คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อารัมภบทการเดินทางที่ไร้จุดสิ้นสุด
คำสัญญาเชื่อมโยงพวกเรา ไม่ว่าจะที่แห่งหนใดพวกเราจะมาบรรจบพบกัน ต่อให้ต้องใช้เวลามากแค่ไหนก็ตาม ตราบใดที่ยังนึกถึงกันและกัน ภายใต้ผืนฟ้า โชคชะตาของฉันจะอยู่กับเธอเสมอ...
ทุกอย่างเริ่มขึ้นในวันที่เป็นเหมือนวันเกิดของพวกเขา…
โอลิเวอร์ เรียว เกรซฟอร์ดกับโอลิเวีย ริว เกรซฟอร์ดคือชื่อของพวกเขา ฝาแฝดที่แปลกประหลาดแตกต่างจากผู้คนมากมายที่อยู่รายล้อมรอบตัว กับเรือนผมสีดำสนิทเหมือนคนเอเชียมากมาย ทว่าดวงตาของพวกเขากลับเป็นสีอำพัน สุกสกาวยิ่งกว่าอะไรและเปล่งประกายราวกับมณีแสนงาม
เป็นสีที่ชัดเจนจนเข้าขั้นเป็นตัวประหลาด…
โอลิเวอร์แฝดคนพี่เป็นเด็กชายที่แสนอ่อนหวานและมีมารยาท ทำตัวเป็นเหมือนผู้ใหญ่ให้แฝดคนน้องแต่ภายในนั้นเป็นเด็กที่แก่นแก้วและรักสนุก เจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์ ทว่าเขากลับมีร่างกายที่อ่อนแอ
ผิดกับโอลิเวียเด็กสาวแฝดคนน้องที่มีร่างกายแข็งแรงกว่า ผู้มีนิสัยห้าวเหมือนเด็กผู้ชายและเย็นชาแต่ภายในนั้นเป็นเด็กขี้แย หากกับคนที่ไม่ใช่ครอบครัวใกล้ชิดเธอก็แทบจะซ่อนมันใต้หน้ากากคุณหนูผู้เพียบพร้อมของตระกูลเสมอ
ชีวิตวัยเด็กของทั้งสองคนนั้นอาจจะว่าโหดร้ายก็ไม่แปลกเพราะพวกเขาถูกพ่อแม่จริงๆทิ้งตั้งแต่เป็นทารก ถึงจะได้ครอบครัวรับไปเลี้ยงแต่มันก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิดเลย พวกเขาเริ่มเลี้ยงแบบปล่อยกับสองฝาแฝดตั้งแต่แปดขวบ
ไม่เคยมีการฉลองวันหยุดรวมกันวันเกิดก็มีอวยพรให้แค่บางปีเท่านั้น ทำให้พี่น้องที่เคยร่าเริงเริ่มเปลี่ยนไปจากที่เคยเล่นสนุกด้วยกันตอนเด็กๆทั้งสองก็เงียบลงจนถึงขั้นไม่พูดคุยกับใครในบ้านเลยไม่แม้แต่จะคุยเรื่องโรงเรียนหรืออะไร
ในบางครั้งก็จะคลุกคลีอยู่แต่ในห้องแอบดูอนิเมะ อ่านมังงะและเล่นเกมในเวลาว่างทำให้ทางพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเริ่มใช้การบังคับมาคุมชีวิตแทน วันๆที่ถูกคาดหวังให้เป็นหน้าตาของตระกูลทางคนพี่นั้นมีร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแต่กลับถูกคาดหวังและบีบบังคับให้โตเป็นข้าราชการ ทหาร หมอไม่ก็ทนาย ทั้งการฝึกซ้อมร่างกายที่หนักเกินไปกับการเรียนแบบเอาเป็นเอาตายทำให้เขามีสุขภาพที่แย่กว่าเดิม
ส่วนคนน้องถูกคาดหวังให้โตเป็นกุลสตรีที่ดี เธอต้องทำงานบ้านเย็บปักถักร้อยเข้าครัวทำอาหามารยาทและการวางมาดอะไรให้เพอร์เฟคทุกอย่างซึ่งขัดกับนิสัยเดิมของพวกเขา พร้อมกับบทเรียนมากมายถูกถาถมและยัดเยียดให้แบบไม่จำเป็นในกรงขังสีทองที่เรียกว่าบ้าน
ชีวิตถูกบงการโดยที่ไม่มีใครสามารถช่วยได้เพราะอำนาจที่สูงกว่าในสังคม นั่นทำให้โลกของพวกเขาสองมีเพียงแค่กันและกัน มีเพียงแค่พวกเขาสองคนพี่น้องฝาแฝดที่จะไม่มีวันแยกจาก…
กับสิบสี่ปีของการมีชีวิตอยู่พวกเขาต่างก็เฝ้ารอวันที่จะได้ออกจากกรงขังนี่สักที…
“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ห๊ะ! ยังจะมีหน้ามาอ่านของไร้สาระพรรค์นี้อีกเหรอหัดทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย!”
