คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #94 : พระเจ้ากับชาวยิว
ใครเก่งศาสนามาทางนี้หน่อยเร็ว
พระเจ้ากับชาวยิว
เหตุที่ผมนำเอาเรื่อง “พระเจ้าและชาวยิว” มาเขียนเอาไว้ในที่นี้ ก็คงเป็นเพราะว่า สิ่งที่เรียกขานกันว่าพระเจ้า อันเป็นสิ่งที่ชาวยิวได้กล่าวถึงควบคู่ไปกับประวัติความเป็นมาของชนชาติตัวเองกันตั้งแต่เริ่มแรกนั้น ก็เป็นที่รับทราบกันว่า ไปๆ-มาๆแล้วก็ได้กลายมาเป็น”พระเจ้าองค์เดียวกัน”กับที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์นั่นเอง และยังถือได้ว่า เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันกับที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอ่านของศาสนาอิสลามอีกด้วย คือเป็นพระเจ้าผู้ที่ได้ส่ง “ศาสนทูต” หรือ “ศาสดา” อย่าง “มูซา” หรือ “โมเสส” ผู้สร้างชาติอิสราเอล “อีซา” หรือพระเยซูคริสต์” ลงมาล้างบาปให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหลาย ก่อนที่จะได้ส่ง “พระนบี มูฮัมหมัด” มาเป็นศาสนทูตคนสุดท้ายตามความเชื่อของชาวอิสลามในเวลาต่อมา .
พระเจ้าองค์ที่ว่านี้ จึงถือได้ว่าเป็นพระเจ้าของศาสนาหลักๆถึง ๓ ศาสนาด้วยกัน หรืออาจจะเรียกว่าเป็นพระเจ้าของผู้คนเกือบจะทั้งโลกก็ว่าได้ เป็นพระเจ้าของผู้คนหลายชาติหลายภาษา อย่างต่อเนื่องยาวนานนับเป็นพันๆปีมาจนทุกวันนี้ เรื่องราวของพระเจ้าองค์นี้จึงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาทำความเข้าใจอยู่ไม่น้อย
และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า เหตุใดภายใต้ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าองค์เดียวกันนี้ บรรดามวลมนุษยชาติที่ต่างก็ประกาศถึงความรัก ความภักดี ความเชื่อถือศรัทธาต่อพระองค์เช่นเดียวกันทั้งหมด กลับขัดแย้ง แตกแยก ก่อการล้างผลาญระหว่างกันและกันอย่างไม่สิ้นสุด ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบันก็ตามที
เหตุใดชาวยิวจำนวนไม่น้อยที่แสดงตนว่าเป็นผู้รู้จักและศรัทธาในพระเจ้าองค์นี้ ถึงได้เกลียดชังพระเยซูซึ่งเป็นชาวยิวด้วยกันแท้ๆ ทั้งๆที่พระองค์ได้แสดงออกถึงความรักความศรัทธาต่อพระเจ้าไม่น้อยไปกว่าชาวยิวทุกราย จนถึงขั้นต้องไปลากเอาชาวโรมันผู้ซึ่งปฏิเสธไม่เชื่อถือในพระเจ้าและกดขี่ชาวยิวทั้งหลายอยู่ในขณะนั้น มาลงมือประหัตประหารพระเยซูอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนต้องสิ้นพระชนม์อย่างทรมานบนไม้กางเขน
หรือแม้กระทั่งจะเป็นที่รับรู้กันว่า พระเจ้าของชาวคริสต์กับพระเจ้าของชาวอิสลามนั้นเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่เหตุใดผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในทางศาสนาระดับองค์สันตะปาปาในอดีต ถึงกลับกลายเป็นผู้ยุยงปลุกปั่นให้ชาวคริสต์ในยุโรปยกกองทัพมาทำสงครามเข่นฆ่ากับชาวอิสลามในตะวันออกกลาง จนเลือดนองไปทั้งแผ่นดิน กลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า ๒๐๐ ปี ที่รู้จักกันในนาม “สงครามครูเสด” เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านั้น ในบางช่วงบางเวลาของประวัติศาสตร์ ชาวคริสต์ในยุโรปที่เพิ่งจะได้มารู้จักกับพระเจ้าของชาวยิวหลังจากที่ชาวยิวได้เล่าขานถึงเรื่องราวของพระเจ้าองค์นี้มานับเป็นพันๆปีมาแล้ว กลับพยายามบีบบังคับ ข่มขู่ หรือใช้กำลังประหัตประหารชาวยิวที่อพยพเข้ามาในยุโรปเพื่อให้หันมานับถือพระเจ้าองค์นี้ในแบบฉบับที่ตัวเองต้องการ
แม้กระทั่งในทุกวันนี้ก็ตาม ข่าวคราวความขัดแย้งระหว่างชาวยิว ชาวคริสต์ ชาวอิสลาม ที่ทำให้เกิดการประหัตประหารล้างผลาญกันและกันในหมู่ผู้ที่ยึดมั่นในพระเจ้าองค์เดียวกันแท้ๆ ก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เสมอๆ...
