ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ETERNAL (HUNHAN)

    ลำดับตอนที่ #10 : CHAPTER IX

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.11K
      6
      16 ก.พ. 57

        














    Chapter IX

    มิคาเอลเทวดาผู้มีอำนาจเป็นที่สองของสรวงสวรรค์? หึ...ข้านึกสมเพชเจ้ายิ่งนัก

    ลูซิเฟอร์ผู้โอหัง ไร้ซึ่งอำนาจและความงดงามหากยังมีวาจาอวดดี!’

    ถึงแม้นว่าข้าจะถือดี หากทว่าข้ามิเคยขลาด มิเคยเล่นสกปรกกับผู้ใด

    จงจำคำของข้าไว้ มิคาเอล ข้าขอสาบาน...ว่าจะเป็นปรปักษ์กับเจ้า สืบทุกชาติไป

     

     

     

     

     

            สิ่งที่ลู่ฮานมักเห็นสิ่งแรกในยามเช้าคือใบหน้าของเซฮุนที่นอนตะแคงหันข้างเข้าหาเขา ดวงตากลมโตสีอัลมอนด์จดจ้องไปยังใบหน้าสมบูรณ์แบบของคนที่นอนอยู่ด้านข้าง เปลือกตาสีอ่อนปิดสนิท จมูกที่โด่งเป็นสันจนน่าอิจฉา ริมฝีปากได้รูปสีชมพูอ่อน ลู่ฮานยังคงจดจ้องพิจารณาใบหน้าของเซฮุนในยามเช้าตรู่ ทว่าในต่อมาเซฮุนกลับเป็นฝ่ายลืมตาขึ้น อมยิ้มบางๆ

     

     

                "อรุณสวัสดิ์ครับ"

     

     

                เซฮุนกระชับกอดลู่ฮาน ท่อนแขนสองข้างโอบแผ่นหลังบางให้เข้ามาใกล้ขึ้น มือของเซฮุนลูบกลุ่มผมนิ่มของคนในอ้อมกอดเบาๆ การกระทำนั้นส่งผลให้ศีรษะของลู่ฮานซบลงกับแผงอกของเซฮุน 

     

     

                "อรุณสวัสดิ์" ลู่ฮานตอบเสียงอู้อี้ มองตรงไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามกับปลายเตียง ดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่พ้นระหว่างปุยเมฆสีขาว แสงจากผืนท้องฟ้าสีส้มอ่อนๆ เริ่มสาดส่องเข้ามาในห้องโทนสีน้ำตาล ซึ่งลู่ฮานยอมรับว่าเขายังชอบดูบรรยากาศที่สวยงามนี้มาตลอด

     

     

                “สวยเนอะ นายว่าไหม?" ลู่ฮานว่า ชี้ไปทางท้องฟ้าที่อยู่นอกหน้าต่าง มองตรงไปยังปุยเมฆสีขาว "น่าอิจฉาพวกเทวดาที่อยู่บนสวรรค์จัง อยู่บนนั้นคงได้เห็นวิวที่สวยกว่าพวกเราเห็นแน่ๆ"

     

     

                เซฮุนยังคงยิ้มบางๆ "ใช่ครับ มันสวยมาก" มือของเซฮุนยังคงลูบเบาๆ ไปตามกลุ่มผมของลู่ฮาน "บนนั้นไม่มีอากาศเย็นหรือร้อน มีเพียงแต่ความอบอุ่น ทุกอย่างสามารถลิขิตได้ตามที่ใจอยาก ทุกสิ่งขาวบริสุทธิ์ มีแต่ความผาสุข" 

     

     

                "คุณรู้ไหม...ว่าทำไมพวกเทวดาหรือปีศาจถึงไม่มีวันแก่?" เซฮุนถามเมื่อลู่ฮานเริ่มให้ความสนใจกับเขามากขึ้น

     

     

                "ไม่รู้...ทำไมหล่ะ?"

