได้อีกนานแค่ไหนในเมื่อห้าปีผมได้แต่นอนจนความรู้สึกเริ่มหายไปจากร่างและไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

     

            “ทุกอย่างพร้อมแล้ว ไม่ต้องพวกเราจะดูแลทางนี้เอง”

     

            หมอที่อยู่อีกฝั่งของห้องที่ถูกกั้นด้วยกระจกใสแผ่นหนานั้นพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มในขณะที่นักวิจัยคนอื่นๆกำลังค้นหาวิธีรักษากันอยู่ ผมจึงหันหน้าไปยิ้มให้แม้ว่าสภาพจะดูอิดโรยก็ตาม

     

            “ไม่ต้องหวง ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย หลับเถอะนะ”

     

            มือหนาที่เอื้อมมาวางไว้บนหัวค่อยๆลูบเส้นผมไปมาเบาๆราวกับกำลังขับกล่อมให้เข้าสู่ห่วงนิทรา จนกระทั่งเสียงร้องของนักวิจัยแก่คนหนึ่งดังขึ้นมาอย่างกึกก้องพร้อมกับน้ำตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี เสียงสะท้อนของคำว่าสำเร็จแล้วถึงแม้โอกาสจะน้อยนั้นช่างเป็นสิ่งที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาในรอบห้าปี

            น้ำตาที่มาจากไหนไม่รู้ค่อยๆคลอจนเอ่อล้นออกมาจากเบ้า ไม่ใช่เพราะความเศร้าโศกแต่มันกลับเต็มไปด้วยความดีใจ ดีใจที่ช่วงเวลาห้าปีของผมไม่ได้สูญเปล่า มันมีค่า มันสามารถช่วยทุกคนได้ ผมไม่เสียดายมันแล้ว

            ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มพร่ามัวเล็กน้อยก่อนที่มันจะมืดสนิทเพราะผมหลับตาลง ในหูนั้นดังก้องไปด้วยเสียงสัญญาณของเครื่องมือและเสียงตะโกนเรียกชื่อผมอย่างตื่นตระหนก และสุดท้ายผมก็จมลงสู่ห่วงนิทราอีกครั้ง...

    .

    .

    .

    .

    .

    .

            ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งในความฝันของผม กวาดตามองทิวทัศน์ที่ถูกสร้างขึ้นมาตามใจผมด้วยความว่างเปล่าแม้ว่าจะเปลี่ยนมันมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นแค่ของปลอมที่ถูกสร้างเลียนแบบ ผมที่ลืมความรู้สึกตอนสัมผัสโลกภายนอกจึงได้แต่รับรู้แค่ผืนหญ้าที่นุ่มและเย็นเฉียบแทน

            ผมมีเวลาฝันมากกว่าคนอื่นจนผมสามารถควบคุมความฝันตัวเองให้เป็นดั่งใจนึกทุกอย่าง สองขาที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมๆกับร่างกายที่สมบูรณ์นั้นวิ่งออกไปตามพื้นหญ้าในขณะที่กำลังคิดถึงจุดหมายของปลายทางนี้

            ผ่านผืนป่าหนาทึบจากความทรงจำจนพบกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่อยู่ในหนังสือทะเลสาบคริสตัลที่อยู่ในความฝันอื่นห้อมล้อมด้วยภูเขาน้ำตกและผืนป่าใต้ท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยแสงดาวที่มาจากหนังสือภาพในวัยเด็ก

     

            ที่นี้ผมทำอะไรก็ได้แค่นั้นผมก็พอใจแล้วล่ะ...

     

            เป้าหมายของผมนั้นอยู่ข้างหน้าที่ๆเป็นหน้าผาสูงชัน ที่ๆผมสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนที่สุด แต่กลับมีบางอย่างทำให้ผมหยุดชะงักอยู่กับที่แทน ราวกับมีบางอย่างกำลังเรียกผม

     

            “เจ้าต้องการมีชีวิตมากกว่าใครๆข้ารู้ดี...”

     

            เสียงนุ่มทุ้มที่ไพเราะยิ่งกว่าเครื่องดนตรีชิ้นไหนที่เคยได้ยินดังก้องไปทั่วทุกที่ในโลกแห่งนี้พร้อมๆกับสายลมอ่อนๆที่พัดผ่านใบหน้าเบาๆจนผมต้องหันไปตามที่ลมพัดไป

            แสงสว่างสีขาวเจิดจ้าคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพร้อมร่างในชุดคลุมสีเดียวกันที่ยื่นมือมาจากข้างในแสงสว่างนั้น มันช่างอบอุ่นจนผมไม่อาจล่ะสายตาไปได้เลยแม้แต่น้อย

     

            “ถือซะว่าเป็นความเมตตาจากข้า โอกาสของเจ้าเด็กน้อยผู้ไม่รู้จักโลกเอ๋ย...พรข้อสุดท้ายที่เจ้ายังมิได้ขอจากข้า เจ้าต้องการอะไร...”

