คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : AGASE : บทที่ 2
บทที่ 2 IMPOSSIBLE LOVE
อิม แจบอม : คิดไว้แล้วแหละ เขาต้องกลับมา
แบมแบม : ย่าส์… บ้าบอชะมัด ทั้ง ๆ ที่นายอยู่เฉยๆ แล้วแท้ๆ
อิม แจบอม : ต้องการอะไรอีก เงินหรอ?... ผมไม่มีหรอกนะ
แบมแบม : เฮ้ย.. เรื่องนี้ฉันจัดการเองได้น่า กี่ล้านก็บอกกันตรงๆ ได้เลย
อิม แจบอม : …
นาฬิกาข้อมือเรือนหรูถูกยกขึ้นมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากชายหนุ่มผมทองสว่าง แบมแบมที่กำลังรอเพื่อนสนิทอยู่หน้าประตูรั้วบ้านถึงกับต้องถอนหายใจเพราะความล่าช้าของบุคคลข้างใน เขาลอบมองนาฬิกาตลอดเวลาตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว ทั้งๆที่เขาก็บอกไปแล้วแท้ๆ ว่าวันนี้มีประชุมใหญ่ภายในคณะ
ด้วยความที่อดไม่อยู่ ชายหนุ่มจึงถือวิสาสะตะโกนรอดรั้วเสียงดัง“นี่!… ถ้านายยังไม่ออกมาฉันจะบุกเข้าไปแล้วนะ!” ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไร้เสียงตอบรับจากบุคคลข้างใน
‘เมาค้างรึไง’ ชายร่างเล็กอดคิดไม่ได้ ปกติเพื่อนเขาคนนี้เป็นคนตรงต่อเวลา
ไหนๆ ก็ถึงขั้นนี้แล้ว อีกไม่กี่นาทีคงสายแน่ๆ เขาไม่ยอมให้เพื่อนตัวดีทำเขาสายไปด้วยหรอกนะ ชายหนุ่มตัดสินใจกระโดดรอดรั้วบ้านที่สูงแค่สะโพกเขาก่อนจะเปิดประตูบ้านตรงดิ่งเข้าไปตาหน้าเฉย แต่ภาพแรกที่เห็นทำให้เขาถึงกับเบิกตาโต
เพื่อนที่เขาเคยคิดว่าคลูสุดๆ ทั้งเย็นชาและชิค ตอนนี้กำลังรำไทเก็ก เอ้ย ไม่ใช่ แจบอมกำลังทำอะไรบางอย่างที่แม้แต่เขาก็ไม่เข้าใจ เพื่อนเขาทำท่าเหมือนกำลังคว้าอะไรซักอย่างบนอากาศแต่ว่าคว้าเท่าไหร่ก็คว้าเอามาไม่ได้
“นายทำอะไรนะ…”แบมแบมขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่เห็นท่าทางแปลกๆ ของเพื่อนสนิท ‘เพื่อนผมยังไม่สะลางเมารึไง’
แจบอมหันไปตามเสียงเรียกของอีกคน พอเห็นว่าเป็นแบมแบมก็โพลงออกมาทันที “นี่นายเข้ามาตอนไหน… ” แจบอมนิ่งไปซักพัก แขนที่ก่อนหน้านี้ยกขึ้นไปมาค่อยๆลู่ลงก่อนจะฉุดนึกขึ้นได้ “สายแล้ว…”
แบมแบมแทบจะกุมขมับกับกิริยาของคนตรงหน้า รู้ว่าสายยังไม่รีบอีก เขาไม่รู้จะว่ายังไง แต่แล้วบางอย่างก็ทำให้เขาละความสนใจจากแจบอม เสียงเล็กแหลมแบบนกทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที แบมแบมมองซ้ายขวาก่อนจะเงยหน้าขึ้นข้างบน “เอ๋ อากาเซตัวนี้หายแล้วหรอเนี่ย เดียวสิ ประเด็นคือ… นายปล่อยมันออกจากกรงหรอ? ” หรือเพื่อนเขาคนนี้ไม่อยากจะเลี้ยงนกแล้ว
แจบอมมองตามแบมแบมก่อนจะพูดอย่างจนใจ “มันจะตามฉันไปทุกที่เลย ฉันจะเก็บเข้ากรงก็ไม่ยอม … แปลก”
คำพูดนั้นเล่นเอาซะแบมแบมต้องกรอกตาไปมา เหตุผลที่สายคือเรื่องบ้าบอนี่นะหรอ ‘ช่างสมเหตุสมผลจริงๆ’ แอบบ่นในใจเสร็จก็ฉวยเอากระเป๋าเพื่อนสนิทบนโต๊ะกาแฟก่อนจะคว้าแขนเสื้อแจบอมพลางฉุดลากเเขาไปทางประตูบ้านทำเอาแจบอมมองเขาด้วยความทึ่งนิดๆ
แบมแบมเค้นเสียง ‘เห้อะ’ ทีนึง “หยุดไร้สาระแล้วไปมหา’ลัยซะ!” ‘ความจริงเพื่อนผมไม่ได้คลูหรอกนะ เขาแค่รักโดษและมีนิสัยประหลาดเท่านั้น’
…………………………………………..
