คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 แรกพบประสบพักตร์
โบสถ์เก่าแก่นอกเมืองโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิกอันสวยงาม ก่อตั้งโดยขุนนางชาวอังกฤษเมื่อกว่าร้อยปีก่อน ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ยังใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตลอดจนงานเลี้ยงฉลองต่างๆ เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโบสถ์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาและมีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่โดยรอบของเนินเขา นอกจากนี้แล้ว โบสถ์แห่งนี้ยังเป็นที่จัดแสดงศิลปะอันมีชื่อเสียงและของสะสมส่วนตัวของผู้ก่อตั้งด้วย
เภตราหญิงสาวเชื้อชาติไทย กำลังยืนมองโบสถ์แห่งนี้ด้วยความชื่นชม แม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายปี สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงงดงามไม่เสื่อมคลาย ทิวทัศน์โดยรอบช่วยเสริมให้โบสถ์แบบโกธิกดูอบอุ่นงดงาม ทิวเขาลูกใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ช่วยเพิ่มมนต์ขลังให้แก่สถานที่แห่งนี้ ยิ่งในตอนหน้าหนาวที่มีหมอกปกคลุมในตอนเช้าด้วยแล้ว ทำให้โบสถ์เหมือนต้องมนต์ ดึงดูดให้หนุ่มสาวคู่แล้วคู่เล่า เข้ามาทำสัญญารักกัน ณ ที่แห่งนี้
หญิงสาวยังจำได้ดีถึงวันคืนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จนกระทั่งเมื่อ 3 ปีก่อน เภตราในวัย 16 ปี ต้องสูญเสียบิดามารดาอันเป็นที่รัก เนื่องด้วยอุบัติเหตุ บาทหลวงโทมัสเพื่อนสนิทของครอบครัว ได้ให้ความกรุณาอุปการะเด็กสาวให้เข้ามาอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระผู้เป็นเจ้า เรือนพักที่อยู่ด้านหลังโบสถ์ กลายเป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่แทนบ้านพักในสถานทูต
ทุกๆ เช้าเธอจะตื่นขึ้นมาเพื่อรับคำสอนต่างๆ ที่คุณพ่อโทมัสมักจะนำมาถ่ายทอด เพื่อรักษาจิตใจที่บอบช้ำของเด็กสาว และไม่นานนักเธอก็ทำใจได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่า ความรู้สึกสูญเสียนั้นไม่ได้หมดไปจากหัวใจของเธอแต่อย่างใด แต่มันถูกเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดไม่ให้ใครเห็น โดยเฉพาะคุณพ่อโทมัสที่มักมองดูเธอดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความเป็นห่วง
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูลับในหัวใจก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เพื่อรับความสูญเสียครั้งใหม่อย่างไม่เต็มใจ เมื่อบาทหลวงโทมัสถูกโรคร้ายรุมเร้า จนต้องไปเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าก่อนเวลาอันสมควร ในขณะนั้นเภตรากำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย จำต้องกล้ำกลืนรับความสูญเสียที่ตนไม่เคยอยากได้นั้นและดำเนินชีวิตต่อไปเพียงลำพัง
