คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 : จุดเริ่มต้น (?) 100%
บทที่ 1 : จุดเริ่มต้น (?)
“เร็น! เร็นลูก มากินข้าว”
เสียงของหญิงชราผู้หนึ่งดังขึ้นจากภายในบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง ดูจากสภาพของบ้านก็เพียงพอแล้วที่จะบอกฐานะของผู้อยู่อาศัยได้ มันเป็นเพียงแค่กระท่อมไม้ไผ่เล็กๆหลังหนึ่งเท่านั้น ไม่แน่ว่าหากมีพายุขนาดย่อมๆพัดมา มันก็พร้อมที่จะพังทลายลงในชั่วพริบตา
“เร็น! แม่เรียกไม่ได้ยินหรือ”
ผู้ที่แทนตัวเองว่าแม่ยังคงเรียกหาลูกชายของเธอที่ชื่อ ‘เร็น’ ต่อไปอย่างไม่ลดละ และเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อย ใครใช้ให้เจ้าลูกตัวดีหายหัวไปได้ทั้งวี่ทั้งวัน ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่าลูกของเธอก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย เร็นมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือจากการร่ำเรียนและการทำงานอย่างหนักให้เสียไปเปล่าๆกับการนอนอยู่บนต้นก้ามปูต้นใหญ่อายุนับหลายสิบปี มันเป็นต้นไม้เพียงต้นเดียวที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนเนินเขาหน้าบ้านของพวกเขา
“มาแล้วคร้าบบบบ มาแล้วๆ” เด็กหนุ่มลากเสียงตอบอย่างเหนื่อยหอบ เนื่องจากเขารีบวิ่งมาในทันทีที่ได้ยินเสียงแว่วๆว่า ‘ข้าว’ ดังลอยมา แต่ก็ไม่วายทำหน้าบูดบึ้งราวกับกินของขม
ไม่น่าวิ่งมาเลย เปลืองพลังงาน !
เด็กหนุ่มคิด แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่! เขาไม่เคยห้ามตัวเองให้หูโผล่หางกระดิกทุกครั้งที่มีอาหารมาเกี่ยวข้องได้เลยจริงๆ
“หากครั้งหน้าเจ้ายังมาไม่ทันเวลาอาหารเย็นเช่นนี้อีก แม่จะโยนให้หมากินเสียให้หมด” ผู้เป็นแม่พูดขู่ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับสั่นเทาเหลือเกิน
แม่ของเร็นต้องทำงานอย่างหนักในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านที่แสนเคี่ยวอนุญาตให้เธอนำอาหารที่เหลือในร้านกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อมันใกล้จะเสียเต็มทีแล้ว เธอไม่อยากให้ลูกกินของแย่ๆพวกนี้เลย หากช้าไปกว่านี้มันอาจจะเน่าบูด เธอจึงต้องบังคับขู่เข็ญให้ลูกชายกินอาหารทันทีที่เธอได้มันมา
ครอบครัวของพวกเขามีฐานะยากจนมาก ไม่ใช่โดยชาติกำเนิดแต่เพราะพ่อของเร็นนั้นติดการพนันเสียจนไม่อาจถอนตัว แต่ก่อนเขาเป็นถึงเจ้าคนนายคน เป็นผู้นำชาวเอรีสผู้ดูแลการทำเกษตรกรรมขนาดใหญ่ในอาณาจักรอีสเทิร์น ถึงแม้จะไม่ใช่อาชีพที่มีเกียรติแต่ก็ร่ำรวยไม่น้อย ยามมีจึงใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยไม่ยั้งคิด จนกระทั่งต้องกู้หนี้ยืมสิน ต่อให้ขายบ้านและทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปแล้วก็ไม่อาจชดใช้ได้หมด ด้วยดอกเบี้ยที่แสนจะขูดรีด มันมากมายเสียจนท่วมท้นจำนวนเงินที่กู้ไปแล้วไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า กว่าที่เร็นกับแม่จะรู้เรื่อง พวกเขาก็ย้ายจากบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงมาอยู่ที่กระท่อมหลังเขาเช่นนี้เสียแล้ว
