ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ FIC ] - DIE ROSE- ( 2jae ) รีไรท์

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 - กุพชะกะ

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 58







    จากใจไรท์ : ฟิคนี้มีความเป็นวรรณกรรมถึง 50% ตัวละครเด่นจึงเยอะพอสมควร

    และเน้นดราม่าทุกกิริยาบทในพาร์ทวรรณกรรม

     

     

    บทที่ 1

    กุพชะกะ

     

    ข้าเชื่อว่าความแค้นพาข้ามาที่นี้

    และข้าเชื่อว่าที่ข้ามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะเขา

     

     

    ก่อน ค.ศ.

       ผิวขาวซีดราวหิมะของเด็กน้อยตัดกับสีทึบหม่นในห้อง ผมดำยาวคลุ่มไหร่ ร่างนิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ่ง ไม่มีการไหวติงใดๆ   นัยน์ตาสีเลือดจ้องมองลอดหน้าต่างจากหอคอยปราสาทไปยังความมืดมิดลึกเข้าไปในป่าช้าด่านล่าง เด็กน้อยยังคงจ้องมองอยู่อย่างนั้น ดวงตาไม่มีแม้แต่ความแวววาวราวกับปราศจากความรู้สึก ปากบางสีแดงดุจกลีบดอกกุหลาบสดอ้าออกเล็กน้อย

     

     

    ทุกอย่างในตัวเด็กคนนี้ล้วนเป็นคุณสมบัติของ 'กุพชะกะ' สิ่งที่หายากยิ่งในโลก หรือที่มนุษย์เรียกขานกันว่า 'แวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์'

     

     

     

     

     

     แอ๊ดดด

     

    บานประตูไม้แกะสลักสีเทาหม่นถูกเปิดออกโดยแวมไพร์ตัวน้อย สองเท้าเล็กซีดอย่างเหยียบขึ้นลงตามบันไดในตัวปราสาทอย่างเบาเท้า  ไม่มีผู้ใดหรือสิ่งมีชีวิตไหนอยู่แม้แต่ตัวเดียว มีเพียงความเงียบเชียบกับเสียงฝีเท้ากระทบบันไดไม้ดังกึกกักของเขาเท่านั้น

     

    เห็นได้ชัดว่าทั้งปราสาท แวมไพร์น้อยอยู่ตามลำพังคนเดียวเท่านั้น  ร่างเล็กยืนนิ่งหน้าบานประตูล่างสุดของตัวปราสาท  น่าแปลกที่ขาสองข้างสั่นไหวอยู่ซักพัก จนกระทั่งตัดสินใจก้าวออกจากปราสาท  ไม่ไกลจากประตูปราสาทมากนัก บ้านไม้สีหม่นหลายหลังตั้งเรียงรายทอดยาวตามริมทางเดินขรุขระ บรรยากาศมืดครึ้มไร้แสงตลอดปี อีกทั้งยังมีแวมไพร์ คล้ายเขา มากมายบางก็สื่อสารบางก็เดินไปมา

     

    ที่แห่งนี้คือ  หมู่บ้านแวมไพร์  ทุกตนล้วนเป็นแวมไพร์ คล้ายเขา หากแต่ไม่มีใครพูดคุยกับเขาแม้แต่ตนเดียว สำหรับเจ้าตัวถือเป็นเรื่องปกติเพราะ แวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ เช่นเขา แม้แต่แวมไพร์ด้วยกันเองยังเกรงกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า  ซึ่งเป้นความเกรงกลัวที่เจ้าตัวก็มิอาจเข้าใจเพราะเหตุใด

     

    ราวกับถูกสาปไม่ให้ใครสามารถมายุ่งย่ามกับเขาได้แม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยตัวเล็กก็ตาม

     

      เขาโตขึ้นมาในปราสาทใหญ่ใจกลางหมูบ้านแวมไพร์  ซึ่งนับมาเป็นเวลาถึงยี่สิบสี่ปีที่เขาอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้   หากเทียบอายุมนุษย์นั้นเขาก็ต่างจากเห็นแปดขวบ

     

    เขาอาศัยในหมู่บ้านแวมไพร์แต่ทว่าไม่มีใครพูดคุยกับเขามาโดยตลอดยี่สิบสี่ปี ในหนึ่งวันสิ่งที่เขาทำคือการจ้องมองบางอย่างที่ไร้จุดหมายในผืนป่าหลังหมู่บ้าน เขารู้สึกเพียงว่าซักวัน…   เขาจะได้มีโอกาสออกจากที่แห่งนี้  เพราะที่นี่ไม่มีใครยอมคุยกับเขา แต่ไม่แน่ว่าข้างนอกนั้น อาจมีซักคนที่อยากมีเขาเป็นเพื่อน

     

     

     

        ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้พูดคุยกับใครแต่ก็ยังได้ยินเสียงพวกแวมไพร์ในหมู่บ้านพูดคุยกัน เขามักจะลงมาเดินเล่นในหมู่บ้านบ่อยๆ จนกลายเป็นกิจวัตร ด้วยหูที่ดีกว่าแวมไพร์ตนอื่น ขอเพียงเว้นระยะห่างไม่มากก็สามารถรับรู้ได้ว่าพวกแวมไพร์สื่อสารอะไรกัน

     

     

     