เสียงตะโกนของหญิงสาววัยกลางดังลั่นขึ้นมาในบ้านทันทีที่มองเห็นลูกสาวบุญธรรมของเธอนั่งอ่านของไร้สาระที่เรียกว่ามังงะอยู่ที่ห้องนั่งเล่น หญิงสาวผู้เป็นแม่เลี้ยงนั้นมักจะดุด่าตลอดและหงุดหงิดเสมอกับการมีลูกบุญธรรมเป็นฝาแฝดที่ 'ไร้ประโยชน์' อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน
ทางด้านเด็กสาวผู้เป็นลูกบุญธรรมจึงได้แต่ถอนหายใจและปิดมังงะที่กำลังอ่านถึงช่วงสำคัญๆอยู่อย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อสิบสี่ปีของการมีชีวิตอยู่มันเกิดขึ้นตลอด ตอนนี้เธอชินแล้วล่ะ…
คราวนี้ให้ทำอะไรอีก กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน เก็บของ ซักผ้า ทำความสะอาดห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน ทำงานบ้านหมดทุกอย่างเลยรึเปล่า… ทั้งๆที่พวกเธอทำเสร็จไปหมดแล้วเนี่ยนะ
“มีอะไรงั้นเหรอคะคุณแม่”
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีดำยาวถึงกลางหลังผู้มีใบหน้าเรียบนิ่งแต่งดงามถามออกไปด้วยเสียงที่ไพเราะเหมือนเป็นของขวัญเพียงอย่างเดียวที่พระเจ้าทิ้งไว้ให้กับร่างกายนี้ พลางเงยหน้ามองหญิงสาวผมดำตรงหน้าอย่างเฉยชา แต่พอนึกได้มันก็น่าขำ…
เธอเคยนึกกลัวอยู่ในบางครั้งตอนเด็กๆเมื่อเธอพยายามจ้องตาอีกฝ่ายแต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วเพราะเธอรู้ตัวว่าภายในตาของอีกฝ่ายนั้นมันไม่มีอะไรนอกจากความโกรธและความอิจฉาทุกครั้งที่มองเธอกับพี่ชาย
“แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าให้ทำความสะอาดห้องนั่งเล่นนี้น่ะ”
“แต่หนูทำไปแล้วนะคะ ถูพื้นสองรอบแล้วด้วยซ้ำ”
"แต่มันก็ยังสะอาดไม่พอนะสาวน้อยหัดโตได้แล้วทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยมันจะตายรึไง!”
