คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : รสายนเวท (Alchemy : วิชาประสมแร่แปรธาตุ)
รสายนเวท (Alchemy : วิชาประสมแร่แปรธาตุ)
เป็นหนึ่งในหลายสาขาของเวทมนต์ซึ่งเริ่มมีขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 23 สมัย โรซีครูเชียน (Rosicrucian :โรซีครูเชียน
คือ กลุ่มคนชาวอียิปต์ที่อ้างว่าาเข้าใจพลังอำนาจของเอกภพ) พลังลึกลับที่เปลี่ยนเหล็กธรรมดาให้เป็นทองได้ยังรวมไปถึงการ
ทำยาอายุวัฒนะ หรือที่คนจีนเรียกว่า ตัน---Tan ซึ่งกินแล้วช่วยให้เป็นหนุ่มสาวตลอดกาล อายุยืนหมื่นปี หรือเป็นอมตะและ
การสร้าง มนุษย์สังเคราะห์ในหลอดแก้ว โฮมูนคูลัส---Homunculus ด้วย
ว่ากันว่า ศาสตร์แขนงนี้ได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดมาจาก เทพเจ้าอียิปต์ ที่มีนามว่า ธอธ---Thoth ซึ่งเป็นเทพผู้สร้างวิท
ยาศาสตร์ ชาว กรีก กับชาว โรมัน เรียกเทพองค์เดียวกันนี้ว่า เฮอร์เมส---Hermes ถือกันว่าเป็นเทพประจำอาชีพหลายอาชีพ
แม้กรรมวิธีจะยุ่งยากและสับสน ความพยายามที่จะเข้าใจรายละเอียดในกระบวนการของมันก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย การ
ค้นคว้าหาสูตรที่จะเปลี่ยนแร่ธาตุต่าง ๆ ให้กลายเป็นทองนั้นอาจถูกมองว่า เป็นเพราะความโลภมากกว่าความต้องการที่จะค้น
หาสัจธรรมให้กับชีวิต
ภาพของ นักรสายนเวท ในวรรณคดีและศิลปะ คือ นักวิทยาศาสตร์ยุคต้น ๆ
ที่นั่งอยู่หน้าเตาไฟที่ร้อนระอุ พยายามทุกวิถีทางที่จะหลอมแร่ธาตุและแปรให้
เป็นทอง โดยแท้จริงแล้ว ความตั้งใจจริงของ รสายนเวท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิทยา
ศาสตร์ทางเคมีใด ๆแต่เป็นความต้องการจะค้นหาสัจธรรมและความบริสุทธิ์ของ
มนุษย์ซึ่งประกอบด้วย ปรัชญา ศีลธรรม และจิตวิญญาณ นักรสายนเวท ไม่ได้
ต้องการค้นหาเวทมนต์ใด ๆ แต่ต้องการค้นหาคำตอบของเอกภพ ซึ่งเป็นเรื่อง
ที่ยากและลึกลับสำหรับมนุษย์ 0รสายนเวท มีความเกี่ยวพันกับทอง เนื่องจากทอง
เป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ มีความทนทานต่อปฎิกิริยาต่าง ๆซึ่งทำให้ ทอง
ไม่หมองคล้ำและไม่ถูกกัดกร่อน นอกจากคุณสมบัติเฉพาะตัวแล้ว ทอง ยังเป็นอุป
มาของความงาม ความบริสุทธิ์ และความอดทน ทอง จึงเป็นตัวแทนของสิ่งที่
นักรสายนเวท ค้นหา สิ่งใดที่ทำให้แร่ธาตุเปลี่ยนสภาพเป็นทองได้เร็วเท่าไรก็จะ
มีอำนาจต่อมนุษย์มากตามไปด้วยพิธีกรรมที่ประกอบขึ้นเป็นเพียงการแสดงประ
กอบการค้นหาสัจธรรมโดยใช้ ทอง เป็นตัวแทน
ประวัติ รสายนเวท มีมากว่า 2,000 ปี ในแถบตะวันตก ตะวันออก และแถบ
ประเทศอาหรับ ถือว่าเป็นความเชื่อและพิธีกรรมที่มีอายุยาวนานที่สุด อาจจะเป็น
เพราะว่า วัตถุที่นำมาประกอบพิธีคือ ทอง นั้น เป็นที่หมายปองของมนุษย์ทุกสมัย
ความไม่ซื่อสัตย์และการหลอกลวงย่อมมีขึ้นแน่นอน แต่จุดมุ่งหมายหลักของ รสายนเวท ก็ยังคงอยู่ที่ความสมบูรณ์เป็นเลิศที่แทนด้วยวัตถุที่เป็นเลิศอย่างทอง
และหมายถึง จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของมนุษย์รสายนเวท นี้มีขึ้นก่อนคริสต