    กลุ่มแวมไพร์ฮันเตอร์งั้นรึแวมไพร์ตนหนึ่งเอ่ยกับแวมไพร์หนุ่มอีกคนที่มีสีหน้าไม่ดีนัก แน่นอนว่าแวมไพร์ฮันเตอร์ตือมนุษย์ที่ปราบแวมไพร์โดยถูกคัดเลือกทางสายเลือด

     

     

     

    ใช่ เห็นว่าทางการจะบุกมาถึงถิ่นนี้ ข้าก็รีบเก็บข้าวของย้ายถิ่นฐานตั้งแต่วานซืนแล้ว เดียวจะไม่ทันการ

     

     

     

    แวมไพร์อีกคนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ  แล้วกุพชะกะ..สายเลือดบริสุทธิ์ละ เขาคือตัวแทนขางสายเลือดกุพชะกะนะพอถึงตรงนี้แวมไพร์หนุ่มก็เอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ

     

     

     

    เจ้าไม่รู้หรือ ที่อันตรายที่สุดคือ เจ้านั่น  แหละ  คิดว่าพวกเราจะขึ้นตรงกับเขาจริงๆนะหรอ บ้าไปแล้ว….”

     

      

        ขณะพูดแวมไพร์ทั้งคู่ก็เหลือบมองซ้ายขวาเหมือนระวังบางอย่างตลอดเวลา เสียงกระซิบยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่เด็กน้อยยืนฟังอยู่เงียบๆ ในระยะที่พวกเขาไม่สามารถสังเกตเห็นได้

     

     

        

       แต่แล้วเจ้าตัวก็มิได้สนใจอีกต่อไป จนกระทั่งเริ่มสังเกตได้ว่าผู้คนรอบข้างแปลกไปจากเดิม แต่ละตนดูรีบร้อนผิดปกติ บางตนถึงกับหอบสิ่งของเครื่องใช้วิ่งกันชุลมุน  เป็นเช่นนี้แทบทุกตน นัยน์ตาเด็กน้อยกระตุกวูบ สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีบางอย่างที่แปลกไปจากเดิม รอบตัวเขานั้น ผู้คนเริ่มจางหายไปเรื่อยๆ

     

     

        

       จนเจ้าตัวสังเกตเห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลัง เตรียมตัวหนีอะไรบางอย่าง เขาไม่รู้เพราะเหตุใด จะเกี่ยวกับที่แวมไพร์หนุ่มเมื่อตะกี้พูดกันหรือไม่ ตามปกติแล้วแวมไพร์จะไม่ย้ายถิ่นฐานกันง่ายๆ นอกเสียจากเกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นจริงๆ เท่านั้น

     

     

     

    เจ้าตัวยืนคิดอยู่นาน และเขารับรู้ได้ว่า..ในหมู่บ้านแห่งนี้กำลังจะไม่เหลือใครอีกแล้ว

     

     

    ไม่มีอีกแล้ว .. แล้วเขาละ?

     

     

      

        เขาไม่รู้จะทำเช่นไรกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาได้แต่ยืนมองแวมไพร์ตนอื่นที่เริ่มจางหายไปอย่างสงสัย  วันนี้ช่างแปลกเสียจริง ในรอบยี่สิบกว่าปีพึ่งเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก เขาได้แต่ปล่อยให้เวลาเลยผ่านไปอย่างนั้น แวมไพร์หลายตนผ่านลำตัวเขาไป ตนแล้ว ตนเล่า บ้านไม้หลายหลังไม่มีใครอยู่อีกต่อไปทุกอย่างกำลังกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า

     

     

    นัยน์ตาสีเลือดสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็น มีบางอย่างบอกให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เจ้าตัวคว้าแขนแวมไพร์สาวตนนึงที่กำลังเดินผ่านไป

     

     

     

    เธอสะดุ้งเฮือกไปทั้งร่าง แวมไพร์สาวที่กำลังตกตะลึงพูดตระกุกตระกักด้วยความกลัว  ท..ท่านกุพช..!! ท่าน ได้โปรดปล่อยข้าเถิด นับเป็นภาพที่ตลกสำหรับคนธรรมดาที่จะเกรงกลัวเด็กตัวเล็กๆ ได้ขนาดนี้

     

     

     

    พวกท่านไปไหนกันหรอเสียงเย็นยะเยือกปนเศร้าสร้อยออกมาจากปากบางสีแดงสด ถือเป็นสิ่งที่หายากยิ่งที่กุพชะกะจะเอ่ยออกมา แต่ทำเอาแวมไพร์สาวเกร็งตัวจนขนลุก

     

     

     

    ข้า..พวกข้าอยุ่ที่นี่ไม่ได้แล้วพวกข้าต้องไปแวมไพร์สาวพูดอย่างเกรงกลัวถือโอกาสพละแขนออกจากเด็กตรงหน้าแล้วค่อยๆ เดินออกไปอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่ได้ตามมาจึงรีบหนีไป

     

    ..ทำไมต้องหนีเขาด้วยนะ แวมไพร์น้อยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

     

     

     

    แวมไพร์ตัวสุดท้ายหายไปจากหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว  เธอสลัดแขนเล็กๆ ของเขาทิ้งแล้วรีบจากไป  ไม่มีโอกาสให้เขาสามารถได้ถามไถ่ให้หายสงสัย

     

     

    ในเวลาไม่นานในหมู่บ้านนี้เหลือเพียงเขาคนเดียว เขาอยู่กับความเงียบที่แม้แต่เสียงลมพัดยังไม่ได้ยิน อึดอัดจนรู้สึกหัวใจที่สั่นไหว