     

     

                "เพราะเวลาในโลกของพวกนั้นไม่เหมือนกับเวลาในโลกของเรา บางที...เวลาบนสวรรค์อาจจะผ่านไปหนึ่งปี แต่บนโลกมันอาจจะผ่านไปประมานร้อยปีแล้ว อีกอย่าง รูปร่างหน้าตาของพวกนั้นก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงด้วย" เซฮุนไล่นิ้วไปตามพวงแก้มของลู่ฮานเบาๆ "แต่คุณรู้ไหม พวกเทวดาหรือปีศาจก็สามารถตายได้เหมือนกันนะ"

     

     

                "พวกนั้นไม่ได้มีชีวิตอมตะหรือไง?" ลู่ฮานถามอย่างนึกสงสัย

     

     

                "ก็จริงที่พวกนั้นไม่มีวันสิ้นอายุขัย แต่...ถ้าหากโดนทำร้ายด้วยอาวุธเวทย์นั้นก็ไม่แน่เหมือนกัน" เซฮุนพูดต่อเมื่อลู่ฮานช้อนตาขึ้นมองเขา "ผมอ่านจากหนังสือบนชั้นตรงนั้นน่ะ"

     

     

                "อ่อ" ลู่ฮานขานรับในลำคอ "แปลกดีที่เรามาพูดเรื่องแบบนี้ในตอนเช้า" ลู่ฮานหัวเราะในลำคอ และสิ่งที่น่าแปลกกว่าเดิมคือเขายังคงอยากฟังเรื่องเหล่านี้จากคนที่ให้เขานอนเกยตัวอยู่ ลู่ฮานยังคงอยากฟังเรื่องเหล่านี้จากเซฮุน 

     

     

                "แล้วนายว่านรกเป็นยังไง?" ลู่ฮานถามต่อ

     

     

                “อ่า...เซฮุนชะงักไปเพียงครู่ด้วยคำถามของลู่ฮาน มันก็แล้วแต่ว่าคุณตกไปที่ขุมไหน บ้างขุมก็ร้อน บางขุมก็เย็น มันขึ้นอยู่กับบาปที่คุณทำ แต่สำหรับผม...ผมว่ามันแย่ยิ่งกว่าความตายเสียอีก

     

     

                “…”

     

     

                “ทุกอย่างเต็มไปด้วยความว่างเปล่า มืดมิดและเงียบเหงา ผืนดินที่อ้างว้าง บรรยากาศอันหนาวเย็นเซฮุนหลับตาลง ความมืดได้เข้าปกคลุมรอบตัวเขาอีกครั้ง และนี่คือสิ่งที่เขาเป็นอยู่ ความเวิ้งว้างคือสิ่งที่อยู่คู่กับปีศาจที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งความหยิ่งผยอง ในชั่ววูบหนึ่งที่เซฮุนรู้สึกว่าเขาเปรียบเสมือนคนหลงทาง เขาไม่รู้ว่าจะไปทางไหน แต่ในท้ายที่สุด...โคมไฟเล็กๆ ที่คอยนำทางก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความมืดมิด

     

     

                เป็นอะไรไป?เสียงของลู่ฮานดังขึ้นพร้อมกับลมหายใจร้อนที่เข้าปะทะกับใบหน้าของเซฮุน ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ใบหน้าของลู่ฮานที่อยู่ห่างจากใบหน้าของเซฮุนไม่ถึงคืบ ภาพตรงหน้านั้นเรียกรอยยิ้มระบายไปทั่วใบหน้าสมบูรณ์แบบของเซฮุน

     

     

              ดวงตากลมโตของลู่ฮานกำลังจ้องมองมาทางเขา

              ดวงตาที่เปรียบเสมือนโคมไฟนำทางให้แก่เขาในยามหลงทางและอ้างว้าง

     

     

              เปล่าครับ แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเซฮุนตอบ ปัดกระปอยผมที่ปรกบนหน้าผากของลู่ฮานออกเบาๆ แล้วคุณหล่ะ คิดว่านรกเป็นยังไง?

     

     

                “ฉันหรอ?ลู่ฮานขมวดคิ้วเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่ง ถ้าหากว่ามันเป็นแบบที่นายบอกจริง...แค่คิด มันก็น่ากลัวแล้ว

     

     

                เซฮุนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ มองสบตากับลู่ฮานที่ยังคงมองมาทางเขาอย่างไม่ละสายตาไปไหน แต่คนดีอย่างนาย อ้อ...ถึงแม้ว่าจะหลงตัวเองไปหน่อยก็เถอะลู่ฮานว่า หัวเราะคิกคัก ยังไงก็ได้ขึ้นสวรรค์อยู่แล้วหล่ะ ไม่ต้องกลัวหรอกนะ

     

     