IM JAEBUM PART
อย่างที่ผมบอกเพื่อนสนิทไปแล้วว่าอากาเซตัวนี้มันจะตามผมไป ไม่รู้เพราะอะไร ตั้งแต่เช้าแล้วที่ผมตื่นมาก็เห็นมันบินว่อนอยู่หน้าประตูห้องผม สิ่งนั้นทำให้ผมประหลาดใจ ตอนแรกคิดว่ามันต้องการอาหารหรือยา แต่เปล่า มันแค่กำลังตามผมไปทุกที่เท่านั้น
“นายทำคูณไสยใส่อากาเซใช่ไหม”แบมแบมเอ็ดผมที่กำลังจ้องมองนกน้อยบนตัก มันกำลังมองผมตาปริบๆ
ผมยิ้มแห้ง “เดียวพอลงรถมันก็บินไปตามทางของมันเองนั่นแหละ … จะได้เป็นอิสระซักที”
แบมแบมยักไหล่ทีนึงพร้อมกับแบมือเป็นเชิงบอกว่า ‘ก็นะ’
จิ๊บ.. จิ๊บ.. เสียงเบาๆ ของอากาเซที่กำลังร้องเรียกทำให้ผมต้องหันไปสนใจมันอีกครั้ง นัยต์ตาสีดำขลับของมันจ้องมองผมอยู่ก่อน ทันทีที่ผมหันไปสบตา มันก็กระโดดโหยงๆ ราวกับกำลังเรียกร้องความสนใจจากผมอยู่เรื่อยๆ ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ‘มันต้องการอะไรจากผม’
ผมมองตามนกน้อยที่ใช้ปากของมันยื่นออกมาเป็นระยะทำราวกับชี้บางอย่างให้ผมดู หรือผมกำลังคิดไปเองกันแน่ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงมองตามมัน และแล้วก็พบว่าผมลืมปิดกระเป๋านี่เอง ที่แท้แบมแบมหยิบกระเป๋าผมมาแล้วลืมรูดซิบให้ ผมเผลอยิ้มออกมาให้กับความบังเอิญ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ปีกน้อยๆ ของมันบินผ่านหน้าผมไปยังกระเป๋าก่อนจะใช้ปากพยายามคาบซิบจนสำเร็จ มันค่อยๆ ขยับตัวเพื่อให้ซิบปิดสนิท
ผมพูดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ “ยองแจ..เธอฉลาดเกินนกไปแล้ว”
เพื่อนด้านข้างที่กำลังจะหลับแหล่ไม่หลับเหล่พอได้ยินเสียงผมก็ตาสว่าง“ยองแจ? นายตั้งชื่อให้มันด้วยนี่หว่า ไหนว่าจะปล่อยมันไง”
“…” นั่นสินะ ผมตั้งชื่อให้มันแล้วแท้ๆ แต่การที่นกจะได้เป็นอิสระก็ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ไม่ใช่หรอ สำหรับผมแล้วการเลี้ยงดูไม่ใช่สิ่งที่อยากทำที่สุดเท่ากับการปล่อยมัน
พอไม่ได้รับคำตอบ แบมแบมแค่บ่นอุบอิบในใจนิดหน่อยเท่านั้น เพื่อนผมเกือบจะหลับอยู่แล้วแต่สัมผัสยุกยิกบางอย่างตรงไหล่ทำให้ต้องหันไปมอง นกน้อยกำลังใช้ปากของมันจัดแจงปกคอเสื้อของเพื่อนผมที่พับอยู่ให้เข้าที่ พอเรียบร้อยเสร็จก็บินมาเกาะไหล่ผมทันที
“เหลือเชื่อ นายฝึกมันหรอ” แบมแบมเบิกตามองนกบนไหล่ผม
“ฉันเองก็แปลกใจ” ผมบอกตามที่คิด ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่ผมคิดว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผมพูด แต่ผมรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ผมไล่ความคิดแบบนั้นออกไป
แบมแบมเลิกคิ้วมองอากาเซที่ตอนนี้กำลังนอนลงบนไหล่ผม เพื่อนผมพรึมพรำเสียงเบาพอที่จะให้ผมได้ยิน “ประหลาดชะมัด” ว่าเสร็จก็หันกลับไปสัปหงกต่อ … เอิ่ม.. ทั้งที่กำลังจะถึงมหาวิทยาลัยแล้วเนี่ยนะ..
………………………………………..