ราวกับฟ้าต้องการจะกลั่นแกล้ง พ่อของเร็นตรอมใจจนล้มป่วยและจากไปหลังจากย้ายบ้านได้ไม่นาน เนื่องจากไม่อาจทนต่อคำพูดถากถางจากญาติมิตรที่เคยสนิทชิดเชื้อกันได้
“โถ่แม่ครับ ข้าขอโทษ เรารีบกินเข้าเถิด”
เด็กชายกล่าวเสียงอ่อยก่อนจะนั่งลงกินทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะแทบจะในทันที ภาพของชายหนุ่มอายุ 17 ปีที่กำลังฉีกแผ่นแป้งทอดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยปรากฏอยู่ในดวงตาของหญิงชราผู้เป็นแม่ เร็นของเธอเป็นเด็กหนุ่มชาวเอรีสผู้มีเส้นผมสีดำสนิทระอยู่ที่ต้นคอ ดวงตาสีดำสนิทที่แสนว่างเปล่านั้น มันเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่เร็นยังเด็กแล้ว ราวกับว่าต่อให้โลกถล่มลงมาในตอนนี้ เด็กหนุ่มผู้ไร้ความรู้สึกคนนี้ก็คงไม่สนใจ
ปึง ปึง ปึง
เสียงกระแทกประตูดังขึ้นอย่างต่อเนื่องตามด้วยเสียงโวยวายดังขึ้นจากภายนอก
“บ้านฟรีมอนต์ใช่ไหม เปิดประตู!” เสียงเคาะประตูเรียกชื่อนามสกุลของพวกเขายังคงดังปึงปังขึ้นอย่างต่อเนื่องและดังขึ้นเรื่อยๆ
ประตูพังกันพอดี…
เด็กหนุ่มคิดพลันกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย
มือของหญิงชราสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ความหวาดกลัวพลันปรากฏขึ้นในดวงตาที่เริ่มจะเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา เธอรีบปาดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็วก่อนจะตั้งสติเพื่อรวบรวมคำพูด
“เร็น เข้าไปอยู่ในครัวก่อนลูกไป”
“ไม่ ข้าจะอยู่กับแม่” หนุ่มน้อยดึงดัน เป็นพวกเจ้าหนี้อีกแล้ว พวกเขามาทวงหนี้อยู่บ่อยครั้ง หลังจากพ่อของเร็นตายแล้ว หนี้ทั้งหมดก็กลายมาเป็นมรดกตกทอด ช่างน่าประทับใจเสียจริง
“เด็กโง่ เจ้าอยู่แล้วอย่างไร ไม่อยู่แล้วอย่างไร” หญิงชรากล่าวถาม
ณ ดินแดนอีสเทิร์นแห่งนี้เป็นดินแดนที่มีอารยธรรม บ้านเมืองมีกฎหมาย นอกเหนือจากผู้ที่มีอำนาจอันชอบธรรมแล้วก็ไม่มีผู้ใดมีสิทธิทำร้ายผู้อื่นได้ ต่อให้พวกเขาไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ ก็จะไม่ถูกทำร้ายร่างกายเป็นแน่ แต่ในด้านจิตใจแล้ว พวกเขาไม่มั่นใจนัก
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะอยู่ ข้าอยู่แล้วอย่างไร ไม่อยู่แล้วอย่างไรเล่า” เด็กหนุ่มย้อนเอาประโยคเดิมที่ผู้เป็นแม่พูดมาเป็นเหตุผลประกอบความต้องการของตนเสียอย่างนั้น ช่างยอกย้อนเสียจริง
“เช่นนั้นจงเงียบปากให้สนิท เจ้ามันปากเสียนัก”
“นี่เป็นเงินทั้งหมดที่ฉันมีตอนนี้จ้ะ พ่อหนุ่มรับไปก่อนได้หรือไม่”
