คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 - กุพชะกะ
จากใจไรท์ : ฟิคนี้มีความเป็นวรรณกรรมถึง
50% ตัวละครเด่นจึงเยอะพอสมควร
และเน้นดราม่าทุกกิริยาบทในพาร์ทวรรณกรรม
บทที่ 1
กุพชะกะ
ข้าเชื่อว่าความแค้นพาข้ามาที่นี้
และข้าเชื่อว่าที่ข้ามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้… เป็นเพราะเขา
ก่อน ค.ศ.
ผิวขาวซีดราวหิมะของเด็กน้อยตัดกับสีทึบหม่นในห้อง
ผมดำยาวคลุ่มไหร่ ร่างนิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ่ง ไม่มีการไหวติงใดๆ นัยน์ตาสีเลือดจ้องมองลอดหน้าต่างจากหอคอยปราสาทไปยังความมืดมิดลึกเข้าไปในป่าช้าด่านล่าง
เด็กน้อยยังคงจ้องมองอยู่อย่างนั้น ดวงตาไม่มีแม้แต่ความแวววาวราวกับปราศจากความรู้สึก
ปากบางสีแดงดุจกลีบดอกกุหลาบสดอ้าออกเล็กน้อย
ทุกอย่างในตัวเด็กคนนี้ล้วนเป็นคุณสมบัติของ
'กุพชะกะ' สิ่งที่หายากยิ่งในโลก หรือที่มนุษย์เรียกขานกันว่า
'แวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์'
แอ๊ดดด
บานประตูไม้แกะสลักสีเทาหม่นถูกเปิดออกโดยแวมไพร์ตัวน้อย
สองเท้าเล็กซีดอย่างเหยียบขึ้นลงตามบันไดในตัวปราสาทอย่างเบาเท้า ไม่มีผู้ใดหรือสิ่งมีชีวิตไหนอยู่แม้แต่ตัวเดียว
มีเพียงความเงียบเชียบกับเสียงฝีเท้ากระทบบันไดไม้ดังกึกกักของเขาเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าทั้งปราสาท แวมไพร์น้อยอยู่ตามลำพังคนเดียวเท่านั้น
ร่างเล็กยืนนิ่งหน้าบานประตูล่างสุดของตัวปราสาท
น่าแปลกที่ขาสองข้างสั่นไหวอยู่ซักพัก
จนกระทั่งตัดสินใจก้าวออกจากปราสาท ไม่ไกลจากประตูปราสาทมากนัก
บ้านไม้สีหม่นหลายหลังตั้งเรียงรายทอดยาวตามริมทางเดินขรุขระ
บรรยากาศมืดครึ้มไร้แสงตลอดปี อีกทั้งยังมีแวมไพร์ คล้ายเขา มากมายบางก็สื่อสารบางก็เดินไปมา
ที่แห่งนี้คือ ’หมู่บ้านแวมไพร์’ ทุกตนล้วนเป็นแวมไพร์ คล้ายเขา หากแต่ไม่มีใครพูดคุยกับเขาแม้แต่ตนเดียว
สำหรับเจ้าตัวถือเป็นเรื่องปกติเพราะ ’แวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ ’เช่นเขา แม้แต่แวมไพร์ด้วยกันเองยังเกรงกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า
ซึ่งเป้นความเกรงกลัวที่เจ้าตัวก็มิอาจเข้าใจเพราะเหตุใด
ราวกับถูกสาปไม่ให้ใครสามารถมายุ่งย่ามกับเขาได้แม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยตัวเล็กก็ตาม
เขาโตขึ้นมาในปราสาทใหญ่ใจกลางหมูบ้านแวมไพร์ ซึ่งนับมาเป็นเวลาถึงยี่สิบสี่ปีที่เขาอาศัยอยู่
ณ ที่แห่งนี้ หากเทียบอายุมนุษย์นั้นเขาก็ต่างจากเห็นแปดขวบ
เขาอาศัยในหมู่บ้านแวมไพร์แต่ทว่าไม่มีใครพูดคุยกับเขามาโดยตลอดยี่สิบสี่ปี
ในหนึ่งวันสิ่งที่เขาทำคือการจ้องมองบางอย่างที่ไร้จุดหมายในผืนป่าหลังหมู่บ้าน เขารู้สึกเพียงว่าซักวัน…
เขาจะได้มีโอกาสออกจากที่แห่งนี้ เพราะที่นี่ไม่มีใครยอมคุยกับเขา
แต่ไม่แน่ว่าข้างนอกนั้น อาจมีซักคนที่อยากมีเขาเป็นเพื่อน
ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้พูดคุยกับใครแต่ก็ยังได้ยินเสียงพวกแวมไพร์ในหมู่บ้านพูดคุยกัน
เขามักจะลงมาเดินเล่นในหมู่บ้านบ่อยๆ จนกลายเป็นกิจวัตร ด้วยหูที่ดีกว่าแวมไพร์ตนอื่น
ขอเพียงเว้นระยะห่างไม่มากก็สามารถรับรู้ได้ว่าพวกแวมไพร์สื่อสารอะไรกัน
“กลุ่มแวมไพร์ฮันเตอร์งั้นรึ” แวมไพร์ตนหนึ่งเอ่ยกับแวมไพร์หนุ่มอีกคนที่มีสีหน้าไม่ดีนัก
แน่นอนว่าแวมไพร์ฮันเตอร์ตือมนุษย์ที่ปราบแวมไพร์โดยถูกคัดเลือกทางสายเลือด
“ใช่ เห็นว่าทางการจะบุกมาถึงถิ่นนี้ ข้าก็รีบเก็บข้าวของย้ายถิ่นฐานตั้งแต่วานซืนแล้ว
เดียวจะไม่ทันการ”
แวมไพร์อีกคนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“แล้วกุพชะกะ..สายเลือดบริสุทธิ์ละ… เขาคือตัวแทนขางสายเลือดกุพชะกะนะ” พอถึงตรงนี้แวมไพร์หนุ่มก็เอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ
“เจ้าไม่รู้หรือ ที่อันตรายที่สุดคือ เจ้านั่น
แหละ คิดว่าพวกเราจะขึ้นตรงกับเขาจริงๆนะหรอ
บ้าไปแล้ว….”