     

     

     

    แล้วเราละ

     

    เขาสงสัยเหลือเกิน เขาจะทำอย่างไรดี? เขากลัวเกินกว่าจะกล้าออกจากที่แห่งนี้ ขาเล็กสั่นครอน เหมือนเขาสามารถล้มพับเสียตรงนั้น

     

    เขาต้องอยู่คนเดียวไปตลอดกาลจริงๆ หรือ ?  ได้โปรด   พาเขาออกไปด้วยได้ไหม

     

     

     

    ปัจจุบัน

     

     

        ติ๊งง ต๊องงง

     

    เสียงออดมหาลัยดังก้องมายังห้องสมุด บริเวณนั้นไม่มีใครซักคนนอกจาก ชเว  ยองแจ ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเงียบเชียบคนเดียวอย่างเป็นกิจวัตร 

     

     

     

        ในขณะที่มือเรียวกำลังเสียบหนังสือ สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหน้าสีออกเทาแดงดูลึกลับหนังสือเล่มนั้นเรียกความสนใจจากยองแจได้เป็นอย่างดี คิ้วได้รูปขมวดชิดกันด้วยความสงสัยพลางคิดในใจ   หนังสืออะไรนะลายแปลกชะมัด มีหนังสือแบบนี้ตรงโซนภาษาด้วยหรอ

     

     

     

    ยองแจหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาจากชั้นอย่างอยากรู้อยากเห็น

     

     

     

    MARK หน้าปกถูกพิมพ์ด้วยตัวอักษรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่น่าแปลกที่เขาสามารถแปลมันได้ เหลือเชื่อว่าเขาไม่คุ้นภาษานี้จริงๆ มันไม่ใช่ทั้งเกาหลีและอังกฤษ เขารู้สึกพิศวงอย่างมาก ทำไมกันนะ มาร์คหรอ?’ 

     

    เจ้าตัวพลิกหนังสือไปมาอย่างอยากรู้อยากเห็น มือเรียวเปิดหน้าปกออกช้าๆ

     

     

    กุพชะ….”

     

     

              ยองแจ

     

     

     

    ห้ะ

     

     

     

    พลั่ก

     

     ในขณะที่กำลังอ่านบรรทัดแรก ยองแจดันเพลอทำหนังสือหลุดมือเพราะความตกใจ ชายหนุ่มส่งตาขวางไปทางผู้มาเยือนอย่างเคืองๆ

     

     

     

    แกมีไรจินยอง?” ไม่ให้สุ่มให้เสียง จู่ๆ ก็โพล่มาแบบนี้ตกใจหมด

     

     

     

    ชายหนุ่มร่างโปร่งพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มคาดโทษอีกคน เราตามหานายซะทั่วมหาลัย! ไปไหนมาไหนบอกกันบ้าง เปิดโทรศัพท์บ้างก็ดีนะ

     

     

     

    ว่าแต่มีไรยองแจไม่สนใจคำติของเพื่อนเลยซักนิด

     

     

     

    จินยองส่ายหัวไปมาอย่างอดเอือมระอาไม่ได้ วันนี้มีงานคณะนะ อย่าลืมว่านี่เลยเวลาคาบบ่ายแล้ว

     

     

     

    งานอะไรอีก ยองแจกล่าวอย่างสงสัยพลางก้มหยิบหนังสือข้างล่าง..ห้ะ..หนังสือ ??

     

     

     

    หนังสือหายไปไหน ? มันตกตรงนี้นิ  ยองแจถึงกับต้องนั่งลงไปคลำหาที่พื้น แต่ก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ  อะไรเนี่ย หนังสือมันหายไปเองเนี่ยนะ บ้าน่าเขาจำได้ดีว่าเมื่อกี้มันตกลงข้างหน้าเขาเลยนะ

     

     

     

    จินยองเง้อคอมองเพื่อนสนิท  นายหาอะไร?”

     

     

     

    ยองแจทึ้งหัวตัวเองก่อนจะเริ่มโวยวายใส่อีกคนที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตก มันหายไปแล้ว โอ้ยยย เพราะนายเลย

     

     

     

    “?”

     

     

     

     

     

     

    ก่อน ค..

     

    นัยน์ตาสีเลือดมองทอดยาวลึกเข้าไปในป่า ต้นไม้ใหญ่แน่นหนาบวกกับท้องฟ้าสีเทา มันทำให้เขารู้สึกว่างเปล่ามากกว่าเดิม  ที่แห่งนี้ไม่เหลือใครแล้ว

     

     เขาลองคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เจ้าตัวอยากถามแวมไพร์สาวตนนั้นเสียเหลือเกิน แต่คำนั้นกลับติดอยู่ที่ลำคอเสียดื้อๆ  จะทิ้งเราใช่ไหม เราทำอะไรผิด แวมไพร์น้อยเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งทำไมแวมไพร์ตนอื่นถึงไม่พูดคุยกับเราเลย เขาเริ่มตั้งคำถามแบบนี้ทุกวัน แต่ทำไมถึงไม่เคยมีใครให้คำตอบเขาเลย แน่สิ   ไม่มีใครอยากเสวนากับเขาเลยซักตนเดียว

     

    ตั้งแต่กำเนิดมา ไม่มีผู้ใดพูดคุยกับตนทำดั่งกับราเป็น ตัวประหลาด…’

     

    ทำไมเขาต้องรู้สึกแปลกๆ บริเวณหน้าอกด้วยนะ เขาไม่เข้าใจเลย  ทุกวันนี้เขาก็เหมือนอยู่คนเดียวมาตลอดเพียงแค่คนในหมู่บ้านหายไปเท่านั้น เพียงแค่ไม่ได้ยินเสียงเท่านั้นไม่มีอะไรมากแค่ไม่ได้ยินเสียงอะไรไปตลอดกาล

     

                ทว่า ..

