คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต
ฮัตเชปซุต
ฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต ราชินีมีเครา ฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต คือผู้ปกครองที่โดเด่นจากสมัยราชอาณาจักรใหม่ พระนางสร้างอียิปต์ให้มั่นคง แต่ทว่า ผู้ปกครองสมัยหลังกลับพยายามทำลายรูปสลักและพระนามจนเกือบหมดสิ้น
ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AE%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%9B%E0%B8%8B%E0%B8%B8%E0%B8%95
มาเพิ่มขอรับ ^^
ฟาร์หญิงฮัปเซตซุส
ทุตโมสที่ 2 ผู้สืบบัลลังก์ได้ปกครองอียิปต์อยู่ 14 ปี แต่ดูเหมือนว่าจะทรงป่วยออดๆ แอดๆ อยู่ตลอด ทุตโมสที่ 2 จึงหาทางครองบัลลังก์อย่างมั่นคงด้วยการสมรสกับฮัปเชปซุต น้องสาวร่วมบิดาและธิดาของทุตโมสที่ 1 คงหวังจะได้สายเลือดของฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 เข้ามาช่วยเพิ่มสิทธิธรรมในการปกครอง
ราชินีฮัตเชปซุตนั้นนับเป็นบุคคลที่น่าสนใจที่สุด และอาจจะทรงความสามารถด้านการปกครองยิ่งกว่าฟาโรห์บุรุษส่วนมาก ทรงเชี้ยวชาญด้านการปกครองและแสดงความเป็นผู้นำจนข้าราชสำนักต่างประจักษ์ในความสามารถ
ก่อนที่พระสวามีทุตโมสที่ 2 สวรรคตในราวปี 1479 ก่อน ค.ศ. ก็ได้หาทางจำกัดความทะเยอทะยานของพระนาง โดนทรงแต่งตั้งทุตโมสที่ 3 ซึ่งเป็นพระโอรสของพระองค์กับสนมอีกนางหนึ่ง ให้ครองฐานะฟาโรห์องค์ต่อไป กระนั้นทุตโมสที่ 3 ซึ่งยังอ่อนเยาว์ก็ไม่สามารถปกครองราชอาณาจักรได้ด้วยตนเอง ฮัตเชปซุตจึงได้อ้างเอาเรื่องวัยวุฒินี้เพื่อรั้งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนทุตโมสที่ 3 ทว่าพระนางมีความมุ่งมั่นยิ่งกว่านั่น และต้องการจะเป็นผู้ปกครองปฐพีอียิปต์ โดยมีตำแหน่งเป็นฟาโรห์เสียเอง
ตลอดรัชสมัย 20 ปีที่ฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุตเป็นใหญ่ พระนางได้ทุ่มเททรัพยากรไปกับการก่อสร้างต่างๆ ทรงสร้างพระราชวังใหม่ของตนเอง และเสริมโอเบลิสก์หินแกรนิตแดงขนาดยักศ์อีกสองแท่ง ซึ่งขุดมาจากเหมืองหินที่เมืองอัสวานทางภาคใต้ก่อนจะลำเลียงล่องแพขึ้นเหนือไปที่วิหารคาร์นักในเขตเมืองธีบส์ พระนางยังมองการณ์ไกลไปถึงในยามที่จะทรงสวรรคตและตระเตรียมสุสานอันอลังการเพื่อเป็นที่พำนักในยามสิ้นลมเอาไว้ในแถบหุบผากษัตริย์ ณ หน้าผาชื่อเดียร์เอลบาห์รีติดกับวิหารของฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 2 ผู้สถาปนาราชอาณาจักรกลางที่สร้างขึ้นก่อนหน้าสมัยของพระนางถึง 500 ปี วิหารประกอบพิธีศพขนาดใหญ่ของฮัตเชปซุตนี้สร้างล้อกับหน้าผา เป็นลานยกระดับสามชั้นแต่งด้วยทางลาด และแนวเสาเสริมด้วยรูปสลักขนาดใหญ่ของเทพโอซิริส ภายในวิหารมีทั้งภาพสลักและคำจารึกเฉลิมฉลองความสำเร็จในรัชสมัยของฟาโรห์หญิงทะเยอทะเยานพระองค์นี้