หญิงสาววัยกลางตะโกนใส่ลูกสาวบุญธรรมอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีหงุดหงิดเช่นเดิม ให้เด็กสาวได้ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงันแล้วลุกขึ้นมาจากโซฟาเพื่อไปยังชั้นสองของกรงขัง ในห้องนอนใหญ่ที่เธอใช้ร่วมกันกับพี่ชายมาตลอดสิบสี่ปีตามคำขอเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา
ทำก็โดนบ่น ไม่ทำก็โดนบ่น ทำไม่ดีพอก็โดนบ่น ตั้งใจทำก็โดนบ่นใส่ตลอด…แต่ครั้งนี้เธอทำแล้วนะ ตั้งใจทำเป็นอย่างดีเลยด้วยซ้ำในเมื่อเป็นวันพิเศษหนิ
ถึงหยั่งงั้นเด็กสาวก็ได้แต่นิ่งเงียบเก็บซ่อนหยดน้ำตาที่แห้งเหือดของตัวเองแล้วเดินไปเคาะประตูห้องของพวกเขาเป็นเหมือนสัญญาณบอกเพียงหนึ่งเดียวให้คนในห้องรู้ว่าคนที่มาหานั้นเป็นใคร เมื่อเจ้าของกรงขังสีทองทั้งสองนั้นมักจะบุกเข้ามาเป็นประจำ
“พี่เที่ยงแล้วไปกินข้าวกัน”
“ถึงเวลาแล้วสินะ รอแป๊ปเดี๋ยวพี่ตามไป”
เสียงของเด็กหนุ่มผู้เป็นพี่ชายเอ่ยตอบกับเด็กสาวก่อนที่ร่างผมดำที่มีใบหน้าคล้ายราวกับถอดแบบมาจากพิมพ์เดียวกับเด็กสาว เพียงแต่มีดวงตาที่อ่อนล้ากว่าและผมที่สั้นประบ่าจะเดินออกมาจากห้อง
พวกเขาจะเดินออกจากบ้านไปพร้อมกระเป๋าเงินในมือของพวกเขาคนล่ะข้างและมืออีกข้างที่จับกันไว้ไม่ปล่อยจากกัน ซึ่งมันเป็นข้อดีเพียงอย่างเดียวที่ตัวเธอกับเขาชอบที่สุดในชีวิต นั่นคือหลังจากที่อายุแปดขวบพวกเขานั้นจะได้เงินเป็นรายเดือนกันเพื่อไปซื้ออาหารที่ชอบกินแล้วไม่โดนบ่นใส่
ทั้งสองเอ่ยทักทายเจ้าของร้านราเม็งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นทุกที นั่งที่บาร์เหมือนทุกครั้งและสั่งของโปรดมาทานพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ก่อนจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ตลอดช่วงบ่ายเดินเล่นในเมืองเพื่อไปซื้อเกมที่ออกใหม่มาเล่น เป็นเหมือนทุกปีพวกเขาใช้เวลาด้วยกันเพียงแค่สองคนทุกปี…
“อิ่มมั้ยนั้นน่ะ”
แฝดคนน้องเอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้นมาเบาๆหลังจากที่กินอาหารเที่ยงกันมา ฝั่งคนพี่ขี้โรคก็ได้แค่ยิ้มแล้วหัวเราะออกมาตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้าที่เปื้อนยิ้มทำให้เธอต้องนึกย้อนกลับไปตอนอยู่ในร้าน ในเมื่อพี่ชายฝาแฝดนั้นฟาดราเม็งไปสี่ชาม ขณะที่แฝดคนน้องนั้นกินไปแค่สองชาม