ปรากฏการณ์ในลักษณะที่ว่านี้ ทำให้บางครั้งบางครา ผมอดที่จะตั้งคำถามขึ้นมากับตัวเองไม่ได้ว่า เอาเข้าจริงๆแล้วพระเจ้าที่ถูกกล่าวถึงในศาสนาต่างๆเหล่านี้ เป็น “พระเจ้าองค์เดียวกัน” จริงๆหรือ..??? ??? ???
และถ้าหากว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันแล้วไซร้ เหตุใดความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อพระองค์ถึงได้แตกต่างกันมากมายเช่นนี้ จนทำให้กลายเป็นความขัดแย้ง แตกแยก เกิดการล้างผลาญกันและกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านกันมาโดยตลอด ??? ??? ???
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้ง แตกแยก อันกำลังปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่งในดินแดนตะวันออกกลางขณะนี้ นั่นก็คือพื้นที่มหานครอันเก่าแก่ที่เรียกกันว่า “เยรูซาเล็ม” ซึ่งว่ากันว่าเคยเป็นสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างบรรพบุรุษชาวยิวกับพระเจ้ากันมาตั้งแต่แรก และยังเป็นสถานที่ที่กลายมาเป็นศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ในเวลาต่อมา รวมทั้งได้กลายเป็นที่ตั้งของสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์ของชาวอิสลามตั้งแต่ยุคศาสดามูฮัมหมัด
อันที่จริงภายใต้ความเป็นจุดศูนย์กลางของ ศาสนสถานทั้งสามที่ว่านี้ พื้นดินอันเป็นที่ตั้งของศาสนสถานทั้งสามก็ได้ซ้อนทับกันไปมา จนแทบหลอมรวมเป็นเนื้อดินเดียวกันไปนานแล้ว แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าความแตกต่างของความเชื่อ ความศรัทธาที่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผู้นับถือศาสนาทั้งสาม กลับกลายเป็นตัวแบ่งแยก ขัดแย้ง จนทำให้พื้นที่ที่ว่ากลายสภาพไปเป็น”จุดศูนย์กลางแห่งความขัดแย้ง”ระหว่างชาติต่อชาติ ศาสนาต่อศาสนา และมีแนวโน้มว่าอาจจะกลายเป็น “จุดศูนย์กลางแห่งความขัดแย้งของโลกทั้งโลก” ในอนาคตได้อีกด้วย ??? เพราะบรรดาความขัดแย้งต่างๆที่กำลังปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มันสามารถ กลายไปเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่สงครามในระดับทั่วทั้งโลกได้ไม่ยากนัก
ภายใต้สภาพเช่นนี้ ทำให้แม้นว่าตัวผมเองจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับศาสนายิว ศาสนาคริสต์ หรือศาสนาอิสลามมาก่อนก็ตาม แต่อดที่จะงุนงงสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว “พระเจ้า” นั้น คืออะไรกันแน่??? รวมทั้ง “ชาวยิว” ผู้ได้เริ่มต้นนำเอาเรื่องราวของพระเจ้าพระองค์นี้มาเล่าขานเอาไว้ตั้งแต่แรก จนกลายมาเป็นพระเจ้าของชาวคริสต์ และชาวอิสลามในเวลาต่อมานั้น คือใคร???
