ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tears of the blue sky ☂ -青空のナミダ-

    ลำดับตอนที่ #3 : - บทที่หนึ่ง : สิ่งที่ไม่อาจมองเห็น . ความรู้สึกที่เป็น

    • อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 55


















    ๐๑

    สิ่งที่ไม่อาจมองเห็น , ความรู้สึกที่เป็น









     

    แม้กระทั่งตอนที่เขาเอ่ยปากบอกเรื่องสำคัญที่สุดออกไป เธอก็ยังคงทำหน้านิ่งไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ เพียงแค่พยักหน้ารับช้าๆคล้ายกับหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตชีวาเสียจนน่าหวั่นใจ มีเพียงแค่คำพูดเดียวที่ออกมาจากริมฝีปากสีซีดของเธอ

     

    อย่างนั้นเหรอคะ

     

    นั่นทำให้โอโนะ ซาโตชิออกอาการเก้อไปชั่วขณะด้วยไม่เคยคาดคิดถึงปฏิกิริยาตอบกลับเช่นนี้จากหญิงสาวตรงหน้ามาก่อน

    ทั้งสองฝ่ายเงียบกันไปจนคล้ายกับมีสถานการณ์น่าอึดอัดมาคั่นกลางระหว่างพวกเขา

    ใต้ต้นไม้ที่กำลังผลิบานด้วยไม้ดอกสีชมพูขาวสะพรั่งมีสายลมพัดผ่านได้ยินเสียงหวีดหวิวอย่างชัดเจน

    ...และริมฝีปากสีซีดก็ขยับเป็นคำพูดแผ่วๆอีกครั้ง

     

    “ถ้าอย่างนั้น...เราก็เป็นพี่น้องกันจริงๆสินะคะ”

     

    ซาโตชิพยักหน้า

     

    กลีบดอกไม้สีชมพูปลิดปลิวลงมากลีบหนึ่งสัมผัสเข้าให้กับใบหน้าที่ซีดขาวเหมือนคนป่วยของโอโนะ ซาโตมิ

    ตอนนั้นเองที่ซาโตชิได้เห็นรอยยิ้มจากน้องสาวที่เขาคิดว่าไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว แม้จะไม่ได้สว่างสดใสเช่นดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าในเวลานี้ แต่ก็เหมือนดังดอกไม้เล็กๆที่เบ่งบานอยู่ริมทางซึ่งทำให้เขารู้สึกดีทุกครั้งเมื่อได้พบเห็น

    สายลมพัดมาหอบใหญ่เอาเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเธอสยายยาวออกไป

     

    เขายิ้ม...

     

    และนั่นก็เป็นเรื่องราวเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าในงานศพของแม่ที่แสนจะเงียบเหงา

     

     

     

    บ้านเช่าสไตล์ตะวันตกที่ภายนอกออกจะดูเก่าไปบ้างตั้งอยู่อย่างเงียบเชียบในย่านที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน ด้วยจำนวนห้องที่มีเพียงเล็กน้อยทำให้ถึงแม้ว่าจะมีผู้เช่าอยู่ในทุกห้อง หากก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นห้องเช่าที่สงบเงียบและเป็นส่วนตัวค่อนข้างมากอย่างแท้จริง

    วันแรกที่ซาโตมิก้าวย่างเข้าไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธเลยคือเรื่องที่ว่าเธอตกหลุมรักมันแทบจะในทันที

     

     

    “ห้องเล็กแล้วก็รกไปหน่อยนะ”

    ซาโตชิเอ่ยปากเป็นคำแรกเมื่อพาซาโตมิเข้ามาในห้องเช่าของตัวเอง ปล่อยให้เธอใช้สายตาสำรวจไปทั่วห้องขณะที่ตัวเองรีบไปเทน้ำผลไม้ที่แช่ไว้ในตู้เย็นใส่แก้วให้กับซาโตมิที่วางกระเป๋าไว้ข้างโซฟาก่อนจะนั่งลงไป

    “น้ำผลไม้”

    เธอผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณ รับแก้วมาถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

    ไม่มีคำพูดจากเธอแม้สักคำเดียว ซาโตชิพยายามจะเข้าใจกับสิ่งที่อาจเป็นลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของเธอ แต่กระนั้นมันก็ออกจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่หน่อยๆ

    “เอ่อนี่...ซาโตมิ”

    เธอเงยหน้าขึ้นมองหลังจากจดจ่อมอยู่กับแก้วบรรจุน้ำผลไม้สีทับทิมในมืออยู่นาน

    “มีอะไรอยากคุยมั้ย?”

