ตอนที่ 1 : ll BEAST ll Junseung : Upcycle :: butterfly
Upcycle
:: butterfly ::
Junhyung x Hyunseung
by doraaung
มือแกร่งกำเข้าหากันแน่นเมื่อสายตาสบเข้ากับร่างบางที่เปล่งประกายดั่งดวงดาวอยู่ท่ามกลางผู้คน รอยยิ้มสดใสที่นานๆครั้งจะได้เห็น เสียงหัวเราะที่ไม่บ่อยนักจะได้ยิน ดวงตายิ้มที่ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยงจุนฮยองเห็น มันทำให้เขารู้สึกจุกแน่นที่อก ทรมานจนแทบจะหายใจไม่ออก ดวงตาแดงก่ำและฉ่ำไปด้วยน้ำแห่งความเจ็บปวด
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด
“ไปเถอะมึง” เสียงเพื่อนรักดึงสติของจุนฮยองให้หลุดออกจากความรู้สึกที่ทำให้เจ้าตัวจมดิ่งสู่ความมืดมิดของความคิดและจิตใจ สายตาว่างเปล่าละสายจากดวงดาวเจิดจรัสหันมาสบดวงตาห่วงใยของเพื่อนสนิท เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าแล้วก้าวเดินไปพร้อมกับเพื่อนที่ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดภายในหัวใจของเขามาโดยตลอด
ความเจ็บปวดที่จางฮยอนซึงเป็นผู้กระทำ
“มึงอย่าโกรธมันเลย”
“…”
“คนเราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง” แม้น้ำเสียงจะฟังดูหนักแน่นและปล่อยวาง หากแต่จุนฮยองเห็นว่ามือแกร่งของยุนดูจุนกำหมัดแน่นมากแค่ไหน ทั้งที่รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างหาก แต่ยังพยายามพูดเพื่อให้เขารู้สึกดี แสดงออกราวกับไม่รู้สึกอะไรต่อการไปของเพื่อนคนสำคัญ จากไปเพื่อบินบนเส้นทางที่สวยงามเส้นใหม่ แล้วทิ้งพวกเขาให้จมอยู่กับเส้นทางอันมืดมน
“จุนฮยอง”
“มึงเลิกพูดเถอะ กูขี้เกียจฟัง” การพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงรำคาญทำให้ดูจุนเลือกที่จะหยุด แม้มีอีกหลายอย่างที่อยากจะพูดปลอบใจทั้งเพื่อนรักและตัวเอง แต่เวลานี้คงไร้ประโยชน์เมื่อคนที่เป็นห่วงไม่อยากฟัง และเขาไม่ได้เข้มแข็งมากขนาดนั้นเมื่อเห็นเพื่อนที่จากไปอยู่อย่างมีความสุขโดยที่พวกเขายังจมอยู่กับความว่างเปล่าแล้วจะไม่รู้สึกอะไร
“ไอ้กีกวังมันจะมาตอนไหน”
“อยู่ที่ตึกแล้ว”
“อืม” ตอบรับเสียงเรียบแล้วก้าวเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ตลอดเวลาสองปีที่พวกเขาก้าวลงเรือลำเดียวกันเพื่อแล่นไปหาความฝันในการเป็นวงดนตรีร็อคที่สร้างความสุขให้กับผู้ฟังทั่วโลก ล้มลุกคลุกคลาน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขและความทุกข์มาด้วยกัน
แต่สุดท้ายความฝันยังคงเป็นเพียงความฝัน และยิ่งเลือนลางเมื่อนักร้องนำของวงเลือกที่จะทิ้งความฝันรวมไปหาความฝันเดี่ยวของตัวเอง สร้างบาดแผลและความเจ็บปวดให้กับเพื่อนร่วมชะตากรรมถึงสี่ชีวิต
“พี่ดูจุน พี่จุนฮยอง” เสียงตะโกนเรียกของซนดงอุนที่ยืนยิ้มกว้างโบกไม้โบกมืออยู่หน้าตึกสองชั้นที่พวกเขาช่วยกันลงทุนเพื่อซื้อสำหรับฝึกซ้อม เป็นเวลากว่าสองปีที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แม้จะไม่ได้ใหญ่โตแต่เพียงพอสำหรับห้าชีวิตที่มีฝันหนึ่งเดียวกัน ลำบากหน่อยแต่มีความสุข แออัดไปนิดแต่ได้เห็นหน้าของเพื่อนที่รักและได้ซ้อมดนตรีด้วยกันทั้งวันทั้งคืน
แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา
แต่มันคงไม่เพียงพอสำหรับจางฮยอนซึงคนนั้น
“เสียงดังโวยวาย” ดูจุนว่าเข้าให้กับคนอายุน้อยที่สุด แต่เจ้าเด็กร่างสูง ใบหน้าคมเข้มราวกับไม่ใช่คนเกาหลีกลับยิ้มแป้นไม่สนใจ แถมยังเดินมาคล้องแขนเขาโดยไม่สนว่าอายุจะห่างกัน
“กีกวังล่ะ”
“มาแล้วพี่” น้ำเสียงดีใจเกินกว่าเหตุ ไหนจะสีหน้าที่แสดงออกว่าเชินอายทำให้ดูจุนต้องหรี่ตามองอย่างแปลกใจ
“มีอะไร”
“ไม่มีอะไรพี่”
“อย่ามาโกหก บอกมา”
“ไม่มี…โอ๊ยๆ บอกแล้วๆ บอกแล้วพี่ โอ๊ยยยย” ดงอุนดีดดิ้นด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกพี่ชายหน้าหล่อขวัญใจสาวๆหยิกเข้าที่เอวอย่างไร้ความปราณี “นะ นักร้องใหม่น่ะ”
“นักร้องใหม่ ทำไม?”
