ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานอียิปต์ โอม...

    ลำดับตอนที่ #52 : "สฟิงซ์" เหมียวไร้ขนจากแคนาดาขี้อ้อน-แสนเชื่องดั่งแมวไทย (ข่าวคราว)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.02K
      4
      23 ธ.ค. 49

    "สฟิงซ์" เหมียวไร้ขนจากแคนาดาขี้อ้อน-แสนเชื่องดั่งแมวไทย

    "ผมการันตีเลยว่า ใครที่ได้พบเจ้าสฟิงซ์ หรือแมวไร้ขน ต้องให้ความสนใจทุกคน ซึ่งเมื่อเห็นแล้วใครรู้สึกอย่างไรนั้น ตรงนี้เป็นมุมมองส่วนตัว อย่างบางคนก็ชื่นชอบ เพราะมองว่ามันเป็นแมวที่มีลักษณะแปลกและหายาก ในทางกลับกันคนจำนวนไม่น้อยก็แสดงอาการรังเกียจ ด้วยคิดว่ามันเป็นโรคเรื้อน" พิสิษฐ์ ราชนิยม หรือ คุณอ้อ เจ้าของฟาร์มสุนัขและแมว ที่ซอยอ่อนนุช 29 ถนนสุมวิท 77 เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ สะท้อนบางแง่มุมที่มีต่อแมวไร้ขน

    ความเป็นมาของ สฟิงซ์ (Sphinx) หรือ แมวไร้ขน นั้น คุณอ้อ ผู้คร่ำหวอดในแวดวงสัตว์เลี้ยงมายาวนาน เล่าว่า ลักษณะเด่นของสฟิงซ์ คือ เป็นแมวไม่มีขน แต่บางตัวก็พบเพียงเล็กน้อยบริเวณปลายหาง พบครั้งแรกที่เม็กซิโกเมื่อปี 1900 หลังจากนั้นข่าวคราวของมันก็เงียบหายไป และมาพบอีกครั้งที่สหรัฐอเมริกา ในปี 1950 ต่อมากลุ่มคนรักแมวในประเทศแคนาดานำไปพัฒนาสายพันธุ์ กระทั่งปี 1998 สฟิงซ์ ได้รับการรับรองสายพันธุ์จาก CFA (The Cat Fanciers Association) แห่งสหรัฐอเมริกา จึงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น

    "ตำราหลายเล่มที่ผมศึกษาระบุไว้ตรงกันว่า สฟิงซ์ เกิดจากการผ่าเหล่าของแมวไทย พันธุ์วิเชียรมาศ หรือที่ฝรั่งเรียก ไซมิสแคท เหตุนี้มันจึงมีลักษณะคล้ายแมวไทยมาก นิสัยชอบเล่น อ้อน เข้ามาคลอเคลียเจ้าของ แต่สฟิงซ์มีใบหูใหญ่ ช่วงตัวยาว และลำคอยาวกว่าแมวไทย" คุณอ้อ อธิบาย

    พิสิษฐ์ บอกอีกว่า เนื่องจากสฟิงซ์เป็นแมวไร้ขน ฉะนั้นในแวดวงสัตว์เลี้ยงจึงนิยมตัวที่มีสีผิวมากว่า 2 สีขึ้นไป อาทิ ลายขาวดำ, ลายขาวเทา เป็นต้น ส่วนดวงตาของแมวสายพันธุ์นี้ หลักๆ มี 2 สี คือ เหลืองออกทอง (ใบบันทึกประวัติระบุว่า โกลด์) และ เหลืองอมเขียว (ใบบันทึกประวัติระบุว่า กรีน)

    สำหรับอาหารการกินของสฟิงซ์ มันกินอาหารเม็ดเหมือนกับแมวทั่วไป ทว่าเจ้าของต้องระวังอย่าให้มันโดนยุงกัด หรือการโดนขีดข่วน อาจทำให้ผิวหนังเป็นแผลได้ง่าย และหมั่นอาบน้ำหรือเช็ดตัววันละ 1 ครั้ง เพราะแมวพันธุ์นี้มีคราบเหงื่อไคล และไขมันออกมาตามตัวมาก รวมถึงทำวัคซีนป้องกันโรคหัดแมว โรคริวคีเมียร์ โรคพิษสุนัขบ้า ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด

    "สฟิงซ์ นับเป็นแมวหายากอีกสายพันธุ์หนึ่ง แม้ว่าสามารถเพาะพันธุ์ได้ตลอดปี แต่อัตราการเกิดต่ำกว่าแมวทั่วไป ขณะที่อัตราการตายสูงกว่าแมวพันธุ์อื่นเช่นกัน คงเป็นที่มันมียีนด้อย ส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรง โดยทั่วไปอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 8-13 ปี" เจ้ากิจการนำเข้าสัตว์เลี้ยงให้เหตุผล

    คุณอ้อ ย้ำว่า การผสมพันธุ์สฟิงซ์ ต้องใช้แมวสายพันธุ์เดียวกันเท่านั้นลูกจึงจะออกมาไร้ขน ในอดีตเขาเคยทดลองนำสฟิงซ์ผสมข้ามสายพันธุ์กับ "วิเชียรมาศ" ปรากฏว่า ความพยายามล้มเหลว ลูกแมวที่คลอดออกมาทุกตัวมีขนหมดเลย ยกเว้นลักษณะของใบหูกางใหญ่เท่านั้น ที่บ่งบอกถึงความเป็นสฟิงซ์

    การเดินทางจากแคนาดามาสู่แผ่นดินสยามของเจ้าสฟิงซ์ คุณอ้อ บอกว่า เขาสั่งซื้อจากแคนาดาเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว หวังสร้างความตื่นตัวให้แก่วงการสัตว์เลี้ยงบ้านเราเวลานั้น

    "ผมนำเข้าครั้งแรก 1 คู่ ตัวผู้เป็นแชมเปี้ยน ตัวเมียรูปร่างดี รวมแล้วเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 6,500 ดอลลาร์สหรัฐ (อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 บาท) จากนั้นก็สั่งมาเรื่อยๆ เพื่อขายต่อฟาร์มต่างๆ และเลี้ยงไว้เองอย่างทุกวันนี้เขาเลี้ยงไว้ 3 ตัว ชื่อฟักทอง, ฟาโร ส่วนอีกตัวยังไม่ตั้ง" เจ้าของแมวไร้ขน กล่าว

    แม้ว่า สฟิงซ์ อยู่ในเมืองไทยมากว่าทศวรรษ แต่ยังถือเป็นของแปลกสำหรับในบ้านเรา และมีผู้นิยมในวงแคบๆ เมื่อเทียบกับแมวไทยอย่าง สีสวาท วิเชียรมาศ ขาวมณี และศุภลักษณ์ หรือแมวจากเมืองนอกจำพวกแมวเปอร์เซีย ขณะที่สนนราคาลูกแมวอายุ 2-3 เดือน ตกประมาณตัวละ 1.5-2 หมื่นบาท

    ความแปลกของ "สฟิงซ์" ที่เกิดมาไร้ขนบนเรือนร่าง ถือเป็นจุดขายสำคัญที่กระตุ้นให้คนนิยมสัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่น

    http://content.kapook.com/cgi-bin/artman/exec/view.cgi?archive=2273&num=34121
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×