คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Murderer : 2
2
เบื่อ คำเดียวที่อธิบายความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของชานยอลได้ในตอนนี้ บทสนทนาระหว่างสองสุภาพสตรีบนโต๊ะอาหารที่ดูจะออกรสออกชาติราวกับไม่ได้คุยกันมานานนับสิบปี อาหารที่สั่งมานานแล้วกว่าชั่วโมงครึ่งยังไม่พร่องลงแม้แต่น้อย ต่างจากผู้ชายคนเดียวในโต๊ะที่กินแล้วก็กินฆ่าเวลา จนรู้สึกว่าควรจะหยุดเพราะอาหารที่บริโภคไปนั้นขึ้นมาจ่อรอที่คอหอยแล้ว เลยขอนั่งฟังสองสาวคุยกันเงียบๆแม้จะไม่เข้าใจในบางเรื่องที่ทั้งสองคุยกันก็ตาม
"ใครจะไปรู้ว่าเด็กอ้วนจอมแสบแถมขี้เกียจนี่จะกลายมาเป็นสารวัตรไปได้" น้ำชาอุ่นๆที่กำลังจะไหลลงคอสำลักพรวดออกมา ชานยอลไอแค่กจนน้ำตาไหล แต่แทนที่แม่จะเป็นห่วง กลับหันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆแทน นี่เรียกเค้ามากินข้าวเย็นหรือเรียกมาเผากันแน่นะ
"เหมือนกับลูกชายฉันเลย เมื่อก่อนทั้งร่างกายอ่อนแอ ขี้โรคสารพัด ขาดเรียนก็บ่อยหัวก็ไม่ไว แต่พอขึ้นมัธยมมาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน กลายเป็นเด็กตั้งใจเรียน ..." ประโยคขาดช่วงไป เพื่อนของคุณนายปาร์คเงียบไปราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ แววตาที่อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองชั่ววินาที แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับควันเทียนต้องลม "สุดท้ายก็สอบติดหมอ มีหน้าที่การงานที่ดี ฉันเลยหมดห่วง..."
"แหม อยากจะเจอลูกชายของเธอจัง ดูไว้เลยนะตาปาร์ค จะมาขยันเอาตอนวินาทีสุดท้ายแบบลูกน่ะมันไม่ได้หรอก หัดทำตัวให้พ่อแม่สบายใจบ้าง"
"เธอก็พูดเหมือนไม่เคยเจอ เมื่อก่อนฉันก็พาลูกไปเล่นกับชานยอลออกบ่อย เดี๋ยวพอเห็นหน้าเธอจะร้องอ๋อเลยแหละ" สองแม่ลูกกลับทำหน้ามึน ดวงตาฉายแววสงสัยอย่างเห็นได้ชัด เรื่องมันผ่านมาสิบกว่าปีแล้วใครจะไปจำได้ โดยเฉพาะคนที่เคยได้ใกล้ชิดกับคนที่ว่าอย่างปาร์คชานยอล ยิ่งต้องงงเข้าไปใหญ่เพราะเจ้าหนุ่มคนนี้นั้นจำอะไรไม่ได้เลย
"เอ... แต่เมื่อไหร่จะมาตาคนนี้ ไหนบอกขอเลทแปบเดียว นี่ก็รอมันตั้งนานแล้วนะ...” ตำหนิอีกคนยังไม่ทันจบประโยค คุณหมอที่ชานยอลพึ่งได้พบเจอเมื่อเช้าก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เหงื่อใสๆผุดพรายตามรูปหน้าหวาน หมอหนุ่มก็เลยหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีครีมขึ้นมาตามซับเช็ดจนหมดเกลี้ยง
"แฮ่กๆ... ขอโทษครับคุณแม่... คือ... พึ่งมีเคสผ่าตัดด่วนเข้ามา ผมก็เลย..."
“แบคฮยอน...”
“คุณชานยอล...” แพทย์หนุ่มตกใจเล็กน้อย เป็นเพราะไม่คาดคิดว่าคนที่แม่บอกให้มาพบจะเป็นคนที่ร่วมงานกันอยู่อย่างชานยอล “เอ่อสวัสดีครับ...”