“อิ่มนะแต่ยังอยากกินของหวานอยู่”
“ไอ้กระเพาะหลุมดำ…นี่…จากนี้ไปก็มาพยายามอยู่ด้วยกันไปนานๆนะครับพี่”
“อา สัญญาเลยไม่ว่าเธอจะไปไหนพี่ก็จะไปด้วย พวกเราจะไม่แยกจากกันเด็ดขาด”
“ต่อให้ทั้งโลกเป็นศัตรู ผมจะไม่ทิ้งพี่ จะไม่ทิ้งกันตราบจนกว่าพวกเราทั้งสองจะแยกทาง”
ทั้งสองได้แต่หัวเราะกันอย่างสนุกสนานกับคำสัญญาเดิมที่มอบให้กันและกันแบบที่เคยเป็นมาก่อนตอนเด็กๆ พร้อมกับบทสนทนาที่โต้ตอบกันในเรื่องที่ชอบ มอบบรรยากาศของความสุขให้ทุกหนแห่งพร้อมกับของขวัญกล่องเล็กในมือของพวกเขาที่เฝ้าคอยเวลาที่จะถูกเปิดออกพร้อมกัน
แต่ทว่าฝีเท้าของทั้งสองก็มาหยุดตรงหน้าทางลัดของสวนสาธารณะที่เงียบและวังเวงไม่ต่างอะไรจากป่ามืด ที่ๆพวกเขารู้อยู่บ้างว่ามีเรื่องเล่าแปลกๆเกี่ยวกับคนที่เครียดหรือรู้สึกแย่อะไรต่างๆเข้าไปในทางลัดที่เหมือนป่านี้ตอนกลางดึกแล้วหายตัวไป ก่อนที่วันต่อมาจะเดินกลับไปที่บ้านอย่างมีความสุขบ้างก็กลับมาด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป หรือที่แย่สุดตามที่ข่าวลือบอกคือเดินออกมาแล้วตายอย่างไม่รู้สาเหตุ…
แล้วอะไรดลใจให้พวกเขามาหยุดตรงนี้กัน...
ท่ามกลางความสุขของอิสระเพียงเล็กน้อยที่มีเสียงฟ้าก็เริ่มร้องดังขึ้นเรื่อยๆเป็นสัญญาณเตือนว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้าทำให้ทั้งสองต้องรีบวิ่งกลับบ้านก่อนที่ฝนจะตกลงมาแต่กลับเจอสิ่งที่ไม่คาดฝันเมื่อพ่อแม่บุญธรรมนั้นยืนกอดอกรออยู่หน้าบ้านพร้อมกับเจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบสองคน
“ริว เรียวพวกแกทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ”
ฝั่งชายหนุ่มอายุสี่สิบต้นๆพูดขึ้นมาทำลายความเงียบของบรรยากาศไปเพื่อยืนยันบางความกังวลของพวกเขาทั้งสอง แต่ถึงแบบนั้นแฝดคนพี่ก็ยังถามออกไปอยู่ดี
“เรื่องอะไรครับพ่อ”
“ก็ผลการเรียนของพวกแกตกไง”
ทางหญิงสาววัยกลางคนตอบแทนผู้เป็นสามีพลางยื่นใบเกรดให้ทั้งสองดู ซึ่งจะว่าแย่ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก มันก็ถือว่าดีสำหรับเด็กม.ต้นเลยด้วยซ้ำเพราะเกือบทุกวิชาของทั้งสองนั้นมีเลขเป็นเลขสามจุดห้าเรียงรายอยู่สี่ไม่ก็ห้าวิชาส่วนที่เหลือก็เป็นสี่แต่ว่าเกรดที่ได้สี่มันน้อยกว่าปีที่แล้ว
“พ่อบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้อ่านหนังสือน่ะ!”
