คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : จุดจบของคนๆหนึ่ง re01
"ฮาว...วว"เสียงหาวของผมดังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เป็นเสียงที่ฟังดูแล้วอาจรู้สึกสิ้นหวังถึงขั้นกระโดดตึกตาย ใช่แล้วผม มนุษย์ 1 ใน 8พันล้านคนเพศชายชื่อวงศพัน จันสุวรรณโรจน์ แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว อายุ 40 ปี หน้าตาปานกลาง ค่อนไปทางดี รูปร่างผอมแต่ไม่แห้ง ไว้ผมสั้น อดีตเคยไว้ทรงรีเจ้น แต่ก็รีบเอาออกใน3 วัน อาชีพของผมเป็นพนักงานธรรมดา ชีวิตประจำวันของผมนั้นจะไปทำงานตอนเช้า กลับบ้านตอนเย็น วันเสาร์อาทิตย์ก็อยู่บ้านเลี้ยงลูกชายอายุ 13 ปี อาจมีเวลาไปดูหนังบ้าง ทานข้าวบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะพักผ่อนอยู่บ้านเล่นคอม
เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้มีโอกาสไปเดินเที่ยวแถวจตุจักร เป็นเส้นทางที่ผ่านร้านขายดอกไม้ ในระหว่างที่ผมเดินทางไปเรื่อยๆนั้น
"ขอโทษนะครับ...คุณเคยมีความฝันมั้ยครับ"
จู่ๆผู้ชายคนหนึ่งก็ทักผมมา เค้าเป็นคนที่ดูท่าทางแล้วเหมือนฤาษีในละครที่ผมเคยดูตอนเด็กๆ ส่วนสูงประมาณ 160 ซม. เดินหลังค่อม และใช้ไม้เท้าในการช่วยเดิน
"ไม่หรอกครับ ผมโตป่านนี้แล้วคงไม่คิดอะไรเป็นเด็กๆแล้วล่ะ"
ผมตอบคำถามพร้อมยิ้มให้กับชายคนนั้น
"งั้นหรือครับ...ขอให้คุณโชคดีพบเจอกับ'ฝัน'
นะครับ"
หลังจากพูดจบ ชายชราคนนั้นก็เดินหายลับไปในฝูงชน
จุกอยู่ในอก ความรู้สึกแปลกๆมันกระจุกอยู่
ทุกๆคนก็คงอยากทำความฝันให้สำเร็จ แต่ความใฝ่ฝันของผมนั้น มันคงไม่เป็นจริงแน่นอน ถ้าจะเล่าก็คงต้องเริ่มตั้งแต่ตอนเด็กๆ ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง การผจญภัยของโคลัมบัส เป็นหนังสือเล่มสีเทาๆที่ได้รับมาจากคุณปู่ ปู่ของผมเป็นคนที่ใจดีมากๆ ไม่ว่าผมจะทำผิดอะไรท่านก็ไม่เคยต่อว่าเลย แต่แล้วท่านก็เสียชีวิตหลังจขากนั้นไม่นาน ชีวิตของผมนั้นเข้าขั้นยากจน อาจต้องอดมื้อกินมื้อเพื่อประทังชีวิต แต่แล้วหนังสือเล่มนี้ได้เปิดความฝันของผม ความรู้สึกของผมไม่ใช่ชอบ หรือเกลียด แต่เป็นอิจฉา อิจฉาในการผจญภัยอันไร้ที่สิ้นสุด เสน่ห์ของการผจญภัย เผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้จัก พบพานกับบุคคลอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะเพื่อน หรือคู่ชีวิต ผมได้แต่ถามตัวเอง ทำไม ทำไม ทำไมถึงไม่เกิดให้เร็วกว่านี้ ทำไมทวีปต่างๆทั่วโลกถึงได้รับการสำรวจ แต่คิดไปก็เท่านั้น เพราะทวีปต่างๆทั่วโลกได้รับการสำรวจแล้ว ในยุคดิจิตอลนี้ ไม่ว่าผมอยากจะรู้จักสถานที่ไหน หรือต้องการสำรวจสิ่งใด มันก็มักจะมีข้อมูลในอินเทอร์เน็ทมาเสมอ