ขณะพูดแวมไพร์ทั้งคู่ก็เหลือบมองซ้ายขวาเหมือนระวังบางอย่างตลอดเวลา
เสียงกระซิบยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่เด็กน้อยยืนฟังอยู่เงียบๆ ในระยะที่พวกเขาไม่สามารถสังเกตเห็นได้
แต่แล้วเจ้าตัวก็มิได้สนใจอีกต่อไป
จนกระทั่งเริ่มสังเกตได้ว่าผู้คนรอบข้างแปลกไปจากเดิม แต่ละตนดูรีบร้อนผิดปกติ บางตนถึงกับหอบสิ่งของเครื่องใช้วิ่งกันชุลมุน
เป็นเช่นนี้แทบทุกตน
นัยน์ตาเด็กน้อยกระตุกวูบ สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีบางอย่างที่แปลกไปจากเดิม
รอบตัวเขานั้น ผู้คนเริ่มจางหายไปเรื่อยๆ
จนเจ้าตัวสังเกตเห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลัง ’เตรียมตัวหนีอะไรบางอย่าง ’เขาไม่รู้เพราะเหตุใด จะเกี่ยวกับที่แวมไพร์หนุ่มเมื่อตะกี้พูดกันหรือไม่
ตามปกติแล้วแวมไพร์จะไม่ย้ายถิ่นฐานกันง่ายๆ นอกเสียจากเกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นจริงๆ
เท่านั้น
เจ้าตัวยืนคิดอยู่นาน และเขารับรู้ได้ว่า..ในหมู่บ้านแห่งนี้กำลังจะไม่เหลือใครอีกแล้ว
ไม่มีอีกแล้ว .. แล้วเขาละ?
เขาไม่รู้จะทำเช่นไรกับเหตุการณ์เช่นนี้
เขาได้แต่ยืนมองแวมไพร์ตนอื่นที่เริ่มจางหายไปอย่างสงสัย วันนี้ช่างแปลกเสียจริง
ในรอบยี่สิบกว่าปีพึ่งเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก เขาได้แต่ปล่อยให้เวลาเลยผ่านไปอย่างนั้น
แวมไพร์หลายตนผ่านลำตัวเขาไป ตนแล้ว ตนเล่า บ้านไม้หลายหลังไม่มีใครอยู่อีกต่อไปทุกอย่างกำลังกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า
นัยน์ตาสีเลือดสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็น
มีบางอย่างบอกให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
เจ้าตัวคว้าแขนแวมไพร์สาวตนนึงที่กำลังเดินผ่านไป
เธอสะดุ้งเฮือกไปทั้งร่าง แวมไพร์สาวที่กำลังตกตะลึงพูดตระกุกตระกักด้วยความกลัว
“ท..ท่านกุพช..!! ท่าน ได้โปรดปล่อยข้าเถิด” นับเป็นภาพที่ตลกสำหรับคนธรรมดาที่จะเกรงกลัวเด็กตัวเล็กๆ
ได้ขนาดนี้
“พวกท่านไปไหนกันหรอ”เสียงเย็นยะเยือกปนเศร้าสร้อยออกมาจากปากบางสีแดงสด
ถือเป็นสิ่งที่หายากยิ่งที่กุพชะกะจะเอ่ยออกมา แต่ทำเอาแวมไพร์สาวเกร็งตัวจนขนลุก
“ข้า..พวกข้าอยุ่ที่นี่ไม่ได้แล้วพวกข้าต้องไป”แวมไพร์สาวพูดอย่างเกรงกลัวถือโอกาสพละแขนออกจากเด็กตรงหน้าแล้วค่อยๆ
เดินออกไปอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่ได้ตามมาจึงรีบหนีไป
..ทำไมต้องหนีเขาด้วยนะ แวมไพร์น้อยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
…แวมไพร์ตัวสุดท้ายหายไปจากหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว
เธอสลัดแขนเล็กๆ
ของเขาทิ้งแล้วรีบจากไป
ไม่มีโอกาสให้เขาสามารถได้ถามไถ่ให้หายสงสัย
ในเวลาไม่นานในหมู่บ้านนี้เหลือเพียงเขาคนเดียว เขาอยู่กับความเงียบที่แม้แต่เสียงลมพัดยังไม่ได้ยิน
อึดอัดจนรู้สึกหัวใจที่สั่นไหว
‘แล้วเราละ’
เขาสงสัยเหลือเกิน เขาจะทำอย่างไรดี? เขากลัวเกินกว่าจะกล้าออกจากที่แห่งนี้ ขาเล็กสั่นครอน เหมือนเขาสามารถล้มพับเสียตรงนั้น
เขาต้องอยู่คนเดียวไปตลอดกาลจริงๆ หรือ ? ได้โปรด… พาเขาออกไปด้วยได้ไหม
ปัจจุบัน
ติ๊งง ต๊องงง