    ทั้งที่ในหัวมีเรื่องที่อยากจะพูดและอยากจะถามเขาตั้งมากมาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงได้เลือกที่จะสั่นหัวออกไปเช่นนี้

     

    ซาโตชิจึงแค่พยักหน้าโดยปกปิดความผิดหวังไว้ข้างในใจ มีเพียงความเงียบที่ก่อตัวและเสียงของลมที่พัดผ่านเข้ามาระหว่างคนสองคนที่นั่งอยู่ห่างกันแค่เพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น แต่ราวกับว่าพวกเขาอยู่ห่างไกลกันคนละโลกเสียเหลือเกิน...

     

     

     

     

     

     

     

    “โอเค แล้วเจอกัน”

    บทสนทนาสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้นก่อนนิ้วเรียวจะกดตัดสายบนเครื่องสมาร์ทโฟนสีเงิน หย่อนมันลงไปในกระเป๋าสะพายใบเล็กข้างตัวและก้าวฝีเท้าฉับๆผลักบานประตูของร้านอาหารกึ่งบาร์ที่ตกแต่งด้วยอิฐบล็อกตรงหัวมุมถนนในย่านชิโมคิตะซาวะเข้าไป

    แสงไฟสีส้มสลัวๆภายในร้านมูนริเวอร์ของยามบ่ายแก่ๆใกล้หัวค่ำเป็นบรรยากาศชวนโรแมนติกเสียจนไม่น่าแปลกใจถ้าจะพบเห็นคู่รักมากมายในช่วงเวลาเย็นย่ำเช่นนี้ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนวัยทำงานมานั่งดื่มกัน และหนึ่งในนั้นก็สะดุดตาเสียจนต้องเบี่ยงฝีเท้าไปทางหลังร้านมุ่งหน้าไปยังโต๊ะด้านในสุดที่แสนจะเงียบเชียบแทน

    “โชจัง?” น้ำเสียงไม่แน่ใจของหญิงสาวกระทั่งใบหน้าที่คุ้นเคยของชายหนุ่มในชุดสูทท่าทางภูมิฐานจ้องมองเธออย่างประหลาดใจ เมื่อนั้น ใบหน้าของมิโซระ ฮานาบิก็ปรากฏรอยยิ้ม

    “ใช่โชจังจริงๆด้วย” ฮานาบิย้ำชื่อของอีกฝ่ายอีกครั้งอย่างกระตือรือร้น “ไม่เห็นโชซังมาที่นี่ตั้งนาน”

    โชจังหรือชื่อเต็มซากุราอิ โช หัวเราะน้อยๆ “นานจนฉันเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าฮานาบิทำงานที่นี่” นั่นเรียกเสียงหัวเราะจากสาวเจ้าได้เช่นกัน

    ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของฮานาบิจะค่อยๆเปลี่ยนมองไปยังผู้ชายคนที่นั่งตรงกันข้ามกับลูกพี่ลูกน้องของตนเอง แม้เขาจะไม่ได้ใส่สูทผูกไทเหมือนอย่างซากุราอิ แต่ฮานาบิก็พอจะดูออกจากท่าทีและใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างยโสเล็กๆว่าเขาก็คงจะเติบโตมาในตระกูลที่ร่ำรวยไม่ต่างกัน

    ไม่มีคำพูดตอบรับหรือรอยยิ้มใดๆจากใบหน้าของผู้ชายคนนั้นแม้เธอจะเอ่ยทักทายอย่างสดใสและเป็นมิตรมากที่สุดแล้วก็ตาม

    “นี่มัตสึโมโต้ จุน เพื่อนของฉันเอง” โชรีบกล่าวแนะนำตัวแทนเจ้าของชื่อและใบหน้าหยิ่งเพื่อไม่ให้ฮานาบิต้องรู้สึกไม่ดี “หมอนี่ก็เป็นพวกยิ้มยากแบบนี้แหละ อย่าไปใส่ใจ” จงใจพูดเสียงดังโดยไม่ปิดบังด้วยอารมณ์ขบขันอยู่ในที กระนั้น...มัตสึโมโต้ก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกเหนือไปจากยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มพลางเอนตัวลงกับพนักของเบาะยาวเท่านั้น