“อ้าว นี่จำกันไม่ได้รึไงแบคฮยอน นี่ชานยอล ที่เด็กๆลูกชอบไปวิ่งเล่นกับเค้าไง” ร่างบางยิ้มแหยพลางส่ายหน้าน้อยๆ ที่พอจะจำได้เกี่ยวกับสารวัตรหนุ่มตรงหน้าก็คือเพื่อนของเจ้าของคดีฆาตกรรมที่เค้าได้มีส่วนร่วมในการชันสูตรศพเพียงเท่านั้นเอง
“จำไม่ได้เลยครับ...”
“อะไรกันเด็กสมัยนี้ เดี๋ยวนี้โตขึ้นหน้าตาเปลี่ยนไปนิดหน่อยแค่นี้ก็จำไม่ได้แล้ว แย่จริงๆเลย” ร่างบางโค้งขอโทษมารดาของตนก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงข้างๆกับร่างสูง ชานยอลแอบเหลือบมองเสี้ยวหน้าสวยข้างๆอย่างเผลอตัว จนกระทั่งถูกคุณนายปาร์คทักขึ้นมา
“เอ้าๆ ตานี่ก็มองใหญ่ ทำไมหรือว่าจำได้หืม?”
“ไม่ใช่ครับแม่ คือหมอแบคฮยอนเค้าเป็นหมอที่มาช่วยทำคดีกับเพื่อนผมเฉยๆ เมื่อเช้าพึ่งเจอกันก็เลย... ตกใจนิดหน่อย” คนที่ตกใจคงไม่ได้มีเพียงเค้าคนเดียว ร่างเล็กที่ถูกกล่าวถึงเองก็ด้วยเช่นกัน
“แต่ต้องขอโทษคุณน้าด้วยนะครับ คือผมจำไม่ได้จริงๆ... เอ่อ รวมถึงนายด้วยนะ แบคฮยอน” ชานยอลพูดเสียงแผ่วในประโยคท้าย ซึ่งแบคฮยอนเองก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มแล้วก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ผมขอตัวไปเดินเล่นแถวนี้นะครับ” ตำรวจหนุ่มที่นั่งอยู่นานรู้สึกปวดเมื่อยตามเนื้อตัว เอาแต่ท่องโซเชียลได้ซักพักก็เริ่มเบื่อ ขอไปสูดออกซิเจนนอกร้านอาหารแก้เซ็งแทน “ผมไปด้วยสิครับ”
ชานยอลที่ลุกยืนขึ้นเต็มความสูงหันไปสบตาแบคฮยอน “ได้สิครับ ถ้าจะกลับเมื่อไหร่โทรเรียกผมแล้วกันนะแม่นะ” มารดาโบกมือไล่ส่งๆก็ถือว่าเป็นอันเข้าใจ พยัคฆ์หนุ่มเลยขอตัวเดินออกมาจากโต๊ะอาหาร โดยมีร่างบางที่เดินตามมาติดๆ
“ผมพึ่งรู้นะครับเนี่ย ว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน” คนที่เปิดบทสนทนาแทรกความเงียบระหว่างทั้งสองขึ้นมาคือแบคฮยอน ดวงตากลมใสฉายแววซุกซนและขี้เล่นเมื่อได้มาอยู่กันสองต่อสอง ต่างจากเมื่อครู่ที่คุณหมอหนุ่มนั้นรักษามาดนิ่งสงบเอาไว้จนชานยอลเผลอคิดไปว่าชายร่างเล็กตรงหน้าเป็นคนหยิ่งๆซะอีก
“ฮะๆ นั่นสิครับ”
“แล้วคุณพอจะคุ้นหน้าผมบ้างมั้ย” คำถามนี้เรียกให้ชานยอลหันไปมองหน้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มสังเกตทุกรายละเอียดบนใบหน้าของแบคฮยอน แต่สุดท้ายเค้าก็ส่ายหัวแบบจนใจ “เฮ้อ ผมไม่รู้จริงๆ พยายามนึกแล้วนึกอีกก็นึกไม่ออก”