                เซฮุนนิ่งเงียบ สวรรค์งั้นหรือ? เขาไม่ได้ไปที่นั่นมานานมากแค่ไหนแล้ว? ความอบอุ่นบนนภาที่เขาเคยได้สัมผัสหากทว่าในตอนนี้มันกลับไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่เพียงเศษเสี้ยว สรวงสวรรค์ที่ไม่มีที่ยืนให้แก่เทวดาตกสวรรค์อย่างเขาอีกต่อไป การให้อภัย? มันคงจะสายเกินไปสำหรับตอนนี้ เซฮุนมองไปยังใบหน้าของลู่ฮานที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้เขาฝืนยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

     

     

                ลู่ฮานทำท่าครุ่นคิดไปอยู่พักหนึ่ง ว่าแต่ฉันก็ไม่ได้ทำบาปอะไรมาก ยกเว้นก็แค่เรื่องโดดเรียน แล้วก็เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันจะบาปมากไหมนะ?ลู่ฮานพูดติดตลก มันคงดีถ้าตายไปแล้วได้ขึ้นสวรรค์ มองดูเทวดาที่แสนหลงตัวเองอย่างนายอยู่บนปุยเมฆ

     

               

                ทว่าคำพูดนั้นไม่ได้เรียกเสียงหัวเราะจากเซฮุนแต่อย่างใด เซฮุนหยุดชะงัก หากสุดท้ายก็กลับมาฝืนยิ้มให้แก่ลู่ฮานอีกครั้ง ก็จริงแฮะ...คุณนอนต่อเถอะ ยังเช้าอยู่เลยชายหนุ่มเอ่ยตัดบทสนทนา ดวงตากลมโตนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย หากทว่าสุดท้ายฝ่ามืออุ่นของเซฮุนก็เข้าลูบกลุ่มผมนิ่มของคนตัวเล็กกว่าไปมา เปรียบเสมือนการกล่อมให้ลู่ฮานเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

               

     

                เซฮุนมองดูลู่ฮานที่หลับสนิทในอ้อมกอดของตน ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในใจ ความคิดหลากหลายที่ยังคงตีกันไปมา ความคิดที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจ เหตุผลมากมายที่เริ่มประโดมเข้ามาในหัว มิใช่เพราะว่าเขาไม่สามารถโบยบินกลับไปยังสวรรค์ได้อีก มิใช่เพราะว่าปีกของเขาแปดเปื้อนไปด้วยสีดำ

     

     

              มันแค่เป็นเพราะว่าลู่ฮานถูกสาป...

              ถูกสาปไม่ให้วิญญาณได้ขึ้นไปยังวิมานบนนภาแห่งนั้น

     

     

     

     

     

     

    -

     

     

     

     

              เรารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ มิคาเอล

     

     

                เสียงอันน่าเกรงขามเอ่ยขึ้นพร้อมกับแสงสว่างอันเจิดจ้า มิคาเอลที่นั่งอยู่ตรงขอบหน้าผาสูงชันเตรียมตัวผุดลุกขึ้นยืนเพื่อทำความเคารพแก่ผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในสรวงสวรรค์

     

     

                ไม่ต้องหรอกมิคาเอล อยู่ตรงนั้นแหล่ะดีแล้ว

     

     

                หากทว่าประโยคถัดมาก็ทำให้มิคาเอลทรุดตัวนั่งลงอย่างเดิมอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาของเทวทูตสีขาวยังคงมองตรงไปยังโลกเบื้องล่างราวกับหาอะไรบางอย่าง องค์พระผู้เป็นเจ้าก้าวประชิดหนึ่งในเทวดาของตน มือแตะลงที่บ่าของมิคาเอลเบาๆ

     

     

                เราคิดว่าเจ้าคงอยากรู้ว่าทำไมเราถึงได้ตั้งกฎข้อนั้นขึ้นมาบนสรวงสวรรค์แห่งนี้

     

     

                ประโยคจากผู้เป็นใหญ่ที่สุดบนวิมานแห่งนภาเรียกความสนใจของมิคาเอล ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเทวทูตจดจ้องไปยังองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยืนอยู่เหนือตน ว่าด้วยสัจจะของโลก เมื่อได้บางสิ่ง เราก็ต้องแลกบางอย่างกลับคืนไป

     

     

                “…”

     

     

                “เช่นเดียวกับเจ้าที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งอำนาจและความเป็นอมตะ นั่นคือสิ่งที่เรามอบให้แก่เจ้าเพื่อหวังให้เจ้าทำงานเคียงข้างเรา หาใช่การไปหามนุษย์ที่อยู่เบื้องล่าง

     

     

                “…”

     

     

                “มนุษย์ที่อยู่เบื้องล่างย่อมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปตามธรรมของโลก มิได้เหมือนเจ้าที่คงอยู่ตลอดกาล เจ้าพอเข้าใจเราใช่ไหม?

