ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Azur Lane] Gundam Azur Lane

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 หลังจบสงคราม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.06K
      123
      6 พ.ค. 64

    หลังจบการต่อสู้สายฟ้าแลบของจักรวรรดิซากุระ เจ้าหน้าที่ของฐานทัพอซูร์เลนก็รีบเข้าทำการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเก็บกู้เรือที่เสียหายเข้าเทียบท่าและเข้าอู่ สภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเรียกได้ว่า หนักหนาสาหัสมาก มีเรือหลายลำที่ได้รับความเสียหายหนักเบาแตกต่างกัน เหล่าคันเซย์(สาวเรือ) ได้รับการช่วยเหลือและทำการปฐมพยาบาลอยู่บนเรือยาง โดยมีเจ้าหน้าที่ที่มีรูปลักษณ์เหมือนลูกเจี๊ยบสีเหลืองน่าตาน่ารักคอยมองผู้รอดชีวิตซึ่งน่าจะเรียกพวกมันว่ามันจู มันจูที่สวมหมวกดูมียศก็หันไปเจอสาวเรือรบ เธอมีผมสีชมพูและทำผมทวินเทลไว้ศีรษะด้านซ้าย เธอคือ เรือลาดตระเวนเบา แซนดิเอโก้ ซึ่งกำลังลอยคว่ำหน้าอยู่ในน้ำแล้วก็สั่งการให้มันจูตัวหนึ่งหยิบคันเบ็ดขึ้นแล้วเหวี่ยงเอาตะขอไปเกี่ยวกับชุดของเธอแล้วพลิกตัวเธอก่อนจะดึงเข้ามาได้เพื่อเอาตัวเธอขึ้นมาบนเรือยาง

    ปรินซ์ออฟเวลส์ใช้กล้องส่องทางไกลมองดูสภาพความเสียหาย ข้างๆ เธอก็มีอิลลัสเทรียสยืนอยู่ เธอเอามือซ้ายจับที่แขนกว่าด้วยสีหน้าเจ็บปวด

    “โดนเข้าจนได้นะ ไม่คิดเลยว่าจักรวรรดิซากุระจะชิงเคลื่อนไหวก่อน”

    “การที่จักรวรรดิซากุระร่วมมือกับเลือดเหล็กก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่ว่า...”

    พวกเธอมองไปที่ซากเครื่องบินและเรือรบของไซเรนที่อยู่ภายในฐานทัพแห่งนี้ วินาทีนั้นเองพวกมันก็สลายกลายเป็นละอองแสงหายไป

    “พลังของไซเรนนั้นอันตรายเพียงใด พวกนั้นเข้าใจบ้างหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่พวกนั้นก็มีขุมกำลังที่กล้าแกร่งอย่างโมบิลสูทและบุรุษผู้นั้นด้วย”

    “มารีบฟื้นฟูกันเถอะ กำลังหลักของรอยัลเราคงจะมาถึงเร็วๆ นี้ค่ะ จะได้ไม่โดนบุกตอนยังไม่ทันตั้งตัวอีก แต่ว่าคราวนี้...”

    อิลลัสเทรียสก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มในช่วงท้ายประโยค ปรินซ์ออฟเวลส์เองก็ยิ้มเช่นเดียวกัน

    “พวกเราเองก็ได้ขุมพลังที่ทัดเทียมกับเหล่าโมบิลสูทมาเข้าร่วมกับเราแล้ว”

    “ใช่แล้วค่ะ”

    พวกเธอมองไปยังกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายซึ่งกำลังช่วยดับไฟที่ลุกไหม้เรือรบของเหล่าคันเซย์

    อีกด้านหนึ่งเอ็นเทอร์ไฟรซ์ได้กลับมาที่เรือของเธอและกำลังเดินอยู่บนดาดฟ้าเรือ ในระหว่างนั้นปรินซ์ออฟเวลส์กับอิลลัสเทรียสก็ได้พูดถึงเธอ

    “เอ็นเทอร์ไฟรซ์แห่งยูเนี่ยน กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกาย ทาจิบานะ อากิระ รอบนี้ได้พวกเธอสองคนช่วยเราไว้จริงๆ”

    “ค่ะ... แต่เธอเองก็ใช่ว่าจะไม่มีพิษภัยค่ะ เธอนั้นแข็งแกร่ง ไม่มีความลังเล ราวกับศรที่พุ่งตรงไปในอากาศ”

    “แต่ว่า”

    ปรินซ์ออฟเวลส์นึกถึงตอนที่เอ็นเทอร์ไฟรซ์ทำการต่อสู้กับคากะ

    “คันธนูที่ขึงติงเกินไป ก็สามารถขาดลงได้โดยง่ายค่ะ”

    “แล้วอากิระ... เธอคิดว่ายังไงล่ะ”

    ปรินซ์ออฟเวลส์เอ่ยถามความเห็นกับอิลลัสเทรียสเกี่ยวกับตัวตนของอากิระกับกันดั้ม

    “นั่นสินะคะ ถ้าให้พูดตรงๆ ล่ะก็ เขาแข็งแกร่ง กล้าหาญเด็ดเดี่ยวแล้วก็อ่อนโยนค่ะ”