ผมอยู่คณะเดียวกับแบมแบมและฮายองรวมไปถึงจินยองฮยองและมาร์คฮยอง นั่นคือคณะบริหารธุรกิจภาคพิเศษ ใครได้ยินชื่อคณะของผมแล้วต้องอดแปลกใจไม่ได้ ทำไมผมเลือกเรียนสายอาชีพนี้ทั้งๆ ที่ไม่มีธุรกิจอะไรเลยต่างจากแบมแบมหรือจินยองฮยอง คงเพราะผมสอบได้แค่คณะนี้ละมั้ง … อย่างว่า ผมไม่ใช่คนที่หัวดีหรือฉลาดอะไรมากนักแต่ือว่าผมเดินทางมาถูกที่พบเจอเพื่อนที่เข้ากันได้กับผม
“ง่วงชะมัด” แบมแบมหาววอดออกมาในขณะที่กำลังฟังบรรยาย
ผมเองก็รู้สึกว่าหนังตาจะปิดแล้วเหมือนกัน เพราะเมื่อคืนผมกลับมาราวตีสองได้ หรือไม่ก็อาจจะดึกกว่านั้น แทบจะไม่มีเวลาให้หลับเลยด้วยซ้ำไป
ไม่เกินความคาดหมายเพื่อนสนิทผมยกหนังสือขึ้นมาด้วยแขนสองข้างก่อนจะตั้งไว้ข้างหน้าเพื่อบังการนอนของเขา เป็นพื้นฐานเบสิกของการแอบหลับที่ใช้กันตั้งแต่สมัยมัธยม ผมเองก็อยากจะทำแบบนั้น เพราะเสียงบรรยายจากไมค์มันเข้าหูซ้ายและทะลุหูขวาของผมไปซะงั้น ผมฟังไม่รู้เรื่องในสถานการณ์แบบนี้หลอกนะ
แต่แล้วเสียงกระซิบข้างหูที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาผมเกือบสะดุ้งเฮือก “ไง..วันหลังก็เอาหมอนมาด้วยเลยสิ” ผมหันควับไปทางต้นเสียง รุ่นพี่จินยองยิ้มตาหยีอยู่ข้างหลังผม
“จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป ฉันแค่มาหาที่รักนะ! ” จินยองเอานิ้วชี้ขึ้นมาแตะปากเป็นเชิงให้เงียบ
‘ที่รัก?’ ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
จินยองทำลับๆ ล่อๆ เขามองซ้ายทีขวาที ก่อนจะเบะปากออกมา “ย่าส์… ฮายองไม่เข้าเรียนภาคเช้ารึไง น่าเบื่อชะมัดยากกก คนหล่อเซ็ง!” รุ่นพี่บ่นเสียงเนือยก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆ ผม
ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง มีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินมาสะกิดไหล่ของรุ่นพี่จินยอง ผมแอบเหล่มองจึงรู้ว่านายคนนั้นคือยูคยอม รุ่นพี่ที่พึ่งรู้จักกันเมื่อวานในงานเลี้ยงวันเกิดจินยองฮยอง ถึงแม้ว่าจะสงสัยเสียเต็มประดาแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ ‘ปีสามไม่มีคลาสเรียนรึไง’
“นายตามฉันมาทำไมเนี่ยยย” จินยองถามทันทีที่เห็นอีกคน “หรือว่านายเห็นนางฟ้าอะไรทำนองนั้นแถวนี้รึไง! ”
ผมแกล้งทำเป็นมองจอมอร์นิเตอร์ ความจริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะแต่บทสนทนาของรุ่นพี่มันเข้าหูผมเองต่างหาก
ยูคยอมเอ่ยเสียงเรียบ “คุณรู้ได้ยังไงครับ ผมตามนางฟ้ามานะ เธอบอกว่าในที่แห่งนี้กำลังมีดวงวิญญาณที่จะต้องจากไป เธอจะมารับวิญญาณไปสรวงสวรรค์”
ผมแอบขมวดคิ้วกับคำพูดแสนจะพิสดารนั่น นอกจากคำพูดของยูคยอมจะดูเป็นทางการจนเกินเหตุแล้ว สาระแก่นสารยังประหลาดแบบสุดๆ ราวกับเขากำลังพูดเรื่องนวนิยายที่พึ่งอ่านมายังไงยังงั้น ทำไมคนที่รู้จักต้องมีอะไรไม่ปกติซักคนด้วยนะ
จินยองหัวเราะเหอะๆ “เอ่อะ… แล้วใครจะตายอีกละ วุ้วๆ เมื่อไหร่นายจะเลิกสุภาพวะ เบื่อชะมัดยาก คนหล่อเซ็งคูณสองวุ้ย!”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความใสสื่อของยูคยอมมองจินยองแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร ปากได้รูปของร่างสูงกำลังจะอ้าเอ่ยบางอย่างแต่เสียงอ๊อดหมดเวลาดันขัดขึ้นมาซะก่อน ผมจึงละความสนใจจากพวกเขาทันที เอาเป็นว่าผมไม่ได้อ่านนวนิยายเรื่องเดียวกับพวกเขาแล้วกัน