แม่ของเร็นนำเงินจำนวนหนึ่งที่หาได้จากการทำงานที่ร้านอาหารมามอบให้กับชายฉกรรจ์ที่เจ้าหนี้ของพวกเขาส่งมาทวงเงินได้บ่อยเสียเหลือเกิน คราวนี้พวกเขามากันเพียงสามคน เพราะลูกหนี้เป็นเพียงหญิงชรากับเด็กหนุ่มเท่านั้น แค่พวกเขาสะบัดมือ ทั้งแม่และลูกก็ได้กลายเป็นผุยผงแล้ว
“ไม่ได้ พวกข้าได้รับคำสั่งให้มารับเงินทั้งหมด....ทั้งต้น...ทั้งดอก” ชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพูดขึ้นอย่างเน้นชัดทุกถ้อยคำและจ้อมองมาที่พวกเขาอย่างข่มขู่ ตามตัวนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นราวกับเคยผ่านการต่อสู้มาไม่น้อยและมันดูน่ากลัวมากในสายตาของหญิงชรา
“เห็นใจพวกเราเถิดนะพ่อหนุ่ม หญิงแก่คนนี้ขอร้องเจ้า กลับไปบอกนายของพวกเจ้าได้หรือไม่ว่าพวกเราจะผ่อนจ่ายให้ครบอย่างแน่นอน ขอเวลาให้พวกข้าหน่อยเถอะ” แม่ของเร็นกล่าวทั้งร่ำไห้ เธอไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว เร็นประคองแม่ของตนไว้ในอ้อมแขนคล้ายจะปลอบประโลม
“หญิงแก่น่ารังเกียจ! ตอนสามีของเจ้ากู้ยืมเงินจากนายท่านอัลฟรองเซ่ นั้นไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย เมื่อถึงคราวชำระหนี้ละทำเป็นอิดออด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่มีเงิน ไม่เช่นนั้นเหตุใดเจ้ายังส่งเสียให้ลูกเข้าเรียนได้กัน ถุย”
หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ตะคอกด้วยน้ำเสียงดูแคลนก่อนที่จะถมน้ำลายใส่พวกเขา ความเดือดดาลพลันปรากฏขึ้นในดวงตาที่เคยว่างเปล่าของเด็กหนุ่ม อากาศภายในห้องพลันหนาวเหน็บจากไอเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
“พวกเจ้าไปซะ ข้าไม่อยากทำร้ายใคร” เร็นกล่าวอย่างเย็นชาและจ้องมองไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์อย่างไม่ยี่หระ ความกดดันที่เด็กหนุ่มสร้างขึ้นนั้นได้สร้างความตรึงเครียดให้กับชายฉกรรจ์ทั้งสาม
“จะ เจ้าเด็กนี่…” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมา หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่จะมีวิชาป้องกันตัว ถึงได้กล้าพูดจาโอ้อวดเช่นนี้ ชายฉกรรจ์ทั้งสามเริ่มลังเลและมองกันไปมาอย่างไม่แน่ใจ รู้ถึงไหนก็คงอายไปถึงนั้นว่าพวกเขากลัวแม้แต่เด็กหนุ่มผอมแห้งแรงน้อยเพียงแค่คนเดียว
“อยากตายก็เข้ามา หึ” เด็กหนุ่มกล่าวทั้งแสยะยิ้มชั่วร้ายด้วยความมั่นใจ เท้าสะเอวเดินเข้าไปประจันหน้ากับชายฉกรรจ์ทั้งสามอย่างไม่เกรงกลัว
“โอ้ย! เจ็บชะมัด”
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าได้พูดอะไร พูดจาอวดดีกวนประสาทคนอื่นเขาจนได้เจ้าลูกโง่คนนี้” แม่ของเร็นบ่นไปพลางทำแผลบนใบหน้าของเร็นไป ตอนนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยรอยช้ำสีม่วงเขียวจากการถูกต่อยโดยผู้ที่มาทวงหนี้