เสียงออดมหาลัยดังก้องมายังห้องสมุด บริเวณนั้นไม่มีใครซักคนนอกจาก
ชเว ยองแจ
ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเงียบเชียบคนเดียวอย่างเป็นกิจวัตร
ในขณะที่มือเรียวกำลังเสียบหนังสือ
สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหน้าสีออกเทาแดงดูลึกลับหนังสือเล่มนั้นเรียกความสนใจจากยองแจได้เป็นอย่างดี
คิ้วได้รูปขมวดชิดกันด้วยความสงสัยพลางคิดในใจ
’หนังสืออะไรนะลายแปลกชะมัด
มีหนังสือแบบนี้ตรงโซนภาษาด้วยหรอ’
ยองแจหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาจากชั้นอย่างอยากรู้อยากเห็น
MARK หน้าปกถูกพิมพ์ด้วยตัวอักษรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่น่าแปลกที่เขาสามารถแปลมันได้ เหลือเชื่อว่าเขาไม่คุ้นภาษานี้จริงๆ … มันไม่ใช่ทั้งเกาหลีและอังกฤษ
เขารู้สึกพิศวงอย่างมาก ทำไมกันนะ ‘มาร์คหรอ?’
เจ้าตัวพลิกหนังสือไปมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
มือเรียวเปิดหน้าปกออกช้าๆ
“กุพชะ….”
“ยองแจ”
“ห้ะ”
พลั่ก
ในขณะที่กำลังอ่านบรรทัดแรก ยองแจดันเพลอทำหนังสือหลุดมือเพราะความตกใจ
ชายหนุ่มส่งตาขวางไปทางผู้มาเยือนอย่างเคืองๆ
“แกมีไรจินยอง?” ไม่ให้สุ่มให้เสียง จู่ๆ ก็โพล่มาแบบนี้ตกใจหมด
ชายหนุ่มร่างโปร่งพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มคาดโทษอีกคน “เราตามหานายซะทั่วมหาลัย!
ไปไหนมาไหนบอกกันบ้าง เปิดโทรศัพท์บ้างก็ดีนะ”
“ว่าแต่มีไร”
ยองแจไม่สนใจคำติของเพื่อนเลยซักนิด
จินยองส่ายหัวไปมาอย่างอดเอือมระอาไม่ได้ “วันนี้มีงานคณะนะ อย่าลืมว่านี่เลยเวลาคาบบ่ายแล้ว”
“งานอะไรอีก” ยองแจกล่าวอย่างสงสัยพลางก้มหยิบหนังสือข้างล่าง..ห้ะ..หนังสือ
??
หนังสือหายไปไหน ? มันตกตรงนี้นิ ยองแจถึงกับต้องนั่งลงไปคลำหาที่พื้น แต่ก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ
อะไรเนี่ย หนังสือมันหายไปเองเนี่ยนะ บ้าน่า…เขาจำได้ดีว่าเมื่อกี้มันตกลงข้างหน้าเขาเลยนะ
จินยองเง้อคอมองเพื่อนสนิท “นายหาอะไร?”
ยองแจทึ้งหัวตัวเองก่อนจะเริ่มโวยวายใส่อีกคนที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตก ”มันหายไปแล้ว โอ้ยยย เพราะนายเลย ”
“?”
ก่อน ค.ศ.
นัยน์ตาสีเลือดมองทอดยาวลึกเข้าไปในป่า
ต้นไม้ใหญ่แน่นหนาบวกกับท้องฟ้าสีเทา มันทำให้เขารู้สึกว่างเปล่ามากกว่าเดิม ที่แห่งนี้ไม่เหลือใครแล้ว
เขาลองคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เจ้าตัวอยากถามแวมไพร์สาวตนนั้นเสียเหลือเกิน
แต่คำนั้นกลับติดอยู่ที่ลำคอเสียดื้อๆ ’จะทิ้งเราใช่ไหม เราทำอะไรผิด ’ แวมไพร์น้อยเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งทำไมแวมไพร์ตนอื่นถึงไม่พูดคุยกับเราเลย เขาเริ่มตั้งคำถามแบบนี้ทุกวัน
แต่ทำไมถึงไม่เคยมีใครให้คำตอบเขาเลย…
แน่สิ
ไม่มีใครอยากเสวนากับเขาเลยซักตนเดียว
ตั้งแต่กำเนิดมา ไม่มีผู้ใดพูดคุยกับตนทำดั่งกับราเป็น ’ตัวประหลาด…’
ทำไมเขาต้องรู้สึกแปลกๆ บริเวณหน้าอกด้วยนะ
เขาไม่เข้าใจเลย ทุกวันนี้เขาก็เหมือนอยู่คนเดียวมาตลอดเพียงแค่คนในหมู่บ้านหายไปเท่านั้น
เพียงแค่ไม่ได้ยินเสียงเท่านั้นไม่มีอะไรมาก… แค่ไม่ได้ยินเสียงอะไรไปตลอดกาล…
ทว่า ..