ผมปลุกแบมแบมที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราว เพื่อนผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาคำแรกที่ถามผมคือ ‘ที่นี่ที่ไหน’ เท่านั้นแหละผมรีบหันหลังเดินออกมาทันทีโดยไม่สนใจเสียงเรียกของแบมแบมข้างหลัง ผมรอให้นักศึกษาคนอื่นๆ ทยอยกันออกให้หมดก่อน ทันทีที่ผมกับแบมแบมออกมาสิ่งแรกที่เรียกความสนใจจากผมคือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ มีปีก.. สีก็ดูคุ้นๆ .. ไม่คุ้นแล้วแหละ ใช่เลย นกอากาเซที่ผมพึ่งปล่อยไปเมื่อเช้า
“ยองแจ…ทำไมเธอ” ผมอดแปลกใจไม่ได้ จนแล้วจนรอดมันก็ยังกลับมาหาผมอยู่ดี
อากาเซที่ผมเรียกมันว่ายองแจบินมาเกาะไหล่ผมจนกลายเป็นว่าไหล่ผมคือสานที่ประจำของมันไปแล้ว ผมจึงยื่นมือไปให้มันเกาะแทนและมันก็ทำตามที่ผมต้องการ
“ดูท่ามันจะคิดว่านายเป็นเจ้าของแล้วแหละ ถ้าไม่บอกว่านกฉันจะนึกว่าหมา” แบมแบมที่มองอยู่นานพูดขึ้น
ผมใช้นิ้วลูบขนนุ่มของมัน “มันหิวนะ” ..ความรู้สึกลึกๆ กำลังบอกผมแบบนั้น หรือผมกำลังคิดไปเองกันแน่นะ
แบมแบมเอ็ดทันที“นายคุยกับสัตว์รู้เรื่องรึไง มันบอกนายว่าหิวหรอ มโนชะมัด”
“มันหิวจริงๆ นั่นแหละ”
คำพูดเมื่อกี้ผมและแบมแบมไม่ได้เป็นคนเอ่ย หากแต่เป็นฮายองที่กำลังเดินมาทางพวกผม เธอมองนกอากาเซในมือก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี แบมแบมเมื่อเห็นฮายองก็มองผมพรึ่บด้วยความรวดเร็วก่อนจะมองฮายองและเริ่มมองผมสลับไปมา
‘แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะคุยกับเธอตอนนี้… ’
“นกของนายใช่ไหม มันชื่ออะไรหรอ?” ฮายองหันมาถามผม ผมตะลึงไม่น้อย จู่ๆ เธอก็เข้ามาถามผมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมเกือบจะทำอะไรไม่ถูก นักศึกษาในระแวกนั้นมองมายังพวกผมพลางซุบซิบกัน … แน่นอนละ ผมเคยบอกแล้วว่าฮายองคือดาวคณะและผมก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเรื่องหน้าตาพอตัว
แบมแบมกลับคิดเพียงว่า ‘การตั้งชื่อนกเป็นเรื่องปกติหรอกหรอนึกว่ามีแต่เพื่อนผมซะอีกที่บ้าจี้ตั้งขึ้นมา’
“ชื่อยองแจ”ผมเอ่ยเสียงเรียบ
“ยองแจ…แสดงว่า มันต้องฉลาดมากแน่ๆ ฉันชอบนกนะ นายซื้อมันหรอ?”
“อ่อ ไม..” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค เสียงเตือนจากเครื่องมือสื่อสารตรงกระเป๋ากางเกงทำให้ผมต้องหยิบขึ้นมาดูด้วยความขัดใจ ผมมอหน้าจอมือถืออยู่นาน ก่อนจะต้องตกใจกับบางอย่าง.. ผมเชื่อว่าตอนนี้ผมต้องน่าซีดมากๆ แน่
“มีอะไรรึป่าว” ฮายองถามทันที่เมื่อเห็นว่าผมมีอาการลุกลี้ลุกลนแปลกๆ หนำซ้ำไม่พอนกน้อยในมือผมเริ่มร้องจิ๊บๆ ไม่หยุด
“ป่าว .. ขอตัวนะ…” ผมละจากเธอ ฮายองแค่พยักหน้าและยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะทำมือบายๆ ให้ยองแจก่อนจาก ผมหันไปทางแบมแบมที่มองผมไม่ต่างกับเห็นผี ผมคงมีสีหน้าที่ย่ำแย่ชัดเจนมากจริงๆ สินะ
“เกิดอะไรขึ้น” ว่าแล้วเพื่อนผมต้องยิงคำถามนี้ทันที
ผมปล่อยนกในมือให้เกาะไหล่แทน มันจ้องมองผมไม่วางตา ผมยื่นเครื่องมือสื่อสารให้เพื่อนตรงหน้าก่อนจะพูดออกมาราวกับคนหมดนทาง “เขาอยากเจอฉันนะ… จะทำยังไงดี”
พอแบมแบมอ่านข้อความในมือถือของผมเสร็จ เขาค่อยๆ เงยหน้ามองผมก่อนจะเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ “นายยังไม่เปลี่ยนซิมอีกหรอ… ตัดขาดการสื่อสารเลยสิ แล้วคิดซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”
...............40%...................
