ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานอียิปต์ โอม...

    ลำดับตอนที่ #40 : ตอนที่ 3(2) : ศพอาบยา และ มรณะคัมภีร์

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 49


    ตอนที่ 3(2) : ศพอาบยา และ มรณะคัมภีร์
    พรรณนาในมรณะคัมภีร์ มีใจความสำคัญดังนี้
    ดวงวิญญาณ เมื่อถูกนำเข้าห้องพิจารณาแล้ว ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าเทพเจ้า (ประจำหัวเมืองต่างๆ) 42 องค์ (42หัวเมือง) เทพเหล่านี้ ถือว่า เป็นเทพผู้ทรงความสัตย์ มีหมาเทพโอสิริสเป็นประธาน ดงวิญญาณประกาศชื่อ ตำบล อายุ และ อื่นๆ ตามธรรมเนียมการสาบานตน ด้วยข้อความว่า

    “ เมื่อข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าไม่เคยประพฤติความชั่ว ข้าพเจ้าไม่เคยกล่าวคำเท็จ ข้าพเจ้าไม่เคยโกงแรงงานของผู้ใด ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเกียจคร้าน ข้าพเจ้าไม่เคยฆ่าสัตว์ ข้าพเจ้าไม่เคยทำลายรูปเคารพ ข้าพเจ้าไม่เคยขโมยผ้าพันศพของผู้ตาย (ถือกันนัก จนแสนจนอย่างไร จะไปขโมยผ้าพันศพของใครมาไม่ได้ ) ข้าพเจ้าไม่เคยผิดประเวณี ลูกเมียของใคร ข้าพเจ้าไม่เคยโกงตาชั่ง ข้าพเจ้าไม่เคย(ทารุณถึงกับ)เอาน้ำนมออกจากปากเด็ก ข้าพเจ้าไม่เคยจับนกที่ศักดิ์สิทธิ์(มาทรมาน)

    ต่อจากนั้นประกาศนามของเทพเจ้าแต่ละองค์ (ทั้ง 42 องค์) เป็นการแสดงความเคารพ และ ประกาศกรรมของตน เพื่อรับคำพิพากษาต่อไปใหม่ มีความว่า

    “ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นผู้เกียจคร้านข้าพเจ้าไม่เคยโอ้อวด ข้าพเจ้าไม่เคยขโมย ข้าพเจ้าไม่เคยคดโกง ไม่เคยทำร้าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยกล่าวคำหยาบ ไม่เคยปฏิเสธการฟังความจริง ไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่นเทพเจ้า”
    บางตอน ดวงวิญญาณต้องประกาศว่า “ ข้าพเจ้าเป็นผู้ภักดีต่อพระเจ้า เป็นผู้ให้ขนมปังแก่บุคคลที่หิวโหย ให้น้ำแก่บุคคลที่กระหาย ให้เครื่องแต่งตัวแก่ผู้มีกายล่อนจ้อน และให้ที่อยู่อาศัยแก่บุคคลที่ถูกทอดทิ้ง” ในขณะที่ดวงวิญญาณให้การ มหาเทพโอสิริสประทับนั่งเป็นประธาน มีตาชั่งอยู่ข้างหน้า ตาชั่งข้างหนึ่งถ่วงน้ำหนักของความประพฤติที่เคยปฏิบัติมา อีกข้างหนึ่งถ่วงน้ำหนักคำพิพากษา

    การขุดค้นหลุมฝังศพ ทางภาคเหนือของอียิปต์ ได้พบมรณะคัมภีร์อีกแบบหนึ่ง จารึกข้อความไม่เหมือนกันกับแบบต้น ขอแปลมาใส่ไว้ เพื่อให้พิจารณาเทียบเคียงว่า คำจารึกในมรณะคัมภีร์ของแต่ละถิ่น แสดงให้เห็นถึงความประพฤติของบุคคลในภูมิประเทศต่างๆกัน

    คำจารึก ในมรณะคัมภีร์ทางอียิปต์ภาคเหนือมีข้อความ(ซึ่งเห็นจะเป็นทายาทเขียนแทนผู้ตาย)ว่า “เขาเป็นคนรักบิดา เป็นคนให้เกียรติแก่มารดา รักใคร่ต่อพี่น้อง เขาไม่เคยออกจากบ้านไปด้วยน้ำใจอันไม่ผ่องใส เขาไม่เคยดูถูกคนที่ต่ำกว่า โดยวิธียกย่องคนที่มีฐานะสูงกว่า”