"วง เลิกงานวันนี้ไปเที่ยวกันมั้ย"
เพื่อนในบริษัทของผมเอ่ยถามขึ้นมา ผมได้สติขึ้นมาหลังจากคิดอะไรเพลินๆระหว่างเก็ยของ บริษัทของผมเป็นบริษัทออกแนวขายตรง ที่เน้นขายพวกน้ำสมุนไพรให้กับกลุ่มสมาชิก แต่เชื่อเถอะ คนที่ชอบบริษัทแนวนี้มีน้อยจนนับหัวได้ ซึ่งผมก็เช่นกัน และวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน บริษัทผมเงินเดือนออกวันนี้นี่นา
"ไม่ล่ะ เองก็รู้ว่าข้ามีเมียแล้ว"
ผมตอบกลับไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไปคุย
"เอาหน่า ไปนิดๆหน่อยแฟนแกไม่รู้หอก ถือว่าให้รางวัลตัวเองไง"
"ไม่ล่ะ โชคดีละกัน บาย"
ผมรีบเดินออกมาจากที่ทำงานทันที ขืนปล่อยให้เพื่อนรบเร้าอีกผมอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
หลังจากเลิกงาน ก็เป็นเวลากลับบ้าน ทางที่ผมเดินกลับบ้านเป็นเส้นทางที่มืดสลัว ผมเคยคิดหลายครั้งว่าอาจจะมีคดีวิ่งราวทรัพย์เกิดขึ้นเป็นบางครั้งแน่ๆ บ้านของผมไม่ได้ห่างไกลจากที่ทำงานมากนัก เดินเท้าซัก 30 นาทีก็สามารถถึงได้
หลังจากเดินได้ประมาณ 20 นาทีผมก็เดินมาถึงหน้าบ้าน เป็นบ้านชั้นเดียวหลังสีขาว ผมเก็บเงินซื้อเองเลยนะเนี่ย
"กลับมาแล้วจ้า"
ผมไขกุญแจบ้านและตะโกนเอ่ยเสียงดังแบบในละคร
"กลับมาแล้วหรอที่รัก วันนี้ี่ทำงานเป็นยังไงบ้าง"
"สบายๆน่ะ เบล แล้ววันนี้ล่ะ ลูกเป็นยังไงบ้าง"
"ก็เหมือนเดิมจ้ะ ร้องไห้ไม่หยุดเลย ชั้นเนี่ยกล่อนตั้งนานแน่ะกว่าจะหยุดร้อง"
คนที่คุยตอบกับผมไม่ใช่ใครที่ไหน เบล ภรรยาของผมเอง เธอคนนี้อายุ 35 ปี เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอ็มเบกการ์ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ตอนที่เรียนอยู่นั้นจัดได้ว่าเป็นคนที่สวยคนหนึ่งเลย สวยจนเพื่อนๆหลายคนยังไม่เชื่อเลยตอนผมบอกว่าจะแต่งงานกับเธอ หลังจากคบกับผมได้ประมาณ 10 ปีเธอก็ท้องลูกคนแรก จากนั้นเราก็ตัดสินใจให้เธออกจากงาน เพื่ออยู่บ้านดูแลลูก ก็แน่หล่ะ จะให้จ้างคนอื่นมาเลี้ยงลูกของเราได้ยังไง เกิดลูกโตมาเกเรก็แย่สิ
"ว่าไงซิน พ่อกลับมาแล้ว"
"อุแวๆๆๆ "
ผมเดินเข้าไปทักทายลูกที่นอนอยู่ในห้องนอน ลูกชายของผมร้องตอบ ก็คงหวังอะไรไม่ได้มากที่จะให้เด็กอายุ 4 เดือนพูดตอบ
"ที่รัก อย่าทำให้ลูกร้องสิ กว่าจะทำให้เงียบได้.."