บัดนี้ เภตราได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในฐานะของมัณฑนากรของบริษัทอินทีเรียที่มีไม่มากนักในประเทศนี้ บริษัทเล็กๆ ของเธอได้ถูกว่าจ้างให้มาทำหน้าที่ตกแต่งซ่อมแซมโบสถ์เก่าแก่แห่งนี้ หลังจากที่เคยซ่อมมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน หญิงสาวได้รับหน้าที่สำคัญเป็นครั้งแรกในอาชีพของเธอ เนื่องจากเธอมีภูมิหลังที่ผูกพันกับสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นอย่างดี จึงไม่เป็นการลำบากนัก หากต้องมารับหน้าที่ตรวจดูรายละเอียดรวบรวมข้อมูล ก่อนจะนำส่งต่อให้มัณฑนากรมือหนึ่งของบริษัท
ทุกๆ วัน เภตราจะมานั่งทำงานในโบสถ์ด้วยความสุข ธรรมชาติที่มีผืนป่าและทิวเขาไกลๆ ช่วยให้จิตใจของเธอสงบยิ่งขึ้น ทุ่งหญ้าเขียวขจีประกอบกับต้นไม้ทั้งที่ขึ้นเองและถูกนำมาประดับไว้ตกแต่งอย่างสวยงาม ทำให้โบสถ์ร่มรื่น เหมาะสำหรับการพักผ่อนจิตใจ
เภตรากำลังร่างแบบด้วยความเพลิดเพลิน จนลืมใส่ใจสิ่งรอบตัว อากาศเย็นยามใกล้มืดเริ่มคืบคลานเข้ามา แสงสว่างเริ่มถดถอยลงไปเรื่อยๆ หญิงสาวเริ่มรู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้นและมองออกไปข้างนอก
“ทำไมถึงมืดเร็วอย่างนี้นะ...ยังไม่ทันจะไปถึงไหนเลย”
เธอบ่นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะว่ายังมีวันต่อๆ ไปที่เธอสามารถมานั่งที่นี่ได้อีก หญิงสาวเริ่มเก็บข้าวของที่วางเกลื่อนรอบตัว กระเป๋าสีน้ำตาลใบใหญ่ถูกบรรจุด้วยสิ่งของที่เธอเห็นว่า ‘จำเป็น’ ซึ่งเธอพยายามกวาดมาหมดโต๊ะเท่าที่ทำได้ กระเป๋าหนังสีน้ำตาลถูกยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อประเมินน้ำหนัก เภตราหยิบของอีกหลายอย่างออกจากกระเป๋าและวางลงกับพื้น แล้วจึงยกกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่อย่างพอใจ จากนั้นจึงจัดสิ่งของที่วางอยู่บนพื้นให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น พร้อมสำหรับการทำงานในวันใหม่
หญิงสาวปิดประตูตรงระเบียงแล้วยืนสำรวจห้องอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ลืมหยิบของจำเป็นต้องใช้กลับบ้านไปด้วย เสียงประตูห้องปิดลงเบาๆ เธอรีบเดินลงบันไดอย่างรวดเร็ว เสียงบันไดไม้ดังเอี๊ยดอ๊าด บรรยากาศภายในโบสถ์เริ่มมืดสลัว ไฟดวงใหญ่บนเพดานปิดหมดทั้งที่ยังไม่สองทุ่ม เหลือเพียงแสงไฟสีส้มที่ประดับอยู่ตามเสาไม้เท่านั้น ที่เปิดเสาเว้นเสา เหมือนต้องการประหยัดไฟ ผู้คนที่มีให้เห็นบางตาในตอนกลางวัน บัดนี้หายไปหมด
เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นไม้ดังก้องไปทั่ว บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้นึกถึงผีดิบซอมบี้ในหนังสยองขวัญ ยิ่งความเก่าแก่ของสถานที่ ซึ่งใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างโบสถ์แห่งนี้ด้วยแล้ว จะให้นึกถึงบ้านผีปอบที่เธอชอบดูตอนเด็กกับไอ้จุกข้างบ้านสมัยที่อยู่เมืองไทยได้ยังไงกัน
บรรยากาศน่ากลัวแบบนี้...มิน่าล่ะ...เพื่อนๆ ของเธอจึงพากันสละสิทธิ์รับงานนี้กันหมด ในตอนแรกเภตรายังไม่รู้สึกอะไร...จนกระทั่งเวลานี้