สวบ สวบ
เสียงฝีเท้าหลายคู่ที่ไม่คุ้นเคยดังลอดเข้ามาในโสตประสาท ซึ้งไม่ใช่การเดินแบบแวมไพร์แน่นอนเจ้าตัวรู้ดี เสียงเดินดังมาจากทางป่าช้า มันใกล้เข้ามาทีละนิด
มือน้อยสั่นเกร็ง สัญชาตญาณบอกให้เขารับรู้ถึงความผิดปกติ สองขาค่อยๆ ออกแรงเดินถอยหลังไปทางป่าอย่างช้าๆ
และเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแวมไพร์ตัวเล็กต้องวิ่งสุดแรง
‘ ไม่คุ้นเลย ใครกันนะ’
ตั้งแต่เขาเกิดมายังไม่เคยมีคนนอกเข้ามาจนถึงตอนนี้…ใครกัน
ถึงแม้จะมีคนมาแต่เขากลับไม่รู้สึกดีแม้แต่นิด
หัวสมองเต็มไปด้วยความกลัวต่างๆ นาๆ
เจ้าตัวรีบหลบหลังพุ่มไม้ใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ลอบเฝ้าสังเกตการณ์กลุ่มผู้มาเยือน
เขาได้แต่สั่นระริกด้วยความกลัว ไม่มีความกล้าที่จะออกไปเผชิญหน้าไม่มีความกล้าแม้แต่จะหายใจ
อาการสั่นเทารุนแรงช่างขัดกับอัปกริยาที่ทุกคนเคยหวาดกลัวแวมไพร์น้อยตนนี้เสียจริง
“เหมือนจะหนีไปหมดแล้ว” เสียงไม่คุ้นหูดังเข้ามาในโสตประสาท เขารับรู้ได้ทันที…มนุษย์
เขาเคยได้ยินคนในหมู่บ้านพูดถึงสิ่งมีชีวิตนี้อยู่บ่อยครั้งและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับมนุษย์ตัวเป็นๆ
ผู้ร่วมทางรู้สึกผิดหวังเมื่อกวาดแววตาขมไปรอบๆ “ไม่เห็นมีเลยซักตัว"
“ข้าส่งคนไปดูที่ปราสาทแล้วแหละ”
“นี่ภารกิจเราล้มเหลวใช่ไหมเตรียมตัวกับเป็นปี
ข่าวดันรั่วไหลถึงหูเจ้าแวมไพร์จนได้!!.”ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบหันไปพูดกับผู้ร่วมทางอย่างหัวเสีย
คนที่สวมเครื่องแบบหรูกรามาที่สุดเอ่ยกับผู้ร่วทางทุกคน “เจ้าแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ละ
ที่มาก็เพราะสิ่งนี้นี่แหละ ไอพวกแวมไพร์ลูกผสมมันกลัวสายเลือดบริสุทธิ์
คงไม่พาไปด้วยให้กลัวตลอดชาติ
แถมข่าวกรองเราก็ส่งข่าวมาแล้วว่าสายเลือดบริสุทธิ์ยังอายุน้อยอยู่ ยังไงก็ต้อง ’ฆ่า’มันให้ได้ก่อนโต
ไม่อย่างนั้นคงเป็นภัยต่อพวกเรา”
ใช่แน่… ผู้มาเยือนคือมนุษย์ที่เป็นแวมไพร์ฮันเตอร์
เด็กน้อยไม่รุ้ว่าแวมไพร์ฮันเตอร์คืออะไรรู้เพียงว่าพวกเขาอันตรายมากๆ มีทางเดียวคือเขาต้องรีบออกไปจากตรงนี้โดยเร็ว
กร๊อบ แกร๊บ เท้าเล็กเผลอเหยียบเศษศากใบไม้แห้ง เรียกความสนใจจากแวมไพร์ฮันเตอร์ทุกนาย
กลัว...กุพชะกะคิด
ปิ๊ดดดด นกหวีดถูกเป่าจากปากแวมไพร์ฮันเตอร์เพื่อเรียกกำลังพลให้มารวมตัว ‘เราพบ แวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์แล้ว! นัยน์ตาสีเลือดคือสัญลักษณ์ที่ยืนยันว่าเด็กตนนั้นคือสายเลือดบริสุทธิ์โดยแท้จริง’
หนี..เขากำลังหนีสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์
เจ้าตัวไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือทำไม
รู้แค่ว่าเขาอยู่หมู่บ้านนั้นอีกต่อไปไม่ได้แล้ว สองเท้าน้อยไม่สามารถก้าวยาวได้ เพียงแค่วิ่งไปไม่กี่เมตรก็สะดุดขาตัวเองล้มดังตึง
ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือ ‘พวกนั้นบอกจะฆ่าเรา ….