กาลทั้งใน จีน และ ยุโรปตะวันออก เริ่มต้นเมื่อประเพณีของ อียิปต์ และ กรีก ถูกนำมารวมกันเพื่อค้นหากุญแจสู่เอกภพ ต่อมา 500 ปี
รสายนเวท ใน ยุโรป ก็เสื่อมลงแต่กลับไปเจริญในแถบ อาหรับ และ ตะวันออก แทน กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในยุโรป ในพุทธศตวรรษที่
17 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นกว่าเดิม จนการศึกษาค้นคว้าแตกแขนงออกไปเป็นศาสตร์หลายแขนง เช่น ปรัชญา วิทยาศาสตร์ การแพทย์
ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นต้น
นักรสายนเวท แต่ละคนต่างต่างสมัย ต่างก็มีวิธีของตนที่จะค้นคว้าหาคำตอบของตนเอง จึงทำให้ไม่มีวิธีที่ซ้ำกันเลย แม้จะมีความ
แตกต่างในกลวิธี ใจความสำคัญ 3 ประการ ก็ยังคงเหมือนกัน
ประการแรก เน้นการศึกษาในวัตถุแร่ ศึกษาในรูปธรรมของวัตถุในห้องทดลอง และการทดลอง
ประการที่ 2 คือ ความเข้าใจในความสำคัญของการบำบัดรักษาโดยใช้สมุนไพรและสารเคมีต่าง ๆ ให้เป็นยาที่มีประโยชน์
ใช้รักษาได้
ประการที่ 3 เกี่ยวข้องกับปรัชญาและความลึกลับของมนุษย์ค้นหาแสงสว่างแห่งสัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตและหน้าที่ของมนุษย์
ต่อเอกภาพ
ทุกสาขาของ รสายนเวท จะประกอบด้วยใจความสำคัญทั้ง 3 นี้ จะต่างกันก็ตรงที่การเน้นความสำคัญของแต่ละใจความ
สูตรลับใน รสายนเวท นั้น มีที่มาแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล สูตรลับนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่า เป็นของขวัญของพระเจ้า ซึ่งแต่
ละสูตรอาจได้มาจากความฝัน นิมิต หรือจากวิญญาณ เนื่องจาก นักรสายนเวท มักทำงานคนเดียวและไม่มีครูสอน การค้นพบสูตร
จึงต้องเป็นไปตามวิธีที่กล่าวมาผนวกกับแรงบันดาลใจ ซึ่งบางคนอาจได้ผลลัพธ์เช่น
นักรสายนเวท อาจเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ลัวนมีมวลสารอันเป็นแก่นแท้ของตัวมันเองเป็นส่วนประกอบมากน้อยแตก
ต่างกันไป มวลสารนี้เรียกว่า พรีมา แมทีเรีย---Prima Materia ซึ่ง (ในตำราแนะให้เรียกมันว่า) "แก่นมวลสาร" เช่น ปรอท
นักรสายนเวท จะเอาปรอทธรรมดามาแยก หรือ "ไล่" ธาตุลม ธาตุดิน และธาตุน้ำออกไปให้หมด ส่วนที่เหลือก็จะเป็น แก่นมวลสาร เข้าใจว่าแร่หรือโลหะอื่นพอไล่ธาตุพวกนี้ออกแล้วก็จะได้แก่นมวลสาร เหมือนกันหมด แต่ได้มากน้อยแตกต่างกันไปเท่านั้น
แก่นมวลสาร นี่เองที่จะนำมาเปลี่ยนเป็นทองคำ แต่จะต้องเอามาผสมกับ หินฟิโลโซเฟอร์---Philosopher's stone : หิน
แห่งนักปราชญ์ หรือ "จินดามณี" ซึ่งได้จากการเอากำมะถันมาไล่ส่วนประกอบอื่นออกให้หมดจนเหลือเนื้อแท้ของมัน ซึ่งมีอยู่ 2
ชนิด คือชนิดสีขาว กับชนิดสีเหลือง จินดามณีขาวเมื่อผสมกับแก่นมวลสารแล้วจะกลายเป็นเงินบริสุทธิ์ ส่วนจินดามณีสีเหลืองจะ
เปลี่ยนแก่นมวลสารเป็นทองคำ
กรรมวิธีต่าง ๆ มีขั้นตอนสลับซับซ้อนมาก องค์ประกอบที่ถือเป็นหัวใจของการผลิตคือ "ไฟ" การหุงแร่ให้ได้ แก่นมวลสาร
และจินดามณี ต้องใช้ไฟที่มีความร้อนสูงมาก การจะวัดอุณหภูมิของไฟ ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มีเครื่องวัดอุณหภูมิ นักรสายนเวทจึง