    เขาไม่เป็นมิตรกับเธอจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน

    เช่นนั้นแล้ว...ฮานาบิก็เอ่ยปากขอตัวจากคนทั้งคู่ ยิ้มรับเมื่อโชบอกว่าจะอยู่รอฟังบทเพลงที่เธอจะขับขานในค่ำคืนนี้

    หันมองใบหน้าของมัตสึโมโต้ จุนอีกที ก็มีเพียงนัยน์ตาสีดำคมกริบราวกับเหยี่ยวที่จ้องมองเธออย่างนิ่งเฉยอยู่ย่างนั้น

     

     

     

    “ไม่เป็นมิตรกับใครเหมือนเดิมเลยนะ”

    เมื่อฮานาบิหายลับไปทางหลังร้านแล้ว โชก็พ่นลมหายใจออกมาพร้อมคำพูดหยอกอยู่ในทีหากไม่ได้จริงจังอะไรมากมายนัก

    “เฮอะ!” แต่อีกฝ่ายก็แค่เพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

     

    เสียงริงโทนที่มีในตัวเครื่องสมาร์ทโฟนดังมาจากกระเป๋าเสื้อสูทสีเดียวกัน เจ้าตัวรีบดูชื่อคนที่โทรเข้ามาเป็นอย่างแรกก่อนชูมันให้จุนเห็น

    “ขอโทษนะ มิทสึกิโทรมา”

    สีหน้าเบื่อหน่ายของจุนคล้ายกับจะสื่อว่าอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ!

    โชกดรับสายของคู่หมั้นด้วยน้ำเสียงที่ราวกับโลกทั้งใบเปี่ยมไปด้วยความสุข ในขณะที่จุนยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง แทบจะกลั้นรอยยิ้มเยาะไว้ไม่อยู่เมื่อมองออกไปยังวิวภายนอกที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนยามเย็นผ่านทางหน้าต่างร้าน

     

    ไว้สี่ทุ่มเจอกันนะ

     

    เป็นข้อความจากคู่หมั้นของคนที่นั่งตรงกันข้ามกับเขาซึ่งส่งมันมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง

    ความรู้สึกของจุนในตอนนี้แทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว เขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆให้กับเพื่อนสนิทตรงหน้าเสียเหลือเกินที่ไม่แม้แต่ะจะระแคะระคายถึงเรื่องพรรค์นี้เลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

     

     

    “กลับบ้านดีๆนะ”

    ซากุราดะ อาเงฮะป้องปากตะโกนบอกลานักร้องและนักดนตรีประจำมูนริเวอร์ด้วยความสดใสทั้งที่เป็นเวลาเลิกงานเกือบๆตีหนึ่งเข้าไปแล้ว มือข้างหนึ่งยกขึ้นโบกไปมา ส่วนมืออีกข้างก็ถือถุงขยะใบโตเตรียมจะไปทิ้งที่ตรอกเล็กๆหลังร้าน

    เป็นผู้หญิงที่มีพลังงานเปี่ยมล้นแม้จะทำงานหนักมาแล้วตลอดทั้งคืนจนฮานาบิและเออิจิโร่ต้องหันมองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะ

     

     

     

    ขณะเดินเท้าไปยังสถานีรถไฟที่อยู่ห่างไปราวๆสิบห้านาทีจากระยะก้าวเดิน ฮานาบิก็ยืดแขนขึ้นจนสุดเป็นการบิดขี้เกียจพลางหาวหวอดออกมา

    “วันนี้เหมือนจะรู้สึกเหนื่อยกว่าทุกวันเลยยังไงก็ไม่รู้”

    “กำลังจะทักอยู่เลยว่าทำไมวันนี้ถึงร้องเพลงผิดคีย์ได้” คนข้างกายที่สะพายเคสกีต้าร์เดินมาด้วยกันเอ่ยปากแซว “มีอะไรอย่างนั้นเหรอ?”

    “ก็...ผู้ชายที่นั่งกับโชซังน่ะสิ”

    ไพล่นึกไปถึงสายตาเย็นชาของมัตสึโมโต้แล้วก็ต้องสะบัดหัวไล่ภาพในความทรงจำไปอย่างรวดเร็ว

    ทำให้โอคานากะ เออิจิโร่หยุดฝีเท้าจนฮานาบิที่เดินลิ่วๆไปก่อนเพิ่งจะรู้สึกตัวและหันใบหน้าสวยของสาวผมสั้นมองเขาด้วยสายตาฉงน

    “มีอะไรเหรอ?”