เราจะตายหรอ เราจะตายโดยที่เรายังพูดกับคนอื่นเพียงประโยคเดียวอย่างนั้นหรอ’
ถึงแม้จะในเวลาขับขันแต่เขาก็ยังคิดคามขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเกิดมาทำไมกันนะ…?
เกิดมาเพื่ออะไร…?
จนกระทั่งต้องหยุดวามคิดนั้นเมื่อได้ยินเสียงมนุษย์ไม่ไกลจากตัวเขามากนัก
“คงต้อง ’กำจัดทิ้ง’ดูแล้วอายุเพียงแค่เจ็ดถึงแปดปีถ้าเทียบกับมนุษย์
เราต้องกำจัดมันตอนนี้แหละ”
คำพูดของเหล่ามนุษย์พวกนั้นทำให้นัยน์ตาสีเลือดกระตุกวูบ กุพชะกะเขม็งมองมนุษย์ตรงหน้าแทบทะลุ
หากแต่สมองไม่สามารถสั่งการอะไรนอกจากความสงสัยเต็มไปหมด
‘จะฆ่าเราหรอ ทำไมละ ทำไม’
แวมไพร์ตัวน้อยไม่ได้หนีอีกต่อไป
เขาหันไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่แวมไพร์ตนอื่นเรียกว่ามนุษย์
พวกเขามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระหายในการเข้นฆ่าแต่ก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัวไม่ต่างจากแวมไพร์ตนอื่นๆ
เช่นกัน
เขาเคยคิดว่าถึงแม้แวมไพร์ไม่อยากคุยกับเขา
บางทีสิ่งมีชีวิตข้างนอกหมูบ้านอาจจะอยากคุยกับเขาก็ได้ .. แต่เขารับรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงเท่านั้น
ปั๊กกกก ไม่รอให้เขาได้ทันคิดไปมากกว่านั้น กระบอกไม้ปลายดาบแหลมคมพุ่งมาจากมนุษย์ปักลึกตรงกลางลำตัวของแวมไพร์ohvp
‘เจ็บ’ ปั๊กก
ไม้แหลมคมหรือที่มนุษย์เรียกว่า ’ธนู’ อีกหลายสายพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว
แต่ความเจ็บกลับยิ่งทำให้เขาสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง ’พวกแวมไพร์ทิ้งเราทำไมแล้วมนุษย์ฆ่าเราทำไม’
เจ้าตัวได้เพียงแค่คิดแต่มิอาจปริปากพูดได้
ปากบางถูกแต่งแต้มด้วยน้ำเลือด แผลฉีกขาดเริ่มมีน้ำสีแดงสดไหลรินย้อมไปทั่วเรือนร่าง
ผิวขาวซีดตัดกับสีแดง ดุจกองเลือดบนผิวหิมะ
ความเจ็บที่ได้สัมผัสครั้งแรกมันช่างทรมาณ
…. มนุษย์น่ากลัว…. เขาคิด
หนึ่งในแวมไพร์ฮันเตอร์ที่เฝ้าสังเกตการณ์มานานเอ่ยขึ้นว่า “คงต้องเผาแล้วแหละ ไม่เช่นนั้นถ้า ’คลั่ง ’ขึ้นมาจะรับมือไม่ไหว”
“รีบๆ จัดการเถอะ”
สิ้นเสียงของพวกมนุษย์ ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบคนนึงนำไม้ติดไฟลุกโชนเดินตรงมาทางเขา
กลัว..มือน้อยขาวซีดเปื้อนเลือด เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะขยับเขยื้อน และรู้ดีว่าจะต้องเจออะไรต่อไป
ตาสีเลือดจ้องมองไปยังเปลวไฟสีส้มที่กำลังใกล้เข้ามา นัยน์ตาสีแดงของเขาสะท้อนภาพไฟสีส้มอมเหลือง
เขารู้ว่าไฟมันอันตรายต่อเขามากเพียงใด
แต่ทว่าความกลัวไม่อาจกลบความฉงนสงสัยของเขาได้ความสงสัยของเขามีมากกว่าหลายเท่าคำถามที่ว่า ’ทำไม’ ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท
“เราทำผิดอะไร” เสียงแหบพร่างพยายามเอื่อนเอ่ย แต่ปราศจากคำตอบใดๆ เขาจะพูดเบาเกินไปรึป่าวนะ
เปลวไฟที่รุกล้ำเข้ามา
ความร้อนที่แผร่มายังเขาทำเอาท้องไส้เริ่มปั่นป่วน ทั้งกลัว ทั้งแสบเจียนตายหยาดน้ำสีแดงไหลรินจากดวงตากลมโตแปะลงยังพื้นแฉะ
เนื้อตัวเขาคือหิมะที่ถูกกรบด้วยสีแดงฉาน
‘เราผิดอะไร..
ทำไมพวกท่านถึงไม่ตอบอะไรเราเลย เราผิดอะไร ทำไมต้องฆ่าเราด้วย’
นั่นคือความคิดสุดท้ายก่อนที่เขาจะควบคุมสติของตนเองไม่ได้
…………….