"พวกเราอ่านกันแล้วนะคะพ่อทั้งพี่ทั้งหนูน่ะติวกันวันล่ะสี่ชั่วโมงแล้วนะ"
“แต่มันยังไม่ดีพอเพราะพ่อไปดูในห้องแล้วถึงเจอของพวกนี้”
อีกฝ่ายก็เป็นแบบนี้ตลอดพอหงุดหงิดกลับมาจากที่ทำงานแล้วเห็นพวกเขามีความสุขเขาก็จะมาลงความโกรธที่พวกเขาอย่างไร้เหตุผล ถ้าไม่โดนทำร้ายก็ถูกกักบริเวณแต่ก็ยังดีกว่าให้พวกเขาต้องแยกจากกันแต่ครั้งนี้มันเกินไปแล้ว
ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อบุญธรรมนั้นเดินไปลากถุงพลาสติกใสใบใหญ่ออกมาจากบ้านก่อนที่นัยน์ตาของฝาแฝดทั้งสองจะเบิกกว้างขึ้นมาเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ทั้งแผ่นเกมที่ถูกหักเครื่องเกมที่พัง มังงะที่ถูกฉีกรวมถึงบัตรคอนเสิร์ตที่ถูกฉีกขย้ำทิ้งอย่างไม่ไยดีเหล่าสมบัติเพียงนิดเดียวที่พวกเขารักที่สุดถูกทำลายทิ้งเพราะด้วยเหตุผลของการที่เกรดตกแค่วิชาสองวิชา
มันช่างไร้เหตุผลเหลือเกิน…
“เพราะแบบนี้พ่อถึงตัดสินใจได้ พวกแกอยู่ด้วยกันนานเกินไป พ่อจะแยกพี่แกไปอยู่โรงเรียนประจำสักห้าไม่ก็หกปีจะได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์กว่านี้ พอล แกรี่แยกตัวพวกเขา”
เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบทั้งสองพยักหน้าให้คำสั่งนั้นแล้วก้าวเดินเข้ามาหาทั้งสองขณะที่สองฝาแฝดได้แต่เบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวแล้วก้าวเท้าถอยหลังไปช้าๆเมื่อการตัดสินใจนั้นมันเทียบได้กับการฆ่าพวกเขาให้ตายทั้งเป็น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่พบความสุข มันช่างไร้เหตุผลจนสิ่งที่อัดอั้นมาตลอดมันปะทุขึ้นมา
ซึ่งครั้งนี้มันเหลืออดเต็มที่แล้ว...
“อะไรอีกล่ะ...แกน่ะจะเอาอะไรอีกล่ะทั้งชีวิตอิสระและทุกอย่างพวกแกเอาไปหมดแล้วนะ!! พวกเราเชื่อฟังแล้วทำตามทุกอย่างที่บอกแต่อีกกะแค่เกรดตกนิดเดียวถึงกับจะแยกพี่และเอาความสุขของพวกผมไปทั้งหมดเลยเหรอ!”
“หุบปากริว! อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ เลิกใช้คำพูดแทนตัวนั่นเดี๋ยวนี้ด้วย”
“เรื่องอะไรจะฟัง แกไม่ใช่พ่อผม!!”
ชายหนุ่มวัยกลางผู้ถูกความโกรธครอบงำยกมือขึ้นง้างไว้เตรียมที่จะตบใบหน้าของลูกสาวบุญธรรมของตนก่อนจะถูกแฝดคนพี่ผลักออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินมาตบได้ สร้างความแปลกใจให้สามีภรรยาคู่นี้เพราะพวกเขารู้ว่าแฝดคนพี่นั้นว่านอนสอนง่ายกว่าคนน้อง
ทางด้านเด็กหนุ่มผู้เป็นแฝดคนพี่ แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่อ่อนโยนและใจกว้าง ถึงจะน้อยกว่าคนเป็นน้องแต่ถ้าเป็นเรื่องนี้เขาก็ต้องมีบ้างที่จะเหลืออดกับการกระทำของพ่อแม่บุญธรรมของเขา
“อย่าคิดจะแตะต้องหรือทำร้ายน้องผมไอ้สารเลว”
เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่เริ่มมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธไม่น้อยหน้าไปกว่าแฝดคนน้อง เพราะเขาน่ะรักน้องสาวเขามาก
เพราะเธอเป็นแค่คนเดียวบนโลกที่เขารู้จักและเข้าใจซึ่งกันและกันแต่และเพราะเขาอ่อนแอ เธอถึงคอยปกป้องเขาด้วยการรับบทลงโทษแทนบ่อยๆ ปกป้องเขาและแบกรับความเจ็บปวดแทนเขามาโดยตลอดจนหยดน้ำตาหายไปจากดวงตาคู่นั้น…
“แม้แต่แกก็ด้วยหรอเรียว!?”