ชายหน้าหวานแสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย “ไม่เป็นไรครับ แต่ผมคุ้นๆคุณอยู่นะ สมัยเด็กผมมีเพื่อนคนนึง คล้ายคุณมากเลย สูงๆ หูกางๆ ตาโตๆ ดูลนลานตลอดเวลาเหมือนกลัวอะไรซักอย่างงั้นแหละ” ชานยอลหัวเราะในลำคอ ไอ้ที่พูดนี่คล้ายๆกับเค้าเลยนี่หว่า... แต่ยังไงก็คงไม่ใช่หรอก เค้าคงคิดมากไปเองมากกว่า
“ผมไม่เคยลืมเค้าเลยนะ ถึงผมจะย้ายโรงเรียน ย้ายบ้านหรือแม้แต่ย้ายไปอยู่ประเทศอื่น พบเจอเพื่อนใหม่ๆ ผมก็ไม่เคยลืมเค้าเลย” ไม่รู้ทำไมพอแบคฮยอนพูดออกมาแบบนี้แล้วคนหูกางต้องรู้สึกขวยเขิน แบคฮยอนไม่ได้พูดถึงเค้าซักหน่อย “หรอ แย่จังเลยนะ แล้วตอนนี้ลืมคนๆนั้นไปรึยังล่ะ?”
ร่างบางที่ก้มหน้าพูดอยู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนฟัง จ้องลึกลงไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เต็มไปด้วยความรู้สึกและอารมณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ถูก “ไม่เคยลืมเลยครับ ไม่เคยเลย”
ขนแขนภายใต้เสื้อเชิ้ตพร้อมใจกันลุกเกรียวกับคำตอบ ทั้งๆที่ความหมายของมันก็ไม่ได้เกินเลยไปกว่าคำว่า ‘ไม่ลืม’ แท้ๆ แต่ทำไมมันถึงชวนขนลุกแบบนี้ “...คงเป็นเพื่อนที่คุณรักมากสินะครับ เป็นผม ผมก็ไม่ลืมหรอก คนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราทั้งคน จะไปลืมลงได้ยังไง”
“นั่นสินะครับ” แบคฮยอนถอนหายใจเฮือก “ผมว่าเรากลับกันดีกว่าครับคุณชานยอล นี่ก็ดึกมากแล้ว ขืนรอให้สองคนนั้นโทรมาตาม เราคงไม่ได้กลับบ้านกันแน่เลย” ชานยอลพยักหน้าเห็นด้วย ป่านนี้คุณนายทั้งสองคงคุยกันจนน้ำลายท่วมร้าน ก่อนจะลุกขึ้นตามแบคฮยอนออกไป
‘ขอแลกเบอร์ไว้แล้วกันนะครับคุณตำรวจ เพื่อมีอะไรเร่งด่วน เราจะได้ติดต่อกันได้’
ร่างสูงเดินตัวเบาออกมาจากห้องน้ำหลังชำระล้างเหงื่อไคลที่สะสมมาทั้งวัน หยิบเสื้อกล้ามและบ๊อกเซอร์สีน้ำเงินเข้มมาสวมใส่ให้เรียบร้อย พลางนึกถึงตอนที่ร่างบางขอเบอร์เค้าเมื่อช่วงค่ำ แปลกไปหน่อยสำหรับคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลับมาขอเบอร์ติดต่อโดยใช้คำพูดเสมือนกับว่าพึ่งเคยพบกันครั้งแรก มันดูตลกแต่ถ้าเค้าเป็นฝ่ายขอก็คงพูดแบบนี้เหมือนกัน
ชานยอลหยุดให้ความสนใจกับเรื่องของแบคฮยอน ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานซึ่งเต็มไปด้วยบรรดากองเอกสารทั้งเก่าและใหม่ แก้วกาแฟค้างคืนที่เค้าจำได้ว่าดื่มมันไปหมดแล้วเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ห่อขนมขบเคี้ยวแก้เซ็ง…
และรูปโพลารอยด์หน้าท้องของเหยื่อที่มีรอยสลักอยู่
