คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3
บทที่ 3 Smile
“เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘ลู่หาน’ชื่อเดียวกับป่าที่พวกเราพบเจ้า” ไคยิ้มก่อนจะเอามือหนาลูบผมลู่หานอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยสะดุ้งโหยงเกือบจะถอยหนีหากไม่ใช่ว่าสัมผัสนั้นมันอบอุ่นจริงๆ
“ชื่อลู่หานก็ดีนะ พวกข้ารียกเจ้าว่าลู่หานละกัน”เอมม่าพูดด้วยรอยยิ้ม
เป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ‘ลู่หาน’ คือ ‘ชื่อ’ พวกเขาเรียกกุพชะกะว่า ลู่หาน
ทำไมลู่หานถึงคิดว่าชื่อนี้ถึงได้ไพเพาะกว่า ‘กุพชะกะ’นะ
‘ลู่หาน’
………….
ช่วงบ่ายเป็นเวลาที่กองทัพต่างฝึกฝนรวมทั้งหัวหน้าหน่วยเช่นไคและเอมม่าที่ต้องเข้าร่วมประชุมกับกองทัพ แต่เอมม่าไม่อาจทิ้งเด็กน้อยหลงทางไวคนเดียวได้แต่ก็ทิ้งการประชุมไปไม่ได้ยิ่งเป็นหัวหน้าหน่วยอย่างเธอแล้วด้วย แต่ยังมีอีกคนนึงที่พอช่วยเธอได้
“ซิ่วหมิน เจ้าอยู่นี่เอง” หญิงสาวตรงไปหาเป้าหมายโดยพลันยิ้มยกอย่างมีเลสนัยให้เด็กหนุ่มหน้าตาดีวัย 16 ปีที่นั่งอ่านตำราศาสตราอย่างตั้งใจ
“พี่เอมม่า จะให้ข้าช่วยอะไร”ซิ่วหมินมองหญิงสาวตรงหน้าคิ้วหนาขมวดเข้าหากัน พี่เอมม่ามาหาเขาถึงที่คงต้องใช้ให้ช่วยงาน เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ๆ
“รู้งานแฮะ ช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนลู่หานได้ไหม”
“ลู่หาน” ?
………….
ถ้าไม่ติดว่าพี่เอมม่าเป็นพี่สาวที่คอยช่วยเหลือเขาตั้งแต่ยังเล็กๆงานอยู่เป็นเพื่อนเด็กเขาคงไม่อยากรับหรอกนะ ยิ่งเป็นเด็กหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพอย่างซิ่วหมินแล้วด้วย
แอ๊ด ซิ่วหมินเปิดประตูอย่างเบามือสายตาเหลือบมองเด็กน้อยที่หลับใหลอยู่ในห้อง’นี่นะหรอเด็กหลงทางที่พี่เอมม่าบอกไว้ ขาวซีดเชียว’ ซิ่วหมินเดินเข้าไปที่เตียงอย่างเบาเสียง เขาหยุดอยุ่ข้างเตียงไม้มองลู่หานที่หลับอยู่ซักพักก่อนจะหย่อนตัวลงข้างเตียงแต่การกระทำของเขาทำให้เด็กน้อยลู่หานตกใจตื่น ตาสีแดงฉาดเบิกกว้างเมื่อพบผู้มาเยือน บุคคลที่ไม่คุ้นหน้าทำให้ลู่หานเกร็งตัวแข็งความกลัวเริ่มเข้าครอบครุม
“ข้าชื่อซิ่วหมิน พี่เอมม่าให้มาดูแลเจ้า”ซิ่วหมินตอบก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย
เมื่อลู่หานเห็นรอยยิ้มนั่น เขารู้สึกโล่งใจสัญชาตญาณบอกเขาว่าคนๆนี้ไม่ใช่คนที่จะทำร้ายเขาอย่างแน่นอน ซิ่วหมินคล้ายไคกับเอมม่า ลู่หานคิด
“ออกไปข้างนอกกัน อยู่ในนี้น่าเบื่อใช่ไหม” ไม่รอให้ลู่หานตอบซิ่วหมินก็จัดการดึงมือลู่หานให้ลุกขึ้นมาด้วยกันแต่ลู่หานกลับขัดขืดไว้สุดแรง
“ไม่..”ลู่หานตอบเสียงแผ่วหดมือกลับและเริ่มถอยหนี เขาไม่มีทางออกไปข้างนอกนั่นเด็ดขาด ข้างนอกนั่นโหดร้าย
“เฮ้ๆ ออกไปกันเถอะ นี่ก็บ่ายแล้วนะอากาศกำลังดี”
เด็กหนุ่มไม่ยอมแพ้เขายื้อลู่หานไว้ ก็เขาอยากออกไปอ่านหนังสือข้างนอก อีกอย่างเขาไม่ชอบการอยู่เป็นเพื่อนเด็กเล้กในห้องแคบๆ น่าพาไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้างจะได้แข็งแรง
“อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวแสงแดด”ซิ่วหมินพูดขำๆ
“แสงแดด?”ลู่หานเอ่ยอย่างฉงน
“ก็แสงแดดไง ตัวเจ้าขาวซีดไปนะไม่ชอบออกจากบ้านนี่เอง อ่า ไปเถอะข้าจะเอาหนังสือไปอ่านให้ฟังเอาไหม”เด็กหนุ่มเริ่มหลอกล่อ
“หนังสือ..?”