     

    สวบ สวบ

     

     เสียงฝีเท้าหลายคู่ที่ไม่คุ้นเคยดังลอดเข้ามาในโสตประสาท  ซึ้งไม่ใช่การเดินแบบแวมไพร์แน่นอนเจ้าตัวรู้ดี  เสียงเดินดังมาจากทางป่าช้า มันใกล้เข้ามาทีละนิด มือน้อยสั่นเกร็ง สัญชาตญาณบอกให้เขารับรู้ถึงความผิดปกติ สองขาค่อยๆ ออกแรงเดินถอยหลังไปทางป่าอย่างช้าๆ และเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแวมไพร์ตัวเล็กต้องวิ่งสุดแรง 

     

     ไม่คุ้นเลย ใครกันนะ’  ตั้งแต่เขาเกิดมายังไม่เคยมีคนนอกเข้ามาจนถึงตอนนี้…ใครกัน ถึงแม้จะมีคนมาแต่เขากลับไม่รู้สึกดีแม้แต่นิด หัวสมองเต็มไปด้วยความกลัวต่างๆ นาๆ

     

    เจ้าตัวรีบหลบหลังพุ่มไม้ใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ลอบเฝ้าสังเกตการณ์กลุ่มผู้มาเยือน เขาได้แต่สั่นระริกด้วยความกลัว ไม่มีความกล้าที่จะออกไปเผชิญหน้าไม่มีความกล้าแม้แต่จะหายใจ อาการสั่นเทารุนแรงช่างขัดกับอัปกริยาที่ทุกคนเคยหวาดกลัวแวมไพร์น้อยตนนี้เสียจริง

     

     

     

    เหมือนจะหนีไปหมดแล้วเสียงไม่คุ้นหูดังเข้ามาในโสตประสาท เขารับรู้ได้ทันที…มนุษย์ เขาเคยได้ยินคนในหมู่บ้านพูดถึงสิ่งมีชีวิตนี้อยู่บ่อยครั้งและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับมนุษย์ตัวเป็นๆ

     

     

     

    ผู้ร่วมทางรู้สึกผิดหวังเมื่อกวาดแววตาขมไปรอบๆ ไม่เห็นมีเลยซักตัว"

     

     

    ข้าส่งคนไปดูที่ปราสาทแล้วแหละ

     

     

     

     “นี่ภารกิจเราล้มเหลวใช่ไหมเตรียมตัวกับเป็นปี ข่าวดันรั่วไหลถึงหูเจ้าแวมไพร์จนได้!!.ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบหันไปพูดกับผู้ร่วมทางอย่างหัวเสีย

     

     

     

    คนที่สวมเครื่องแบบหรูกรามาที่สุดเอ่ยกับผู้ร่วทางทุกคน เจ้าแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ละ ที่มาก็เพราะสิ่งนี้นี่แหละ ไอพวกแวมไพร์ลูกผสมมันกลัวสายเลือดบริสุทธิ์ คงไม่พาไปด้วยให้กลัวตลอดชาติ แถมข่าวกรองเราก็ส่งข่าวมาแล้วว่าสายเลือดบริสุทธิ์ยังอายุน้อยอยู่ ยังไงก็ต้อง ฆ่ามันให้ได้ก่อนโต ไม่อย่างนั้นคงเป็นภัยต่อพวกเรา

     

     

     

      ใช่แน่… ผู้มาเยือนคือมนุษย์ที่เป็นแวมไพร์ฮันเตอร์ เด็กน้อยไม่รุ้ว่าแวมไพร์ฮันเตอร์คืออะไรรู้เพียงว่าพวกเขาอันตรายมากๆ  มีทางเดียวคือเขาต้องรีบออกไปจากตรงนี้โดยเร็ว กร๊อบ แกร๊บ เท้าเล็กเผลอเหยียบเศษศากใบไม้แห้ง เรียกความสนใจจากแวมไพร์ฮันเตอร์ทุกนาย

     

     

    กลัว...กุพชะกะคิด

     

     

     

       ปิ๊ดดดด นกหวีดถูกเป่าจากปากแวมไพร์ฮันเตอร์เพื่อเรียกกำลังพลให้มารวมตัว เราพบ แวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์แล้ว! นัยน์ตาสีเลือดคือสัญลักษณ์ที่ยืนยันว่าเด็กตนนั้นคือสายเลือดบริสุทธิ์โดยแท้จริง

     

     

        

        หนี..เขากำลังหนีสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ เจ้าตัวไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือทำไม รู้แค่ว่าเขาอยู่หมู่บ้านนั้นอีกต่อไปไม่ได้แล้ว สองเท้าน้อยไม่สามารถก้าวยาวได้  เพียงแค่วิ่งไปไม่กี่เมตรก็สะดุดขาตัวเองล้มดังตึง ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือ  พวกนั้นบอกจะฆ่าเรา ….   เราจะตายหรอ เราจะตายโดยที่เรายังพูดกับคนอื่นเพียงประโยคเดียวอย่างนั้นหรอ ถึงแม้จะในเวลาขับขันแต่เขาก็ยังคิดคามขึ้นมาอีกครั้ง

     

     

    เขาเกิดมาทำไมกันนะ?