“โง่งั้นหรอ? ตลกมากไปมั้ง” สิ่งที่คนร้ายทิ้งไว้ให้เป็นคำใบ้ที่สามารถสรุปตัวคนร้ายได้กว้างขวางเหลือเกิน ถ้าฆาตกรเป็นพวกอาจารย์โรคจิต เครียดกับการสอนมากจนกระทั่งลงมือฆ่าคนแล้วทิ้งโค้ดลับไว้ว่าโง่ล่ะจะเป็นไปได้ไหม หรือจะเป็นพวกวิปริตที่ลงมือสังหารคนไม่เลือกหน้าแล้วก็ทิ้งข้อความไว้เพื่อท้าทายตำรวจ ทุกอย่างที่เค้าคิดล้วนเป็นไปได้ทุกอย่าง
Rrrrrr…
เสียงสั่นจากโทรศัพท์เรียกความสนใจให้ร่างสูงที่นั่งหนักใจอยู่ละสายตาไปสนใจมันแทน หน้าจอไอโฟนแสดงชื่อของสารวัตรผู้เป็นเพื่อนขึ้นมา ชานยอลจึงคว้ามันขึ้นมากดรับสายและกรอกเสียงตอบกลับไปทันที “เลยเวลาทำงานแล้ว มีอะไรให้ติดต่อกูพรุ่งนี้นะครับคุณเพื่อน”
[มึง กูเจอหลักฐานอีกหนึ่งชิ้นแล้ว] ชานยอลได้ยินไม่ถนัดนักด้วยเสียงฝนที่แทรกซ้อนเข้ามา “มึงพูดว่าอะไรนะ กูไม่ได้ยิน”
[กูเจอหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับคดีเมื่อเช้า!]
“แล้วยังไง บอกกูทำไม?”
[มันเกี่ยวแน่ เพราะไม่ได้มีแต่หลักฐานที่โผล่มา มีคนตายเพิ่มอีกแล้ว!]
เสียงไซเรนรถตำรวจดังก้องกังวานแข่งกับเสียงสายฟ้าฟาดลงมาเป็นระยะๆ ดึกแล้วแท้ๆแต่โดยรอบสถานที่เกิดเหตุกลับเต็มไปด้วยประชาชนที่พากันมามุงดูผู้เสียชีวิต การทำงานของตำรวจเลยต้องลำบากขึ้นเป็นสองเท่า หนึ่งต้องคอยรักษาสภาพของสถานที่เกิดเหตุก่อนกองพิสูจน์หลักฐานจะมาถึงเพราะน้ำฝนที่ตกลงมานั้นอาจจะชะล้างเอารอยเท้าหรือรอยเลือดหายไป สองคือผู้คนที่มามุงนั้นต่างก็ยืนเบียดเสียดกัน เป็นการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ไปโดยไม่รู้ตัว
จงอินเริ่มจะหงุดหงิด...
ในขณะที่กำลังจะม่อยหลับไป โทรศัพท์เจ้ากรรมก็หวีดร้องขึ้นมาปลุกเค้าให้ฟื้นมา ในทีแรกจงอินก็กะจะด่าคนที่โทรมาให้หูดับกันไปข้างหนึ่ง แต่พอฟังสิ่งที่ปลายสายพูดมานั้น ตาที่เคยปรือก็พลันสว่างขึ้นมาทันที
แต่เค้าจะไม่ยอมแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาคนเดียวหรอก
ชานยอลเป็นคนที่เค้ากริ๊งไปหาต่อมา แอบหวั่นอยู่บ้างว่าไอ้โย่งหูกางจะด่าเค้ากลับมาเหมือนที่เค้าคิดจะทำกับสายตรวจที่โทรมาหาในตอนแรก แต่พอบอกว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ชานยอลก็บอกว่าจะรีบมาก่อนจะกดตัดสายทิ้งไป
“กองพิสูจน์หลักฐานมาถึงแล้วครับสารวัตร”
จงอินพยักหน้ารับ ส่วนหน่วยงานที่พูดถึงนั้นก็เริ่มลงพื้นที่มาทีละคนสองคน “ดี งั้นเอาหลักฐานที่คนร้ายทิ้งไว้ไปตรวจสอบหาคราบเลือดเลย ฉันต้องการข้อยืนยันที่แน่ชัดว่าไอ้มีดเล่มนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่แล้วรึเปล่า”