เภตราสาวเท้าเร็วขึ้น เพื่อยุติความกลัวที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสมองของเธอ จนมาหยุดยืนที่กลางโถงใหญ่ บริเวณที่มีม้านั่งยาวเรียงรายสำหรับสวดมนต์และประกอบพิธีกรรมต่างๆ เธอแหงนมองขึ้นไปที่กระจกสี ที่บอกเล่าเรื่องราวภายในโบสถ์แต่ละยุคสมัย บัดนี้กระจกสีเล็กๆ ที่เรียงรายต่อกันจนเต็มฝาผนังข้างหนึ่งนั้น ได้มีเงาตะคุ่มๆ สีดำสองสามเงา น่าจะเป็นนกกลางคืนตัวใหญ่พอควร เธอปลอบใจตัวเอง
หญิงสาวหันกลับไปมองที่บันไดที่มืดสนิท พร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ อย่างเรียกกำลังใจตัวเอง ความมืดผสมผสานกับความเก่าแก่ของสถานที่ ทำให้เธอนึกอะไรเตลิดไปกันใหญ่ จินตนาการที่ควรจะเก็บไว้ใช้ในเรื่องงาน กลับถูกเรียกออกมาใช้ได้อย่างไม่เหมาะสมกับกาลเทศะเป็นอย่างยิ่ง เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นที่ชั้นสอง สะกดให้ขาของเธอหยุดนิ่ง เธอพยายามเพิ่งมองฝ่าความมืดและกำลังรอให้เสียงนั้นดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง...แต่ทุกอย่างเงียบ
โอเค...นั่นไม่ได้อยู่ในแผนงานของเธอ สมควรอย่างยิ่งที่จะรีบเดินออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด มือเรียวดึงประตูที่หนาและหนักคู่นั้น แต่ดึงเท่าไหร่ก็ไม่เปิดออก เธอออกแรงดึงอีกครั้ง...และอีกครั้ง
คราวนี้เธอมองไปรอบๆ อย่างขวัญเสีย พร้อมกับควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าใบใหญ่ด้วยใจเต้นแรง มือบางควานไปทั่ว แทนที่จะเจอโทรศัพท์ กลับถูกของแหลมในนั้นบาดเอาแทน หญิงสาวร้องเบาๆ นิดหนึ่ง ก่อนก้มดูนิ้วที่เปื้อนเลือด แผลไม่ใหญ่เท่าไหร่แต่น่าจะลึกพอสมควร เลือดสีแดงข้นไหลออกมา เภตราส่งนิ้วเข้าปากด้วยใบหน้าเหยเก เมื่อรับรู้รสชาติของเลือดที่ไม่อร่อยเหมือนชาเขียวที่ชอบดื่ม และนึกเห็นใจพวกที่ชอบดื่มเลือดสาบานในหนังจีนช่องเคเบิ้ลทีวีตอนดึกๆ
“เคร้ง” เสียงนั้นดังอีกแล้ว คราวนี้มาจากใต้โถงบันไดมืดๆ นั่น
เธอใช้มือเขย่าประตูแรงขึ้น และแล้วประตูก็เปิดออก เธอวิ่งลงบันไดหน้าโบสถ์ลงมายืนอยู่บนพื้นหญ้า
“น่าจะติดป้ายนะว่าให้ ‘ผลัก’ ใครจะไปรู้” เสียงบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย จำได้ว่าเมื่อสี่ปีก่อนมันยัง ‘ดึง’ อยู่
เภตราเริ่มมองไปทางถนนกรวดเล็กๆ ที่จะนำเธอไปสู่ถนนใหญ่ ข้างนอกถนนนี้ดีหน่อยมีแสงไฟสว่างกว่าข้างในแม้จะไม่มากนักแต่ก็ทำให้อุ่นใจได้บ้าง เธอรีบก้าวเดินอย่างเร็วระแวงว่า ‘อะไร’ ที่อยู่หลังบานประตูใหญ่นั่นจะตามมา เมื่อถึงประตูรั้วเธอจึงรีบ ‘ผลัก’ ออก แต่คราวนี้ไม่เปิด เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะดึง แต่มันก็ไม่เปิด คราวนี้เธอเขย่าจนรู้สึกเหนื่อย
เมื่อตั้งสติสักพัก เธอจะเห็นแม่กุญแจอันใหญ่ ที่คล้องระหว่างประตูรั้งทั้งสองบานอย่างแน่นหนา หญิงสาวเพ่งมองมัน เหมือนจะเปิดมันออก ด้วยแสงเลเซอร์ที่พุ่งออกมาจากตาสีดำราวกับนิลของเธอ
“โทรศัพท์” เธอเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้