     

            เขาถามผมด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความอ่อนโยนจนผมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับมืออีกฝายไว้พลางนึกถึงสิ่งที่ต้องการมากที่สุด สิ่งที่ผมขาดไป สิ่งที่ผมโหยหา ผมต้องการ...

     

            “อิสระ...”

     

            แสงสว่างนั้นส่องประกายอีกครั้งพร้อมร่างสูงที่เข้ามาสวมกอดผม ไออุ่นจากร่างกายที่ไม่ได้รับรู้มานานส่งผลทำให้ผมหลับตาลงเคลิบเคลิ้มไปกับความอบอุ่นนั้น และทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาว

     

            สีที่ผมชอบมากที่สุด...

    .

    .

    .

    .

    .

            “ไอ้หนู..ได้ยินที่ข้าพูดไหม ไอ้หนู”

     

            เสียงของชายวัยกลางคนเอ่ยเรียกผมเบาๆพลางเขย่าตัวหวังให้ผมฟื้นขึ้นมาน่าแปลกจากที่ผมได้ยินเสียงทั้งๆที่ผมน่าจะหลับอยู่แท้ๆ หรือว่านี่คือฝันซ้อนฝันที่เขาว่ากันที่แน่ๆ ภาษาที่เขาพูดเมื่อกี้แปลกใช้ได้ แต่ผมก็ยังอุตส่าห์ฟังออกเนอะ

     

            คนมันเทพจะทำไงได้...

     

            “ท่านลุงไอ้หนูนี่คงไม่ตื่นหรอกพาเขาไปที่หมู่บ้านก่อนเถอะ”

     

            เสียงของชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเด็กกว่าคนแรกมากโขดังขึ้นมาตาม เรียกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วชะงักกับไออุ่นจากดวงอาทิตย์ที่ผมได้ลืมเลือนไปนานแล้ว

     

            “เจ้าหนูเป็นอะไรรึเปล่า”

     

            เขาเอ่ยถามผมอีกครั้งด้วยภาษาแปลกๆพอๆกับการแต่งตัวที่คล้ายNPCในเกมแฟนตาซี ใช่ว่าผมจะพูดได้นะผมแค่ฟังออกแต่พูดนี่ขืนเป็นอีกภาษาจะถูกนับรวมว่าเป็นต่างด้าวเข้าประเทศ รึเปล่านะ

     

            “ท..ที่...ที่นี่..ที่ไหน”

     

            บ๊ะ เสียงผมครั้งสุดท้ายที่จำได้ผมเสียงแตกแล้วนะแล้วไอ้เสียงเล็กๆแหลมๆนี่มันอะไร ผมที่กำลังตกใจกำเสียงตัวเองเงยหน้าขึ้นมองคุณลุงตรงหน้าที่ทำสีหน้าแปลกใจแล้วชายหนุ่มผมดำข้างๆเขาก็ตอบผมแทนเขา

     

            “ป่าเชอร์วู๊ดเขตตะวันออกของคาเมล็อต”

     

            โอเคนั้นไม่รู้จัก เอ๊ะ หรือว่าผมจะเข้าสู่ความฝันอื่น แต่เมื่อกี่ผม...ผม..จำไดว่า...ผมอยู่ในโลกของผม..แล้วผมก็ได้เจอกับพระเจ้า ผมได้เจอกับพระเจ้า! จริงด้วยนี่คือโอกาสที่เขาให้ผมมา

            เมื่อรับรู้ถึงความเป็นจริงผมก็ลุกขึ้นมายืน แม้จะไม่คุ้นเคยกับร่างกายของเด็กแต่ในเวลานี้ผมกลับยืนได้มั่นคงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ขาเล็กๆทั้งสองที่ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงค่อยๆก้าวเท้าที่เปลือยเปล่าสัมผัสลงกับผืนหญ้าสีเขียวขจี พลันน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไว้ไม่ได้

     

            “ ในที่สุด...ในที่สุดผมก็ได้เป็นอิสระ อิสระในที่สุด!