“นี่ไงๆ เล่มนี้สนุกมากเลย ไม่อยากฟังหรอ ถ้าอยากก็ออกไปกันเถอะ”
พูดไม่พอ ซิ่วหมินก็ดึงมือลู่หานอีกครั้ง
“อ่านหนังสือ ..?”
โป๊ะ เช้ะ!..ลู่หานเริ่มคล้อยตามซิ่วหมินแล้ว
“เจ้าจะอ่านหนังสือ..ให้ข้าฟัง?”
“อ่านแน่นอนถ้าเจ้าออกไปข้างนอกกับข้า”ซิ่วหมินยกหนังสือเล่มบางที่ติดมือมา โบกไปมาหน้าลู่หาน ลู่หานดูถ้าจะชอบมันด้วยสิมองตาไม่กระพริบเลย ในยุคนี้หนังสือถือเป็นสิ่งที่หายากมากเพราะไม่มีใครนิยมเรียนการเขียนการอ่านยกเว้นเด็กหนุ่มที่ชอบอ่านจนเป็นชีวิตจิตใจ
“เช่นนั้นไปกันเถอะ”
ลู่หานไม่พูดอะไรได้แต่มองหนังสืออย่างสนใจทำเอาซิ่วหมินยกยิ้มปากแทบฉีก ก่อนจะถือโอกาสดึงลู่หานให้ออกจากห้องซึ่งลู่หานไม่ทันตั้งตัว
ในที่สุดซิ่วหมินก็ทำสำเร็จพาเด็กน้อยออกจากห้องจนได้ ซิ่วหมินเบื่อที่แคบๆในห้องนั่นที่สุด
ความรู้สึกของลู่หานเหมือนเขาเกิดใหม่หลังจากออกจากบ้านนั้นไม่กี่ก้าว แสงแดดยามบ่ายแย้งตาลู่หาน มันจร้ามากๆจร้าอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนสิ่งแรกที่เขาทำหลังออกมาคือยืนมองท้องฟ้าสีคราม ‘มันช่างกว้างขวาง’แสงแดดทำให้ลู่หานมึนหัวเล็กน้อย อาจเป็นเพราะไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน ‘นี่คือที่ไหนกันแน่นะ ทำไมมันอบอุ่นจัง.. ต่างจากหมู่บ้านที่เขาจากมา ที่นั่นเย็นเกินไป”
“จะยืนมองฟ้าอีกนานไหม ทำอย่างกับไม่เคยเห็น”ซิ่วหมินหยอกล้อพร้อมกับจูงมือลู่หานให้ไปกับเขา ซึ่งซิ่วหมินไม่ได้ยินคำที่ลู่หานตอบ
‘ไม่เคยเห็น..แสงแดดเป็นอย่างนี้หรอ’
การจูงมือของคนแปลกหน้าที่พบกับลู่หานได้ไม่นานแต่มันกลับทำให้ลู่หานไม่อยากปล่อยไม่รู้ทำไมแต่ลู่หานไม่อยากขัดขืนเลย อยากปล่อยให้จับไว้อย่างนั้น ‘คงเป็นเพราะรอยยิ้มนั่น…สวยเหลือเกิน’ดูเหมือนลู่หานจะติดใจรอยยิ้มของมนุษย์เสียแล้ว
เด็กน้อยได้แต่สนใจมนุษย์ จนลืมว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร
ซิ่วหมินพาเด็กน้อยลู่หานมายังต้นไม้ใหญ่ในหมู่บ้าน รอบๆบริเวณนี้เต้มไปด้วยผืนหญ้าเขียวขจี ถัดไปอีกมีสวนกุหลาบแดงที่ตรงนี้เหมาะแก่การเดินเล่นและโดยเฉพาะการอ่านหนังสือ แต่วันนี้ไม่ใช่วันหยุดที่ตรงนี้จึงมีแค่ซิ่วหมินกับลู่หานเพียงสองคน
“ลู่หาน”เสียงวิ่วหมินเรียกสติจากเด็กน้อยตรงหน้าที่ตอนแรกเหม่อมองดอกกุหลาบแดงในสวน
“เรียกข้าหรอ”เด็กน้อยถามอย่างไม่มั่นใจ
“ถ้าไม่เรียกเจ้าแล้วจะให้เรียกปีศาจแถวไหน”ทำไมลู่หานชอบถามอะไรแปลกอยู่เลย