    บางแห่งจารึกว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนฉลาด ดวงวิญญาณของข้าพเจ้ามอบไว้แด่พระเจ้า ข้าพเจ้าเคยเป็นพี่น้องของคนดี เคยเป็นบิดา(มารดา)ของลูกที่ดี ข้าพเจ้าไม่เคยทำความผิดอันใด ข้าพเจ้าให้เกียรติยศแก่บิดามารดา เคารพนับถือผู้มีอายุสูงกว่า และกรุณาต่อน้องผู้มีอายุต่ำกว่า พี่น้องของข้าพเจ้าได้รับการนับถือเป็นอันดีจากข้าพเจ้าทุกคน เมื่อข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ผู้ใดประพฤติไม่ดี ข้าพเจ้าแนะนำสั่งสอนให้เป็นคนดี เด็กคนใดเป็นคนกำพร้าบิดามารดา ข้าพเจ้ารับเลี้ยงดูเด็กคนนั้นๆ เช่นเดียวกับลูกของข้าพเจ้าเอง”

    จารึกอีกแห่งหนึ่ง ค้นได้จากหลุมฝังศพของราชวงศ์ มีข้อความแปลกกว่าข้อความอื่นดังนี้

    “สิ่งใดที่ข้าพเจ้ากระทำไปแล้ว ข้าพเจ้าขอสารภาพดังต่อไปนี้ ความดีและความกรุณาปรานีของข้าพเจ้า ซึ่งมีแก่คนทั้งหลาย ได้กระทำไว้อย่างเพียงพอ ข้าพเจ้าไม่เคยกดขี่ข่มเหงต่อคนที่ปราศจากพ่อแม่ ไม่เคยกระทำสิ่งใดให้หญิงหม้ายได้รับความร้อนใจ ชาวประมง(ซึ่งเข้ามาในเขตการปกครองของข้าพเจ้า) ไม่เคยได้รับการรบกวน คนเลี้ยงแกะ และ กรรมกรทั้งกลายไม่เคยได้รับการกดขี่จากข้าพเจ้า”

    “ในระหว่างที่ข้าพเจ้าปกครองประชาชนพลเมือง ไม่มีใครได้รับความอดอยาก ไม่มีคนหิวกระหาย มีแต่ความสมบูรณ์ ข้าพเจ้าไม่เคยเอาความยิ่งใหญ่ และอำนาจราชศักดิ์ของตน มาเป็นเครื่องมือข่มเหงราษฎร ข้าพเจ้าได้ให้ความเสมอภาคแก่คนโดยเสมอภาคกัน”


    ยังมีจารึกในมรณะคัมภีร์อีกแบบหนึ่ง ขุดได้จากหลุมฝังศพของกษัตริย์แห่งเมืองเธบส์(Thebes) ให้ความรู้ทางศาสนาและราชจริยาวัตรของกษัตริย์อียิปต์ในสมัยโบราณไว้ดังนี้

    “ข้าพเจ้า ครองสมบัติอยู่ด้วยสัจจะ ดวงวิญญาณของข้าพเจ้า ทรงไว้ซึ่ง ความเที่ยงธรรม สิ่งใดที่ข้าพเจ้าปฏิบัติต่อประชาชนพลเมือง สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความสุขทั้งสิ้น ข้าพเจ้ามีความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าและพระองค์ก็ทรงทราบความจริงใจของข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าแจกขนมปังเป็นทานแก่คนหิวโหย แจกน้ำแก่บุคคลผู้กระหาย แจกเสื้อผ้าแก่คนที่ปราศจากเครื่องนุ่งห่ม ให้ที่อยู่อาศัยแก่คนเดินทาง ให้เกียรติยศแก่เทพเจ้าด้วยการเสียสละ และให้เกียรติแก่คนตายทุกคนด้วยเครื่องสังเวยดวงวิญญาณ”

    ข้อความสารภาพในมรณะคัมภีร์ ส่อความชัดเจนว่า ชีวิตของชาวอียิปต์โบราณเป็นชีวิตที่ประกอบด้วนศีลธรรม เป็นเครื่องหมายของผู้เจริญ ส่วนพระมหากษัตริย์นั้น แม้จะทรงมีพระราชอำนาจสามารถตัดหัวคนได้ ก็ยังมีข้อความแสดงว่าทรงปกครองบ้านเมืองโดยทศพิธราชธรรม มีเทพเจ้าเป้ฯที่พึ่ง เป็นทางปฏิบัติ และเป็นเจ้าหัวใจในการปกครองพลเมืองอยู่เป็นนิจ

    มีจารึกที่น่าอ่านอีกจารึกหนึ่ง เป็นข้อความบูชามหาเทพอเมนรา คือดวงอาทิตย์ ขุดได้ในหลุมศพของจักรพรรดิธอเมสที่3(Thomes III) ราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์เมื่อประมาณ1,600 ปี ก่อนคริสต์ศักราช จารึกไว้เป็นคำกลอน ถอดความเป็นร้อยแก้ว ได้ข้อความดังนี้