     

            ผมพูดขึ้นมาทั้งน้ำตาอ้าแขนทั้งสองข้างรับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นอย่างไม่อายใครทั้งสิ้น สองขาที่เคยหยุดนิ่งวิ่งไปทั่วผืนป่าก่อนจะวิ่งไปตามที่ใจหวังแม้ว่าจะมีเสียงห้ามปรามจากชายทั้งสองก็ตาม

            จากผืนป่าหนาทึบที่ไร้ทางไปต่อ เมื่อวิ่งมาเรื่อยๆมันกลับเบิกทางให้ราวกับกำลังต้อนรับการมาของผมจนกลายเป็นภาพที่คุ้นเคยให้หัวใจได้พองโตขึ้นมา วิ่งต่ออย่างไม่ลังเลราวกับรู้ทางไปต่อ จนกระทั้งพ้นจากผืนป่าทุ่งหญ้าเขียวขจีปรากฏขึ้นมาในสายตาพร้อมทิวทัศน์ที่ถอดแบบมาจากในฝันไม่มีผิด

            ภูเขาสูงใหญ่ที่ห้อมล้อมผืนป่า น้ำตกใหญ่จากเทือกเขาสูงเสียดฟ้าไหลลงมา ณ จุดสิ้นสุดของทะเลสาบคอยเติมเต็มให้งดงามและใสสะอาดเสมอดุจดั่งคริสตัล ผมก้าวไปตามทุ่งหญ้าหน้าทะเลสาบแล้วหมุนตัวไปมาหัวเราะให้กับชีวิตใหม่ของผมแต่ก็ไม่รู้เลยว่ามันจะเรียกสิ่งอื่นมาหาผมด้วย

            เอลฟ์กับเหล่าภูตพรายในป่าต่างย่างก้าวออกมาจากป่าลึกเพื่อมองบุคคลที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้เป็นคนแรกอย่างสนใจพร้อมๆกับชายหนุ่มทั้งสองที่วิ่งตามเสียงหัวเราะเข้ามายังที่นี่

            เหล่านางไม้และภูตพรายต่างหัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูกับท่าทีที่มีความสุขของเด็กน้อยตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไปหาด้วยท่าทีไร้การคุกคามเพื่อทำความรู้จัก

            ผมคลี่ยิ้มให้พวกเขาทุกคนที่เดินเข้ามาหาผมก่อนที่บางตนจะถือโอกาสเล่นดนตรีให้ผสมกับเหล่าภูตที่เริงระบำบนพื้นหญ้า กลิ่นอายของธรรมชาติหวนคืนเคล้าไปกับเสียงดนตรียุคกลางและเสียงหัวเราะ ทำให้การพบเจอกลายเป็นงานรื่นเริงขึ้นมา

            เบื้องหน้าชายหนุ่มชาวมนุษย์ทั้งสองนั้นช่างเป็นภาพที่หาใดเปรียบได้ เด็กน้อยผมเงินในชุดคลุมคล้ายของนักบวชสีขาวขลิบทอง เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินม่วงที่ไม่ต่างจากท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยแสงดาวกำลังเริงระบำอยู่กับเหล่าภูตแห่งป่าท่ามกลางผืนพงไพรเขียวขจีหน้าทะเลสาบคริสตัลห้อมล้อมด้วยน้ำตกสูงเสียดฟ้ากับภูเขา ใบหน้ายามแย้มยิ้มอย่างไม่ปิดบังนั้นช่างบริสุทธิ์และน่าเอ็นดูไม่น้อยราวกับร่างจำแลงของทูตสวรรค์ที่ลงมายังพื้นโลกเพื่อนำพาความสุขมาให้มนุษย์

            แต่ในอีกนัยน์นั้นมันกำลังบอกถึงช่วงเวลาที่ไม่อาจเอื้อมไปถึงอิสระของโลกภายนอกได้ ทำให้เด็กน้อยที่ได้รับโอกาสนั้นใช้เวลาอย่างมีความสุขไปกับมันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นก็ตาม

     

            เมื่อรู้ตัวอีกทีอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าทุกสรรพชีวิตต่างบอกลาแล้วกลับสู่ฐานที่มั่นของตนมีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นหญ้ามองทะเลสาบในความฝันที่ปรากฏขึ้นจริงในโลกแห่งนี้แล้วตระหนักไดว่าในที่สุดนี่ก็คืออิสระที่ผมหามานานแน่ๆ

     

            “อึก..”

     

            ความเจ็บปวดแล่นผ่านโสตประสาทขึ้นมาเมื่อก้มลงมองที่เท้าที่ๆเจ็บผมก็ต้องเบิกตากลางเมื่อปีกนกสีขาวสะอาดเรืองแสงที่เงินเล็กๆคู่หนึ่งงอกออกมาจากตาตุ่มทั้งสองข้าง มันกระพือเบาๆส่งผลให้ตัวผมลอยขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะลงมาเพราะยังไม่สามารถทำงานหนักได้ แล้วกลับเข้าไปในร่างเหมือนเดิมทิ้งไว้แค่รอยสัญลักษณ์รูปปีกไว้เท่านั้น