    เธอพูดขณะมองดูเขากำลังบินไปตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเหล่าคันเซย์และนำเรือรบกลับมาเทียบท่าและนำเรือรบที่เสียหายหนักไปเข้าอู่

    “ก็จริงของเธอ ที่ว่าเขาแข็งแกร่ง แต่เราไม่รู้ที่มาที่ไปของเขา แถมเขายังมาขอเข้าร่วมกับพวกเราอีก ในช่วงที่เราต้องรับมือกับการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวของจักรวรรดิซากุระ ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ”

    ปรินซ์ออฟเวลส์ตั้งข้อสังสัยขึ้น ใช่ เขามาได้ถูกจังหวะเวลามาก ทำให้เขาถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นสปายจากจักรวรรดิซากุระแฝงตัวเข้ามาโดยเอ็นเทอร์ไฟรซ์

    “แต่เขาก็ยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็งเลยนะคะ ว่าเขาไม่ใช่สปายของจักรวรรดิน่ะค่ะ”

    อิลลัสเทรียสพูดคัดค้านเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเขาเป็นสปาย

    “ถ้างั้นก็ให้เอ็นเทอร์ไฟรซ์เป็นคนจับตาดูเขาก็แล้วกัน ถ้าเขาเป็นสปายจริงก็ให้เธอคนนั้นเป็นคนจัดการ”

    “เอางั้นก็ได้ค่ะ”

     

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์มองไปรอบทะเลที่ยังคงมีไฟลุกไหม้อยู่ และมองไปยังกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายซึ่งกำลังทำการช่วยเหลือเหล่าคันเซย์และเรือรบของพวกเธอ

    “ไม่ว่านายจะวางแผนอะไร ฉันจะเป็นคนเปิดโปงตัวจริงของนายออกมาให้ได้เลย คอยดูสิ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์กำหมัดแน่นและจ้องมองไปที่กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกาย

     

    จาเวลินกับลาฟฟีก็เคลื่อนที่กลับมาที่ฝั่ง พวกเธอกระโดดขึ้นมาที่ท่าเรือ จากนั้นพวกเธอก็ปลดเรือรบที่ติดตั้งอยู่บนร่างของพวกเธอออก เรือรบกลับสู่สภาพเดิม

    จาเวลินถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปหาลาฟฟี

    “จาเวลินดีใจที่ทุกคนไม่เป็นอะไรนะคะ”

    ก๊อง

    แต่เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นลาฟฟีนอนคว่ำกับพื้นในสภาพที่เปีอกปอนไปหมด ทำให้เธอตกใจมาก

    “เอ๊ะ เป็นอะไรรึเปล่า ลาฟฟีจัง!?”

    ลาฟฟีเงยหน้าขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงง่วงหงาวหาวนอน

    “น่าจะไม่ ง่วงจัง”

    จากนั้นเธอก็หลับไปทันที จาเวลินก็เดินมาหาเธอแล้วลงไปนั่งคุกเข่าเพื่อปลุกเธอ

    “อย่ามาหลับตรงนี้สิ!”

    จาเวลินจับแขนทั้งสองของลาฟฟีแล้วพลิกตัวเธอขึ้นมานอนหงาย แต่ที่กระโปรงของเธอก็มีปูเดินอยู่

    นาทีต่อมา ปรินซ์ออฟเวลส์ อิลลัสเทรียสและยูนิคอร์นก็เดินมายังที่ที่พวกเธออยู่ ยูนิคอร์นหันหน้ามองไปมา ตอนนั้นเองเธอก็สังเกตเห็นจาเวลินกับลาฟฟี

    “อ๊ะ จาเวนลินจัง! ลาฟฟีจัง!”

    เธอเห็นจาเวลินเอาแขนของลาฟฟีมาพาดไหล่และประคองตัวเธอเดิน

    เมื่อเธอได้ยินเสียงของยูนิคอร์น เธอก็เงยหน้าขึ้นมามอง

    ยูนิคอร์นวิ่งเข้ามาหาพวกเธอ

    “ยูนิคอร์นจัง ไม่เป็นไรใช่มั้ย? เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

    เธอพยักหน้าและพูดขอบคุณพวกเธอสองคน

    “อื้อ ขอบคุณมากนะ ไม่เป็นไรหรอก”

    “ทำได้ดีมากเลยนะพวกเธอ ช่วยได้เยอะเลยล่ะ”

    ปรินซ์ออฟเวลส์พูดชื่นชมพวกเธอ

    แต่เมื่อจาเวลินเห็นเธอก็ทำให้เธอนึกถึงเรื่องของอายานามิขึ้นมา ทำให้เธอลังเลที่จะพูดออกไป

    “คือว่า...”

    แต่ตอนนั้นเองกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายก็บินลงมาหาพวกเธอ เขาร่อนลงตรงกึ่งกลางระหว่างพวกเธอกับปรินซ์ออฟเวลส์

    “ไง อากิระคุง ทางเธอเป็นไงบ้าง?”