ฮัตเชปซุตคงจะเป็นสีตรที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกยุคนั้น แต่ความสามารถเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ชาวไอยคุปต์หัวโบราณยอมรับสิทธิการปกครองของพระนาง ฮัตเชปซุตจึงจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องและสวมเคราปลอมให้ดูเหมือนฟาโรห์บุรุษ
แม้แต่รูปสฟิงซ์หน้าละอ่อนของพระนางก็ต้องเสริมขนแผงคออย่างราชสีห์ตัวผู้ ฮัตเชปซุตผู้ทรงอำนาจยังอวดอ้างสิทธิธรรมของตน โดยเรียกร้องเอาของกำนัลและบรรณาการจากทั่วทั้งเขตขัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำอัญมณี และหินมีค่า รวมถึงไม้หายากต่างหลั่งไหลเข้าสู่ท้องพระคลัง
บางทีฉากภาพนูนต่ำที่น่าสนใจที่สุดอาจเป็นเรื่องการส่งคณะสำรวจออกไปแลกเปลี่ยนสินค้ากับดินแดนปุนต์อันห่างไกลของชาวแอฟริกา ซึ่งมีภาพชาวไอยคุปต์ขนเอากล้าไม้หอมใส่ตระกร้า กลับมาปลูกที่หน้าวิหาร์เดียร์เอลบาห์รี
แต่ขณะที่ฮัตเชปซุตป่าวประกาศอำนาจของพระนางอยู่นั้น ฝ่ายทุตโมสที่ 3 ซึ่งถูกอาของตนจำกัดบทบาทเอาไว้เฝ้ามองด้วยความเคียดแค้น และทรงใช้เวลาไปกับการล่าสัตว์และฝึกอบรมเพื่อระบายโทสะ นักประวัติศาสตร์บางท่านยังสงสัยว่าทุตโมสที่ 3 อาจเป็นผู้วางแผนสังหารฮัตเชปซุตเสียด้วยซ้ำ ทว่าเราก็ยังไม่พบหลักฐานที่หนักแน่นสำหรับเรื่องนี้
ที่แน่ๆ คือพอทุตโมสที่ 3 ได้นั่งบัลลังก์เป็นฟาโรห์เรียบร้อยแล้วก็ทรงจัดแจงขูดทำลายพระนามและรูปสลักที่ฮัตเชปซุตอุตสาห์สร้างเอาไว้ทั่วแผ่นดิน แม้แต่แท่งหินโอเบลิสก์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสุริเทพและศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าฟาโรห์จะไปทุบทำลายได้นั้นก็ทรงสู้อุตสาห์ให้ช่างก่อหินหุ้มส่วนฐานที่มีพระนามฮัตเชปซุตให้มิดชิด
แม้แต่วิหารที่เดียร์เอลบาห์รีก็ไม่รอดพ้นการกวาดล้างนี้ ทั้งพระนามและรูปสลักของฮัตเชปซุตถูกทำลายราบแทบไม่เหลือหรอ นี่ล่ะคือวิธีที่ฟาโรห์หนุ่มผู้คึกคะนองใช้ระบายความแค้นกับผู้ที่มาแย่งสิทธิการปกครองอันเป็นชอบธรรมของพระองค์
อ้างอิง จากหนังสือพงศาวารไอยคุปต์ โดย รัฐ มหาเล็ก และทีมงานต่วยตูน