นิยมใช้ "ตุ๊กแกไฟ" เป็นที่สังเกต ถ้า ตุ๊กแกไฟ ลงไปเกลือกกลิ้งในกองไฟเมื่อไหร่ แสดงว่าไฟร้อนได้ที่ แต่ ตุ๊กแกไฟ นี่ต้องไปจับ
มาจากปล่องภูเขาไฟ และจะเจอตัวมันเฉพาะตอนภูเขาไฟกำลังระเบิดพ่นหินลาวาออกมาพวกมันก็จะออกมาดำผุดดำว่ายอยู่ใน
ธารลาวา ถ้าจะจับมันจึงต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจาก หนังของตุ๊กแกไฟ อีกด้วย
ส่วน ยาอายุวัฒนะ ทำยากกว่าทำ จินดามณี อีก เพราะตัวยาต้องประกอบด้วยธาตุหลักครบทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม
ธาตุไฟ เอามาผสมกับตัวยาที่ได้จากสัตว์ พืช และที่ขาดไม่ได้คือ แก่นมวลสาร ฉะนั้นถ้าจะทำ ยาอายุวัฒนะ ก็ต้องรู้วิธีเปลี่ยนโล
หะพื้น ๆ ให้เป็นทองคำซะก่อน 000ส่วน นักรสายนเวท บางคนเชื่อว่า แม่แร่ หรือ Philosopher's stone : หินแห่งนักปราชญ์
นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็น หิน แต่เป็นอะไรก็ได้ที่สามารถเปลี่ยนวัตถุธรรมดาให้เป็นสิ่งที่มีความเป็นเลิศในทางวัตถุ ก็คือ ทองแต่ในด้าน
อื่น ๆ อาจหมายถึง สัจธรรม หรือความเป็นอมตะ สิ่งใดก็ได้ที่สามารถทำให้ความเจ็บป่วยหายไป สงครามสงบสิ้นลงมันคือสิ่งที่ทุก
คนต้องการเป็นน้ำทิพย์แห่งชีวิต นักรสายนเวท ต่างทุ่มเทชีวิตเพื่อค้นหา แม่แร่ นี้ บ้างประสบความสำเร็จ บ้างก็ผิดหวัง การค้น
คว้าเกิดขึ้นในห้องทดลองพร้อมกับในจิตใจของ นักรสายนเวทกลวิธีทางจิตของพวกเขาทำให้เรานึกถึงพวกหมอผีที่ใช้วิญญาณเป็น
เครื่องนำทางผ่านความฝันและนิมิตรต่าง ๆ หรือใช้การนั่งสมาธิเพื่อค้นหาสัจธรรม
รสายนเวท เริ่มต้นด้วยการเตรียมแร่ธาตุที่จะนำมาแปร จากนั้นก็เข้าสู่กรรมวิธีที่แตกต่างในการหล่อหลอมธาตุด้วยส่วนประ
กอบ 3 อย่าง คือ เกลือ ปรอท และ ซัลเฟอร์ เมื่อส่วนประกอบทุกอย่างถูกใส่ลงไปและหลอมรวมกันแล้วก็จะได้ธาตุประกอบชนิด
ใหม่ที่เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งของจิต นักวิทยาศาสตร์เน้นที่วัตถุประสงค์ของการทดลอง แต่ นักรสายนเวท จะเน้นแค่
การที่ตัวเองได้เข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนการทดลองนั้น และได้มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตและทำสมาธิพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง
ของแร่ธาตุที่ถูกหลอม การเอาใจใส่กับทุกขั้นตอน การเปลี่ยนแปลงทำให้ นักรสายนเวท ถูกมองว่ามีนิสัยหมกมุ่น
นักรสารยนเวท มนยุคบุกเบิกจะทำงานอถชุทิศเวลาเกือบทั้งหมด
ให้กับการศึกษาค้นคว้า และทดลอง
นักรสายนเวท มาจากหลายชนชั้นและหลายประ
เภท ตั้งแต่คนชั่วร้ายที่มีแต่ความโลภ จนถึงผู้ที่มีความ
ตั้งใจจริงและทุ่มเทให้กับมันจนสิ้นเนื้อประดาตัว นัก
รสายนเวท ผู้ทุ่มเท จะใช้เวลาทุกนาทีที่เขาตื่นไปกับ
งานที่เขาทำอยู่ ปริมาณของวัตถุแร่และเชื้อเพลิงที่ใช้
ในการเผาไหม้หลอมละลายธาตุก็มากตามเวลาที่ทุ่มให้
บางคนโชคดีได้รับการสนับสนุนจากผู้มีทุนทรัพย์ ซึ่ง
ก็มักหวังจะถอนทุนคืนเมื่อการทดลองสำเร็จ ความล้ม