    อิลลัสเทรียสเอ่ยถามอากิระ

    “ทางนี้ดับไฟที่ลุกไหม้เรือหมดแล้ว เรือรบก็มีลากเข้าอู่ซ่อมเพื่อซ่อมแซมความเสียหายไปบางส่วนแล้ว ส่วนเรือที่เสียหายหนักพวกตัวจิ๋วสีเหลืองจะรับช่วงต่อเองน่ะ”

    อิลลัสเทรียสขมวดคิ้วสงสัยคำพูดที่ว่าเจ้าตัวจิ๋วสีเหลือง แต่แล้วเธอก็นึกออกว่าเขาคงจะหมายถึงพวกมันจูนั่นเอง

    “งั้นเหรอ ขอบคุณมากเลยนะ”

    “ไม่เป็นไรครับ ทางนี้ยินดีช่วย”

    อากิระหัวเราะออกมา ทางอิลลัสเทรียสกับปรินซ์ออฟเวลส์ก็ยิ้มและหัวเราะคิกคักออกมา

    “เอ่อ คือว่า...”

    ตอนนั้นเองก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา อากิระก็ก้มหน้าลงไปมอง เขาก็เห็นเด็กสาวผมยาวสีม่วง เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวเหมือนอิลลัสเทรียส ในอ้อมแขนของเธอกอดสัตว์เลี้ยงที่มีหน้าตาเหมือนม้ายูนิคอร์นผสมกับเปกาซัสเอาไว้ในอ้อมแขน

    “คือว่า ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่ช่วยหนูเอาไว้”

    “เธอคือ...”

    อากิระขมวดคิ้วสงสัย ก่อนที่อิลลัสเทรียสจะตอบข้อสงสัยของเขา

    “เด็กคนนี้คือน้องสาวของฉันเอง ยูนิคอร์น”

    “อ้อ เธอเองเหรอ ไม่เป็นไรหรอก ทางนี้ก็ดีใจที่เธอปลอดภัยนะ”

    อากิระเอามือลูบศีรษะของยูนิคอร์น เธอยิ้มดีใจอย่างมีความสุข ทั้งที่มือของเขาเป็นเหล็กแต่มันกลับให้ความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างน่าประหลาด ก่อนจะผละมือออกจากศีรษะของยูนิคอร์น

    วินาทีต่อมา อากิระก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วหันไปหาจาเวลิน

    “จะว่าไปเธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับปรินซ์ออฟเวลส์ไม่ใช่เหรอ?”

    เมื่อได้ยินคำพูดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้

    “จริงด้วย เรื่องที่อยากจะบอกคือ...”

    แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดลาฟฟีก็ยกมือขึ้นมาปลดกระดุมที่เสื้อของเธอ ทำให้เสื้อของเธอหลุดและเผยเรือนร่างท่อนบนอันเปลือยเปล่าและหน้าอกสู่สายตาของทุกคน ก่อนที่ลาฟฟีจะร่วงลงไปนอนหน้าคว่ำกับพื้น

    “กะ กรี๊ดดด!!!”

    จาเวลินอายหน้าแดงก่อนจะขยับตัวไปมาแล้วคู้ตัวลงและเอามือมาปิดหน้าอกของเธอ

    ยูนิคอร์นอายหน้าแดง เธอเอามือปิดตาสัตว์เลี้ยงของเธอเอาไว้ ทางด้านอากิระรีบหันหน้าหลบทันทีพร้อมกับหลับตาสนิท ส่วนปรินซ์ออฟเวลส์กับอิลลัสเทรียสไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรคงเพราะพวกเธอต่างก็เป็นผู้หญิงทั้งคู่ แต่ยูนิคอร์นยังเด็กอยู่เลยไม่ประสีประสาอะไรกับเรื่องแบบนี้

    จาเวลินก็หันไปหาลาฟฟีผู้เป็นตัวการของเรื่องแล้วพูดด้วยน้ำเสียงลนลาน

    “เดี๋ยวเถอะ ลาฟฟีจัง!”

    “เหนื่อยจัง หิวมาก ง่วงด้วย”

    ลาฟฟีพลิกตัวขึ้นมานอนหงาย สายคล้องไหล่ข้างหนึ่งจากเสื้อของเธอหลุดเผยให้เห็นหน้าอกที่เล็กราวกับเนินข้างหนึ่งออกมา แต่ก็ได้ปูซึ่งเป็นตัวแทนแห่งศีลธรรมมาปิดส่วนยอดอกเอาไว้

    “อ๊า!?”

    จาเวลินหน้าแดง ก่อนจะรีบหยิบปูตัวนั้นออกมาแล้วจับเสื้อของลาฟฟีขึ้นมาปิด

    ปรินซ์ออฟเวลส์กับอิลลัสเทรียสมองดูทั้งสองคน ก่อนที่อิลัลัสเทรียสจะขยับริมฝีปากพูด

    “คงจะเหนื่อยกันมากสินะ ไปพักกันเถอะ”

    ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นท่าทีของอากิระที่หลบหน้าไม่ยอมหันไปมองจาเวลินกับลาฟฟี

    “อ้าว? เป็นอะไรไปเหรอ อากิระคุง?”

    “เอ่อ ไม่มีอะไรครับ!?”