*ขออนุญาติเจ้าของบทความด้านล่างนี้ด้วยขอรับ*
ชื่อฟาโรห์หญิงฮัตเซปซุส
ฮัตเซปซุสเป็นธิดาองค์เดียวของฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 1 ตั้งแต่เล็กถูกพระบิดาหิ้วไปไหนต่อไหนด้วยนั่นหมายถึงพระนางถูกอบรมศาสตร์แห่งกษัตริย์ตั้งแต่เกิดทั้งๆ ที่ฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 1 เองก็มีลูกชายที่เกิดจากสนมคนอื่นแต่ฮัตเซปซุสก็ยังถูกตั้งให้เป็นรัชทายาทหรือผู้ร่วมว่าราชการกับพระบิดา
แต่เมื่อพระบิดาสิ้น กฎมนเทียรบาลทำให้พระนางต้องแต่งงานกับน้องชายต่างมารดาซึ่งขึ้นมาเป็นฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 2 และเมื่อฟาโรห์ผู้เป็นสวามีอ่อนแอขี้โรคแน่นอนว่าฮัตเซปซุสเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดอย่างเบ็ดเสร็จ แต่เมื่อสวามีสิ้นไปอีกตามกฎก็ต้องยกลูกชายที่เกิดจากสนมอื่นของฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 2 ตั้งขึ้นเป็นฟาโรห์องค์ใหม่คือ ฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 3
ฮัตเซปซุสใช้โอกาสนี้ยึดอำนาจจากฟาโรห์เด็กตั้งตนเองเป็นฟาโรห์โดยไร้คำขัดแย้ง และปกครองอียิปต์จนสิ้นอายุขัย แต่ฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 3 เมื่อได้ครองราชย์ต่อจากพระนางก็ได้ทำลายชื่อและหลักฐานความรุ่งเรืองที่พระนางสร้างทั้งหมด
รูปปั้นที่เหลือรอด
ฮัตเซปซุสยิ่งใหญ่อย่างไร
เพราะความเป็นผู้หญิงที่ทำให้สนใจเรื่องปากท้องของประชาชนมากกว่าเรื่องอำนาจหรือการขยายอาณาเขต ในยุคที่พระนางครองราชย์ พระนางสามารถขยายเส้นทางการค้าโดยทางน้ำไปสู่ดินแดนใหม่ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก นอกเหนือจากด้านเกษตรกรรมและการชลประทานที่วางแผนอย่างดีทำให้เรียกว่าเป็นรัชสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งของอียิปต์
ภาพแสดงตอนฟาโรห์ฮัตเซปซุสสวมมงกุฏอียิปต์บนและล่าง
แต่ใช่ว่าพระนางจะอ่อนด้อยด้านการทหาร มีหลักฐานจารึกเรื่องราวของฟาโรห์ฮัตเซปซุสนำกองทัพชนะศึกที่นูเบียนั้นหมายถึงพระนางเป็นฟาโรห์อีกพระองค์ที่กล้าไปอยู่แนวหน้าด้วยพระองค์เอง คิดในมุมกลับกันแผ่นดินที่อ่อนแอเพื่อนบ้านก็ต้องการยึดครองแต่ในรัชสมัยที่พระนางครองราชย์มีศึกครั้งใหญ่ปรากฏเด่นชัดเพียงครั้งเดียวนั่นหมายถึง ประเทศเพื่อนบ้านในตอนนั้นต้องเกรงในเดชานุภาพถึงไม่กล้ายกทัพมาต่อกร