เภตราไม่ควานหามันแต่เปิดกระเป๋าเทสิ่งของทุกอย่างลงบนพื้นหญ้า โทรศัพท์มือถือสีดำเครื่องเล็กกลิ้งออกมา เธอหยิบมากดหมายเลขปลายทางด้วยความคุ้นเคย
“ฮัลโหลๆๆ บีได้ยินไหม...บี” เสียงปลายสายดังมากทั้งเสียงดนตรี เสียงพูดคุย ฟังไม่ได้ศัพท์
“เดี๋ยวนะ” เสียงปลายสายตะโกนกลับมา ทำให้คนฟังถึงกลับดึงโทรศัพท์ให้ออกห่างจากตัว
“ฮัลโหล เพชรว่าไง” เสียงดนตรีเมื่อครู่ลอยอยู่ไกลๆ
“นี่เธออยู่ที่คลับเหรอ”
“ใช่แล้ว...ฉันรอเธอตั้งนาน แล้วนี่อยู่ที่ไหนล่ะ”
“ฉันยังอยู่ที่โบสถ์ ประตูรั้วปิดฉันออกไปไม่ได้ ทำไงดี”
“อยู่ที่โบสถ์เหรอ!” เสียงปลายสายสูงขึ้นอย่างตกใจก่อนจะปรับเสียงให้เป็นปกติ
“เอ่อ...ไม่ต้องเป็นห่วงนะ...เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันเห็นคนงานขุดหาอะไรบางอย่างแถวรั้วต้นไม้นั่นแหละ มันเลยเถิดจนทำให้รั้วต้นไม้เป็นโพรงพอลอดได้ อ้อ...อยู่ทางด้านซ้ายของประตูรั้วนะ ลองเดินเลียบไปทางรั้วต้นไม้ดู แต่ฉันจำไม่ได้หรอกนะว่าอยู่ตรงไหน เธอลองคลำๆ ดู”
“งั้นจะลองหาดู แต่แน่ใจนะว่ามันยังอยู่”
“แน่สิ...เมื่อ 2 วันก่อนยังเห็นอยู่เลย” บาเลียนาไม่ได้บอกว่าเห็น ‘อะไร’ มุดออกมาจากรั้วนั้น
“ได้ๆ ยังไงเดี๋ยวฉันโทรกลับไปใหม่”
เภตราเก็บข้าวของใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ แล้วจึงเดินไปทาง ‘ซ้าย’ ของรั้วต้นไม้ตามคำแนะนำ หลังจากที่เดินมาได้พักหนึ่ง เธอก็เริ่มควานหา เพื่อจะได้มั่นใจว่าไม่ได้พลาดตรงไหน 20 นาทีผ่านไป แต่ช่องที่ว่าก็ยังหาไม่เจอ เธอนั่งพักบนพื้นหญ้าด้วยความเหนื่อยอ่อน แล้วจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาโทร แต่ยังไม่ทันจะกดหมายเลข ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างไกลๆ
“เสียงม้า...แสดงว่ายังมีคนอยู่”
เภตราลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจและวิ่งไปตามเสียงที่ได้ยิน เสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ เพื่อรอดูว่าเสียงนั้นคือ ‘อะไร’ เป็นอันตรายสำหรับเธอหรือไม่ จริงๆ แล้วเธอไม่ได้กลัวว่าจะเป็นคนร้ายหรอกนะ เธอกำลังคิดถึงเดวิลที่มาจากหลุมศพ โครงกระดูกคลุมผ้าสีดำในมือถือตะขอยาว และขี่ม้าโครงกระดูก พวกมันจะขึ้นมาจากหลุมศพเพื่อมาล่ามนุษย์ชะตาขาดในเวลาค่ำคืน
เสียงนั้นใกล้เข้ามา เวลานี้อยู่ห่างจากบริเวณที่หญิงสาวซ่อนตัวอยู่ประมาณ
ก่อนที่เธอจะเดินออกไปหาคนกลุ่มนั้น เธอสังเกตอะไรบางอย่าง วัตถุสีดำเป็นมันปลาบที่คนกลุ่มนั้นถือมาด้วย ไม่ใช่ตะขอยาวแต่เป็นปืนยาว และที่เอวก็มีปืนสั้นเหน็บอยู่ด้วย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ พวกนั้นคงไม่ใช่คนดี เพราะคนพวกนี้มีผ้าสีดำปิดหน้าทุกคน หนึ่งในนั้นเหยาะม้าไปที่ประตูรั้วและตรวจดู พวกเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าไม่ใช่เธอ งั้นก็แสดงว่าต้องมี ‘ใคร’ อยู่ที่นี่นอกเหนือไปจากเธอ