    อากิระรีบตอบกลับไปอย่างลนลาน

    “อะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะไปช่วยขนอุปกรณ์ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเรือรบก่อนนะ”

    พูดจบ อากิระก็เร่งบูสเตอร์แล้วรีบบินจากไปทันที

    อิลลัสเทรียสที่เห็นท่าทีแบบนั้นของเขาก็หัวเราะคิกคักออกมา

    “แหมๆ ทำตัวน่ารักจังเลยนะ จริงๆ ก็แค่อยากจะหนีจากสถานการณ์ล่อแหลมในตอนนี้ก็เท่านั้นเอง”

    “ก็เขาเป็นผู้ชายนี่นา จะเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก”

    ทั้งสองหันหลังกลับแล้วเริ่มเดินจากไป ก่อนที่ยูนิคอร์นจะเดินตามหลังทั้งสองคนไป

    จาเวลินที่จัดเสื้อของเธอเรียบร้อยแล้วก็รีบพูดขึ้นมา

    “คือว่า...”

    ปรินซ์ออฟเวลส์หันมามองด้านหลัง

    “การพักก็เป็นหน้าที่ของเราเหมือนกันนะ”

    ยูนิคอร์นโบกมือลาแล้วเดินตามหลังพวกเธอไป

    จาเวลินที่ไม่มีโอกาสได้พูดเรื่องนั้นออกมาก็ได้แต่ก้มหน้าลง ลาฟฟีที่เห็นว่าทั้งสามคนจากไปแล้ว ก็ยันตัวขึ้นมานั่ง แล้วหยิบโคล่าขึ้นมา

    “ดื่มสักหน่อยดีกว่า”

    เธอเปิดฝาขวดโคล่าแล้วดื่มจาหมดขวดแล้วเอาลงมาวางไว้ข้างตัวเธอ

     

    ที่อู่ต่อเรือ คลีฟแลนด์กำลังใช้เครนยกปืนใหญ่ที่เสียหายออก เธอโบกธงสีขาวที่มีรูปมันจูอยู่ในมือเป็นสัญญาณ

    “มาเลย มาเลย! หยุด!”

    เมื่อได้ความสูงที่พอเหมาะแล้ว เธอก็ให้สัญญาณหยุด

    “เฮ้อ มีเรือต้องซ่อมอีกหลายลำเลยนะเนี่ย”

    เธอหันไปมองเรือลำอื่นๆ ซึ่งกำลังถูกลากโดยเรือทัก เรือทัก คือ เรือลาก ดัน แม้จะจะลำเล็กแต่ก็มีแรงมหาศาล ปกติจะมีหน้าที่ลากหรือดันเรือขนาดใหญ่ในการเข้าหรือออกจากท่าเรืออยู่แล้ว แม้ว่าเรือจะไม่ได้เสียหายก็ตาม

    “เรือฉัน!”

    แซนดิเอโก้ร้องไห้คร่ำครวญออกมาขณะอยู่ในท่าคุกเข่าคลานสี่ขาตัวสั่นระริก มองดูเรือของเธอซึ่งเสียหายหนักและจมไปครึ่งลำเรือแล้ว ขณะที่เพื่อนอีกสองคนของเธอพยายามปลอบใจเธอ

    “แย่เลย”

    คลีฟแลนด์นั่งตัวยองๆ เอามือวางไว้ที่แก้มมองดูทั้งสามคน

    “ถ้าอย่างน้อยมีเรือซ่อมบำรุงอยู่ด้วยล่ะก็...”

    “เฮ้ คลีฟแลนด์ ฉันเอาปืนใหญ่กระบอกใหม่กับอะไหล่มาให้แล้วนะ”

    คลีฟแลนด์แหงนหน้าขึ้นไปมองก็เห็นกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายกำลังขนปืนใหญ่และอะไหล่มาให้เธอ

    “โอ้ว ขอบใจนะ เอามาวางไว้ตรงนี้นะ”

    “เข้าใจแล้ว หืม”

    “หืม”

    ก่อนที่กันดั้มจะได้วางของลง เขากับคลีฟแลนด์ก็สังเกตเห็นเอ็นเทอร์ไฟรซ์กำลังยืนมองทะเลอยู่

    “ให้ฉันช่วยพาเธอลงไปมั้ย?”

    กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายเอ่ยถามคลีฟแลนด์

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันลงไปเอง พอนายวางของเสร็จก็ค่อยตามมานะ”

    “อืม”

    กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายพยักหน้ารับ จากนั้นคลีฟแลนด์ก็ปีนตะข่ายเชือกลงไปแล้วโดดลงไปที่พื้นเบื้องล่างแล้วเดินไปหาเอ็นเทอรไฟรซ์ ส่วนกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายก็เอาปืนใหญ่กับอปุกรณ์ไปวางยังตำแหน่งที่คลีฟแลนด์บอก ก่อนจะตามไปสมทบกับเธอ

    “นี่ เอ็นเทอร์ไฟรซ์”

    เธอโบกมือเรียกแล้ววิ่งเข้าไปหา ส่วนกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายก็วางของเสร็จแล้วบินไปสมทบกับคลีฟแลนด์และเอ็นเทอร์ไฟรซ์

    “ควรจะไปพักบ้างนะ การต่อสู้เมื่อกี้ก็หักโหมเอาเรื่องเลยไม่ใช่เหรอ”

    คำพูดนั้นทำให้อากิระตะลึง เขาไม่รู้เลยว่าในการต่อสู้ที่ผ่านมาเอ็นเทอร์ไฟรซ์จะฝืนตัวเองขนาดนั้น