IM JAEBUM END
ครอบครัวของแต่ละคนต่างมีปัญหากันทั้งนั้นไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือใหญ่ แต่สำหรับเขาแล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเรียกสิ่งนี้ว่าปัญหาครอบครัวได้รึป่าว อิม แจบอม ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เคยเหยียบสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้ามาแล้ว จนกระทั่งมีคู่รักใจดีรับเลี้ยงเขาไปดูแลดั่งลูกแท้ๆ เพราะเขาทั้งสองมีปัญหาเรื่องการมีลูก ทำให้กำเนิดบุตรยากไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ดังนั้นจึงตัดสินใจรับเขาเป็นลูกบุญธรรม
เรื่องราวเหมือนจะไม่มีอะไร ทุกอย่างเกือบจะเรียบง่าย ยกเว้นแต่แม่บุญธรรมของเขาเกิดตั้งครรถ์ขึ้นมาในขณะที่รับเลี้ยงดูแจบอมเพียงปีเดียวเท่านั้น การที่เขาถูกให้ความใส่ใจน้อยกว่าลูกในไส้ไม่ได้ทำเขาน้อยใจแม้แต่นิด เขารักแม่บุญธรรมประนึงแม่แท้ๆ ของตัวเอง ต่างจากพ่อบุญธรรมและน้องชายต่างสายเลือด เขาไม่เคยอยู่ในสายตาของน้องชายที่ห่างกันเพียงสามปีเลย
แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอยู่ดี แจบอมรักสันโดษและชอบเก็บตัวอยู่แล้ว พวกเขาแค่ส่งเงินให้แจบอมไปโรงเรียนประจำและให้เขาอยู่หอพัก ดูๆ ไปก็เหมือนจะเรียบง่ายอยู่ดี แต่ทว่า น้องชายต่างสายเลือดของเขาเกลียดเขาเข้าเส้น แม้แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม ‘แจ็คสัน’ ถึงได้เกลียดเขามากมายมหาศาล แจ็คสันไม่เคยปกปิดความเกลียดชังที่มีอยู่ ในขณะที่อยู่โรงเรียนเดียวกันพวกเขาสองคนมักจะชอบผู้หญิงคนเดียวกันเสมอ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยจนแจบอมไม่อยากจะชอบใครในโรงเรียนอีกจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย
แต่ที่สาหัสกว่านั้นคือการจากไปของแม่บุญธรรม ยอมรับว่านั่นคือจุดพลิกพลันในชีวิตเขา ตอนไปงานศพเขาเพียงคิดแค่ว่าเขาจะไม่เหลือใครแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนหยันมาได้ แจ็คสันโทษแจบอมเสมอว่าการที่แม่ต้องเสียไปนั้นเป็นเพราะเขา แต่นั่นคืออุบัติเหตุทางรถยนต์ที่แม่กำลังจะมารับเขาในงานวันเกิดเขาต่างหาก… ใช่.. เขาเสียคนที่รักที่สุดในงานวันเกิด
เขารู้แค่ว่าหลังจากวันนั้น แจ็คสัน แทบจะฆ่าเขาได้เลยทีเดียว แจ็คสันมักจะบอกเขาเสมอว่าแม่รักแจบอมมากกว่า ซึ่งนั่นไม่จริงแม้แต่นิด
เอาละ… มัน ‘เหมือน’ จะไม่มีอะไรมากอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าน้องชายต่างสายเลือดของเขากลายเป็นคนเสเพไปโดยปริยายตั้งแต่วันที่รู้ความจริงว่าพ่อมีภรรยาคนใหม่ วันนั้นคือวันที่เขาและแจ็คสันถูกตัดขาดจาดการเป็นพ่อลูกไปโดยทันที
เขาจึงใช้เงินเก็บที่มีอยู่ในการเลี้ยงดูตัวเองและอยู่บ้านเก่าของแม่ที่พึ่งจากไปซึ่งถึงจะห่างจากมหาวิทยาลัยมากแค่ไหนก็ตาม
ช่วงเวลานั้นคือตอนที่เขาสอบชิงทุนมหาวิทยาลัยอินซาดงได้ เขาไม่ได้ติดต่อกับพ่อหรือแจ็คสันอีกเลย แต่เขาเคยได้ยินแว่วๆ มาว่าแจ็คสันเคยเข้าคุกหรืออะไรทำนองนั้น แต่อะไรจะเท่ากับการที่พ่อเขาเปิดธุรกิจผิดกฎหมายและต้องรับโทษอาญาในเรือนจำ ครอบครัวของเขาตกอับสุดๆ หลังจากที่แม่จากไป