ทั้งสองคนนั่งลงตรงผืนหญ้าใต้ต้นไม้ ลู่หานมองหนังสือเล่มบางที่เด็กหนุ่มถืออย่างไม่วางตา เหมือนวิ่วหมินจะรู้ว่าถูกจ้องมองจากเด็กน้องก็อดยิ้มไม่ได้ซักพักเขาก็เริ่มอ่านหนังสือให้ลู่หานฟัง
ระหว่างที่ซิ่วหมินกำลังอ่านอย่างตั้งใจลู่หานก็ฟังอย่างใจจดใจจ่อ ในขณะที่ฟังซิ่วหมินอ่านหนังสือลู่หานก็เกิดความรู้สึกแปลกใหม่อีกครั้ง ‘ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าดีใจใช่ไหมนะ’
จู่ๆความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเด็กน้อย ‘อยากเป็นมนุษย์’ มนุษย์ไม่ใช่คนที่โหดร้ายเพราะมนุษย์ไม่ใช่แวมไพร์ฮันเตอร์
‘เขาขอมากไปไหมนะ’
เวลา 24 ปีที่เขาอยู่ในปราสาทเขาจดจำอะไรไม่ได้เลยแต่การยิ้มของมนุษย์ในเวลาไม่กี่วินาทีเขาจดจำมันได้ดี
…………….
“พี่เอมม่า สวัสดีตอนเย็น”
เอมม่าหันไปตามเสียงของเด็กหนุ่มซิ่วหมินที่โบกมือทักทายและมองถัดไปยังลู่หานที่จับมือซิ่วหมินอยู่ข้างๆก็ยกยิ้มออกมา เอมม่าเริ่มรู้ว่าลู่หานชอบรอยยิ้มมากที่สุด
“รบกวนด้วยนะหมินที่ต้องเป็นเพื่อนลู่หาน”
“ลู่หานเป็นเด็กดีนะ”เพราะไม่ว่าซิ่วหมินจะทำอะไรลู่หานก็จะสนใจไปซะทุกเรื่องว่านอนสอนง่ายที่สุดแต่ติดเพียงแค่เย็นชาไปนิด ใบหน้าลู่หานไม่เคยยิ้มเลย
“เย็นนี้มีเนื้อย่างแล้วก็ซุปเห็ดด้วยละ ที่ป่าโนเซนต์ พวกเราตั้งแคมป์กันตรงนั้น”
“พี่พูดจริงหรอ ข้าชอบเนื้อย่าง”ซิ่วหมินเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ทำให้ลู่หานอารมณ์ดีไปด้วยถึงแม้ใบหน้าของลู่หานยังคงนิ่งงันก็ตาม
“ไปหาไคที่ป่าโรเซนต์กันเถอะลู่หาน”ซิ่วหมินออกความเห็นไปทางลู่หาน เด็กน้อยก็ได้แต่พยักหน้าอย่างพาซื่อแต่ซิ่วหมินไม่สนว่าลู่หานจะว่ายังไงก็ลากตัวเขาออกไปทันที
เอมม่ามองการกระทำของพวกเด็กๆก่อนจะส่ายหัวด้วยความขบขัน
‘ลู่หานหลงมาจากถิ่นไหนกันแน่นะ’เอมม่าคิด
“ลู่หานก็มาด้วยหรอ”ไคสังเกตเห็นลู่หานที่เดินตามซิ่วหมินมาก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี
ช่วงเวลาพระอาทิตย์กำลังตกดินป่าโรเซนต์ไม่ใช่ป่าทึบแต่เป็นป่าโปร่งที่มีดอกกุหลาบโรเซนต์แซมไปทั่วป่า ต้นไม้ใหย่ร่มเย็นซึ่งพวกเขาตั้งแคมป์กันแถวลำธาร
ซิ่วหมินพาลู่หานนั่งตรงขอนไม้หน้ากองไฟ ซิ่วหมินรอกินเนื้อย่าง ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสจัดแคมป์กันง่ายๆเขาชอบกินเป็นที่สุดเพราะเขากำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต
เวลานั้นเอมม่าก็พึ่งมาถึงพอดีกลายเป็นว่ารอบกองไฟนี้มีอยุ่สี่คนคือ ไค เอมม่า ซิ่วหมินและลู่หาน
“อ่ะนี่ของลู่หาน ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้านอกจากน้ำนี่นา” เอมม่าส่งถ้วยซุบเห็นให้ลู่หานแต่ลู่หานกลับมองซุปเห็ดอย่างสงสัย ‘มันคืออะไร’ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดเหมือนมนุษย์จะกินเจ้าสิ่งนี้แต่เขาเป็นกุพชะกะ กุพชะกะไม่จำเป็นต้องรับประทานอะไรตั้งสิ้น
“ไม่ชอบซุปเห็ดหรอ”พอเห็นเอมม่าทำหน้าเศร้าลู่หานก็รีบส่ายหัวไปมาพร้อมกับแบมือรับถ้วยซุปจากเอมม่า เอมม่าเห็นอย่างนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
ลู่หานมองอยู่นาจนกระทั่งตัดสินใจกินซุปเห็ด ‘จืดจัง..อาหารมนุษย์จืดมาก’
“อร่อยไหมลู่หาน”เนื่องจากอาหารไม่จำเป็นต้องทานอาหารอยู่แล้ว แต่พอไคถามอย่างนั้นจึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเห็นอย่างนั้นไคจึงยิ้มออกมาเอมม่าก็ด้วย ซิ่วหมินก็มองเขาแล้วอมยิ้มนิดๆ
เพียงแค่เขากินสิ่งนี้ก็ได้รอยยิ้มนั่นแล้วหรอ …ดีจัง
“เอาอีกไหม” ลู่หานพยักหน้า รับถ้วยซุปมาดื่มอีกครั้ง ‘จืดก็จริง..แต่มันอร่อยมาก..ทำไมนะ’หรือเพราะรอบยิ้มของพวกเขากันนะ
“กินเก่งชะมัด”ซิ่วหมินแหย่ขำๆ แต่มันทำให้ลุ่หานรู้สึกดีใจ เขากับลังอยู่กับเพื่อนมนุษย์ที่สนใจเขาและพวกเขาก็มองลู่หานมีตัวตนจริงๆเขาไม่ใช่กุพชะกะ แต่เขาคือลู่หาน
หนังท้องตึงหนังตาหย่อนแต่ค่ำคืนนี้ไม่จบง่ายๆด้วยการนอน แคมป์อื่นต่างเฮฮาตั้งวงดื่มของมึนเมาตามแบบฉบับนักรบที่ยังหนุ่มยังแน่น แต่แคมป์นี้มีเด็กตั้งสองคนแนะเหมือนแคมป์ครอบครัวเลยแฮะ ไคเริ่มต้นบทสนทนา
“ถ้าผ่านภารกิจนี้ไปได้ เอมม่า วิ่วหมิน เจ้าจะรับภารกิจต่อไหม”เนื่องจากเอมม่า ไค และซิ่วหมินเป็นบุคคลในหน่วยกองทัพมักจะรับภารกิจจากแม่ทัพวังหลวงแต่เมื่อจบภารกิจก็จะเริ่มฝึกฝนเพื่อภารกิจต่อไป
“ข้าประจำหน่วยฮิล(รักษา) ไม่ใช่อัศวินเช่นพวกพี่ข้าต้องกลับไปฝึกฝนอีกเป็นปี”ซิ่วหมินกล่าว
“อ่า ข้าไม่เอาแล้วแหละข้าจะไปเลื่อนยศที่เมืองหลวง”เอมม่าเสริม
“ภารกิจคืออะไร”เสียงเล้กของลู่หานเรียกความสนใจจากคนทั้งวงได้เป็นอย่างดี
ไคยิ้มน้อยๆก่อนตอบ
“ภารกิจคือบางสิ่งที่พวกข้าต้องทำให้สำเร็จ ครั้งนี้ที่พี่มาที่นี่ก็เพื่อทำภารกิจเกี่ยวกับกลุ่มโจรกบฏ ดังนั้นพวกข้าต้องจับตัวหัวหน้าพวกมันมาให้ได้ ถ้าทำสำเร็จก็เรียกว่าเสร็จภารกิจ แล้วก็กลับเมืองหลวงเพื่อแจ้งว่าเสร็จภารกิจแล้ว”