“น่ารักดิพี่ น่ารักมากเลย เสียงนี่หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า” ดูจุนขมวดคิ้วมุ่น หากจำไม่ผิดเขาบอกให้กีกวังหานักร้องที่เป็นผู้ชายไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงได้ชมว่าน่ารัก หรือกีกวังจะฟังไม่รู้เรื่องถึงได้พาผู้หญิงมา แต่ถึงอย่างไรหากเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยคงต้องปล่อยไปเหมือนทุกรายที่ผ่านมา ดูจุนยักไหล่แล้วหันไปมองจุนฮยองเพื่อขอความคิดเห็น แต่เพื่อนตัวดีกลับไม่อยู่แล้ว
“อ่าว”
“โหย แก่แล้วก็งี้ พี่จุนฮยองไปตั้งนานแล้วลุง”
“ไอ้นี่!”
“แบร่!” ดงอุนแลบลิ้นใส่แล้ววิ่งหนีเข้าตึกไปก่อนจะถูกพี่ชายทำโทษ ดูจุนส่ายหน้าน้อยๆ เดินเข้าไปในตึกเพื่อร่วมตัดสินนักร้องคนใหม่ของวงที่จะมาแทนที่นักร้องคนเดิม
จางฮยอนซึง
----- #ฟิคดัดแปลง -----
บรรยากาศภายในห้องซ้อมตกอยู่ในความเงียบหลังจากสิ้นเสียงสุดท้ายของชายหนุ่มร่างเล็กเจ้าของใบหน้าน่ารัก เพื่อนรักสี่คนเหลือบตามองกันอย่างใช้ความคิด เพราะน้ำเสียงของยังโยซอบแตกต่างจากน้ำเสียงของจางฮยอนซึงโดยสิ้นเชิง พวกเขารวมตัวกันในฐานะวงร็อค แต่ไม่ปฏิเสธว่าโยซอบมีเสียงที่แสนวิเศษ ซึ่งคงเสียดายมากหากปล่อยให้หลุดมือไป
“เอ่อ…” โยซอบที่ถูกสายตาทั้งสี่คนมองครางออกมาเบาๆด้วยความประหม่า เขาไม่ค่อยชอบบรรยากาศกดดันแบบนี้เท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไรเลยทำตัวไม่ถูก
“เอางี้แล้วกัน” แล้วก็เป็นกีกวังที่เอ่ยขึ้นมาทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด คนตัวเล็กเดินไปหาเพื่อนตัวเล็กพอกันพร้อมกับกอดคอให้กำลังใจเพื่อนน่ารักของตน “เดี๋ยวคุยกันก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที”
“เออๆ ผมเห็นด้วย” ดงอุนรีบเอ่ยสนับสนุน ซึ่งอีกสองหนุ่มที่อายุเยอะสุดก็พยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร เห็นแบบนั้นโยซอบถึงได้ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก คนตัวเล็กหันไปสบตากับเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนพร้อมพยักหน้าเบาๆเป็นการเข้าใจ
“งั้นเรากลับเลยแล้วกัน”
“ไม่ไปส่งนะ”
“เออน่า” โยซอบตอบอย่างไม่จริงจังก่อนจะหันมาโค้งหัวให้กับคนที่เหลือพร้อมบอกลา “กลับแล้วนะครับ”
“โหยพี่ ขนผมยังลุกอยู่เลยอ่ะ” หลังจากที่โยซอบออกไปแล้ว ดงอุนก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับโชว์แขนให้เหล่าพี่ชายดู ส่วนสาเหตุคือเจ้าของน้ำเสียงสวรรค์ยังโยซอบนั่นแหละ ซึ่งทุกคนต่างเห็นด้วย เพียงแต่ว่า…
“เสียงไม่เหมาะกับวงเรา” จุนฮยองที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เป็นประโยคที่ทุกคนในวงต่างเห็นตรงกัน กีกวังที่เตรียมใจมาแล้วเม้มปากแน่น เขารู้ว่าเสียงของโยซอบไม่เหมาะกับแนวของวง แต่เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวเพื่อนทุกคนเขาถึงได้พาโยซอบมา
บางทีมันอาจถึงเวลาสำหรับการเปลี่ยนแปลง
“ฉันรู้ แต่ขอโอกาส”
“เหตุผลล่ะ” ดูจุนเอ่ยขึ้นบ้าง เขามองกีกวังที่แววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจด้วยความสนใจ ไม่บ่อยเท่าไหร่ที่จะกีกวังแสดงความคิดเห็นอะไรจริงจังแบบนี้ อยากรู้นักว่ารุ่นน้องคนนี้มีเหตุผลอะไรถึงได้เลือกสิ่งที่ต่างจากความเป็นวง