"โทดทีจ้า ฮ่าๆ"
วิถีชีวิตของผมหลังจากกลับบ้าน ทักทายกับลูกก็ถึงเวลากินข้าว แน่นอนย่อมกินกับภรรยาผม นอนหลับ และตื่นไปทำงาน วงจรของผมเป็นอย่างงี้มาเกือบ 8 ปีแล้ว แต่ช่วงหลังที่มีลูกก็แค่กำหนดการณ์เพิ่มขึ้นนิดหน่อย หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม เล่นกับลูก กินข้าว อาบน้ำ นอน เล่นกับลูก กินข้าว อาบน้ำ นอน เล่นกับลูก กินข้าว อาบน้ำ นอน เล่นกับลูก กินข้าว อาบน้ำ นอน และคงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนแก่ ชีวิตนี้ของผมคงเป็นได้แค่เครื่องจักร ที่มีวงจรสั้นยิ่งกว่าวัฏจักรยุง คิดมากไปก็ไม่ได้อะไร ผมจึงตัดสินใจนอน
.
.
.
.
.
'เรารอท่านมาโดยตลอด'
'ถึงเวลาสำหรับการเรียกหาแล้ว'
ผมได้ยินเสียงแปลกๆดังขึ้นในความฝัน เป็นเสียงที่ฟังดูแล้วไม่น่าพิศมัยอย่างยิ่ง และจู่ๆ..เสียงก็หายไป
วันรุ่งขึ้นเวลา 5 นาฬิกา ทำไมถึงตื่นได้เช้าขนาดนี้ มันต้องเป็นเพราะฝันบ้าๆที่ผมได้เจอเป็นแน่แท้
ทำให้ผมตัดสินใจได้ว่าวันนี้ล่ะ จะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง
"ตอนเช้าก็ควรออกกำลังกายสินะ"
ผมบ่นกับตัวเองขึ้นมาแบบลอยๆ หลังจากคิดได้ดังนั้น จึงเดินไปหยิบเสื้อโคท และกางเกงวอร์มที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า มันเป็นเสื้อที่ซื้อมาตั้งแต่ตอนวันเกิดเมื่อ 2 ปีก่อน ผมเคยคิดที่จะออกกำลังกายแต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ หลังจากแต่งตัวเสร็จก็เดินไปล็อกประตูบ้านและออกไปข้างนอก
สนามกีฬาที่จะไปออกกำลังกายมันต้องผ่านเส้นทางที่มืดสลัว เส้นเดียวกับทางไปที่ทำงาน
ทันใดนั้นผมสังเกตเห็นผู้หญิง ผู้หญิงผมสีบลอนยาว หุ่นทรงขวดคนหนึ่งเดินอยู่ด้านหน้าผม สูงประมาณ 170 ซม. เป็นคนที่จัดได้ว่าหากลงประกวดนางแบบคงได้ที่ 3 อย่างไม่ยากเย็น
.
.
.
.
"กรี๊ดดดดดดดด"
เสียงของผู้หญิงกรีดร้องขึ้นมา สำเนียงนั้นสื่อถึงความกลัวและความตกใจ จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร จู่ๆก็มีคนๆหนึ่งปิดหน้าปิดตา วิ่งมากระชากกระเป๋าเธอและวิ่งตรงมาทางผม
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก คนที่กระชากกระเป๋ามาตัวเล็กกว่าผมเกือบ 20 ซม. นั้นอาจเป็นเหตุให้ผมชะล่าใจ แต่ดูเหมือนร่างกายไปก่อนความคิด ผมวิ่งไปขวางคนร้ายไว้ และนั่น....อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผม
"ฉึก"
เหมือนเวลามันหยุดนิ่ง มีวัตถุแปลกประหลาดทะลุร่างกายเข้ามา กลิ่นเลือดคาวคลุ้งไปทั่ว ผมเห็นภาพสีแดงฉานอยู่ตรงหน้า
"อ้ากกกก''
ความรู้สึกแสบร้อนทะลวงเข้ามาถึงหัวใจ คนร้ายที่ใช้อาวุทแทงรีบวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว และนั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็น
ก่อนสติจะดับวูบไป
ความคิดเห็น