     

     

                “ข้ารู้ในนัยนั้นดีมิคาเอลรับคำ หากทว่าข้อสงสัยก็กลับมาอีกครั้ง แล้ว...

     

     

                “ว่ามาสิ

     

     

                “แล้วลูซิเฟอร์ที่อยู่เบื้องล่างนั้นเล่า?มิคาเอลพูดด้วยเสียงแผ่วเบา อดีตเทวดาแสนผยองผู้นั้นกำลังกลับไปหามนุษย์ผู้นั้นอีกครั้ง

     

     

                “เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย มิคาเอลองค์พระผู้เป็นเจ้าพูด นัยน์ตาเหลือบมองลงเบื้องล่าง ทุกสิ่งอย่างย่อมมีการแลกเปลี่ยน และแน่นอน...

     

     

                “…”

     

     

                “ความเป็นอมตะก็ด้วยเช่นกัน














     

    -



















     



     

                เซฮุนละสายตาจากหนังสือเมื่อพบว่าสายตาของลู่ฮานเหลือบมองมาทางเขาเป็นระยะ ชายหนุ่มมองตรงไปยังลู่ฮานที่ยังคงนั่งวาดรูปอยู่ตรงมุมห้อง ลู่ฮานรีบหลบสายตา กลับไปจดจ้องที่แผ่นกระดาษดั่งเดิม

     

                “ว่าไงครับ?เซฮุนถาม กลั้วหัวเราะในลำคอ ทว่าลู่ฮานก็ยังคงไม่ตอบอะไรกลับมา เซฮุนอมยิ้มบาง วางหนังสือไว้ที่โต๊ะกลมด้านข้าง ผุดลุกขึ้นจนเต็มความสูง เดินตรงไปยังที่ลู่ฮานนั่งอยู่ ซึ่งนั่นรีบทำให้ลู่ฮานเปลี่ยนหน้ากระดาษทันที เซฮุนเลิกคิ้ว ยื่นหน้าเข้าไปมองที่กระดาษแผ่นนั้น พบว่ามันเป็นรูปวาดธรรมชาติในตอนที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน

     

                “เมื่อกี้ผมเห็นนะ วาดอะไรอยู่ครับ?เซฮุนถามเมื่อลู่ฮานยังคงไล่สีไปตามรูปพระอาทิตย์ ทำงานไงลู่ฮานตอบ ทำหน้าเคร่งเครียด เพ่งความสนใจกับรูปที่อยู่ตรงหน้าเสียจนเซฮุนหลุดหัวเราะออกมา ขอดูหน่อยสิเซฮุนว่า พยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นว่าลู่ฮานแสร้งตีหน้ายุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

     

     

                “ก็นี่ไงลู่ฮานหยุดไล่สี ใช้ปลายพู่กันชี้ตรงไปยังรูป และในจังหวะเดียวกันนั้นเซฮุนก็จับกระดาษแผ่นนั้นยกขึ้น เฮ้ยลู่ฮานอุทาน พยายามห้ามเซฮุน แต่นั่นก็สูญเปล่าอีกครั้งเมื่อเซฮุนเอาแต่หัวเราะด้วยน้ำเสียงที่กวนประสาทดังไปทั่วห้อง ไม่ได้สะทกสะท้านต่อแรงจากฝ่ามือของลู่ฮานที่ตีลงไปบนท่อนแขนเลยแม้แต่น้อย หากทว่าเสียงหัวเราะนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อมันถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่มาจากรูปที่ได้ปรากฏต่อหน้าเซฮุนในตอนนี้

     

     

                ลู่ฮานวาดรูปของเซฮุน

     

     

                ผมหล่อกว่านี้อีกเซฮุนว่า รอยยิ้มยังคงระบายไปทั่วใบหน้า

     

     

                หลงตัวเองลู่ฮานเบ้ปาก ไม่หล่อแล้วยิ้มทำไม?