หนุ่มน้อยนั่งหน้างอ ตอนแรกเขาตั้งใจพูดข่มขู่พวกนั้น พูดจาให้ดูมั่นใจ ทำเป็นเดินเข้าไปหาด้วยความไม่เกรงกลัว หวังว่าจะเป็นการข่มขู่พวกนั้นได้บ้าง เพราะท่าทีของกลุ่มชายฉกรรจ์นั้นเริ่มฉายแววไม่แน่ใจในตัวเขา ถึงจะเสี่ยงแต่ก็เป็นทางเดียวที่เขาจะขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อนได้ ทั้งที่ความจริงแล้วเร็นไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้สักนิด
อาจารย์ที่โรงเรียนทุกคนก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะเขามันไร้พรสวรรค์ในด้านการต่อสู้ บวกกับลักษณะอืดๆเฉื่อยๆเอนไปทางขี้เกียจหน่อยๆของเขาแล้ว แม้แต่จะตบยุงสักตัวเขายังไม่ค่อยอยากจะทำเลย มันเปลืองพลังงาน นั่นละเหตุผลของเขา
“ขอโทษแทนลูกป้าด้วยนะพ่อหนุ่ม แต่พวกเราไม่มีเงินจริงๆจ้ะ” หญิงชรากล่าวกับชายฉกรรจ์ทั้งสามด้วยความสุภาพ เธอรู้ดีว่าไม่มีทางจะทำอะไรได้อีกแล้ว เพราะสามีของเธอเป็นคนไปขอยืมเงินจากพวกเขาเอง จะให้หนีหนี้ไปเฉยๆก็ไม่ต่างจากคนชั่วไร้สัจจะ ต่อให้พวกเขาจน แต่ก็จะไม่ยอมเป็นคนพูดจาสับปลับเป็นอันขาด
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มถอนหายใจออกมา ก่อนจะพยักหน้าให้กับลูกน้องอีกสองคนเป็นการส่งสัญญาณให้พวกเขาเข้ามาจับตัวแม่ลูกเอาไว้
“จะทำอะไรน่ะ อย่าทำอะไรแม่ข้านะ พวกเจ้าไม่เกรงกลัวกฎหมายกันบ้างหรือไง” ใช่แล้ว ต้องอ้างกฎหมายบ้านเมือง เด็กหนุ่มคิด
“เจ้านายข้าเป็นใคร พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ”
อา เขานี่มันโง่จริงๆ เด็กหนุ่มถึงกับต้องกุมขมับ เจ้าหนี้ของครอบครัวเขาเป็นถึงนายใหญ่ตระกูลอัลฟรองเซ่ ที่ถูกกล่าวขานว่า‘พ่อค้ามืด’รายใหญ่ที่ควบคุมกิจการเถื่อนมากมายในดินแดนแห่งนี้ การเอากฎหมายมาขู่พวกเขาก็เหมือนกับเอาไม้จิ้มฟันมางัดกับเหล็กกล้า ช่างโง่เขลานัก
“เมื่อพวกเจ้าไม่อาจชำระหนี้ได้ ตามขั้นตอนแล้วพวกข้าต้องจับพวกเจ้าไปขายในตลาดมืด พวกข้าทำไปตามหน้าที่ หวังว่าป้าจะเข้าใจนะ” ไม่แน่ใจว่านี่เป็นประโยคอธิบายด้วยความเห็นใจหรือไม่ แต่สองแม่ลูกไม่ได้รู้สึกดีขึ้นสักนิด ตลาดมืดใช่สถานที่เดินเล่นชมสวนเสียที่ไหนเล่า มันเป็นที่ๆคนนำของผิดกฎหมายมาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันและแน่นอนว่า มันรวมไปถึงการค้ามนุษย์เพื่อไปเป็นทาสหรือ…อวัยวะด้วย
สมองของเร็นหมุนด้วยความเร็วเสียจนได้ยินเสียงหวีดร้องดังก้องอยู่ในหัว
คิดเข้าสิ ทำยังไงดี จะทำยังไงดี
“จับแม่ลูกฟรีมอนต์ไปตีราคาดู จะได้จัดหมวดหมู่สินค้า” ชายร่างใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าสั่งลูกน้อง เขากล่าวถึงสองแม่ลูกราวกับกำลังจ่ายตลาดอยู่ที่แผงเนื้อสดอย่างไรอย่างนั้น สินค้าก็คงหมายถึงพวกเขาสองแม่ลูก ส่วนหมวดหมู่ที่ว่าคงไม่ใช่อะไรไปได้นอกจาก จะขายพวกเขาเป็นแรงงาน หรือขายเป็น ชิ้นส่วน ดี
“เดี๋ยวก่อน”