ภาพฟาโรห์ฮัตเซปซุส (ขวา) บูชาเทพเจ้าโดยมีฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 3 ร่วมในพิธีการด้วย
การวางแผนบริหารแผ่นดินของฟาโรห์ฮัตเซปซุสเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 3 พึ่งบารมีจนยิ่งใหญ่ได้ชื่อว่าเป็น “นโปเลียนแห่งอียิปต์โบราณ” ด้วยซ้ำไปเพราะการทำศึกของฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 3 ต้องทำศึกติดกัน 17 ครั้งใน 20 ปี ถ้าการคลัง การพลเมืองไม่ถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นไปไม่ได้เลยที่อียิปต์จะสามารถทำศึกกับประเทศต่างๆ ได้ยาวนานขนาดนี้ และคิดในมุมกลับกันทำไมเมื่อฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 3 ขึ้นครองราชย์จึงเกิดสงครามติดๆ กันมากมาย
เสาในวิหาร
วิหารดีร์ เอล บาฮารีเป็นสิ่งที่พิสูจน์การมองการณ์ไกลของพระนางได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากการออกแบบที่งดงามแข็งแรงทนทานกลมกลืนกับทัศนียภาพของเซนมุต วิหารแห่งนี้ยังสร้างโดยคำนึงถึงประชาชนที่หวังมาพึ่งการรักษาจากพระที่อยู่ในวิหาร เป็นสถานที่สนับสนุนทางการศึกษาของพลเมืองและวิหารแห่งนี้เหมือนสถาบันทดลองวิทยาศาสตร์ไปในตัวเพราะ ฟาโรห์ฮัตเซปซุสได้นำพืชจากต่างแดนมาทดลองปลูกเพาะพันธุ์ที่นี่
ใบหน้าฟาโรห์หญิง
ความยิ่งใหญ่ของฟาโรห์หญิงพระองค์นี้มีมากมายจนต้องลองศึกษาประวัติของพระนางเองถึงจะรู้ว่า พระนางเก่งกาจแค่ไหน เก่งกาจจนผู้เป็นทั้งลูกเลี้ยงและหลาน ฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 3 สั่งทำลายชื่อของพระนางทุกแห่งและสลักชื่อของตนเองไปแทนบ้าง สลักชื่อฟาโรห์องค์อื่นแทนบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถลบล้างความจริงทั้งหมดได้ ชื่อของพระนางก็ยังคงมาปรากฏมาถึงยุคสมัยนี้
เซนมุตคือชู้รักของพระนางจริงหรือไม่
เซนมุตกับพระธิดาเนเฟอร์อูเร
เซนมุตคือใคร เซนมุตเป็นเสนาบดีที่เป็นที่โปรดปรานของฮัตเซปซุส และเป็นผู้ออกแบบวิหารดีร์ เอล บาฮารี และเป็นพระอภิบาลพระธิดาของฟาโรห์ฮัปเซตซุสเจ้าหญิงเนเฟอร์อูเร
ภาพล้อเลียนที่พบให้ห้องพักช่างสลัก
ทำไมเชื่อว่าเซนมุตเป็นชู้รักของฟาโรห์ฮัตเซปซุสก็เพราะนักโบราณคดีค้นพบรูปวาดบนกำแพงบนบริเวณห้องพักของช่างผู้ที่ทำหน้าที่แกะสลักวิหารดีร์ เอล บา ฮารี ซึ่งเป็นรูปล้อเลียนพระนางฮัตเซปซุสกำลังมีเพศสัมพันธ์กับชายผู้หนึ่งที่นักวิชาการคาดว่าน่าจะหมายถึงเซนมุต นั่นหมายถึงอะไร นั่นหมายถึงในสายตาของผู้ที่วาดรูปนี้เขาเห็นความสัมพันธ์ที่น่าจะมากเกินกว่าปกติของฟาโรห์ฮัตเซปซุสกับเซนมุต และเนื่องจากอีกหนึ่งเหตุผลคือเซนมุตได้รับอนุญาตให้สร้างสุสานของตัวเองในวิหารดีร์ เอล บาฮารี ซึ่งมีแต่ราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถจะทำได้