     

     

                “ก็คุณอุตส่าห์วาดให้นี่นาเซฮุนขยี้กลุ่มผมของลู่ฮานเบาๆ ปล่อยกระดาษแผ่นนั้นลงที่เดิม เดินกลับไปที่นั่งของตัวเองอีกครั้ง วาดต่อสิ เอาให้หล่อเหมือนตัวจริงด้วยนะเซฮุนกำชับคำ หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นริมฝีปากปากของลู่ฮานที่พึมพำคำว่า หลงตัวเองซ้ำไปมา

     

               

                เซฮุนมองดูลู่ฮานที่ตั้งใจวาดรูปไปเรื่อยๆ ซึ่งมันเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เขาไม่มีวันเบื่อ นัยน์ตากลมโตเหมือนกวางที่คอยเหลือบมองมาทางเขาเป็นระยะ ใบหน้าหวานที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่เซฮุนคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สดใสที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา

     

     

                แล้วเขาจะปกป้องรอยยิ้มนี้ไปได้อีกนานเสียเท่าไหร่?

                นั่นสินะ…

                นานแค่ไหน...













     

     

     

     

                นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังบ่งบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนเศษ เซฮุนกับลู่ฮานนอนตะแคงหันหน้าเข้าหากันบนเตียง ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครนึกเบื่อที่จะทำแบบนี้ในทุกคืน จดจ้องมองใบหน้าของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไปเรื่อยๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนหลับไปก่อน เซฮุนใช้มือเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากของลู่ฮานออกอย่างแผ่วเบา ไล่นิ้วลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงพวงแก้ม

     

     

                ไม่ง่วงหรอ? ดึกแล้วนะเซฮุนว่า ในปกติลู่ฮานมักจะเป็นฝ่ายหลับไปก่อน แต่ทว่าในตอนนี้ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนนั้นไม่ได้มีทีท่าง่วงเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

                ลู่ฮานส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ รู้สึกได้ถึงแรงบีบที่มากขึ้นเรื่อยๆ บริเวณช่วงแก้ม เจ็บนะลู่ฮานโวยวายเมื่อเซฮุนส่งยิ้มกวนประสาทกลับมา ปัดมือของเซฮุนออก น่าหมั่นไส้ ลู่ฮานคิด เอื้อมมือไปหยิกแก้มของเซฮุน ดึงผิวเนื้อแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

     

     

                โอ๊ย! เจ็บนะในคราวนี้เซฮุนเป็นฝ่ายโวยวาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ปัดมือของลู่ฮานออก ลู่ฮานเขยิบตัวเข้าชิดเซฮุนมากขึ้น จดจ้องพิจารณาใบหน้าที่เขาคิดว่ามันสมบูรณ์แบบจนน่าอิจฉา นายมีแผลเป็นด้วยหรอ?

     

     

                “อื้มเซฮุนขานรับในลำคอ จับมือของลู่ฮานวางทาบกับแก้มของตน ฉันก็มีเหมือนกันนะลู่ฮานว่า ตรงแก้มน่ะ

     

     

                “ไหนเซฮุนเขยิบเข้าใกล้ชิดลู่ฮานมากขึ้น ใกล้จนกระทั่งลู่ฮานรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนของเซฮุนที่กำลังเป่าลงมาบนใบหน้าของเขา เซฮุนมองไปตรงแก้มของเขา ไล่สายตามาเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาสองคนได้สบตากันอีกครั้ง

     

     

                อีกเช่นเคย ไม่มีคำพูดอะไรต่อจากนั้น ทุกอย่างเงียบเชียบ หากทว่าในความเงียบเชียบนั้นกลับมีริมฝีปากของเซฮุนที่เริ่มขยับเข้ามาใกล้กับเขา ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแนบชิดกัน และดูเหมือนว่าในคราวนี้มันจะไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ริมฝีปากของเซฮุนไล่สัมผัสอุ่นลงมาตามซอกคอ แผ่นอก กระดูกไหปลาร้า ไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆ จนทุกสิ่งดูขาวโพลนไปหมด และมันมีอยู่สองสิ่งที่ลู่ฮานรับรู้ในค่ำคืนนั้น...สิ่งแรกคือเขาเต็มใจยอมให้มันเกิดขึ้น

     

     

    และสิ่งที่สอง

    ลู่ฮานไม่อยากที่จะละออกจากอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเซฮุน

     

     

     






     

     

     

     

    -

     

     






     

     

     