“อย่าได้ถ่วงเวลายืดเยื้ออะไรอีกเลยเจ้าหนุ่ม ข้าไม่อยากกระทืบเจ้าอีก เดี๋ยวจะเสียราคาซะเปล่าๆ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะถูกขายไปเป็นคนใช้ตระกูลดีๆก็ได้นะ” หนึ่งในผู้ทวงหนี้กล่าว
“เร็น ไม่ต้องพูดอะไรแล้วลูก ไม่มีแม่แล้วเจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆนะ หากมีโอกาสจงเล่าเรียน อย่าได้เล่นการพนันอย่างพ่อของเจ้า” หญิงชรากล่าวทั้งสะอื้นอย่างจำยอมในโชคชะตา เธอไม่มีอะไรจะต่อรองอีกแล้ว สิ่งเดียวที่เธอเสียใจคือจะไม่ได้ส่งเสียให้เร็นได้เรียนต่ออีกและไม่ได้หยิบยื่นอนาคตที่ดีให้กับเขา
“เดี๋ยวก่อน! หากพวกเจ้าขายแม่ข้า พวกเจ้าคงโง่มาก” ดวงตาสีดำสนิทฉายแววเยาะหยัน ที่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยราวกับเห็นเรื่องน่าตลกขบขัน
“บอกลูกป้าให้หุบปากด้วย” ชายฉกรรจ์กล่าวกับแม่ของเร็นด้วยความไม่พอใจ ถ้าไม่ติดว่าเด็กหนุ่มดูแข็งแรงดี เหมาะจะนำอวัยวะไปขายแล้วละก็ พ่อจะกระทืบให้ช้ำในตายไปเสียเลย
“แม่ข้าก็อายุมากแล้ว เจ้าคิดว่าจะขายเธอเป็นทาสหรือไง หรือจะขายอวัยวะ หรือให้รับแขกในหอนางโลมดี ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่รู้มาก่อนว่าพ่อค้ามืดจะจ้างลูกน้องโง่ๆไร้สมองคิดเช่นนี้” เร็นรีบพูดอย่างรวดเร็วโดยไม่เว้นช่วงหายใจเลยสักนิด เขาต้องหอบน้อยๆหลังจากพูดจบ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาต้องพูดประโยคยาวๆและเสียงดังขนาดนี้
“เจ้าต้องโดนเจ้านายทำโทษแน่ โทษฐานสมองกลวง ฮ่าฮ่าฮ่า” เด็กหนุ่มยังคงพูดไปขำไป ไม่สนใจในแรงกระตุกที่ชายเสื้อโดยผู้เป็นแม่ที่หวังจะให้เขาหยุดพูดจากวนโทสะเสียที
แต่ทว่า มันได้ผล! ชายฉกรรจ์ทั้งสามชะงักงันไป เป็นไปอย่างที่เจ้าเด็กหนุ่มนี่ว่าทุกอย่าง พวกเขามักถูกลงโทษทุกครั้งที่ทวงหนี้ได้น้อยกว่าเงินที่ถูกกู้ยืมไป
ผู้สูงอายุมักขายไม่ได้ราคาในตลาดมืดเพราะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง จะไปเป็นคนงานหรือคนรับใช้ก็ไม่ได้ จะขายอวัยวะภายในก็ตัดไปได้เลย เพราะคงไม่มีใครอยากได้อวัยวะจากไม้ใกล้ฝั่งที่เสี่ยงจะแถมโรคมาให้อีกด้วย ความสวยความหล่อก็ร่วงโรยไปตามกาลเวลา จะขายให้หอคณิกาก็ต้องเป็นสาวรุ่นเท่านั้นถึงจะได้ราคา
“หากเจ้าขายพวกเราแม่ลูกทั้งคู่ เจ้าก็จะได้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันเทียบกับจำนวนหนี้ไม่ได้สักนิด”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ พาให้เหล่าผู้มาทวงหนี้คิดตาม
“แม่ของข้ามีงานประจำที่ร้านอาหาร รายได้เมื่อไม่หักค่าเล่าเรียนของข้าแล้วก็พอจะจ่ายหนี้ได้อยู่เรื่อยๆ” หัวหน้าชายฉกรรจ์หรี่ตามองเร็นอย่างพิจารณา เจ้าเด็กที่วิ่งมาให้พวกเขาต่อยเล่นเป็นกระสอบทรายเมื่อครู่นี้ใช่คนเดียวกับที่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอยู่ตอนนี้หรือไม่