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์หันข้างมามองคลีฟแลนด์ซึ่งวิ่งมาหาเธอ กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายก็ร่อนลงมายืนอยู่ข้างๆ คลีฟแลนด์ เอ็นเทอร์ไฟรซ์จ้องมองกันดั้มด้วยสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะพูดกับคลีฟแลนด์

    “ไม่มีปัญหา”

    “ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก”

    คลีฟแลนด์กับอากิระมองไปยังเรือของเอ็นเทอร์ไฟรซ์ ตัวเรือได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ แต่เอ็นเทอร์ไฟรซ์ก็พูดออกมาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

    “ซ่อมแซมฉุกเฉินเรียบร้อยแล้วล่ะ ยังสามารถต่อสู้ได้อีกพักใหญ่ๆ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์หันกลับมาแล้วทำท่าว่าจะเดิน แต่จู่ๆ เธอก็เกิดอาการหน้ามืดอย่างกะทันหัน ทำให้เธอล้มลง แต่อากิระก็รีบเข้ามาประคองร่างของเธอเอาไว้ คลีฟแลนด์พูดออกมาด้วยความรู้สึกเป็นห่วง

    “เห็นไหม? บอกแล้วไงล่ะ!”

    “เธอควรจะไปพักนะ เดี๋ยวฉันจะช่วยซ่อมแซมเรือของเธอให้ ดูยังไงก็ไม่น่าจะสู้ได้พักใหญ่ๆ เลยซะด้วยซ้ำ”

    แม้อากิระพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง แต่เธอก็ไม่สนและเอามือผลักตัวอากิระออก

    “อย่ามาแตะตัวฉันนะ เจ้าสปาย! แล้วก็อย่ามายุ่งกับเรือของฉันด้วย!”

    เธอพูดเช่นนั้นก่อนจะหันไปหาคลีฟแลนด์

    “ศัตรูยังไปได้ไม่ไกลนัก จะลดการป้องกันลงตอนนี้ไม่ได้ แล้วก็อย่าเข้าใกล้เจ้าสปายนี่ด้วย”

    อากิระก็พูดเถียงใส่เอ็นเทอร์ไฟรซ์

    “นี่เธอ! จะให้ฉันต้องพูดอีกกี่รอบถึงจะเข้าใจ ฉันไม่ใช่สปายของจักรวรรดิซากุระ และฉันก็เป็นห่วงเธอนะ สภาพของเธอในตอนนี้ควรที่จะไปพัก เธอไม่ควรฝืนตัวเองแบบนี้เลยด้วยซ้ำ!!”

    “หึ ไม่คิดว่านายจะเป็นห่วงฉันจริงๆ ที่พูดมานี่ก็เพื่อที่จะทำให้ฉันใจอ่อนล่ะสิ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์พูดจาจิกกัดใส่อากิระและไม่แน่บางทีเธออาจจะลองทดสอบตัวเขาด้วย ถ้าเขาเกิดความลังเลที่จะตอบ ก็เท่ากับว่าเขาคือสปาย

    “เปล่าเลย ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ”

    แต่อากิระกลับพูดออกมาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่วินาทีเดียว ทำให้เอ็นเทอร์ไฟรซ์ รวมถึงคลีฟแลนด์ที่อยู่ด้วยกันต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง

    “ไม่ ฉันไม่เชื่อนายหรอก”

    เธอพูดเช่นนั้นแล้วเดินจากไปทันที

    อากิระมองแผ่นหลังของเธอจนหายลับไป คลีฟแลนด์ก็พูดกับเขาด้วยความเป็นห่วง

    “นี่ นายไม่เป็นไรนะ”

    “อืม ไม่เป็นไรหรอก”

    เขาตอบกลับก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม

     

    อีกด้านหนึ่ง ณ เรือรบของจักรวรรดิซากุระบนดาดฟ้าเรืออาคากิกำลังทำแผลให้กับคากะ ทั้งสองนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวปูผ้าแดงและกางร่มแดงบังแดง บนเก้าอี้ยาวมีกล่องปฐมพยาบาลและข้างๆ กล่องก็มีถ้วยชาและดังโงะวางอยู่

    “อูย...”

    “เอาล่ะ อดทนไว้”

    “ทะ... ท่านพี่คะ ใกล้ไปแล้วค่ะ...”

    อาคากิเอาหน้าเข้าไปใกล้คากะขณะเอาผ้าเช็คตัวเธอ

    “เดี๋ยวเถอะ ตรงหน้าก็มีแผลอยู่นนะ”

    “ท่านพี่คะ บาดแผลแค่นี้มันไม่ได้หนักหนาอะไร...”

    “ไม่ได้จ๊ะ”

    อาคากิพูดขัดไม่ให้คากะได้พูดต่อ

    “ถ้าใบหน้าสวยๆ แบบนี้มีแผลเป็นไปก็คงแย่น่าดู”

    อาคากิเอามือจับคางของคากะแล้วเอาลิ้นเลียที่บาดเจ็บบนแก้มของเธอ ทำให้เธอหน้าแดง จากนั้นเธอก็เอามือมาลูบไล้ต้นขาของคากะ

    “จะไม่ดูแลตัวเองไม่ได้นะจ๊ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ฉันคงเสียใจน่าดู”

    เธอพูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คากะที่ได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าลง

    “ต้องขอประทานโทษจริงๆ ค่ะ ท่านพี่ ทั้งที่แต่เดิม ร่างกายนี้น่ะ...”

    อาคากิยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปากของคากะเพื่อให้เธอหยุดพูด

    “ไม้เป็นไรหรอก ก็พวกเราเป็นราวกับพี่น้องกันนี่”

    เธอพูดเช่นนั้นก่อนจะเอานิ้วผละออกจากริมฝีปาก

    “เป็นเรื่องปกติที่พี่สาวจะต้องมอบความรักให้กับน้องสาวอยู่แล้ว”

    อาคากิเผยรอยยิ้มอย่างเย้ายวน ตอนนั้นเองคากะก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากด้านบน เธอมองขึ้นไปข้างบนแล้วกระโดดออกมาจากเก้าอี้แล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปยังเสากระโดงเรือ

    ที่ด้านบนมีหญิงสาวนั่งอยู่ เธอมีผมสีเงินยาวถึงสะโพก เธอผูกผมทรงทวินเทล เรือที่ติดตั้งอยู่บนตัวเธอนั้น ในส่วนที่เป็นหัวเรือมีการเคลื่อนไหวราวกับว่ามันมีชีวิต เธอสวมชุดสีเทาขลิบแดง ที่ปกเสื้อมีสัญลักษณ์เครื่องหมายบวกสีดำติดอยู่ เธอก็คือเรือลาดตระเวนหนัก ปรินซ์ออยเกน

    “ตายจริง หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนนะจ๊ะ”

    “แก...”

    คากะจ้องมองเธอด้วยสายตาน่ากลัวและไม่พอใจเป็นอย่างมาก

    ปรินซ์ออยเกนยิ้มออกมาและพูดหยอกล้อกับเธอโดยไม่หวั่นไหวต่อสายตานั้นเลยแม้แต่น้อย

    “อย่าจ้องด้วยสายตาน่ากลัวแบบนั้นสิ เป็นพวกพ้องกันไม่ใช่เหรือไง ทั้งพวกเธอจักรวรรดิซากุระและพวกเราเลือดเหล็ก”

    เธอโหนตัวลงด้านล่างแล้วร่อนลงพื้นอย่างสวยงามแล้วเดินเข้ามาหา ก่อนจะเอามือกอดอกทำให้หน้าอกถูกดันขึ้นมา

    “เนอะ”

    “แน่นอนสิคะ...”

    อาคากิหันหน้ามามองปรินซ์ออยเกน ก่อนจะลุกขึ้นยืน

    “พวกเราต่างเป็นสหายที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน”

    เธอหยิบคิวบ์สีดำขึ้นมา และจ้องมองมัน

    “ทุกสิ่งก็เพื่อให้ฝ่ายเรด แอ็กซิสเป็นผู้ชนะ”

    จากนั้นก็เอาริมฝีปากมาจุมพิตคิวบ์สีดำที่ลอยอยู่ในมือ

    “หืม”

    ปรินซ์ออยเกนส่งเสียงแสดงความประหลาดใจออกมา ก่อนจะเอามือแนบคาง

    “แต่จะว่าไป เอาเรื่องไม่เบาเลยนะ ถึงจะเป็นรุ่นผลิตจำนวนมาก แต่การควบคุมเรือของไซเรนได้ดั่งใจเนี่ย แถมยังมีโมบิลสูทจากกองทัพของท่านชินนันจูอีก”

    “ทุกอย่างพระเจ้าจะเป็นคนตัดสินเองค่ะ”

    “แต่ดูเหมือนจะระวังตัวน่าดูเลยนะคะ ทั้งที่จะบดขยี้ฐานทัพนั่นทิ้งไปก็ได้แท้ๆ”

    ปรินซ์ออยเกน เดินไปที่นั่งที่เก้าอี้แล้วหยิบดังโงะขึ้นมา

    “รอยขีดข่วนบนตัวน้องสาวทำให้กลัวหรือไงจ๊ะ”

    “ชิ”

    คำพูดนั้นทำให้คากะเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์

    ปรินซ์ออยเกนส่งเสียงหัวเราะหึหึ ก่อนจะจะเอาลิ้นเลียซอสดังโงะแล้วกินดังโงะเข้าปากไปลูกหนึ่ง

    คากะที่ทำท่าจะเดินเข้าไปหาเรื่อง แต่อาคากิก็ยกมือขึ้นมาห้ามเอาไว้

    “หามิได้หรอก แบบนั้นมันก็ไม่ใช่ความรักน่ะสิ”

    เธอยกคิวบ์ขึ้นดำขึ้นมา

    “คงต้องปั่นกันไปอีกสักหน่อยล่ะนะ แต่ว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วค่ะ”

    “หมายความว่ายังไง”

    ปรินซ์ออยเกนขมวดคิ้วสงสัย

    “นอกจากเอ็นเทอร์ไฟรซ์แห่งยูเนี่ยน ที่รู้จักกันในนามเกรย์โกสต์ ยังมีโมบิลสูทอีกเครื่องหนึ่งที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับโมบิลสูทของทางนี้ด้วย”