“อย่ามาเรียกพวกเราด้วยชื่อที่คนอย่างแกตั้งให้นะ...”
ไม่รู้เพราะอะไรน้ำตาที่เคยเหือดแห้งมาหลายปีนั้นเริ่มไหลรินอาบแก้มของทั้งสองขณะที่พวกเขาตัดสินใจวิ่งออกจากรั้วบ้าน...ไม่สิ..กรงขังที่พวกเขาอยู่มาสิบสี่ปีอย่างไม่ลังเลก่อนที่จะมีใครจับพวกเขาแยกจากกัน
เส้นทางที่เคยเดินผ่านตอนช่วงบ่ายนั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่าขณะที่พวกเขาทั้งสองวิ่งจับมือฝ่าสายฝนอย่างไร้จุดหมาย ในเมื่อพวกเขาไม่มีคนรู้จักหรือใครอื่นเลย ถ้าไปหาคนแถวนี้ก็ต้องถูกส่งกลับไปที่นั้นอีก พวกเขารู้ดีว่าโลกนี้ไม่ได้สวยงามเหมือนความฝัน
มันทั้งโหดร้ายและไร้ซึ่งเหตุผลสิ้นดี....
สองชั่วโมงหลังจากที่หนีออกมาจากบ้านพวกเขาใช้เงินที่มีอยู่เดินทางอ้อมไปที่เมืองอีกฝั่ง ซื้ออาหารเย็นและใช้เวลาอยู่ในสวนสาธารณะจนตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดและฝนก็เริ่มเทลงมาหนักกว่าเดิม ทว่าพวกเขาในตอนนี้ไม่คิดที่จะใส่ใจมันอีกต่อไปแล้วเว้นแต่เด็กสาวผมดำที่ถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออกมา
“เอ้าพี่ใส่ซะเดี๋ยวก็หนาวตายหรอก”
เด็กสาวที่ถอดเสื้อกันหนาวของตนออกมานั้นโยนมันคลุมหัวแฝดคนพี่ตามปกติทุกครั้งที่หิมะหรือฝนตกเพราะคนที่แข็งแรงอย่างเธอนั้นทนฝนได้สบายๆต่างกับพี่ชายขี้โรค ตัวเธอคงไม่อยากให้ครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เป็นอะไรไปแน่ๆ ในเมื่อพวกเขาพึ่งตัดสินใจหนีออกจากบ้านกัน
“ต้องลำบากเธออีกจนได้สินะ”
ฝนเริ่มสาลงหลังจากที่พวกเขารอกันมาได้สักพักใหญ่ที่ใต้สไลเดอร์ของสวนสาธารณะซึ่งน่าแปลกพอควรที่ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าทางลัดที่สามารถใช้ทะลุผ่านไปถึงเมืองที่พวกเขาหนีมาได้ภายในหนึ่งชั่วโมงราวกับมีบางอย่างกำลังเรียกพวกเขาอยู่
“ไปดูกันได้มั้ยพี่”
“เอาสิยังไงก็ได้แล้วล่ะตอนนี้”
ทั้งสองก้าวเดินฝ่าสายฝนที่ตกลงมาเบาๆอย่างไม่รู้จักหยุด ผืนป่ารอบๆนั้นทั้งมืดและเงียบสงัดไร้เสียงมีเพียงแค่เสียงก้าวเดินของทั้งสองที่พวกเขาได้ยิน
ทุกก้าวที่เดินเข้าไปในส่วนลึกของเส้นทางลัดนี้เหมือนจะทำให้รับรู้ถึงไอเย็นแปลกๆชวนให้หนาวสันหลังทุกวินาทีและยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ก็รู้สึกเหมือนจะไกลไปจากทางออกทุกทีทำให้มือที่กุมกันไว้นั้นเพิ่มแรงจนเริ่มเจ็บเล็กน้อย
“เจ็บปวดรึเปล่าเอ่ยเด็กน้อย”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกจากความมืดให้ทั้งสองหยุดชะงัก
“อยากหนีให้พ้นจากความจริงมั้ย”
เสียงนั้นเอ่ยถาม
“พี่ว่ามันเริ่มแปลกๆแล้วนะ ไปกันเถอะ”
“ข้าช่วยเจ้าได้นะเพียงแต่เจ้าต้องเอ่ยนามของข้าก่อน”
เสียงของมันเริ่มเข้าใกล้พวกเขาทีล่ะนิด ความรู้สึกกลัวนั้นหายไปเมื่อเสียงนั้นกระซิบเข้าที่ใบหู คนพี่นั้นหันไปมองผู้เป็นน้องด้วยสายตากังวลเล็กน้อยในขณะที่อีกฝ่ายนั้นยกยิ้มมุมปากเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมรู้แล้วว่ามันคืออะไร”
ปีศาจความฝันแห่งป่าลึก...