คือ “ชนชาติของพระเจ้า” ? หรือเป็นชนชาติที่พระเจ้าต้องการให้มวลมนุษยชาติทั้งหลายรับรู้ถึง “ความมีอยู่” ของพระองค์ผ่านทางชนชาตินี้ ดังที่ชาวยิวได้เล่าขานเอาไว้จริงๆหรือเปล่า???
และถ้าหากเป็นอย่างที่ชาวยิวพูดเอาไว้จริงๆ พระองค์ต้องการให้มวลมนุษย์รับรู้ถึงความมีอยู่ของพระองค์โดยกรรมวิธีแบบไหนกันแน่??? โดยการให้เรื่องราวของพระองค์ที่ถูกเล่าขานโดยชาวยิว สืบทอดมาสู่ชาวคริสต์ ชาวอิสลาม ถูกพัฒนาไปบนความรู้ ความเข้าใจในแต่ละมุมมองจนค่อยๆกลายมาเป็นความเข้าใจที่สมบูรณ์ ที่ไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป หรือจนทำให้ศาสนาทั้งสามได้หันมาสร้าง “ความสมานฉันท์ทางศาสนา” อันจะก่อให้เกิดสันติภาพในหมู่มวลมนุษยชาติกันในท้ายที่สุดหรือไม่???
หรือว่าโดยวิธีอีกวิธีหนึ่ง นั่นก็คือ โดยความไม่รู้ ไม่เข้าใจต่อพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อันก่อให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยก กันมาโดยตลอด พระองค์อาจจะแสดงความมีอยู่ของพระองค์ผ่านการล้างผลาญกันในระดับที่หนักหน่วงร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ผ่าน “สงครามครั้งสุดท้าย” สงครามที่จะปรากฏตัวขึ้นมาก่อน “วันสิ้นยุค” หรือ “วันพิพากษา” อันเนื่องมาจากมวลมนุษยชาติที่ไม่สามารถรับรู้ ไม่เข้าใจต่อความมีอยู่ของพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์???
แน่นอนว่า
ถึงแม้นว่าผม หรือท่านผู้อ่านบางท่าน จะไม่ได้เป็นผู้นับถือศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามหรืออาจจะเป็นผู้ไม่ได้นับถือศาสนาใดๆเลยก็ตาม แต่ภายใต้บรรยากาศความเป็นไปของโลกในระยะนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า อะไรต่อมิอะไรทั้งหลาย นับวันมันชักจะโน้มเอียงไปสู่บรรยากาศคล้ายๆกับที่ศาสนาต่างๆเหล่านี้เรียกขานกันว่า “วันสิ้นยุค” หรือ “วันพิพากษา” ยิ่งขึ้นทุกที การหันมาทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรียกว่า “พระเจ้า” ของผู้คนเหล่านี้ โดยเฉพาะผู้คนที่เชื่อว่าตัวเองเป็น “ชนชาติของพระเจ้า” หรือ “ชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรรแล้ว” อย่างเช่นชาวยิวทั้งหลาย ก็น่าจะพอเป็นประโยชน์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าสำหรับการทำความเข้าใจกับอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคตก็ตาม
ตอนแรกว่าจะเรียบเรียงเอง แต่ว่าเดี๋ยวจะไม่รู้เรื่องกันเข้าไปใหญ่ จึงขออนุญาติเอามาทั้งหมดเลยแล้วกันนะขอรับ
http://www.onopen.com/2006/01/1176 ที่มาของความรู้ขอรับ ทุกอย่างคือครูและศิษย์ขอน้อมรับเข้าใจ
ความคิดเห็น