“เริ่มใหม่กันเถอะ” กีกวังพูดพร้อมกับยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ซ่อนความเศร้าเอาไว้ ซึ่งทั้งสามคนเห็นมัน เพราะเป็นความเศร้าแบบเดียวกับที่พวกเขาต้องพบเจอมาตลอดหนึ่งปี “ไม่ได้บอกให้เปลี่ยน แค่อยากให้ปรับ เพื่อเดินหน้าต่อ”
“…”
“ฉันรู้ว่าพวกนายกลัว ฉันเองก็กลัว แต่ฉันไม่อยากให้พวกเรารอ…” ริมฝีปากหนาเม้มเป็นเส้นตรง สบตากับเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน ไม่ว่าจะผิดหวังกี่ครั้งก็ช่วยประคองกันเพื่อเริ่มใหม่ ไม่ว่าจะเสียใจหนักแค่ไหนก็กอดคอปลอบกันและกันให้หายเศร้า พวกเขาต่างช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจกัน สู้ด้วยกัน พยายามด้วยกัน แม้ในวันนี้จะยังเดินไปไม่ถึงฝัน
แต่ก็ไม่เคยทิ้งกัน
เว้นเสียแต่คนคนนั้น…จางฮยอนซึง
“รออะไรที่ไม่มีวันกลับมา” กีกวังพูดเสียงสั่น ไม่ใช่แค่ใครคนใดคนหนึ่งที่เจ็บปวด แต่พวกเขาทุกคนล้วนเจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาไม่รู้หรอกว่าสำหรับฮยอนซึงแล้วที่ผ่านมาคืออะไรถึงได้จากกันไป แต่สำหรับพวกเขาที่ผ่านมาคือทั้งหมดของชีวิตที่ต้องช่วยกันดูแล รักษาและปกป้องความฝันเพียงหนึ่งเดียว
“ฉันมั่นใจว่าพวกเราทำได้ พวกเราสามารถทำให้โยซอบเหมาะกับพวกเราได้”
“…”
“พวกเราทำได้ แค่พยายามเหมือนที่ผ่านมา” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทุกคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง นานมากแล้วที่ไม่มีใครพูดเรื่องนี้จริงจัง เพราะทุกคำพูดจะสร้างความปวดร้าวให้กับคนฟัง ดังนั้นทั้งสี่คนจึงพยายามหลีกเลี่ยง แม้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะยังคงสร้างความเสียใจและผิดหวังให้ใจทุกดวงเสมอมา
“ดูจุน จุนฮยอง” กีกวังเรียกชื่อคนอายุมากกว่าตน แต่เพราะนับถือกันเป็นเพื่อนจึงได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องเรียกพี่ได้ ดวงตากลมโตละจากทั้งสองคนมามองน้องเล็กที่นั่งกุมมือก้มหน้าอยู่ “ดงอุน”
“ยะ…อย่าไปนะ” เสียงสะอื้นของดงอุนทำให้บรรยากาศในห้องหดหู่ยิ่งกว่าเดิม คนอายุน้อยที่สุดเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเหล่าพี่ชาย ริมฝีปากสั่นพยายามที่จะยกยิ้ม แต่มันช่างยากเหลือเกินในเวลานี้ “ผมโคตรอยากพูดคำนี้ในตอนนั้น”
ทั้งสามคมต่างพากันหลบสายตาโศกเศร้าของดงอุนที่อารมณ์ค่อนข้างอ่อนไหว แม้จะไม่มีใครพูดอะไร แต่รู้สึกไม่ต่างกัน ดูจุนที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าวงกำหมัดแน่น ถึงจะพยายามลบเลือนภาพในวันนั้นให้ออกจากหัวมากแค่ไหน แต่ยิ่งพยายามกลับยิ่งจดจำและยิ่งเจ็บปวด ไม่ต่างจากกีกวังที่แม้ใบหน้ามักจะยิ้มแย้ม แต่ใจพังไม่เหลือชิ้นดี
โดยเฉพาะยงจุนฮยอง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการไปของฮยอนซึงรุนแรงที่สุด เพราะสำหรับจุนฮยองแล้วฮยอนซึงไม่ใช่เพียงแค่เพื่อนร่วมวง ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อนร่วมล่าฝัน
แต่จางฮยอนซึงคือดวงใจของยงจุนฮยอง
ถึงอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะรักฮยอนซึงน้อยกว่าจุนฮยอง เพียงแต่ความรักมันแตกต่างกัน สำหรับคนอื่นฮยอนซึงคือเพื่อนคนสำคัญ แต่สำหรับจุนฮยอง ฮยอนซึงเป็นมากกว่านั้น แม้จะไม่มีคำจำกัดความของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าทั้งสองคนต่างคือคนพิเศษของกันและกัน
“ผมน่าจะ…น่าจะรั้งพี่เขาไว้ ผมน่าจะทำอะไรซักอย่างเพื่อ…”
“ซนดงอุน” น้ำเสียงเย็นชาที่ไม่บ่อยนักจะได้ยินทำให้คนอายุน้อยสุดสะดุ้ง ดงอุนหันไปสบตาดวงตาดุของจุนฮยองก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาน่ากลัวคู่นั้น ไม่ต้องเอ่ยอะไรอีก เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าควรหยุดพูดถึงคนที่ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นอะไรที่จะต้องลื้อฟื้นความทรงจำอันแสนเจ็บปวดขึ้นมา
ที่ตรงนี้ไม่มีฮยอนซึงแล้ว
นั่นคือความจริงที่ต้องทำใจและยอมรับมันให้ได้
“ฉันตกลง” เป็นจุนฮยองที่ยอมรับคนแรก กีกวังพยักหน้ายิ้มพร้อมเนียนเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหล ดูจุนที่นั่งก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนสนิทอายุเท่ากัน เห็นถึงสายตามุ่งมั่นแล้วเขาไม่มีข้อโต้แย้ง มันคงถึงเวลาที่พวกเขาจะก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วสินะ
เดินจากความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจมาเป็นเวลานาน
“ฉันด้วย” กีกวังหันไปสบตากับดูจุน พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปมองดงอุนที่โตจนป่านนี้แล้วยังเป็นเด็กขี้แยของพวกเขาไม่เปลี่ยน ใบหน้าหล่อคมเต็มไปด้วยน้ำตามองพี่ชายทั้งสามด้วยดวงตาแดงก่ำ เมื่อไม่เห็นถึงความลังเลใดๆก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ดงอุนจะต้องคิดต่าง ในเมื่อพวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว
“ลุยเลยครับ”
--------------------
09-14-2016
---------------------------------
#ฟิคดัดแปลง
นานแล้วที่ไม่ได้เขียนฟิคบีสท์ นานแล้วที่ไม่ได้แตะต้อง จุนซึง
ฟิคเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของอัง ไม่มีเจตนาจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับผู้ใด
เนื้อหาในเรื่อง ความคิด ความรู้สึกของตัวละคร เหตุผลในการกระทำ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของบีสท์
โปรดใช้วิจารณาในการอ่านนะคะ
หากใครเห็นว่าไม่เหมาะสม ไม่สมควร บอกอังได้นะคะ
ขอบคุณที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้อังเสมอ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

และก็คิดถึงฟิคของพี่อังมากด้วยเหมือนกัน
แอบคิดถึงมากจนตามไปอ่านฟิควินเนอร์ที่พี่เขียนเลยล่ะค่ะ 55555
ติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้พี่อังเสมอค่าาาาา ^^
จำได้ว่าเพราะอ่านฟิคไรเตอร์ทำให้จิ้นจุนซึง
ทำให้เมนฮยอนซึง ขอบคุณมากนะคะที่กลับมาไม่คิดว่าจะกลับมา
คิดถึงฟิคจุนซึงเรื่องเก่าของไรเตอร์จังค่ะแต่ว่าโดนแบนถาวรหมดแล้ว นำกลับมารีใหม่ได้มั้ยคะTT
แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่กลับมาจะติดตามผลงานของไรเตอร์เสอมค่ะ