วันนั้นเองที่เขาเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ในขณะที่เขากำลังเดินเตะกระป๋องตามทางเท้า จนกระทั่งเขาเจอหญิงสาวร่วมคณะเธอชื่อฮายองมากับชายหนุ่มร่างเล็กชื่อแบมแบม และตอนนั้นที่เขาทั้งสามคนเป็นเพื่อนกัน ทำไมถึงเป็นเพื่อนสนิทกันได้นะหรอ … เรื่องนั้น…
เอาเป็นว่าตอนนี้ชีวิตของเขากำลังจะเรียบง่ายอยู่แล้ว จนกระทั่งน้องชายต่างสายเลือดส่งข้อความมาว่าอยากเจอเขา … เขาไม่อยากจะนึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็กเลยแม้แต่นิด แน่นอนว่าแจ็คสันแสดงความเกลียดต่อเขาสารพัด จนปัจจุบันเขาเชื่อว่ายังคงเกลียดไม่เปลี่ยน แต่ที่เขากังวลคือฮายองและแบมแบม ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่แจ็คสันจะพยายามแย่งทุกอย่างไปจากเขา ไม่ว่าของเล่นหรือคนรัก …
IM JAEBUM PART
ผมอาจจะตกใจจนเกินเหตุไปรึป่าวนะ แต่ดูเหมือนแบมแบมจะตกใจเสียยิ่งกว่าผมอีก ตกเย็นเขาพาผมมายังศูนย์โทรศัพท์ในกรุงโซลเพื่อขอเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ แต่เบอร์นี้ผมเมมเบอร์ไว้หลายคนมาก ทั้งพี่รหัสและเพื่อนร่วมคณะ
“เปลี่ยนเถอะ เดียวฉันจ่ายเอง ” แบมแบมแย้งออกมาทันทีที่ผมบอกว่าไม่อยากจะเปลี่ยน
หัวสมองของผมกำลังตีกันไปหมด ถึงอย่างนั้นผมก็เอ่ยไปว่า “เปลี่ยนก็ดี..”
ทันทีที่แบมแบมได้ยินคำพูดผมเขาก็ยัดซองเบอร์ใส่ในมือผมด้วยความเร็วแสง ผมตะลึงเล็กน้อย แบมแบมซื้อมันก่อนที่ผมจะตอบตกลงเสียอีก เพื่อนสนิทคนนี้ทำให้ผมประหลาดใจอยู่บ่อยๆ ยังจำได้ว่าตอนที่ผมเจอแบมแบมครั้งแรก ผมไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะร่ำรวยได้ขนาดนี้
ผมก้าวเท้าออกจากประตูอัตโนมัติของศูนย์โทรศัพท์พลางดูเบอร์มือถือในมืออย่างชั่งใจ เสียงร้องจิ๊บๆ ตรงหน้าทำให้ผมต้องละสายตาจากเบอร์โทรศัพท์ก่อนจะยิ้มบางๆ ที่มุมปาก นกอากาเซบินมาเกาะแขนผมหลังจากที่มันบินว่อนรอผมอยู่นาน
“คืนนี้ให้ฉันไปนอนเป็นเพื่อนไหม” แบมแบมที่เงียบอยู่นานเอ่ยถามผม ระหว่างทางเดินไปที่จอดรถ
ผมเลิกคิ้ว “ไม่เอาหรอก ลูกคุณหนูอย่างนายจะมานอนบ้านฉันนะหรอ” พูดเสร็จก็หัวเราะเบาบางเชิงล้อเลียน
แบมแบมยักคิ้วทีนึงให้ผมอย่างกวนโอ๊ย “แล้วแต่นายละกัน แล้วอย่าคิดถึงฉันละ” เสียงหัวเราะออกมาจากร่างเล็กก่อนจะรีบสาวเท้าเดินนำหน้าผมไปที่รถ
ผมถอนหายใจ“ฉันนอนคนเดียวจนชินแล้วตังหาก เนอะยองแจ” ผมหันไปพักพยักเพยอเจ้านกตัวเล็กบนแขน มันแค่ทำตาบ๋องแบ๋วกลับเท่านั้น ‘ผมละอยากได้นกที่พูดได้จริงๆ จะได้ไม่ต้องมาบ้าคุยคนเดียว’
‘เรื่องแบบนี้มันไม่ส่งผลให้ผมนอนหลับคนเดียวไม่ได้หรอกนะ’
ถึงภายนอกผมจะปกปิดมันมิดชิดมากแค่ไหน แต่ภายในผมรู้ตัวดีว่าตัวเองกังวลมากเพียงใด
หลังจากที่ผมชำระล้างร่างกายเสร็จเรียบร้อย ผ้าขนหนูสีขาวถูกพาดไว้บนพนักพิงเก้าอี้ ผมนั่งลงบนเตียงไม้ นั่งนิ่งอยู่นานก่อนจะหยิบซองเบอร์โทรศัพท์ที่พึ่งซื้อขึ้นมาดู ผมไม่เข้าใจตัวเองทำไมยังไม่ยอมเปลี่ยนซิมซักที ทั้งๆ ที่ผมอยากจะตัดขาด
จากอดีตซะ