อากาศหนาวเย็นทำให้เปลือกตาขาวบางแต่งแต้มสีแดงที่หลับไหลลืมตาตื่น
ผิวขาวซีดตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีแดงหมดจด นัยน์ตาสีเลือดเหลือบสังเกตรอบๆ
แต่สิ่งเห็นตรงหน้าทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ภาพแวมไพร์ฮันเตอร์ที่คิดจะฆ่าเขานอนหมดสติจมกองเลือด
รอบตัวเขาไม่มีผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียวเหลือเพียงศพของคนที่คิดจะฆ่าเขาหลายคน
ขณะนั้นเองเจ้าตัวก็ก้มมองดูมือตัวเองที่มีเล็บแหลมคมซึ่งไม่รุ้ว่ามาได้อย่างไร บนลำตัวของเขาไม่มีไม้แหลมคมของพวกมนุษย์อีกแล้ว
แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
’ยังไม่ตาย’ เขาคิดได้เพียงเท่านี้ แล้วศพมากมายตรงหน้าเขาคืออะไร..สภาพศพเละเทะไม่มีชิ้นดี
เหมือนถูกฉีกขาดโดยของแหลมคมมากมาย ‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่’
ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอย สองเท้าค่อยๆลุ กขึ้น
เขาย่างผ่านศพของพวกมนุษย์เดินลึกเข้าไปในป่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ‘ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร’ ‘ไม่มีใครอ่านนัยน์ตาเขาออก’ แม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม
และไม่มีคำตอบใดๆ สำหรับศพแวมไพร์ฮันเตอร์เรียงรายที่ถูกทิ้งไว้ในป่าช้าแห่งนี้
แผนที่เดินทางถูกพับเก็บเข้ากระเป๋าติดชายกางเกงด้านข้างของชายหนุ่มนักเดินทาง
ด้วยอากาศที่ร้อนจัด ใบหน้าหล่อคมคลายแบบผู้ชายผิวสองสีถูกแต่งแต้มด้วยเหงื่อผุดพลายข้างๆ
แก้ม หากแต่ไม่ทำให้ความหล่อเขาลดลงแม้แต่นิด
“เหมือนจะมั่วทาง” ชายหนุ่มนักเดินทางหันไปพูดกับสาวสวยร่างบางที่ร่วมเดินทางด้วยกัน
หญิงสาวหันควับมาทางอีกคน “ข้าไม่สงสัยเลยทำไมอัศวินแบบเจ้าถึงไม่ได้เป็นแม่ทัพซักที”สาวร่างบางเอ็ดชายหนุ่มก่อนจะถือวิสาสะหยิบแผนที่ในกระเป๋ากางเกงของเขาออกมา
ชายหนุ่มไม่ถือโทษกาลเทศะอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติที่หญิงสาวจะทำแบบนั้น
“เมืองซีดง ”เสียงใสดังลอดออกมาจากปากกระชับได้รูปของหญิงสาว
คิ้วเรียวขมวดกันจนเป็นปม แม้แต่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจในแผนที่พวกนี้
ชายหนุ่มออกความเห็น “กลับที่พักก่อนไหม ใกล้ค่ำแล้ว ป่านนี้คนในกองทัพคงตามหาเรา” หญิงสาวก็ไม่ได้ขัดอะไร
เธอเห็นด้วยที่ว่าพวกเราออกจากที่พักมานานเกินไป
ขืนนานกว่านี้พวกพ้องคงต้องออกตามหาเป็นแน่
“ตามนั้น” กล่าวเสร็จหญิงสาวก็นำแผนที่ยัดใส่มือชายหนุ่มแล้วเดินจ้ำอ้าวไปทางเดิมพี่พวกเขาเดินมา
ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้นสายตาของหญิงสาวสะดุดกับบางอย่าง… สีแดงข้นเหมือนเลือด
“ซักครู่นะ ไปสำรวจอะไรซักหน่อย”เธอบอกเพื่อนร่วมทางที่เดินตามมา
ชายหนุ่มได้แต่ทำหน้าฉงน แต่ก็ไม่ได้กล่าวห้ามอะไร ปล่อยให้เธอเดินไปส่วนเขาได้แต่ยืนรออยู่ที่เดิม
“แจ็กสัน!” เสียงตะโกนเรียกชื่อเขาของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือก
ก่อนจะรีบวิ่งไปทางหญิงสาวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
‘ไม่อยากจะเชื่อ’ ภาพที่เห็นตรงหน้าเขาคือร่างเด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบปีนอนสลบอยู่บนพื้นดิน
ทั้งร่างของเด็กน้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
“จะทำอย่างไรดี” หญิงสาวหันมาถามชายหนุ่มด้านข้าง
แน่นอนว่าเด็กน้อยตรงหน้าเธอยังมีชีวิตสังเกตได้จากลมหายใจอ่อนๆ ที่รวยรด
สภาพใกล้จวนเจียนขึ้นทุกที เธอลนลานมากจนไม่รู้จะเริ่มยังไง ได้แต่ภาวนา ’หวังว่ายังไม่ตายนะ’
แจ็กสันตกใจไม่แพ้กัน “รีบพากลับที่พักเถอะ!” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กน้อย เขาค่อยๆ ช้อนร่างเล็กขึ้นมาบนสองแขนช้าๆ
จนเขามรถอุ้มเด็กน้อยได้อย่างพอดีมือ
‘เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ได้นะ ทำไมถึงมานอนเปื้อนเลือดอยู่ตรงนี้ได้‘เขาคิด แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาพอให้คิดอะไรมากกว่าทั้งนั้น เขารู้แค่ว่าต้องรีบช่วยเด็กคนนี้ให้ได้เสียก่อน
………
‘ทำไมที่นี่มืดจังเลย
‘มีใครอยู่ไหม….’