ระหว่างที่จงอินกับเจรจากับลูกน้องอยู่นั้น ร่างโปร่งก็เดินแหวกดงมนุษย์เข้ามา ก่อนจะตรงปรี่มาหาคนผิวเข้มในทันทีที่เห็น “ไอ้จงอิน ไหนหลักฐานของมึง”
“ก่อนที่มึงจะไปดูหลักฐาน กูอยากให้มึงดูอะไรก่อน” จงอินกึ่งดึงกึ่งลากร่างสูงให้เดินตามมา ชานยอลรู้สึกว่าหัวใจนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ มันแทบจะระเบิดออกมาถ้าเป็นไปได้ แต่ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า หัวใจที่เคยเต้นระรัวราวรัวกลองก็ตกลงไปอยู่ตาตุ่มโดยพลัน
ร่างกายที่ไร้ลมหายใจตรงหน้าช่างน่าเวทนาสำหรับผู้พบเห็น เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าปีนอนจมกองเลือดกองใหญ่ ศีรษะถูกทุบด้วยของแข็งอย่างแรงจนทำให้กะโหลกศีรษะนั้นยุบลงไป ช่วงล่างของเด็กชายเปล่าเปลือย แต่ที่น่ากลัวชวนขนลุกขนพองคืออวัยวะเพศของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้นถูกเฉือนออกมา องคชาติไร้สีเลือดถูกนำมาวางไว้บนหน้าผากเกลี้ยงของเจ้าตัว
ซึ่งที่หน้าผากของเขานั้นก็มีคำว่า ‘stupid’ ที่เกิดขึ้นจากของมีคมกรีดไม่ต่างจากคดีแรก
“มีร่องรอยการถูกข่มขืนแต่ไม่พบคราบอสุจิ คงจะถูกซื้อตัวมา หลังจากเสร็จภารกิจมันก็ฆ่าหมอนี่ทิ้ง...” มือเล็กๆของศพกำเงินไว้แน่น ราวกับว่าถ้าเผลอคลายมือเมื่อใด เงินที่ได้รับมานั้นจะหายไปในทันที “ฉันไปสอบถามคนแถวนี้มาแล้ว เด็กนี่ทำงานเป็นโสเภณีชายก็จริง แต่ก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล แม่ก็เป็นอัมพาตแถมยังมีน้องอีกสองยังเล็กๆอยู่เลย”
“แล้วมึงบอกแม่เค้ารึเปล่า ว่าลูกชายถูกฆ่าตาย”
“บอก ถึงกูจะไม่บอก ยังไงซักวันเค้าก็ต้องรู้อยู่ดี” ทำงานเป็นตำรวจมาก็นานหลายไป ไม่เคยพบคดีอะไรที่อุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญขนาดนี้ ชานยอลรู้สึกได้ว่าการลงมือของคนร้ายเริ่มจะรุนแรงและทวีคูณยิ่งขึ้น ประหนึ่งว่าถ้ายังไม่สามารถตามหาตัวคนร้ายได้ ก็จะมีเหยื่อเคราะห์ร้ายศพแล้วศพเล่าสังเวยให้กับเกมส์วิ่งไล่จับนี้ต่อไป
ถ้าพลาดหนึ่งก้าว ก็เท่ากับสูญเสียผู้บริสุทธิ์ไปหนึ่งชีวิต
เค้าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกแล้ว!
“รายละเอียดเกี่ยวกับหลักฐาน พรุ่งนี้กูต้องได้มันทั้งหมด”
“...มึงหมายความว่าไง?”
“กูขอเอาตำแหน่งสารวัตรใหญ่แห่งกองสืบสวนเป็นเดิมพัน กูต้องลากคอไอ้เศษมนุษย์เข้าคุกให้ได้!”