เซนมุตกับพระธิดา
โดยส่วนตัวไม่คิดว่าเซนมุตเป็นชู้รัก แต่น่าจะเป็นบทบาทอื่นที่มีความสำคัญเทียบเท่าระดับเชื้อพระวงศ์ในสายตาของฟาโรห์ฮัตเซปซุส เพราะอะไร เพราะถ้าพระนางใฝ่ในด้านรักใคร่มีหรือที่เหล่าเสนาบดีอื่นๆ ในรัชสมัยจะไม่ลุกฮือต่อต้านเป็นปัญหากับบ้านเมือง ทำไมถึงเป็นปัญหาเรื่องนี้มีบทเรียนในประวัติศาสตร์ทุกชาติคงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อิจฉาริษยากันเองในกลุ่มขุนนางมีแต่นำหายนะมาสู้ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินล้มบ้านล้มเมืองมากี่ยุคสมัยแล้ว การที่พระนางสามารถชนะใจคนหมู่มากได้ย่อมไม่นำเรื่องเล็กๆ มาทำให้เกิดปัญหากับตัวเองแน่ๆ
ภาพรูปปั้นเซนมุต
การสร้างสุสานเซนมุตในวิหารดีร์ เอล บา ฮารี ถ้าขุนนางทั้งหมดไม่ยินยอมเป็นการยากที่ฟาโรห์จะยืนยันด้วยทิฐิของตนเองเพราะสุสานไม่ได้สร้างขึ้นได้ในวันเดียว ต้องใช้แรงงานและทรัพยากรเพื่อมาสร้าง นั้นหมายถึงเซนมุตน่าจะเป็นที่ยอมรับบางประการที่ทำให้ได้รับยกย่องเทียบเท่าราชวงศ์สุสานมันถึงสร้างเสร็จ (ถึงจะไม่ได้ตกแต่งเพราะไม่ได้ใช้ก็เถอะ) เพราะนอกจากสุสานแล้วยังพบรูปปั้นของเซนมุตมากมายตามวิหารใหญ่ๆ ที่อื่นซึ่งรูปปั้นเหล่านั้นมีแต่ฟาโรห์ราชวงศ์เท่านั้นที่จะสั่งปั้นได้ไปวางในตำแหน่งของเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะวางได้ ทำไมถึงมีรูปปั้นเซนมุตถึงมีอภิสิทธิ์แบบนั้นล่ะ
รูปปั้นเซนมุต
แล้วภาพสลักล้อเลียนล่ะ เอาตรงๆ ง่ายๆ ลมปากคนมันเชื่อได้แค่ไหน ประวัติศาสตร์ยังถูกจารึกจากผู้ชนะเลย ข่าวลือจากปากต่อปาก ข่าวใส่ไฟซุบซิบนินทาจากคนที่เกลียดฟาโรห์หญิงฮัตเซปซุสเอง (จะมีใครนอกจากฟาโรห์ทุสโมสที่ 3 ซึ่งตอนนั้นไร้อำนาจ) หรือแม้กระทั่งความคิดหยาบโลนจากชนชั้นแรงงานก็เป็นไปได้ที่ทำให้เกิดรูปสลักบนกำแพงรูปนี้ ดีไม่ดี รูปนั้นใช่รูปของฟาโรห์ฮัปเซปซุสเองจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดูเอาจากสังคมใกล้ตัวเราทุกวันนี้เทียบเคียงดูสิ มีใครบ้างเกิดมาไม่เคยเจอคำนินทาหรือใส่ร้ายใส่ความแม้แต่ครั้งเดียว ข่าวดารามีมูลนิดเดียวเอาไปเขียนใส่ไฟจนคู่แตกหย่าร้างกันก็มีมาแล้ว