ใช่แล้วเพื่อนที่โรงเรียนเธอเล่าให้ฟังว่าถ้าต้องการเรียกต้องทำยังไง หากต้องการเรียกบาคุแห่งป่าลึกจงสดับฟังเสียงเรียกจากความมืดนึกถึงชั่วเวลาที่ตนอยากลืมที่สุดไป แล้วเอ่ยนามนั้นเบาๆสามหนและการต่อรองจะเริ่มขึ้นเมื่อเริ่มแล้วจะไม่มีคำว่าย้อนกลับต้องจ่ายค่าผ่านทางก่อนจึงจะเสร็จสิ้นการต่อรอง
“เจ้าต้องการลืมช่วงเวลาที่อยู่กันสามีภรรยาคู่นั้นหรือไม่กันล่ะเด็กน้อย”
“อยากสิ”
ผู้เป็นพี่เอ่ยตอบออกไปอย่างไม่ลังเล ทำให้เสียงจากความมืดระเบิดเสียงหัวเราะของมันออกมาอย่างสนุกสนานกับการเห็นท่าทีของเหล่าผู้คนที่เข้ามาในที่แห่งนี้เพื่อเป็นของเล่นให้มันมันก็เหมือนเกมเล็กๆไว้ฆ่าเวลาเล่นเท่านั้นเอง
“ข้าชอบพวกที่ไม่ลังเล เอาสิเรียกนามของข้าเลยเด็กน้อยทั้งสอง นามของข้าคือ อิลูเซ่”
ทั้งสองกลั้นหายใจเล็กน้อยเพื่อเอ่ยนามผู้มอบความฝันสามหนตามที่เคยได้ยินมา สิ้นสุดเสียงทั้งสองทุกอย่างในสายตานั้นจางหายไปเหลือเพียงแต่ความมืดสีดำสนิทกับประตูไม้แกะสลักสีน้ำตาลเข้มที่ค่อยๆเปิดออกให้ทั้งสองก้าวเดินเข้าไป
--------------------------
เมื่อก่อนเราเขียนอะไรไปนะ…
เขินตัวเองมากมาย มาแก้รสชาตินิยายดองเรื่องเก่าแทนจะปรุงรสให้เรื่องที่มีคนอ่านเยอะ
แต่ช่วยไม่ได้นะคือแบบว่า มันเกนชินอะ เกนชินอิมแพ็ค! เกลือเวนตี้เกลือพี่ไชด์
แล้วมาเจอคู่แฝดตอนเริ่มเกมคือแบบ นั่นลูกฉัน! นั่นแฝดในอุดมคติฉัน!
นั่นคือโยฮันกับโยชัวในเวอร์ชั่นอัพเกรดให้ดูอนาถน้อยลงเรื่องโชคชะตา
…มันก็พลัดพรากกันอยู่ดีนี่หว่า…
ช่างมันเถอะเนอะ~
ความคิดเห็น