    “ข้าพเจ้าขอวันทาต่อพระองค์ ในการชิงชัยกับราชวงศ์ซีเรีย ด้วยอำนาจของพระองค์ ข้าพเจ้าได้ปราบคนเหล่านั้นราบคาบลงไปแทบเท้าของพระองค์ตลอดแผ่นดินของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้สั่งสอนราชวงศ์ซีเรียให้หันมาบูชาความรุ่งโรจน์ของพระองค์แล้ว ข้าแต่อเมนรา(ดวงอาทิตย์)”

    “ข้าพเจ้าขอวันทาต่อพระองค์ ด้วยอำนาจของพระองค์ การชิงชัยกับพวกอาเซีย ซึ่งมีชาวซีเรียเป็นหัวหน้า ผู้แสดงความโง่ว่าเป็นราชะ ข้าพเจ้าทำให้คนพวกนั้นมีหูตาสว่างขึ้น (ในนานของพระองค์) ผู้ทรงศักดิ์ ผู้ทรงสัตย์ และผู้ทรงราชย์ด้วยความสูงศักดิ์”

    “ข้าพเจ้าขอวันทาต่อพระองค์ ด้วยอำนาจของพระองค์ ข้าพเจ้าได้ปราบปรามเผ่าลิบยา(lybia) ราบคาบลงแล้ว ชนเผ่ากรีกทั้งกลายก็ได้ยอมรับนับถือเกียรติยศของพระองค์ทั่วกันแล้ว ข้าพเจ้าได้แสดงความกล้าหาญ เหมือนหนึ่งพญาราชสีห์ ได้ทำให้คนเหล่านั้นพ้นจากความบอด ได้รับความสว่างไสวขึ้นทั่วกัน”

    “ข้าพเจ้าขอวันทาต่อพระองค์ ด้วยอำนาจของพระองค์ ข้าพเจ้าได้ปราบราบคาบไปทั่วดินฟ้ามหาสมุทร ข้าพเจ้าได้แสดงความกล้าหาญ เหมือนหนึ่งพญาเหยี่ยวตัวยง ได้ทำให้คนทั้งหลายพ้นจากความมืด ให้ได้รับความสว่างไสว ตั้งแต่นี้ไป ด้วยอำนาจของพระองค์แล้ว จะไม่มีผู้ใดสามารถหลบลี้หนีข้าพเจ้าไปได้อีก”

    อีกจารึกหนึ่งเป็นจารึกของกษัตริย์เหมือนกัน มีคำสารภาพต่อหน้ามหาเทพและกล่าวคำบูชาต่ออเมนรา (ดวงอาทิตย์) ว่า “เมื่อข้าพเจ้าครองราชย์อยู่ ไม่เคยได้สร้างวิหารบูชาพระองค์อย่างนั้นหรือ ข้อนี้ก็หาไม่ ข้าพเจ้ามิได้เสียสละบูชาเทพเจ้า(โค) ทั้ง 3,000องค์นั้นดอกหรือ ข้าพเจ้ามิได้ทำสิ่งใดลงไปในนามของพระองค์ดอกหรือ ข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้าขออ้อนวอนต่อพระองค์ ข้าพเจ้ามีอำนาจอยู่ในหมู่คนป่าเถื่อนหลายเผ่า ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็ฯคนฉลาด สามารถ(ปกครองเขาอยู่ได้) ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงแสงสว่าง พระองค์ผู้วิเศษสุดกว่านักยิงธนูตั้งพัน วิเศษกว่าบุรุษอาชาไนยตั้งหมื่นแสน พระองค์เป็นผู้มีชัยชนะต่อศัตรูหมู่พาลทั้งปวง”

    “ข้าแต่พระองค์ เวลาข้าพเจ้าออกรบ ข้าพเจ้าถือเอาพระองค์เป็นสรณะ ข้าแต่อเมนรา ในเวลานั้น ข้าพเจ้าถือเอาพระองค์เป็นกำลังที่แขนซ้ายขวาของข้าพเจ้า ดวงวิญญาณของข้าพเจ้ามุ่งอยู่แต่พระมหาเทพเจ้าพระองค์นั้น ไม่ผันแปร ข้าพเจ้ารบเพื่อชัยชนะต่อข้าศึกในกาลทุกเมื่อ อเมนราเป็นบิดาของข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงนำโลกให้มาอยู่แทบเท้าของข้าทั้งสิ้น”

    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=mysmallroom&group=5
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×