“ถ้าทำภารกิจเสร็จ ก็ต้องออกไปจากที่นี่หรอ” ลู่หานถามเพื่อความแน่ใจเขาไม่ต้องการให้พวกเขาจากไป ลุ่หานจะขออยุ่กับพวกเขาได้ไหม
“อ่า ใช่แล้วแหละ แต่คงไม่สำเร็จง่ายหรอกนะ”
“จะทิ้งข้าไปใช่ไหม” ทิ้งเขาเหมือนพวกแวมไพร์ในหมุ่บ้าน..ลู่หานถามเสียงสั่น
คำถามของลู่หานทำให้ทั้งสามคนตกใจไม่น้อย
“ไม่ใช่ซะหน่อย เราจะทิ้งเจ้าทำไมละ”ซิ่วหมินรีบตอบกลัวลู่หานเข้าใจผิด
“ไม่ทิ้งข้าจริงๆหรอ”
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะมาจากไหนไม่รุ้นะ แต่เด้กน้อยไร้เดียงสาตัวคนเดียวจะทิ้งลงได้ยังไง พวกเราทิ้งเจ้าไม่ลงหรอก”ซิ่วหมินอธิบายไคกับเอมม่าก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทิ้งข้าไว้…”
“แน่นอน”
O_Oสายตาทั้งสามเบิกโตเมื่อพบสิ่งที่ไม่คาดคิดตรงหน้า ลู่หานกำลังยิ้ม!! ยิ้มครั้งแรก รอยยิ้มของลู่หานน่ารักสุดๆน่ารักกว่าการทำหน้าเย็นชาที่ลู่หานทำตอนแรกๆ เหมือนเด็กน้อยจะไม่รู้ตัวเขามองทั้งสามคนที่จ้องเขาอย่างงงๆ ทำเอาทั้งสามคนหันมายิ้มให้กันอย่างรู้งาน
การสนทนายังคงดำเนินต่อไป แต่พอดึกเข้าเหมือนล่หานจะง่วงซิ่วหมินจึงอาสาอุ้มเด็กน้อยเข้ากระโจมวางเด็กน้อยลงกับที่นอนอย่างเบามือก่อนตัวเองจะนอนลงข้างๆลู่หานความง่วงทำให้ทั้งสองเริ่มหลับตาพริมรอเช้าวันใหม่
‘สัญญาแล้วนะว่าจะไม่ทิ้งลู่หาน’ลู่หานคิดและยิ้มกับมันทั้งคืน
“ไค นายคิดว่าลู่หานหลงมาจากไหน ที่เราพบเขาตอนแรกมันน่ากลัวมากจริงๆ”เมื่อพบว่าลู่หานกับซิ่วหมินหลับไปแล้วเอมม่าก็เริ่มตั้งคำถามที่คาใจ
“ข้าคิดว่าอาจจะถูกสัตว์ป่าทำร้าย ตามที่ข้าคิด “ตั้งแต่วันที่พวกเขาเจอลู่หาน เขาใช้เวลานอนหลับเป็นอาทิตย์แต่บาดแพลหายไวมากซึ่งพวกเขาไม่ได้เอ๊ะใจในเรื่องนี้
“แต่เราต้องลูแลเขานะ”ไคเสริม
“แน่นอน! ลู่หานน่ารักมากๆเลยนะ”เอมม่าว่าพลางเก็บของเข้ากระโจมเตรียมตัวสำหรับการพักผ่อนในคืนนี้
....
TBC
ปมในโลกปัจจุบันต้องอดทนไว้เลยคะเพราะอีกนานมาก
ยังไม่ถึงฉากสำคัญในยุดนี้เลยคะ นานสมควร
เรื่องนี้ยาวมากคะ อยากให้ผู้อ่านติดตามไปเรื่อยๆนะคะ
ขอบคุณที่อ่านจร้า : )
คนไหนเมนลู่หานอดีตจะเป็นตัวหลัดเลยคะแต่อนาคตจะแพลนตัวหลักไปทางหมินนะคะ
ว่าแต่ไรท์เตอร์ให้บทลู่หมินในอดีตง่ายไปไหมหว่า เนื้อหาดูรัดๆนะเนี่ย
ไรท์เตอร์เมนซิ่วหมินนะคะเนี่ย :D
ความคิดเห็น