“ส่วนข้ายังเด็ก เจ้านำข้าไปขายที่ตลาดมืดเพียงคนเดียวจะดีกว่า”
“เร็น พูดจาเหลวไหลอะไรของลูก” เธอจะปล่อยให้ลูกไปลำบากเพียงคนเดียวได้อย่างไร
“ฉลาดดีนี่เจ้าหนุ่มน้อย เอาตัวเด็กนี่ไป ส่วนคนแก่ปล่อยไว้” สิ้นเสียงคำสั่ง ชายฉกรรจ์สองคนก็ลากตัวเด็กหนุ่มออกไปจากบ้านทันที ไม่ฟังเสียงร้องไห้ราวจะขาดใจของผู้เป็นแม่เลยแม้แต่น้อย
“หญิงแก่ จากนี้ก็ทำงานใช้หนี้ต่อไป อย่าให้เสียแรงที่ลูกชายได้ช่วยเจ้าไว้ซะล่ะ” แม่ของเร็นได้แต่นั่งลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ไม่แน่ว่าการถูกขายไปในตลาดมืดอาจจะดีเสียกว่าจะต้องทำงานใช้หนี้ต่อไปจนวันตาย
หนาว หนาวเหลือเกิน
เด็กหนุ่มในชุดขาดวิ่นกำลังนอนขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของพื้นห้อง
มันทั้งอับและชื้น กลิ่นเหม็นเน่าลอยมาแตะจมูกชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียน และเขาได้ยินเสียงร้องไห้อยู่แว่วๆ
หลังจากที่เร็นถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ลากตัวออกมาจากตัวบ้าน
เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่ด้านหลังต้นคอและเขาก็ไม่รู้สึกตัวอีกจนกระทั่งตอนนี้
เขายังคงกึ่งหลับกึ่งตื่นและสติสัมปชัญญะยังคงไม่กลับคืนสู่ร่างดีนัก
แต่ที่แน่ๆคือเขารู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกข้างขวาเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มต้องรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีในการยันตัวให้ลุกขึ้นนั่งและลืมเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ
ไม่ได้ต่างจากที่คาดเอาไว้นัก ในห้องนี้เต็มไปด้วยผู้คนทุกเพศทุกวัยที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเขาเลย บ้างก็นั่งร้องไห้อย่างเสียขวัญ บ้างก็นั่งนิ่งไม่ไหวติงเหมือนกับว่าจะทำใจได้แล้วหรือไม่ก็คงเสียสติไปแล้ว สถานที่แห่งนี้คงเป็นที่เก็บตัวคนที่กำลังจะถูกขายในตลาดมืดเป็นแน่ เด็กหนุ่มไล่สายตาสำรวจไปรอบๆห้อง มันเป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดไม่ใหญ่มากนัก และนอกจากประตูบานหนึ่งก็ไม่มีอะไรอีก ไม่มีแม้แต่ช่องลมระบายอากาศเล็กๆ พื้นปูนเต็มไปด้วยเศษดินและคราบเลือด มีหนูและแมลงสาบวิ่งให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
นี่มันแย่ แย่มากๆ เขาจะถูกชำแหละขายไหมเนี่ย
เด็กหนุ่มเลื่อนนัยน์ตาที่ดำสนิทของตนลงไปมองที่หน้าอกด้านขวาที่เขารู้สึกเจ็บ
จะว่าพวกนั้นผ่าเอาอะไรออกไปก็คงไม่ใช่ เขาค่อยๆเลิกเสื้อออกดูอย่างยากเย็น
และเขาก็ได้พบว่าที่หน้าอกของเขาปรากฏให้เห็นแผลพุพองพร้อมรอยไหม้ขนาดเกือบเท่าผ่ามือของเด็ก
ดูแล้วคล้ายกับสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง มันคือการตีตราด้วยเหล็กร้อนเพื่อแบ่งสังกัดทาส!