เหลวอาจหมายถึงความตายได้เพราะนายทุนย่อมไม่
ยอมเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่ ตัวอย่างเช่น ใน
สมัยจักรพรรดิ รูดอล์ฟ (Rudolph) แห่งโรมัน
ในพุทธศตวรรษที่ 14 มีการทุ่มเทสร้างห้องทด
ลองรสายนเวท อย่างจริงจัง พระองค์ทรงสร้างชุมชน
สำหรับนักรสายนเวท อาศัยอยู่รวมกันและทำงานทด
ลอง
หนทางการเป็น นักรสายนเวท ที่ประสบความสำ
เร็จนั้นยากลำบากมาก ต้องทุ่มเททั้งพลังสติ ปัญญา จิต
วิญญาณ เวลาและที่สำคัญคือ กำลังทรัพย์
ที่น่าแปลกใจ คือรสายนเวท ไม่ได้เป็นที่ขัดขวาง
ขององค์กรทางศาสนาตลอดระยะเวลา 2,000ปีที่มีมันอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่น การต่อต้านก็มีบ้างแต่เป็นการต่อต้านผู้ที่หลอกลวงเพียง
เพื่อหวังลาภยศชื่อเสียงเท่านั้นนักรสายนเวท หลายคนเป็นนักบวชในศาสนาด้วย โบสถ์ในยุคกลางหลายแห่งมีสัญลักษณ์ของ รสายนเวท เป็นสัญลักษณ์ประจำโบสถ์อย่างที่โบสถ์แห่ง นอร์ทเตอร์ ดาม (Notre Dame) ใน ปารีส ที่มีประตูบานใหญ่ที่สลักด้วยสัญลักษณ์ของ
รสายนเวท อย่างสวยงาม
นักรสายนเวท หลายคนเชื่อว่า สูตรลับได้ถูกเปิดเผยในอดีตและถูกซ่อนไว้ การค้นหาสูตรลับจึงเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่ นักรสายนเวท
ต้องทำ รสายนเวท เป็นความเชื่อที่มีพิธีกรรมอย่างเปิดเผย แต่สูตรที่ใช้ใน รสายนเวท ยังคงเป็นความลับที่ต้องค้นหาต่อไป ไม่มีอะไร
ง่ายและเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา เอกสารที่มีสูตรเขียนอยู่ไม่ได้เป็นที่เข้าใจสำหรับทุกคน สูตรมีสัญลักษณ์ต่าง ๆมากมายที่รู้ความหมาย
เฉพาะในหมู่ นักรสายนเวท เท่านั้น
เนื่องจากความลึกลับของสูตรและขั้นตอนของพิธีกรรมทำให้ผู้ปกครองบางสมัยเห็นว่ามันเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของตน เอก
สารเกี่ยวกับสูตรลับถูกเผาหมดสิ้นในสมัย จักรพรรดิ ดิโอเคลเชียน (Diocletian) แห่ง โรมันในพุทธศตวรรษที่ 8 พระองค์ห้ามมิให้
มีการใช้วิชา รสายนเวท ในสมัยนั้น
ความระแวงสงสัยทำให้ นักรสายนเวท ตกอยู่ในอันตรายในบางครั้งและนั่นยิ่งทำให้พวกเขาปิดบังสูตรและพิธีกรรมต่างๆมากขึ้นมี
การสร้างที่ลับเฉพาะเพื่อเก็บสูตรลับและสูตรก็ยังเขียนด้วยรหัสลับอีกชั้นหนึ่งด้วย
ในพุทธศตวรรษที่ 13 นักรสายนเวท ชาว อาหรับ ชื่อ อาบูมูสา จาบีร์ (Abu Musa Jabir) ได้คิดค้นระบบสัญลักษณ์แทนค่าขึ้น
มาและระบบนั้นเองเป็นรากฐานของ สมการทางเคมี และยังมีใช้ถึงปัจจุบัน คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจสมการนี้ได้ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ประ
ดิษฐ์ขึ้นได้เป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์แห่ง รสายนเวท ที่รวมไปถึงภาพเขียนและบทเพลงที่เกิดจากพิธีกรรมด้วย
รสายนเวท จุดประกายการให้สัญลักษณ์สื่อความหมายต่าง ๆ ความคิดทำนองนี้ถูกนำไปใช้ในภาพเขียนทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่
เขียนขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้ที่เห็นภาพสามารถแปลภาพออกมาเป็นความหมายแตกต่างกันไปตามจินตนาการที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ขั้นตอนของ รสายนเวท นั้นเปรียบได้กับขั้นตอนการฝึกฝนด้านจิตวิญญาณ นักรสายนเวท ต้องใช้สมาธิและมันสมองในการคิดสูตร
ลับอย่างมาก ความตั้งใจจริงที่จะบรรลุรสายนเวท เป็นการฝึกจิตให้มีสมาธิแกร่งกล้าเป็นไปในทางเดียวกับ ฤาษีดัดตนที่ตั้งจิตแน่วแน่ที่
จะฝืนกฎธรรมชาติโดยการทรมานตนจนพบทางสว่าง
ทางสว่างของ นักรสายนเวท ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ คือ ธาตุที่เปลี่ยนเป็นทองหลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่มีข่าวลือว่า
นักรสายนเวท คนนั้นบ้างคนนี้บ้างทำสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้มีข้อพิสูจน์จริงจังอะไร ข่าวลือที่เกิดขึ้นมักเป็นสัญลักษณ์ว่า ในสมัยนั้น รสายนเวท
ได้เป็นที่นิยมและเจริญรุ่งเรืองยิ่ง
ข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด คือ เรื่องของแพทย์ชาว ฮอลแลนด์ (Holland) ชื่อ เฮลเวติอุส (Helvetius)ในพุทธศตวรรษที่22 แพทย์ผู้นี้
เป็นที่ยกย่องนับถือของผู้คนโดยทั่วไปเนื่องมาจากความมีเหตุผลและหลักการของเขา เฮลเวติอุส เล่าว่า มีคนแปลกหน้ามาหาเขาและบอก
เขาว่า รู้สูตรลับ และมี "แม่แร่" อยู่ในครอบครอง เฮลเวติอุส ได้รับตัวอย่างหินมาชิ้นหนึ่งแล้วนำมาทดลองตามสูตรที่คนแปลกหน้าบอกก็
ปรากฏสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น เขาได้เปลี่ยน ตะกั่ว ให้เป็น ทอง ได้ทองจำนวนนั้นได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากผู้ชำนาญการถลุงแร่
ประจำเมืองว่า เป็นทองคำบริสุทธิ์จริง นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่า เรื่องของ เฮลเวติอุสเป็นเพียงนิทานเปรียบเทียบให้เห็นถึงหลักแท้จริง
ของวิชา รสายนเวท แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
เช่นเดียวกับเรื่องลึกลับเรื่องอื่นที่ไม่ได้ถูกลืมหรือเสื่อมสลายเป็นการถาวร รสายนเวท ได้พัฒนาและคงอยู่จนถึงปัจจุบัน การพัฒนา
ที่เห็นได้ชัดเจน อยู่ในปี พ.ศ. 2462 เมื่อนักฟิสิกส์ชาว อังกฤษ ชื่อ ลอร์ด รูเธอร์ฟอร์ด (Lord Rutherford) ได้ประสบความสำเร็จใน
การแปร ไนโตรเจน เป็น ออกซิเจน แม้ว่าขั้นตอนจะยากลำบากและยาวนาน ประกอบไปด้วยพลังงานกัมมันตรังสีและอื่น ๆการพัฒนานี้ได้
ล้มล้างนิยามที่ว่า ธาตุไม่สามารถแปลงไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้ และแล้ว วิทยาศาสตร์ ก็ได้พัฒนาสิ่งที่ นักรสายนเวทเชื่อและยึดถือปฏิบัติมา
เป็นพัน ๆปีปัจจุบันการรวมตัวของอนุภาคที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบทำให้ แปรแร่ธาตุอื่น เป็นทองสามารถทำได้ทุกเมื่อเพียงแต่ต้องใช้ทุน
ทรัพย์สูงเท่านั้นเองสิ่งที่เคยเป็นเรื่องเหลวไหลในสมัยก่อนกลับเป็นเรื่องที่มีการศึกษาค้นคว้าเป็นอย่างมากในปัจจุบันดังจะเห็นได้จากการ
แปรอนุภาคของธาตุให้เป็นพลังงานที่สูงสุด คือ พลังงานนิวเคลียร์
http://surin.info:64/article/detail.php?tid=58
ความคิดเห็น