คิดได้ดังนั้นผมจึงค่อยๆ แกะซองออก แต่เสียงข้อความที่เด้งขึ้นทำให้ผมต้องลุกไปหยิบมือถือบนโต๊ะหนังสือขึ้นมาดู ดวงตาของผมจ้องมองข้อความที่ถูกส่งมาจากปลายสาย ‘แจ็คสัน’
‘แกยังอยู่ที่เดิมสินะ บ้านเก่านะ’
ยอมรับว่าตะลึงไม่น้อย และยอมรับอีกว่าสีหน้าผมเหมือนพึ่งอ่านจดหมายขู่กรรโชก ผมไม่ได้เวอร์แต่ถ้าคุณไม่ใช่ผมคงไม่มีวันเข้าใจจิตใจของผม แน่นอน.. แม้แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยด้วยซ้ำ
ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะเงยหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ผมต้องใจเย็นมากกว่านี้
เท้าของผมก้าวลงบันไดทีละขั้น การเดินของผมมันดูเฉื่อยชากว่าปกติ ผมกะจะมาหาน้ำดื่มซักแก้วก่อนจะเข้านอน แต่สมองผมกำลังคิดอะไรที่ทำให้ผมกลัวอย่างเช่น การลงไปข้างล่างแล้วเจอน้องชายต่างสายเลือดยืนมองผมพร้อมกับมีดในมือ ‘ผมต้องเป็นโรคคิดมากแต่ๆ’
“โนรา…” ผมเรียกหาแมวขนปุยที่ชอบออกไปเที่ยวนอกบ้าน แต่ก็ยังคงไร้เสียงตอบรับ ตอนเย็นผมยังเห็นเจ้าโนราอยู่เลย ผมชักจะไม่ชอบการที่มันออกไปจากบ้านบ่อยๆ ซักแล้ว
จิ๊บๆ จิ๊บๆ
เสียงเล็กของอากาเซที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันไปหามันที่กำลังบินอยู่ตรงหน้าผม ดวงตากลมโตแป๋วทำให้ผมใจเย็นลงได้มาก
“ยองแจ” ผมเอ่ยกระซิบเรียกชื่อมัน
จิ๊บ ๆ จิ๊บๆ
“ฉัน… ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”
ใครเห็นสภาพผมในเวลานี้คงต้องเข้ามาแนะนำให้ผมไปตรวจสมอง บางทีอาจจะชักชวนไปโรงพยาบาลบ้าก็ได้ คนสติดีที่ไหนคุยกับสัตว์ คงมีแต่ผมเนี่ยแหละที่คิดเองเออเองว่ามันจะสื่ออะไร
มันบินตกลงมาบนมือผมที่ยื่นให้ ผมลูบขนนุ่มสลวยสีส้มของมันช้าๆ อย่างเบามือ “อยากเป็นนกเหมือนเธอจริงๆ เป็นอิสระ…”
ผมเคยรู้สึกพิลึกกับตัวเองอยู่ในบางครั้ง ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ยังคงความชินชา จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมไปเสียแล้ว จะเจอเหตุการณ์เลวร้ายอีกเท่าไหร่ผมคงยอมรับชะตากรรมได้ไม่ยาก … ผมกำลังบอกว่าผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างเย็นชาทีเดียว
ผมมองอากาเซในมือมันเอียงคอไปมา ความน่าเอ็นดูถูกฉายขึ้นมาบนแววตาใสของมัน ผมใช้หน้าผากแตะลงกับขนนุ่มของมันก่อนจะถูกไปมาอย่างหมันไส้ ทันทีที่ผมผละออก มันก็ยังใช้แววตาแป๋วมองผมราวกับคนไม่รู้อุโหน่อิเหน่ ผมอดพูดไม่ได้ “อิจฉาเธอชะมัด วันๆ เอาแต่กินกับบิน”
เรื่องราวต่างๆ ผมไม่อยากเก็บมาคิดซ้ำซาก ผมตัดสินใจเปิดประตูห้องนอนเตรียมตัวสำหรับการผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป ผมเพ็งมองนกน้อยที่บินตามผมมา มันบินมาเกาะไหล่ก่อนจะกระโดดโหยงๆ เหมือนจะขออะไรบางอย่าง
ผมเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มบางๆ “เธอก็เหงาเป็นหรอ”
ผมหัวเราะแห้งๆ ให้กับตัวเองที่ชอบจินตการไปเองอยู่เรื่อย
IM JAEBUM END
ชายหนุ่มจ้องมองนกที่พยายามจะเข้าห้องเขาให้ได้ นกน้อยตัวนี้ดูดื้อด้านในสายตาเขาไปแล้ว แต่ในเมื่อถึงเวลาเข้านอน จึงปล่อยเลยตามเลย เขาวางนกไว้ตรงตระกร้าที่เคยเป็นที่ของโนรา แต่ตอนนี้เจ้าของดันเที่ยวเตร็ดเตร่ซักได้