     

     

    เกิดมาเพื่ออะไร?

     

     

     

     จนกระทั่งต้องหยุดวามคิดนั้นเมื่อได้ยินเสียงมนุษย์ไม่ไกลจากตัวเขามากนัก คงต้อง กำจัดทิ้งดูแล้วอายุเพียงแค่เจ็ดถึงแปดปีถ้าเทียบกับมนุษย์ เราต้องกำจัดมันตอนนี้แหละ

      

                คำพูดของเหล่ามนุษย์พวกนั้นทำให้นัยน์ตาสีเลือดกระตุกวูบ กุพชะกะเขม็งมองมนุษย์ตรงหน้าแทบทะลุ หากแต่สมองไม่สามารถสั่งการอะไรนอกจากความสงสัยเต็มไปหมด

     

    จะฆ่าเราหรอ ทำไมละ ทำไม

     

    แวมไพร์ตัวน้อยไม่ได้หนีอีกต่อไป เขาหันไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่แวมไพร์ตนอื่นเรียกว่ามนุษย์ พวกเขามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระหายในการเข้นฆ่าแต่ก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัวไม่ต่างจากแวมไพร์ตนอื่นๆ เช่นกัน

     

    เขาเคยคิดว่าถึงแม้แวมไพร์ไม่อยากคุยกับเขา บางทีสิ่งมีชีวิตข้างนอกหมูบ้านอาจจะอยากคุยกับเขาก็ได้ .. แต่เขารับรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงเท่านั้น

     

      ปั๊กกกก ไม่รอให้เขาได้ทันคิดไปมากกว่านั้น กระบอกไม้ปลายดาบแหลมคมพุ่งมาจากมนุษย์ปักลึกตรงกลางลำตัวของแวมไพร์ohvp

     

     

     

        ‘เจ็บปั๊กก

     

    ไม้แหลมคมหรือที่มนุษย์เรียกว่า ธนูอีกหลายสายพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ความเจ็บกลับยิ่งทำให้เขาสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง พวกแวมไพร์ทิ้งเราทำไมแล้วมนุษย์ฆ่าเราทำไม

     

    เจ้าตัวได้เพียงแค่คิดแต่มิอาจปริปากพูดได้ ปากบางถูกแต่งแต้มด้วยน้ำเลือด แผลฉีกขาดเริ่มมีน้ำสีแดงสดไหลรินย้อมไปทั่วเรือนร่าง  ผิวขาวซีดตัดกับสีแดง ดุจกองเลือดบนผิวหิมะ ความเจ็บที่ได้สัมผัสครั้งแรกมันช่างทรมาณ

     

     

    …. มนุษย์น่ากลัว…. เขาคิด

     

     

     

    หนึ่งในแวมไพร์ฮันเตอร์ที่เฝ้าสังเกตการณ์มานานเอ่ยขึ้นว่า คงต้องเผาแล้วแหละ ไม่เช่นนั้นถ้า คลั่ง ขึ้นมาจะรับมือไม่ไหว

     

     

     

    รีบๆ จัดการเถอะ

     

     

     

    สิ้นเสียงของพวกมนุษย์ ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบคนนึงนำไม้ติดไฟลุกโชนเดินตรงมาทางเขา

     

     

     

        กลัว..มือน้อยขาวซีดเปื้อนเลือด เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะขยับเขยื้อน และรู้ดีว่าจะต้องเจออะไรต่อไป ตาสีเลือดจ้องมองไปยังเปลวไฟสีส้มที่กำลังใกล้เข้ามา นัยน์ตาสีแดงของเขาสะท้อนภาพไฟสีส้มอมเหลือง เขารู้ว่าไฟมันอันตรายต่อเขามากเพียงใด แต่ทว่าความกลัวไม่อาจกลบความฉงนสงสัยของเขาได้ความสงสัยของเขามีมากกว่าหลายเท่าคำถามที่ว่า ทำไมยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท

     

     

     

    เราทำผิดอะไร เสียงแหบพร่างพยายามเอื่อนเอ่ย แต่ปราศจากคำตอบใดๆ  เขาจะพูดเบาเกินไปรึป่าวนะ

     

    เปลวไฟที่รุกล้ำเข้ามา ความร้อนที่แผร่มายังเขาทำเอาท้องไส้เริ่มปั่นป่วน ทั้งกลัว ทั้งแสบเจียนตายหยาดน้ำสีแดงไหลรินจากดวงตากลมโตแปะลงยังพื้นแฉะ เนื้อตัวเขาคือหิมะที่ถูกกรบด้วยสีแดงฉาน

     

     

     

    เราผิดอะไร..  ทำไมพวกท่านถึงไม่ตอบอะไรเราเลย เราผิดอะไร ทำไมต้องฆ่าเราด้วย

     

    นั่นคือความคิดสุดท้ายก่อนที่เขาจะควบคุมสติของตนเองไม่ได้

     

     

     

     

     

    …………….