เขาถูกขายแล้ว!
ได้อย่างไรกัน นี่เขาสลบไปนานแค่ไหนกันแน่
ท่ามกลางความสับสนของเด็กหนุ่ม
เสียงประตูเก่าๆที่ถูกเปิดออกก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงผู้คนในห้องที่กำลังตื่นตระหนกและถอยร่นไปชิดด้านหนึ่งของกำแพงอย่างหวาดกลัว
“ได้เวลาไปหาเจ้านายใหม่กันแล้วเจ้าพวกทาส ได้ยินชื่อตัวเองให้ก้าวออกมาดีๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” เสียงทุ้มต่ำให้ความรู้สึกถึงการเยาะเย้ยของผู้มาใหม่ดังขึ้น
ร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ของผู้ชายวัยกลางคนปรากฏให้เห็นที่ประตู เขากวาดมองไปที่ทุกคนในห้องอย่างดูแคลนและเริ่มประกาศรายชื่อออกมาเรื่อยๆโดยไม่สนใจเสียงร่ำไห้ที่แสนโหยหวนจากผู้คนในห้องเลยแม้แต่น้อย
คนแล้วคนเล่าค่อยๆเดินออกไปจากห้องตามชื่อที่ถูกเรียกขานอย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่วายมีกลุ่มชายฉกรรจ์คอยผลักไล่ให้พวกเขาเดินให้เร็วขึ้นไปอีก
“นิโค อาร์จินโต้” เสียงประกาศยังคงดังต่อไป
รูปร่างผอมบางของเด็กสาวที่น่าจะเป็นนิโค
อาร์จินโต้ ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตู แม้ว่าเร็นจะนั่งอยู่ที่อีกฝั่งของมุมห้องก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่าตัวของเธอนั้นสั่นเทามากแค่ไหน
เร็นเข้าใจในทันทีว่าทำไมทุกคนถึงได้มีปฏิกิริยากับเสียงเปิดประตูบานนั้นเป็นอย่างมาก
นั่นเพราะทุกครั้งที่มันเปิดจะต้องมีคนไป….ไปในที่ที่เลวร้ายกว่าที่นี่มาก
ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะหลับตาเพื่อสงบใจยอมรับในชะตากรรมนั้น
เขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากหน้าประตู
“เห้ย! ท่านพ่อบ้านอัล นางหนีไปแล้ว”
ในวินาทีที่ทุกคนวางใจไม่ได้ระมัดระวังอะไร
เด็กสาวที่ถูกขานชื่อเรียกเมื่อครู่ก็วิ่งออกไป
เสียงตะโกนของชายฉกรรจ์พูดกับชายวัยกลางคนที่เป็นคนประกาศรายชื่อก็ดังขึ้น
เขาคงเป็นจะเป็นพ่อบ้านอัลแห่งตระกูลอัลฟรองเซ่ไม่ผิดแน่
ได้ยินมาว่ากิจการเถื่อนสำคัญๆของตระกูลอัลฟรองเซ่มักอยู่ในความดูแลควบคุมของเขาผู้นี้
และนั่นทำให้เขากลายเป็นคนหยิ่งผยองและดูถูกดูแคลนคนจนอยู่เสมอ
“ก็ไปจับสิเจ้าพวกโง่ ก็แค่เด็กผู้หญิงโง่ๆคนหนึ่ง” พ่อบ้านอัลกล่าว
ไม่นานนักเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ถูกลากตัวกลับมาที่หน้าห้องอีกครั้ง
“กรี๊ดดดดด!! ข้าไม่ไป! ช่วยด้วย”
เด็กสาวกรีดร้องและดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มีหวังว่าจะหลุดจากการจับกุมของเหล่าชายฉกรรจ์