    ปรินซ์ออยเกนรับฟังขณะที่เอาดังโงะที่เหลืออีกสามลูกให้สัตว์เลี้ยงของเธอ

    “ในการต่อสู้กันที่ฐานทัพของอซูร์เลน มีโมบิลสูทสีขาวมีเขาแยก ปรากฏตัวออกมาจากบนท้องฟ้าและจัดการข้ารับใช้ของคากะในการโจมตีเพียงครั้งเดียว”

    “เห แต่เจ้าจิ้งจอกนั่น ถ้าไม่โค่นคากะก็จัดการไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”

    เธอแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่คากะกลับมีสีหน้าเจ็บปวด

    “แต่นั่นเป็นความจริงค่ะ นอกจากนั้น เหล่าโมบิลสูทที่อยู่ที่นั่นด้วยก็ถูกจัดการไปถึงสิบห้าเครื่องด้วย เหลือรอดมาได้แค่สี่ นอกจากนั้นมันยังจัดการไซเรนไปหลายลำเลยทีเดียว”

    “โมบิลสูทสิบห้าเครื่อง! เดี๋ยวนะ บอกว่ารอดมาได้แค่สี่ แล้วอีกเครื่องหายไปไหน”

    ปรินซ์ออยเกนแสดงความตกตะลึง ก่อนจะถามถึงอีกเครื่องที่หายไป

    “เครื่องหนึ่งถูกคนของฝ่ายอซูร์เลนจัดการไปค่ะ”

    “แล้วโมบิลสูทเครื่องนั้นมีชื่อว่าอะไร”

    “โมบิลสูทเครื่องนั้นมีชื่อว่า กันดั้มค่ะ”

    อาคากิบอกชื่อและความแข็งแกร่งของกันดั้มให้ปรินซ์ออยเกนได้รู้ เธอแสดงสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

    “ดูท่าจะเป็นปัญหาจริงๆ สินะ ไม่คิดเลยว่าพวกโมบิลสูทจะพากันหวั่นเกรงได้ถึงขนาดนี้”

    “ใช่ค่ะ”

    อาคากิพยักหน้ารับ

    “ขออนุญาตครับ!”

    แซกวอริเออร์ซึ่งมีผ้าพันแผลพันอยู่ตามร่างกาย เขาคือหุ่นที่ได้รับความเสียหายน้อยที่สุดในบรรดาแซกวอริเออร์และเซอร์เพนท์ คัสตอมที่เหลือรอดจากการต่อสู้ เขาวันทยาหัตถ์ทำความเคารพอาคากิ คากะและปรินซ์ออยเกน

    “ว่ามา”

    อาคากิอนุญาติให้เขาพูด แซกวอริเออร์เอามือและเริ่มกล่าวรายงาน

    “เราได้รายงานเรื่องที่กันดั้มปรากฏตัวที่ฐานทัพอซูร์เลนให้ท่านชินนันจูได้รับทราบแล้วครับ”

    “แล้วท่านว่ายังไงบ้างล่ะ”

    “ครับ ท่านบอกว่าต้องการจะเห็นกันดั้มด้วยตัวของท่านเอง ดังนั้นท่านจะออกเดินทางมาสมทบกับท่านอาคากิและท่านปรินซ์ออยเกนในวันพรุ่งนี้ครับ”

    แซกวอริเออร์กล่าวรายงานอย่างลื่นไหล

    “แล้วท่านชินนันจูจะพากำลังพลมาเท่าไหร่?"

    “คะ คือว่า เรื่องนั้น....”

    แซกวอริเออร์ลังเลที่จะพูด ทำให้อาคากิแสดงความไม่พอใจออกมา

    “มีอะไรงั้นเหรอ”

    “ไม่ใช่ครับ คือว่า ...ท่านบอกว่าท่านจะมาคนเดียวครับ ส่วนหน่วยของท่านก็จะยังคงทำภารกิจต่อไปเหมือนเดิมครับ”

    “อะไรนะ!?”

    ทั้งสามแสดงความตกตะลึงเมื่อได้รับฟังสิ่งที่แซกวอริเออร์รายงาน

    “ท่านชินนันจู คิดอะไรอยู่ ท่านคิดจะฆ่าตัวตายอย่างงั้นเหรอ!?”

    อาคากิแสดงสีหน้ากังวลอย่างมาก แซกวอริเออร์จึงรีบชี้แจงให้เธอและคนอื่นๆ ทราบ

    “ท่านชินนันจูคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกท่านจะต้องพูดแบบนี้ ท่านจึงบอกผมว่ามีแค่ท่านเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับกันดั้มได้อย่างทัดเทียมครับ”

    ‘!?’