     

    อากาศหนาวเย็นทำให้เปลือกตาขาวบางแต่งแต้มสีแดงที่หลับไหลลืมตาตื่น ผิวขาวซีดตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีแดงหมดจด นัยน์ตาสีเลือดเหลือบสังเกตรอบๆ แต่สิ่งเห็นตรงหน้าทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ภาพแวมไพร์ฮันเตอร์ที่คิดจะฆ่าเขานอนหมดสติจมกองเลือด

     

     รอบตัวเขาไม่มีผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียวเหลือเพียงศพของคนที่คิดจะฆ่าเขาหลายคน ขณะนั้นเองเจ้าตัวก็ก้มมองดูมือตัวเองที่มีเล็บแหลมคมซึ่งไม่รุ้ว่ามาได้อย่างไร บนลำตัวของเขาไม่มีไม้แหลมคมของพวกมนุษย์อีกแล้ว แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

     

    ยังไม่ตายเขาคิดได้เพียงเท่านี้   แล้วศพมากมายตรงหน้าเขาคืออะไร..สภาพศพเละเทะไม่มีชิ้นดี เหมือนถูกฉีกขาดโดยของแหลมคมมากมาย เกิดอะไรขึ้นกันแน่

     

     

    ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอย สองเท้าค่อยๆลุ กขึ้น เขาย่างผ่านศพของพวกมนุษย์เดินลึกเข้าไปในป่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร’ ‘ไม่มีใครอ่านนัยน์ตาเขาออกแม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม

     

     

    และไม่มีคำตอบใดๆ สำหรับศพแวมไพร์ฮันเตอร์เรียงรายที่ถูกทิ้งไว้ในป่าช้าแห่งนี้

     

     

     

     

     

    แผนที่เดินทางถูกพับเก็บเข้ากระเป๋าติดชายกางเกงด้านข้างของชายหนุ่มนักเดินทาง ด้วยอากาศที่ร้อนจัด ใบหน้าหล่อคมคลายแบบผู้ชายผิวสองสีถูกแต่งแต้มด้วยเหงื่อผุดพลายข้างๆ แก้ม หากแต่ไม่ทำให้ความหล่อเขาลดลงแม้แต่นิด

     

     

     

     

    เหมือนจะมั่วทางชายหนุ่มนักเดินทางหันไปพูดกับสาวสวยร่างบางที่ร่วมเดินทางด้วยกัน

     

     

     

    หญิงสาวหันควับมาทางอีกคน  ข้าไม่สงสัยเลยทำไมอัศวินแบบเจ้าถึงไม่ได้เป็นแม่ทัพซักทีสาวร่างบางเอ็ดชายหนุ่มก่อนจะถือวิสาสะหยิบแผนที่ในกระเป๋ากางเกงของเขาออกมา ชายหนุ่มไม่ถือโทษกาลเทศะอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติที่หญิงสาวจะทำแบบนั้น

     

     

     

    เมืองซีดง เสียงใสดังลอดออกมาจากปากกระชับได้รูปของหญิงสาว คิ้วเรียวขมวดกันจนเป็นปม แม้แต่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจในแผนที่พวกนี้

     

     

     

    ชายหนุ่มออกความเห็น กลับที่พักก่อนไหม ใกล้ค่ำแล้ว ป่านนี้คนในกองทัพคงตามหาเรา หญิงสาวก็ไม่ได้ขัดอะไร เธอเห็นด้วยที่ว่าพวกเราออกจากที่พักมานานเกินไป ขืนนานกว่านี้พวกพ้องคงต้องออกตามหาเป็นแน่

     

     

     

    ตามนั้นกล่าวเสร็จหญิงสาวก็นำแผนที่ยัดใส่มือชายหนุ่มแล้วเดินจ้ำอ้าวไปทางเดิมพี่พวกเขาเดินมา ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้นสายตาของหญิงสาวสะดุดกับบางอย่าง… สีแดงข้นเหมือนเลือด

     

     

     

     “ซักครู่นะ ไปสำรวจอะไรซักหน่อยเธอบอกเพื่อนร่วมทางที่เดินตามมา ชายหนุ่มได้แต่ทำหน้าฉงน แต่ก็ไม่ได้กล่าวห้ามอะไร ปล่อยให้เธอเดินไปส่วนเขาได้แต่ยืนรออยู่ที่เดิม

     

     

     

     “แจ็กสัน!เสียงตะโกนเรียกชื่อเขาของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบวิ่งไปทางหญิงสาวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

     

     

     

    ไม่อยากจะเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้าเขาคือร่างเด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบปีนอนสลบอยู่บนพื้นดิน ทั้งร่างของเด็กน้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด

     

     

     

    จะทำอย่างไรดี หญิงสาวหันมาถามชายหนุ่มด้านข้าง แน่นอนว่าเด็กน้อยตรงหน้าเธอยังมีชีวิตสังเกตได้จากลมหายใจอ่อนๆ ที่รวยรด สภาพใกล้จวนเจียนขึ้นทุกที เธอลนลานมากจนไม่รู้จะเริ่มยังไง ได้แต่ภาวนา หวังว่ายังไม่ตายนะ

     

     

     

    แจ็กสันตกใจไม่แพ้กัน รีบพากลับที่พักเถอะ!ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กน้อย เขาค่อยๆ ช้อนร่างเล็กขึ้นมาบนสองแขนช้าๆ จนเขามรถอุ้มเด็กน้อยได้อย่างพอดีมือ

     

     

     เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ได้นะ ทำไมถึงมานอนเปื้อนเลือดอยู่ตรงนี้ได้เขาคิด  แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาพอให้คิดอะไรมากกว่าทั้งนั้น เขารู้แค่ว่าต้องรีบช่วยเด็กคนนี้ให้ได้เสียก่อน

     

     

    ………

     

     

     

    ทำไมที่นี่มืดจังเลย

     

     

     

    มีใครอยู่ไหม….’