น้ำตาที่ไหลออกมานั้นชวนให้รู้สึกสงสาร เธอแสร้งทำเป็นยินยอมออกไปตามประกาศอย่างโดยดีเพื่อให้พวกมันตายใจ
ก่อนจะเห็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่พวกมันชะล่าใจและวิ่งหนีไป
แต่เพราะเธอไม่ได้กินอะไรเลยมาสองวันแล้วตั้งแต่ถูกขายมา เธอจึงไม่อาจวิ่งได้เร็วเท่าที่ใจต้องการ
“นังเด็กนี่คิดจะหนีหรือ”
เพี๊ยะ เพี๊ยะ
เสียงที่เด็กสาวถูกตบหน้าโดยพ่อบ้านผู้แสนเย่อหยิ่งดังขึ้น
ผู้คนในห้องล้วนแต่ไม่อาจทนมองสิ่งที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรู้สึกว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดทำอะไร ทุกคนก็ถึงกับต้องตกตะลึงไป
พ่อบ้านผู้เลวทรามหยิบเอาเหล็กร้อนที่เอาไว้ประทับตราทาสแนบไปที่ใบหน้าของเด็กสาวในทันที
กรี๊ดดดดดดดดด
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นแต่พ่อบ้านใจทรามกลับหัวเราะเสียงใสด้วยความพอใจ
ประกายไฟสีแดงส้มพลันปรากฏขั้นบนใบหน้าของเด็กสาวอยู่พักหนึ่ง ทั้งเสียงร้องของหญิงสาวและเสียงหัวเราะของพ่อบ้านดังก้องไปทั่วทุกหนแห่ง
และที่สำคัญมันดังก้องอยู่ในจิตใจของผู้ที่ถูกขายมาเป็นทาสทุกคนว่าเขาไม่ควรคิดหนีโดยเด็ดขาด
เรื่องโหดร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆหรือ หรือว่าข้าเพียงฝันร้ายไปเท่านั้น
เด็กหนุ่มคิด
“ตอนแรกว่าจะส่งไปขายหอนางโลมเสียหน่อย
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็คงต้องไปใช้แรงงานละนะ ฮี่ฮี่” พ่อบ้านอัลกล่าวอย่างสบายๆราวกับว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
และเมื่อเขากวาดตาเข้ามาในห้องอีกครั้ง ทาสทุกคนก็พร้อมใจกันค้อมลำตัวลงและหลบสายตาของเขาในทันที
เด็กสาวรูปร่างผอมบางพร้อมใบหน้าฝั่งซ้ายที่เต็มไปด้วยรอยแผลพุพอง
นัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอนั้นฉายแววเกลียดแค้นและชิงชัง มันช่างเปล่งประกายชัดเจนเสียจนเร็นสัมผัสได้
เขารู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย และแล้วชายฉกรรจ์ก็ค่อยๆลากตัวเด็กสาวออกไปตามพื้นจนพ้นสายตาของทุกคนไป
“คราวนี้ก็รู้แล้วนะว่าการหนีมันเป็นความคิดที่โง่มากแค่ไหน แต่ถ้าใครอยากจะให้ข้าได้เพลิดเพลินอีกสักหน่อยก็ลองดูได้
หึ” ใครจะกล้ากันเล่า เด็กหนุ่มคิด
“คนต่อไป…….”
“เร็น
ฟรีมอนต์”
หืม
ชื่อคุ้นๆนะ ไม่ใช่หรอกหน่า.....
“จิ เร็น-ฟรี-มอนต์” พ่อบ้านวัยกลางคนจิปากอย่างหงุดหงิดที่ไม่มีใครลุกออกมาเมื่อเขาขานเรียก คราวนี้เขาจึงประกาศอย่างชัดเจนทุกถ้อยทุกคำเลยทีเดียว
ชัด ชัดเจนมากๆ
นั่นมันชื่อเขานี่!!
ความคิดเห็น