มือเรียวเลิกผ้าห่มขึ้นก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปปิดโคมไฟบนหัวเตียง เขาขั่งใจอยู่ซักพักว่าจะปิดดีไหมแต่สุดท้ายเขาก็ปิดมันอยู่ดี เหนือความคาดหมาย เขามั่นใจว่าตัวต้องไม่กลับไปคิดเรื่องราวเก่าๆ แล้วแท้ๆ แต่สมองเจ้ากรรมดันฉายภาพในอดีตซะได้
ค่ำคืนที่มีแต่ความมืดมิดคละเคล้ากับความสับสนปนเปของชายหนุ่มบนเตียง เขาดึงผ้าห่มให้ขึ้นสูงกว่าเดิมจนถึงคอ ปกติเขาเป็นคนขี้ร้อน แต่วันนี้เขาดันรู้สึกหนาวแปลกๆ คงเพราะข้อความนั้น
‘เพราะแกนั่นแหละ เรื่องถึงเป็นแบบนี้’
ไร้เหตุผลเป็นที่สุด ในขณะที่กำลังข่มตานอนแจบอมเพลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกหนาวแต่กลับมีเหงื่อยพรุดพรายข้างแก้มมากมาย เขานอนไม่หลับ และคาดว่าคืนนี้เขาอาจไม่ได้นอนเลยก็เป็นได้
‘คิดว่าเข้มแข็งมากรึไง เลิกทำตัวเย็นชาปกปิดเถอะ แกมันอ่อนแอ่ทั้งกายและใจ’
เขาเชื่อว่าตัวเองเข็มแข็งในเรื่องต่างๆ เขาผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาร้อยพันแปด แต่ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะเสียน้ำตาให้คนอื่นเห็นเลยซักครั้ง จนกระทั่งตอนนี้ น้ำใสๆ เริ่มระรื้นริมขอบตา เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดขึ้นมาพบกับความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องลอดลงมาตรงหน้าต่าง
จิ๊บๆ จิ๊บๆ
นัยต์ตาสีดำสนิทของชายหนุ่มจ้องมองนกน้อยทื่ถือวิสาสะบินขึ้นมาบนเตียงเขา ดวงตาวาวของมันใสซะะจนชายหนุ่มละสายตาออกไปไม่ได้ “ฉันอิจฉาเธอที่สุด” เสียงทุ้มถูกเอ่ยขึ้นมาจากคนบนเตียง
สิ่งมีชีวิตตัวเล็กใช้ขาน้อยๆ ของมันกระโดดเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเขา มือเรียวจัดแจงหมอนให้เข้าที่ก่อนจะเอียงตัวนอนข้าง จ้องมองนกน้อยตรงหน้าพลางยิ้มบางออกมา น้ำตาที่เคยระรื้นได้จางหายไปราวกำไม่เคยมี ‘แม้แต่นก เขาก็ไม่อยากจะร้องไห้ให้เห็น’
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เขาจ้องมองมันจนกระทั่งพล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
นกน้อยที่เฝ้ามองชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา มันไม่อาจหลับได้หากชายหนุ่มตรงหน้ายังไม่ยอมนอน มันเข้าใจตัวเองดีว่าเป็นนกที่ประหลาดพอตัว ‘ทำไมมนุษย์ตรงหน้า ถึงได้มีเสน่ห์เหลือเกิน’ ใบหน้าหมดจดบวกกับริมฝีปากได้รูป ขนตาที่ยาวเป็นแพร ป่าว.. สำหับนกแล้วมันไม่ได้คิดว่าคนนี้หล่อเพราะมนุษย์สำหรับมันก็คล้ายๆ กันหมด แต่มันกำลังจนจำใบหน้ามนุษย์คนนี้ให้ได้มากที่สุด
รางสังหรณ์ลึกๆ บอกมันว่า ‘ถึงเวลาที่จะต้องจากกับมนุษย์ตรงหน้านี้แล้ว เวลาช่างสั้นเหลือเกิน’
TALK
==; เรื่องนี้กำลังดำเนินให้เข้าพล็อตมากที่สุดคะ
นอกจากความรักระหว่างทูแจแล้วยังมีเรื่องราวของเจบีอีกคะ
ซึ่งไรท์จะพยายามไม่ใช่มันน่าเบื่อโดยการพายองแจร่างคนมาไวๆ นะคะ
ปล. อาจจะนานนิดนึงนะคะเพราะกว่าจะเป็นคนนั้นแสนจะลำบาก ยากเย็นแสนเข็นมากTT คาดว่ายองแจที่เป็นคนเลยจะมาบทสี่คะ
STAR THEME
ความคิดเห็น