     

     

     

        รอบตัวเขาเหมือนไม่มีใครอยู่เลย ทำไมทุกอย่างถึงดูมืดสนิทอย่างนี้ ทุกอย่างเป็นสีดำไปหมด ทำไมกันนะจะว่าตาบอดก็ไม่ใช่แน่เพราะเขาเห็นมือที่ขาวซีดของตัวเองเห็นหยดน้ำสีแดงที่เปรอะเปื้อนลำตัวเขา

     

     

    เราอยู่คนดียว ในสถานที่ที่มืดมิด

     

     

     

        ผมยาวประบ่าเปรื้อนเลือดที่แห้งกร้านกลิ่วคาวฟุ้งจนเขาอยากจะอาเจียน เขาเอามือทั้งสองข้างปิดใบหน้าตัวเองซุกลงกอดเข่าเหมือนคนหมดความหมายในชีวิต

     

     

     

    เหมือนโลกทั้งใบของเขามีเพียงอากาศกับความมืด ความสับสนคละเคล้ากับความเงียบสนิทหยดน้ำสีแดงไหลออกมาจากเบ้าตา จนกระทั่งเขาสะอึกสะอื้นออกมา

     

     

     

    ฮึกฮึก

     

     

     

     

     

     

    จู่ๆเสียงไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นในความมืด

     

     

     

    เจ้าก็แค่สิ่งของไร้ค่า มีแต่คนอยากทิ้งเจ้า อยากกำจัดเจ้า ไร้ค่า ไร้ค่าสุดๆ

     

     

     

    ท่านคือใคร  ท่านคุยกับเราหรอเขาเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามอย่างมีความหวัง

     

     

     

    ข้าเป็นใครไม่สำคัญ อย่างน้อยข้าก็มีประโยชน์กว่าเจ้า ~~ เป็นแวมไพร์ก็งี้ละ ไร้ค่า มีแต่คนเกลียดเจ้า จำไว้!

     

     

     

    ไร้ค่า?’ เสียงแผ่วเบาดังลอดมาจากปากบางสีแดง ไร้ค่า..

     

     

     

    ท่านหมายความว่าอะไร

     

     

     

    เขาพยายามถามซ้ำไปมา ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่มีใครตอบคำถามเขา จนเจ้าตัวเริ่มใจเสีย เขาอยู่คนเดียวอีกแล้วหรอ

     

     

     

    ไม่เอานะ..

     

     

     

    ไม่ชอบแบบนี้เลย

     

     

     

    ไม่เอา..

     

     

     

    ไม่!!!

     

     

     

     “เป็นอะไรรึป่าว!เสียงผู้หญิงตะโกนโหวกเหวกดังลอดเข้ามาในประสาทหู ทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ ก่อนที่จะพบว่าเขานอนอยู่ในที่ไม่คุ้นตามาก่อน

     

     

    เฮือกก!!  เขาตกใจถอยหลังหนีจนสุดพนังห้องเมื่อพบว่ามีมนุษย์อยู่ตรงหน้าเขา  มนุษย์..มนุษย์เคยคิดจะฆ่าเขา การพบมนุษย์อีกครั้งทำให้เขาหวาดกลัว เขามองมนุษย์เพศหญิงตรงหน้าด้วยแววตาที่ไม่ไว้วางใจ

     

     

     

    ดีใจที่เจ้าฟื้นแล้ว  เจ้าเป็นยังไงบ้างหญิงสาวถามก่อนจะเอื้อมมือมาหาเขาเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกายของเด็กน้อยตรงหน้า

     

     

     

    ทว่าเขากลับรีบถอยหนีไปอีก ตัวน้อยๆ สั่นเทาอย่างรุนแรง นัยน์ตาสีเลือดจ้องมองหญิงสาวตรงหน้ารอดูว่าเธอจะทำอย่างไรกับเขาต่อ จะเอาไม้แหลมๆ มาแทงเขารึป่าวนะมีแต่ความหวาดหวั่นวนเวียนในหัวเขา

     

     

     

    หญิงสาวเห็นท่าทีของเด็กน้อยก็อดสงสารไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้กันแน่นะ เอ๋? เด็กน้อยไม่ต้องกลัวนะ พี่ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก  เด็กไร้เดียงสาตรงหน้าเธอดูอ่อนต่อโลกอย่างเห็นได้ชัด

     

     

     

    นอกจากจะสวยแล้วพี่ยังใจดีอีกนะเธอชีกยิ้มจนตาหยี้ แอบขำกับคำพูดบ้าๆ ที่กล้าเอ่ยออกไปของตัวเอง

     

     

     

        หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มเมื่อกี้ทำให้เด็กมองเธอตาโตอย่างไม่คาดสายตา ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกผ่อนคลาย ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนพวกมนุษย์ก่อนหน้านี้มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ปากยกขึ้นเมื่อกี้ .. เขาพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทำไมมันทำให้เขารู้สึกวางใจจนน่าประหลาด