“เอาล่ะครับ ขอให้ประชาชนทุกท่านกลับเข้าที่พักให้เรียบร้อยนะครับ ตอนนี้ทางตำรวจได้เคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้ว ขอความกรุณาทุกท่านกลับเข้าที่พักด้วยครับ” ผู้คนพอได้ฟังคำประกาศจากเจ้าหน้าที่แล้ว ต่างก็ทยอยพากันกลับเข้าบ้านเรือนของตน บางคนก็ได้เรื่องไปคุยต่อพรุ่งนี้ตอนเช้า หรือบางคนอาจจะจำภาพนั้นฝังใจไปจนวันตายเลยก็มี
ชายที่สูงผิดคนทั่วไปใต้ร่มสีดำสนิทยืนมองกลุ่มตำรวจที่กำลังขนเหยื่อเคราะห์ร้ายอยู่ห่างๆ สายตาของร่างสูงดูเย็นชาต่อเหตุการณ์ตรงหน้า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ละโมบโลภมาก อยากได้อยากมีไม่รู้จักที่สิ้นสุด ถวิลหาแต่สิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่สามารถรู้ได้
เช่นเดียวกับเด็กชายผู้น่าสงสารในวันนี้
ร่างกายที่ร่านราคะ ให้ความรู้สึกสะอิดสะเอียนแก่เค้ายิ่งนักยามที่พ่อหนุ่มน้อยนั้นกอดรัดแขนของเค้าเอาไว้ มันทั้งโสโครกและสกปรกจนอยากจะสะบัดทิ้งออกไปใจแทบขาด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเรียกร้อง ร่างสูงเองก็คงจะไม่ปฏิเสธ เก็บเอาความรังเกียจที่มีต่อโสเภณีผู้นี้ซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากแก้วที่ตนได้สร้างขึ้นมา ตอบรับข้อเสนอพร้อมกับบรรเลงบทรักร้อนแรงจนอีกฝ่ายร้องครวญครางเสียงกระเส่าอย่างสุขสม
แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นช่างน้อยนิด
หลังจากทำการสังหารอีกฝ่ายเรียบร้อย เค้าก็จงใจทิ้งหลักฐานเอาไว้ เพราะอดจะสงสารพวกตำรวจโง่ๆไม่ได้ ค้อนเปื้อนเลือดจึงถูกโยนทิ้งไว้ข้างๆกับศพ และชายปริศนาก็ไม่ลืมที่จะทิ้งข้อความที่บอกให้พวกสุนัขในเครื่องแบบได้ทราบว่า คนที่ฆ่าหมอนี่ คือฉันเองแหละ ด้วย
ร่างสูงยืนมองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งรถพยาบาลได้เคลื่อนออกไป เหลือเพียงตำรวจไม่กี่นายที่ยังเคลียร์พื้นที่อยู่รวมถึงคนที่เค้าคาดว่าจะได้พบหน้าอย่างปาร์คชานยอลก็ด้วย
เกลียด... ความรู้เกลียดมันท่วมท้นจนแทบทะลักออกมา
มือหนากำร่มแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว เล็บยาวที่จิกลงไปในเนื้อนั้นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้เค้าเลยแม้แต่น้อย ความชังมันบดบังจนหน้ามืดตามัว อยากจะตรงเข้าไปกระชากร่างโปร่งมา กระสวกมีดลงไปบนแผ่นอกเรียบ ลำคอ ใบหน้า ศีรษะ ทุกส่วนของร่างกายที่คมมีดจะทะลุเนื้อผ่านเข้าไปได้ เฝ้ามองดูจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของมันหมดไปด้วยน้ำมือของสิ่งที่เรียกว่า ‘ความตาย’
แค่จินตภาพเหตุการณ์ เค้าก็ตื่นเต้นจนเนื้อสั่น!
แต่มันยังไม่ถึงเวลาหรอก ชายหนุ่มยังอยากเล่นสนุกมากกว่านี้ ร่างสูงตัดสินใจหันหลังเดินออกไป พร้อมแสยะยิ้มเย็น เดินฝ่าสายฝนที่เริ่มซาเพียงลำพัง ก่อนจะถูกความมืดมิดกลืนกิน เหลือเพียงความว่างเปล่าและสายฝนพรำยามค่ำคืน
Tbc.
ความคิดเห็น