รอบตัวเขาเหมือนไม่มีใครอยู่เลย ทำไมทุกอย่างถึงดูมืดสนิทอย่างนี้
ทุกอย่างเป็นสีดำไปหมด ‘ทำไมกันนะ’ จะว่าตาบอดก็ไม่ใช่แน่เพราะเขาเห็นมือที่ขาวซีดของตัวเองเห็นหยดน้ำสีแดงที่เปรอะเปื้อนลำตัวเขา
‘เราอยู่คนดียว ในสถานที่ที่มืดมิด’
ผมยาวประบ่าเปรื้อนเลือดที่แห้งกร้านกลิ่วคาวฟุ้งจนเขาอยากจะอาเจียน
เขาเอามือทั้งสองข้างปิดใบหน้าตัวเองซุกลงกอดเข่าเหมือนคนหมดความหมายในชีวิต
‘เหมือนโลกทั้งใบของเขามีเพียงอากาศกับความมืด
ความสับสนคละเคล้ากับความเงียบสนิทหยดน้ำสีแดงไหลออกมาจากเบ้าตา
จนกระทั่งเขาสะอึกสะอื้นออกมา
‘ฮึก…ฮึก’
จู่ๆเสียงไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นในความมืด
เจ้าก็แค่สิ่งของไร้ค่า
มีแต่คนอยากทิ้งเจ้า อยากกำจัดเจ้า ไร้ค่า ไร้ค่าสุดๆ
“ท่านคือใคร ท่านคุยกับเราหรอ” เขาเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามอย่างมีความหวัง
ข้าเป็นใครไม่สำคัญ
อย่างน้อยข้าก็มีประโยชน์กว่าเจ้า ~~ เป็นแวมไพร์ก็งี้ละ ไร้ค่า มีแต่คนเกลียดเจ้า จำไว้!
‘ไร้ค่า?’ เสียงแผ่วเบาดังลอดมาจากปากบางสีแดง
ไร้ค่า..?
‘ท่านหมายความว่าอะไร’
เขาพยายามถามซ้ำไปมา ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่มีใครตอบคำถามเขา
จนเจ้าตัวเริ่มใจเสีย เขาอยู่คนเดียวอีกแล้วหรอ
‘ไม่เอานะ..’
‘ไม่ชอบแบบนี้เลย’
‘ไม่เอา..’
‘ไม่!!!’
“เป็นอะไรรึป่าว!” เสียงผู้หญิงตะโกนโหวกเหวกดังลอดเข้ามาในประสาทหู
ทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ ก่อนที่จะพบว่าเขานอนอยู่ในที่ไม่คุ้นตามาก่อน
เฮือกก!! เขาตกใจถอยหลังหนีจนสุดพนังห้องเมื่อพบว่ามีมนุษย์อยู่ตรงหน้าเขา
‘มนุษย์..มนุษย์เคยคิดจะฆ่าเขา’ การพบมนุษย์อีกครั้งทำให้เขาหวาดกลัว เขามองมนุษย์เพศหญิงตรงหน้าด้วยแววตาที่ไม่ไว้วางใจ
“ดีใจที่เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าเป็นยังไงบ้าง”หญิงสาวถามก่อนจะเอื้อมมือมาหาเขาเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกายของเด็กน้อยตรงหน้า
ทว่าเขากลับรีบถอยหนีไปอีก
ตัวน้อยๆ สั่นเทาอย่างรุนแรง
นัยน์ตาสีเลือดจ้องมองหญิงสาวตรงหน้ารอดูว่าเธอจะทำอย่างไรกับเขาต่อ ‘จะเอาไม้แหลมๆ มาแทงเขารึป่าวนะ’ มีแต่ความหวาดหวั่นวนเวียนในหัวเขา
หญิงสาวเห็นท่าทีของเด็กน้อยก็อดสงสารไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้กันแน่นะ “เอ๋? เด็กน้อยไม่ต้องกลัวนะ พี่ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เด็กไร้เดียงสาตรงหน้าเธอดูอ่อนต่อโลกอย่างเห็นได้ชัด
“นอกจากจะสวยแล้วพี่ยังใจดีอีกนะ”เธอชีกยิ้มจนตาหยี้ แอบขำกับคำพูดบ้าๆ ที่กล้าเอ่ยออกไปของตัวเอง
หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มเมื่อกี้ทำให้เด็กมองเธอตาโตอย่างไม่คาดสายตา
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกผ่อนคลาย ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนพวกมนุษย์ก่อนหน้านี้มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ปากยกขึ้นเมื่อกี้ .. เขาพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ทำไมมันทำให้เขารู้สึกวางใจจนน่าประหลาด
หญิงสาวรับรู้ได้ว่าถูกเด็กจ้องมองอยู่เนิ่นนาน