            ดูเหมือนผมจะได้ของขวัญจากพระเจ้านั้นมากกว่าที่ควรซะแล้วสิแต่ช่างเถอะสักวันคงมีประโยชน์แน่ๆ

     

            “เจ้าหนู เธอเป็นใครกันแน่..ไม่สิเป็นตัวอะไรกันแน่”

     

            เสียงของชายหนุ่มผมดำที่ผมเจอในตอนแรกพร้อมคุณลุงที่อยู่ด้วยกันดังขึ้นมาเบื้องหลังให้ผมได้หันไปตอบพวกเขา

     

            “อันที่จริง ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับ ผมแค่ขอพรว่าอยากได้อิสระอีกครั้งกับพระเจ้า เขาก็ส่งมาที่นี่แล้วล่ะครับ”

     

            ผมตอบพวกเขาไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข แล้วก็ต้องหน้าจ๋อยเมื่อพวกเขาพยักหน้าเหมือนเชื่อผมสนิท นี่ไม่คิดจะสงสัยบ้างหรอ!

     

            “แล้วจากนี่ไปเจ้าจะทำอย่างไรต่อเจ้าหนู”

            “เอ๊ะ..ก็คงจะอยู่ที่ป่านี่แหละ ก็ผมไม่มีบ้านหนิ”

            “งั้นจะทำยังไงเมื่อเจ้าออกมาจากป่า”

     

            เออ..ลืมคิด ผมมัวแต่สนุกจนลืมไปเลยว่าที่นี่ไม่ใช่โลกเดิมที่ผมอยู่

            และเหมือนอีกฝ่ายจะตัดสินใจบางอย่างเมื่อผมเงียบไปเขาหันไปหาคุณลุงที่อยู่ข้างๆแล้วพยักหน้าในระหว่างที่ผมครุ่นคิดหาทางออกอยู่ เขาพูดขึ้นมาแล้วลูบหัวผมแม้ว่าสายตานั้นจะดูดุไปหน่อยก็เถอะ

     

            “งั้นเจ้าจะมากับพวกข้าก็ได้ ถึงบ้านจะไม่ใหญ่มากนักแต่ห้องว่างยังเหลืออยู่ ถ้าเจ้าต้องการที่พัก”

            “แต่..ผม..เอ่อ..มันจะเป็นการรบกวนรึเปล่าครับ”

            “จริงดั่งที่หลานชายข้าพูด ถึงแม้พวกเราจะไม่รู้จักกันแต่ในเมื่อเจ้ากำลังลำบาก ข้าก็คงทิ้งให้เจ้าหนาวตาที่ป่าแห่งนี้ไม่ได้หรอก”

            “พูดถึงป่า ท่านลุงข้า...ข้าลืมเส้นทางกลับออกไปเสียแล้ว”

     

            ผมถึงกับหัวเราะพรืดออกมากับท่าทีใบ้รับประทานของลุงแกที่ทำหน้าเหมือนโดนหวยแดกยังไงหยั่งงั้น ก่อนจะหลับตาลงฟังเสียงกระซิบของลมแล้วตอบทั้งสองไปด้วยท่าทีสงบนิ่งแม้จะเป็นเด็กตัวเล็กๆ

     

            “อือ..ผมจะไปกับพวกท่านล่ะกัน ท่านเป็นคนดีรู้เพราะงั้นตอบแทน ผมจะช่วยทุกอย่างเท่าที่ผมทำได้นะครับ เริ่มจากพาออกจากที่นี่ล่ะกัน”

     

            คุณลุงผมน้ำตาลนั้นถึงกับหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจกับท่าทีของผมพลางหันไปมองหลานชายผมดำที่กำลังยิ้มอยู่ก่อนจะหันหน้าไปทำหน้านิ่งเพื่อกลบเกลื่อนสีหน้าเมื่อครู่อยู่ทั้งหมด

     

            “ข้าชื่อว่าเซทรา เฟดีวัล ส่วนนั้นหลานชายข้า”

            “แอทริธ เฟดีวัล จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยเจ้าหนู”

     

            โอ๊ย ไอ้ซึนผมรู้ว่าแกอะใจอ่อนกับเด็กไอ้โชตะค่อนเอ๊ย

     

            “ส่วนผม..ผมชื่อเคดาจ..เคดาจ โรลัน”

     

            แล้วนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของผมที่...ไร้คำบรรยายต้องอ่านเองอะถึงจะไปต่อได้

     

     

    --------------------------------------------------------------------

    อ่าผมนี่เลวจริงๆ อัพเรื่องใหม่ก่อนเรื่องเก่าจะไปอัพให้เดี๋ยวนี้แหละครับ! เพราะงั้นอย่าโกรธผมน้า!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×