                         ปุยเมฆสีขาวบริสุทธิ์แผ่ไปทั่วบริเวณกว้าง แสงสว่างส่องไปทั่วบริเวณอย่างเจิดจ้า มิคาเอลเทวทูตยืนแค่นยิ้มเหยียดให้กับตัวเอง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองตรงไปยังเบื้องล่าง ปรากฏให้เห็นถึงภาพของลูซิเฟอร์ที่กำลังเดินเคียงข้างกับผู้เป็นที่รักในสวนสาธารณะ ใบหน้าของทั้งสองคนที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา ความสุขที่แผ่ไปทั่วจนเขานึกริษยาอยากที่จะทำลายมัน

     

     

                         ในเมื่อความวุ่นวายทั้งหมดเริ่มต้นมาจากมนุษย์ผู้นั้น เราก็อยากให้มันจบลงเสียเพียงเท่านี้

                     ‘…’

     

                     ‘มนุษย์ผู้นั้นจะไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นมาบนวิมานบนนภา

     

     

                     คำพูดขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ครั้งหนึ่งเคยพูดไว้กับเขาดังก้องขึ้นในหัว สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดตลอดมา แต่ถึงอย่างนั้น...มันก็ผิดกันทั้งคู่ไม่ใช่หรือไง? แล้วเหตุใด...เหตุใดเล่าลูซิเฟอร์ถึงยังคงได้ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ภายนอกนั้นเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้าย ผิดกับเขาที่อยู่ในเส้นทางแห่งความดี ทำไมเทวดาแสนผยองนั่นถึงได้ทุกๆ อย่างที่ควรเป็นของเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องไปยังตัวแทนแห่งอัตตาอย่างเคียดแค้น ความริษยาและโทสะเริ่มครอบงำจิตใจของเทวดาสีขาวอีกครั้ง

     

     

                         พวกเทวดาหรือปีศาจก็สามารถตายได้เหมือนกันนะถ้าหากว่าโดนทำร้ายด้วยอาวุธเวทย์น่ะ

     

     

                         มิคาเอลจับคันธนูที่เคยได้เป็นอาวุธของลูซิเฟอร์ คันธนูที่ได้ขึ้นชื่อว่าทรงอนุภาพมากที่สุดในสรวงสวรรค์ จับมันง้างออก เล็งปลายลูกศรสีขาวบริสุทธิ์ไปตำแหน่งตรงกลางหัวใจของบุคคลที่เขาแสนเกลียดชัง

     

     

                         ในเมื่อข้าไม่ได้...

     

     

                         มิคาเอลปล่อยลูกศรออก มองดูสิ่งนั้นตรงไปยังลูซิเฟอร์ที่ยังคงหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่เบื้องล่าง แค่นยิ้มอย่างสะใจเมื่อเห็นว่าปลายลูกศรนั้นเริ่มเข้าใกล้บุคคลที่แสนผยองมากขึ้นเรื่อยๆ

     

     

                         เจ้าก็ต้องไม่ได้เหมือนกัน

     

     

                         ปลายลูกศรนั้นปักลงที่กลางหัวใจของลูซิเฟอร์

     

     

                        

                        

     

     

     











     





    ทุกอย่างน่าจะจบลงในพุธนี้แหล่ะ ฮ่า 
    ส่วนเรื่องรวมเล่ม มีคนมาถามในทวิต
    ซึ่งเรารวมได้นะ เราว่างๆ 555
    ไว้ยังไงเดี๋ยวจะเอารายละเอียดมาลงหลังจากลงบทส่งท้ายนะคะ :)

    ปล. ความริษยาในศาสนาคริสต์มีสองแบบนะคะ (สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านบาปทั้ง7)
    ความริษยาแบบแรก คือ การอยากมีในสิ่งที่เขามี
    ส่วนแบบที่สอง คือ การอยากให้เขาไม่มีในสิ่งที่เขามี ซึ่งอันนี้ร้ายแรงมาก จะนำไปสู่โทสะ (ซาตาน)
    ทำให้เกิดการแย่งชิง การทำร้ายเพื่อแย่งสิ่งๆ นั้นมา

    ปล. มีแต่คนชอบเพลงหน้าฟิค อันที่จริงเราก็ชอบนะ :3
    เรื่องนี้เราวางเพลงไว้สองเพลง 


     


      

    ThePianoGuys - Moonlight





    ThePianoGuys - Arwen's Vigil


      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×