ทุกอย่างเป็นการวิเคราะห์ตีความจากนักโบราณคดีที่พบ และ หลายครั้งที่เมื่อมีหลักฐานใหม่ๆ เข้ามาก็มีการชำระความทางประวัติศาสตร์ใหม่ก็หลายครั้ง นักโบราณคดีหลายคนก็ช่างจิตนาการเก่งกว่านักเขียนนิยายน้ำเน่า กว่าความจริงจะถูกค้นพบเพิ่มเจ้าของความคิดตายไปแล้วก็มี
ภาพเซนมุตกับพระธิดา (ความคิดส่วนตัวเหมือนอุ้มฟาโรห์ฮัตเซปซุสมากกว่า)
ที่แน่ๆ อย่างหนึ่งคือตอนฟาโรห์ฮัตเซปซุสสิ้นแล้ว เซนมุตได้หายตัวไปด้วยอย่างไร้ร่องรอย คิดในแง่โรแมนติกคือยอมตายตามเจ้านายหรือได้รับหน้าที่ให้นำพระศพไปซ่อนจากการทำลายจากฟาโรห์ทุสโมซิสที่ 3 แต่ความคิดส่วนตัวคือ เคยเป็นคนโปรดของกษัตริย์องค์เก่าเจ้านายสิ้นหมดอำนาจวาสนาแล้ว แถมเจ้านายใหม่ยังไม่ถูกกับเจ้านายเก่า ใครมันจะโง่อยู่ชูคอให้โดนฆ่าล่ะ ...จริงหรือเปล่า...เป็นตูตูก็หนี ...นักโบราณคดีนี่ก็แปลก ง่ายมากเลยนะเรื่องนี้ไม่มีใครเสนอความคิดเห็นเรื่องนี้ซักคน
ใบหน้าที่ยิ้มตลอดเวลาของฮัตเซปซุส
พอดีมีคนทัก (ลิลลี่เบอร์ 1 อ่ะแหล่ะ) เลยได้ไปรวบรวมรูปรูปปั้นของฟาโรห์ฮัตเซปซุสเท่าที่หาได้มาดู สังเกตกันหรือเปล่าใบหน้าของพระนางเป็นใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลา
ทำให้นึกถึงเรื่องการปั้นพระพุทธรูปของไทยเลยที่ได้ยินว่าผลงานของช่างจะบอกความเป็นอยู่และอารมณ์ของช่างตอนนั้น อย่างฝีมือของช่างสุโขทัยบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขพระพุทธรูปจะยิ้มอ่อนโยน แต่พอสมัยอยุธยารบกันบ่อยรูปปั้นจะออกเครียดๆ (อารมณ์ตอนมองนะไม่ใช่ฝีมือช่าง)
สมัยนั้นก็คงเหมือนๆ กันเหล่าช่างมีความสุขที่จะทำงานถวายฟาโรห์หญิงองค์นี้ รูปใบหน้าที่ออกมาจึงเป็นใบหน้าที่ยิ้มตลอดแบบบ้านเมืองเป็นสุข ช่างปั้นทั้งหลายก็เต็มใจทำงาน กับอีกอย่างที่ทำให้คิดก็คือใบหน้าของฟาโรห์ฮัตเซปซุสที่ช่างปั้นช่างสลักทุกคนเห็นคือใบหน้าที่ยิ้มแย้มตลอด พระนางคงจะอารมณ์ดีจริงๆ ล่ะมั้งเพราะเห็นมีบางบทของผู้เขียนหนังสือบอกว่าพระนางฮัตเซปทุสเป็นผู้อ่อนน้อมรู้จักวางตัว คนอ่อนน้อมคงไม่ทำหน้ายักษ์ให้คนอื่นเห็นหรอก
ความจริงเบื้องหลังรอยยิ้มจะเป็นแบบไหนก็ไม่รู้หรือทั้งสองอย่างก็ชวนให้คิดเพิ่มดีเหมือนกัน
แล้วทำไมพระนางฮัตเซปซุสถึงต้องการขึ้นเป็นฟาโรห์แทนที่จะเป็นราชินี
รูปปั้นฟาโรห์ฮัตเซปซุสถวายเครื่องหอมเทพเจ้า
หนังสือที่ท่านเจ้าของบทความนี้แนะนำให้ไปซื้อขอรับ
และขอขอบคุณ http://iyakoop.exteen.com/20080917/hatshepsut เข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ขอรับ
ความคิดเห็น