    “ฉันกำลังนึกหน้าของผู้ชายคนนั้นที่ฮานาบิสนใจอยู่ยังไงกันล่ะ” เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองในน้ำเสียงของเขาด้วย จนหญิงสาวต้องรีบเดินย้อนกลับมาทางเดิม เดินไปอยู่ข้างกายกับเขาอีกครั้งและจับมือซ้ายที่ว่างเปล่านั้นไว้

     

    “ตอนนี้แค่มีเออิจิโร่ก็พอแล้วล่ะ”

     

    เออิจิโร่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างฉาบชัดบนใบหน้าของฮานาบิและก็ราวกับว่าคำพูดก่อนหน้าได้ถูกลืมเลือนไปเสียสิ้น

    และดอกซากุระที่โปรยปรายอยู่ตามทางเดินก็ร่วงหล่นจนต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองด้วยความรู้สึกสุขใจที่อัดแน่นอยู่ล้นปรี่

     

     

     

     

    โอโนะ ซาโตชิเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากงานวาดภาพประกอบให้กับบทความในหน้านิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังเมื่อเข็มนาฬิกาบนฝาผนังหยุดอยู่ที่เลขหนึ่งทั้งคู่

    เขาจัดการจัดเก็บข้าวของแบบลวกๆ ปิดโคมไฟที่หัวโต๊ะจนเหลือเพียงแสงของดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวอยู่เท่านั้น

    ลุกขึ้นกำลังจะก้าวเดินไปกลับไปหลับใหลบนเตียงนอนที่แสนจะโหยหา แต่ในห้องเช่าเล็กๆเช่นนี้ เขาได้เห็นประตูห้องนอนของน้องสาวที่อยู่ใกล้กับห้องนอนของเขาเองเปิดแง้มไว้อยู่

    ผลักบานประตูเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังจนคนที่นอนหันหลังคุดคู้ให้กับเขาลืมตาตื่นขึ้นมา

     

    แม้ยังไม่อาจจะเป็นคนที่เธอเปิดใจให้ แต่เขาก็รอวันที่จะได้เป็นพี่ชายที่ดีของเธอให้ได้

     

    ...สักวันหนึ่ง















     


        青空のナミダとあゆ。    
    firstdate: 2012年7月5日

    เป็นเรื่องที่แต่งไวที่สุดเลยก็ว่าได้ ><, อาจเพราะทุ่มเทมากกกกับเรื่องนี้ เป็นแนวที่ดูเหมือนจะถนัดสุดแล้วล่่ะ!
    บ้านเช่าก็ได้แรงบันดาลใจมาจากละคร My Girl เช่นเดิม, คาดว่าตอนต่อๆไปก็ยังได้แรงบันดาลใจจากเรื่องนี้อีกเยอะ x)
    เรื่องของพี่น้องโอโนะกับพวกฮานาบิที่แลดูคนละอารมณ์มาก ( จนดูขัดเกินไปหรือเปล่าเนี่ย? ฮ่าๆ
    / เครียดT T )
    แต่โดยส่วนตัวแต่งได้ไหลลื่นทุกคู่ทุกผู้ทุกคน ยิ่งแต่งยิ่งหลง'โอโนะคนพี่'มากมาย 55 นิสัยแบบนี้ก็เข้ากับเจ้าตัวดีเนอะ


    ส่วนเรื่องภาษาอาจไม่ดีเริ่ดเว่อร์ อันนี้รู้ตัวเลบ แต่ก็อยากให้ทุกคนอ่านไปด้วยความรู้สึกที่เข้าถึงมัน
    ไม่ต้องคิดซับซ้อนอะไรมากมาย ~ อยากให้ทุกคนเข้าถึงอารมณ์เหงาของซาโตมิและอบอุ่นของฮานาบิได้
    ยังไงต่อๆจากนี้ก็จะต้องดราม่ากันไปคนละนิดละหน่อยอย่างแน่นอนจ้ะ :p
    * เพราะเราจะทำร้ายทุกตัวละครที่รัก 555 !

    * สุดท้ายนี้แค่คลิกเข้ามาดูก็ขอขอบคุณมากๆแล้วจ่ะ แล้วมาร่วมติดตามชีวิตของพวกเขาไปด้วยกันนะ :-)

    lil duck
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×