     

     

    หญิงสาวรับรู้ได้ว่าถูกเด็กจ้องมองอยู่เนิ่นนาน จนสงสัยว่ามีอะไรติดหน้าเธอรึป่าว

     

     

     

    เจ้าคุยกับเราหรอ เขาเอ่ยถามคนแปลกหน้าด้วยความสงสัย เขาไม่ได้หวังคำตอบมากนัก จะไม่แปลกใจเลยหากอีกคนไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาให้เขาได้ยิน แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจอีกคร่า หญิงตรงหน้าอมยิ้มเล็กน้อย

     

     

     

    ใช่สิ ในนี้มีแค่เจ้ากับพี่สองคนเองนะ หญิงสาวพูดพลางทำมือนิ้วชี้สองข้างเข้าหากัน

     

    การกระทำของเธอทำให้กุพชะกะมีความรู้สึกแปลกใหม่ พึ่งจะมีคนคุยกับเขาอย่างจริงจัง และใช้ท่าทีแบบนี้

     

     

     

     “แอนนา เจ้าหนูเป็นอย่างไรบ้างเสียงชายหนุ่มรอดเข้ามาจากประตูทางเข้า

     

     

     

    อ่า ไม่ต้องกลัวนะเด็กน้อย ถึงพี่ชายคนนี้จะหน้าโหดแต่ปัญญาอ่อนมากแอนนาพูดติดตลกเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยตรงหน้าเธอกลัวชายหนุ่มจนหัวหดพร้อมกับหัวเราะคิกคักเมื่อได้แกล้งผู้มาเยือน

     

     

     

    ชายหนุ่มเลิกคิ้ว  เธอว่าอะไรนะ

     

     

     

    ป่าวนะ หญิงสาวตอบพร้อมกับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

     

     

     

    ชายหนุ่มมองเธออย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร ตอนนี้เขาสนใจเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเสียมากกว่า

     

     

     

    ชายหนุ่มมองเด็กน้อยที่พึ่งอยหลังจนชิดติดผนังก็อดสงสารไม่ได้ ร่างกายขาวซีดบอบบาง แต่แล้วก็ต้องสะดุดเข้ากับดวงตาคู่สวยนั่น  ..นัยน์ตาสีแดง

     

     

     

    ใช่เลย สีแปลกใช่ไหมละแอนนาเสริม

     

     

     

    นี่มัน.ชนเผ่าอะไรไม่เคยเห็นมาก่อน สงสัยเจ้าหนูหลงมาจากแดนไกลแน่ๆ

     

     

     

    เด็กน้อยไม่รู้ว่าพวกเขาพูดถึงอะไรกัน แต่ตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่ที่เขาเกิดมาตลอดยี่สิบสี่ปี เขาพึ่งเคยพบมนุษย์ที่มีลักษณะแบบนี้ มนุษย์ที่พูดคุยกันอย่างผ่อนคล้าย พูดด้วยการใช้มุมปายกยิ้มขึ้น 

     

     อยากคุยด้วยเหลือเกิน

     

     

    เจ้าชื่ออะไรเด็กน้อยราวกับพระเจ้าได้ยินเสียงคำขอในใจ แจ็กสันหันมาพูดกับเด็กน้อยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

     

     

     

    กุพชะกะกระพริบตาปริบๆ  เด็กน้อยเอ่ยกล้าๆ กลัวๆ  ชื่อ..ชื่อคืออะไร

     

     

     

    คำถามของเขาทำให้แจ็กสันกับแอนนามองหน้ากันเลิกลั่ก

     

     

     

     แจ็กสันตอบกลับพร้อมอธิบายอย่างละเอียด  ชื่อใช้เรียกแทนตัวเองไง เช่นพี่ชื่อแจ็กสัน  ส่วนพี่สาวคนนี้ชื่อแอนนา เวลาเรียกพี่ก็ เขาคิดว่าเด็กคนนี้คงเกิดมาในชนเผ่าที่ไม่นิยมเรียกชื่อแน่ๆ

     

    แวมไพร์น้อยนิ่งเงียบอยู่นาน จนกระทั่งปากบางเอ่ยเสียงเบาแงไปด้วยความหม่นหมอง เราไม่มีชื่อ

     

    แต่มักจะมีแวมไพร์ในหมู่บ้านที่เรียกเขาว่ากุพชะกะ แต่หากเขาบอกไปเขาคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้.. พี่ชาย พี่สาวคงไม่คุยกับเขาอีกต่อไปสัญชาติญาณกำลังบอกเขาแบบนั้น

     

     

     

     “อ่าแจ็กร้องอ่ออย่างเข้าใจ เด็กคนนี้ต้องลืมชื่อตัวเองแน่ๆ  ถ้าอย่างนั้น เพื่อความสะดวกเขาขอตั้งชื่อใหม่ให้เลยละกัน

     

     

     

    ในเมื่อเจ้าไม่มีชื่อ  เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า…”








    TALK


    แต่งฆ่าเวลารอเรื่องเก่าคิดออกค่ะ TT โทษน้า

    ขอแต่งเรื่องนี้ไปพลางเรื่องเก่าไ่ม่ทิ้งแน่นอนจร้า

    ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง Black flower จร้า อาจจะคล้าย

    แต่ไม่เหมือนทั้งหมดเนอะ






    }  

    STAR THEME
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×