จนสงสัยว่ามีอะไรติดหน้าเธอรึป่าว
“เจ้าคุยกับเราหรอ” เขาเอ่ยถามคนแปลกหน้าด้วยความสงสัย เขาไม่ได้หวังคำตอบมากนัก
จะไม่แปลกใจเลยหากอีกคนไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาให้เขาได้ยิน
แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจอีกคร่า หญิงตรงหน้าอมยิ้มเล็กน้อย
“ใช่สิ ในนี้มีแค่เจ้ากับพี่สองคนเองนะ” หญิงสาวพูดพลางทำมือนิ้วชี้สองข้างเข้าหากัน
การกระทำของเธอทำให้กุพชะกะมีความรู้สึกแปลกใหม่
พึ่งจะมีคนคุยกับเขาอย่างจริงจัง และใช้ท่าทีแบบนี้
“แอนนา เจ้าหนูเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงชายหนุ่มรอดเข้ามาจากประตูทางเข้า
“อ่า ไม่ต้องกลัวนะเด็กน้อย ถึงพี่ชายคนนี้จะหน้าโหดแต่ปัญญาอ่อนมาก”แอนนาพูดติดตลกเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยตรงหน้าเธอกลัวชายหนุ่มจนหัวหดพร้อมกับหัวเราะคิกคักเมื่อได้แกล้งผู้มาเยือน
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “เธอว่าอะไรนะ”
“ป่าวนะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ชายหนุ่มมองเธออย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร
ตอนนี้เขาสนใจเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเสียมากกว่า
ชายหนุ่มมองเด็กน้อยที่พึ่งอยหลังจนชิดติดผนังก็อดสงสารไม่ได้ ร่างกายขาวซีดบอบบาง
แต่แล้วก็ต้องสะดุดเข้ากับดวงตาคู่สวยนั่น
“..นัยน์ตาสีแดง”
“ใช่เลย สีแปลกใช่ไหมละ”แอนนาเสริม
“นี่มัน….ชนเผ่าอะไรไม่เคยเห็นมาก่อน สงสัยเจ้าหนูหลงมาจากแดนไกลแน่ๆ”
เด็กน้อยไม่รู้ว่าพวกเขาพูดถึงอะไรกัน แต่ตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตั้งแต่ที่เขาเกิดมาตลอดยี่สิบสี่ปี เขาพึ่งเคยพบมนุษย์ที่มีลักษณะแบบนี้
มนุษย์ที่พูดคุยกันอย่างผ่อนคล้าย พูดด้วยการใช้มุมปายกยิ้มขึ้น
อยากคุยด้วยเหลือเกิน…
“เจ้าชื่ออะไรเด็กน้อย”ราวกับพระเจ้าได้ยินเสียงคำขอในใจ แจ็กสันหันมาพูดกับเด็กน้อยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
กุพชะกะกระพริบตาปริบๆ
เด็กน้อยเอ่ยกล้าๆ กลัวๆ “ชื่อ..ชื่อคืออะไร”
คำถามของเขาทำให้แจ็กสันกับแอนนามองหน้ากันเลิกลั่ก
แจ็กสันตอบกลับพร้อมอธิบายอย่างละเอียด “ชื่อใช้เรียกแทนตัวเองไง เช่นพี่ชื่อแจ็กสัน ส่วนพี่สาวคนนี้ชื่อแอนนา เวลาเรียกพี่ก็” เขาคิดว่าเด็กคนนี้คงเกิดมาในชนเผ่าที่ไม่นิยมเรียกชื่อแน่ๆ
แวมไพร์น้อยนิ่งเงียบอยู่นาน
จนกระทั่งปากบางเอ่ยเสียงเบาแงไปด้วยความหม่นหมอง “เราไม่มีชื่อ”
แต่มักจะมีแวมไพร์ในหมู่บ้านที่เรียกเขาว่ากุพชะกะ
แต่หากเขาบอกไปเขาคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้.. พี่ชาย พี่สาวคงไม่คุยกับเขาอีกต่อไป… สัญชาติญาณกำลังบอกเขาแบบนั้น
“อ่า” แจ็กร้องอ่ออย่างเข้าใจ เด็กคนนี้ต้องลืมชื่อตัวเองแน่ๆ
ถ้าอย่างนั้น เพื่อความสะดวกเขาขอตั้งชื่อใหม่ให้เลยละกัน
“ในเมื่อเจ้าไม่มีชื่อ เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า…”
TALK
แต่งฆ่าเวลารอเรื่องเก่าคิดออกค่ะ TT โทษน้า
ขอแต่งเรื่องนี้ไปพลางเรื่องเก่าไ่ม่ทิ้งแน่นอนจร้า
ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง Black flower จร้า อาจจะคล้าย
แต่ไม่เหมือนทั้งหมดเนอะ
ความคิดเห็น