    คำพูดนั้นทำให้ทั้งสามคนที่ได้ยินต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก

    “นี่คาดการณ์ได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยว่า พวกเราจะต้องพูดว่านั่นเป็นการฆ่าตัวตาย”

    “ช่างเป็นผู้ชายที่ประมาทไม่ได้เลยจริง”

    ระหว่างที่ทั้งสามกำลังพรั่นพรึงถึงความสามารถของชินนันจู

    ตอนนั้นเองก็มีกระดาษสีส้มบินมาหาพวก จากนั้นก็มีเสียงของซุยคาคุดังมาจากกระดาษสีส้มแผ่นนั้น

    “รุ่นพี่คะ เจอแล้วค่ะ หน่วยปฏิบัติการอิสระค่ะ”

    “เป็นไปตามที่อายานามิรายงานเลยนะ”

    “งั้นคงต้องจัดหนักให้มากกว่านี้อีกสักนิดนึง พอจัดการได้ใช่ไหม กองเรือบรรทุกเครื่องบินที่ 5? ถึงพวกเธอจะยังเป็นมือใหม่ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปหรอกนะ”

    “รับทราบค่ะ”

    จากนั้นกระดาษที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ลุกไหม้สลายหายไป

    “เอาล่ะ คงมีเรื่องต้องขอร้องท่านปรินซ์ออยเกน ผู้เลื่องชื่อแห่งเลือดเหล็กเสียหน่อย”

    อาคากิหันมาหาปรินซ์ออยเกนแล้วเอามือทาบอก

    “กองเรือบรรทุกเครื่องบินที่ 5 เจอพวกที่เหลือรอดอยู่ ไม่มีเหตุผลที่ต้องปล่อยไว้”

    คากะพูดเสริม

    “สำหรับฉันแล้วถึงจะน่าละอายไปหน่อย แต่ก็กังวลเรื่องรุ่นน้องมากเลยล่ะ ถ้าหากทางเลือดเหล็กจะยินดียื่นมือเข้าช่วยในเรื่องนี้ล่ะก็ ก็คงไม่มีปัญหาด้วยกำลังที่มากขนาดนั้นหรอก”

    “หืม”

    ปรินซ์ออยเกนแสดงท่าทีสนใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน

    “ก็เอาเถอะ”

    เธอพูดเช่นนั้นแล้วปาไม้เสียบดังโงะไปปักที่พื้นใกล้กับเท้าของคากะ คากะก้มมองไม้ที่ปักอยู่ที่พื้น เธอกัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกโกรธ

    “ฉันจะไปพานิมิกับอายานามิฝ่ายของเธอมานะ แล้วฉันก็รู้สึกสนใจกันดั้มที่เธอพูดถึงขึ้นมาด้วยล่ะนะ ขอดูหน่อยละกันว่า เขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน”

    ปรินซ์ออยเกนพูดพร้อมกับก้าวเดิน

    “ค่ะ แล้วจะคอยติดตามผลงานนะคะ”

    อาคากิกับคากะมองดูเธอเดินจากไป

    ในเวลาเย็นที่ท้องฟ้าเป็นสีส้ม แสงอาทิตย์ทอแสงสีส้มและใกล้ลับขอบฟ้า อายานามิกำลังนั่งมองดูวิทิวทัศน์บนป้องปืนใหญ่

    สักพักหนึ่งก็มีเด็กสาวเดินมาหาเธอแล้วขานชื่อของเธอ

    “อายานามิ”

    เธอก้มหน้าลงไปมองเด็กสาวคนนั้น เด็กสาวมีผมสั้นสีเงิน ที่ผมด้านขวาของเธอติดรบบิ้นสีแดงน้ำเงินและมีเครื่องประดับเป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายบวกสีดำ สวมเสื้อโค้ทยาว ใส่กางเกงรัดรูปขาสั้น และสวมหมวกสีฟ้าและสวมปลอกแขนเอาไว้ที่แขนซ้าย เธอคือเรือพิฆาต Z23 หรือ นิมิ

    “นิมิ”

    อายานามิขานชื่อของเธอออกมา จากนั้นนิมิก็พูดกับเธอ

    “มีภารกิจค่ะ ช่วยตามพวกเรามาด้วยค่ะ”

    “ออกรบอีกแล้วเหรอ...”

    “ค่ะ เป็นกองเรือศัตรูที่อยู่ห่างจากฐานทัพออกมาค่ะ”

    นิมิบอกเรื่องกองเรือศัตรูที่ได้รับมาจากการสอดแนมให้อายานามิฟัง

    “จะเข้าปะทะก่อนที่จะกลับถึงฐานได้ค่ะ”

    เมื่อฟังจบอายานามิก็หันหน้ากลับไปยังตำแหน่งเดิมและพูดพึมพำออกมา

    “ศัตรู...”

    นั่นทำใหเธอนึกภาพของจาเวลิน ลาฟฟีขึ้นมา เธอก้มหน้าลงและพูดออกมา

    “ถึงจะไม่ได้เกลียดการต่อสู้ก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้ชอบค่ะ”

    ได้ยินแบบนั้นนิมิก็มีท่าทีลนลานขึ้นมา

    “อยู่ๆ อย่ามาพูดเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนั้นสิคะ”

    “นิมิล่ะ ชอบการต่อสู้เหรอคะ?”

    อายานามิพูดสวนกลับ ทำให้นิมิทำหน้าประหลาดใจ

    “ไม่ได้เกลียดหรือชอบหรอกค่ะ การปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงคือหน้าที่ของพวกเราไม่ใช่เหรอคะ”

    นิมิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา อายานามิเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองดูวิวอีกครั้ง

    “พวกเราคือ คันเซย์ค่ะ การที่พวกเราเกิดมา ก็เพื่อต่อสู้นั่นแหละ”

    อายานามิหันมามองนิมิพูด เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย

    “อายานามิไม่เห็นจะเข้าใจเลยค่ะ”

    เธอมองดูวิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าต่อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×