เภตราเริ่มอาศัยร่างที่บอบบางของตนให้เป็นประโยชน์ หญิงสาวมุดเข้าไปในพุ่มไม้อย่างรวดเร็วเพื่อหาทางออก และถ้าโชคดีอาจเจอ ‘ใคร’ คนนั้นด้วย ไม่นานนักความพยายามตลอดหนึ่งชั่วโมงก็เป็นผล โพรงไม่ใหญ่นักอยู่ไกลพอสมควรจากประตูรั้ว แม้จะเป็นช่องที่ไม่กว้างแต่เธอก็สามารถมุดได้สบาย เภตราวางกระเป๋าสีน้ำตาลใบใหญ่ซ่อนไว้ในพุ่มไม้ใกล้ๆ ทางออก จากนั้นก็ค่อยๆ คลานไปในทิศทางตรงกันข้ามทันที
เสียงเบาๆ ทำให้คนที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ขยับตัวอย่างระมัดระวัง เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน เสียงนั้นใกล้เข้ามา อาจจะเป็นตัวอะไรสักอย่าง เช่นลูกกวาง กระต่าย แมวป่า ที่มาจากภูเขาข้างหลังโบสถ์ พวกมันชอบมาเพ่นพ่านเช่นนี้ในเวลากลางคืน พุ่มไม้ข้างหน้าเคลื่อนไหวมากขึ้น ‘เขา’ หลบไปยังหลังต้นไม้ใหญ่อย่างระวังตัว ไม่นานนักสิ่งที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในพุ่มไม้นั่นก็ปรากฏตัวให้เห็น เขาเดาถูก
สิ่งที่ออกมาจากพุ่มไม้มอมแมมเหมือนแมว ผิวขาวเหมือนกระต่าย และตาสวยเหมือนกวาง ผู้หญิงคนนั้นกำลังใช้ตากวางหาอะไรบางอย่าง เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป่าหยิบวัตถุสีดำออกมา เขาเพ่งออกไปฝ่าความสลัวแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าวัตถุสีดำนั่นคือโทรศัพท์ แต่ยังไม่ทันที่ผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไร เสียงกีบม้าก็ทำให้เธอต้องทรุดนั่งลงอย่างระวังตัว เธอคืบคลานเข้าไปใกล้พุ่มไม้เพื่อมองสิ่งที่อยู่ภายนอก
ทันใดนั้นเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวและเกือบจะชนเขา ตามด้วยไม้แหลมยาวที่จ้วงแทงเข้ามา
“อุ๊ย!...” หญิงสาวส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ เมื่อมีมือแข็งแรงปิดปากเธอทัน ก่อนที่จะมีเสียงใดเล็ดลอดออกไปให้คนภายนอกได้ยิน
สภาพของเธอตอนนี้เหมือนกำลังโอบกอดกับคนรักภายใต้แสงจันทร์ ต่างกันตรงที่เธอไม่รู้จักเขา และกลิ่นดินกลิ่นหญ้า เศษไม้ใบไม้คละคลุ้งทั่วตัวของเธอและเขา ช่างเป็นการนัดพบที่สุดแสนจะโรแมนติก!
เขาใช้แขนข้างหนึ่งกอดเธอจากด้านหลัง อกแข็งแรงแนบสนิทอยู่ที่หลังของเธอ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งปิดปากเธอไว้ เขายื่นหน้าออกมาจนทำให้หน้าของเขาและเธอห่างกันเพียงฝ่ามือกั้น เธอเหลือบตามองเขานิดหนึ่ง
“ผมจะปล่อยมือ คุณอย่างร้องนะ”
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เขาปล่อยมือที่ปิดปากเธอไว้ แต่ยังเกาะเอวบางไว้แน่น
คนทั้งสองมองเหตุการณ์ภายนอกด้วยใจระทึก ไม้แหลมๆ แทงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สักพักเสียงกีบม้าค่อยๆ ไกลออกไป
“พวกนั้นตามหาคุณเหรอ” เภตราขยับตัวอย่างอึดอัด
เขาปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระจากวงแขนแข็งแรงนั่น
หญิงสาวหันหน้าไปมองเขาตรงๆ ถึงแม้ตอนนี้จะสว่างเพียงแค่แสงจันทร์เท่านั้น แต่เธอก็พอมองเห็นหน้าเขา แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็รู้ว่าเขามีใบหน้าที่หล่อเหลาทีเดียว โดยเฉพาะนัยน์ตาสีเทาที่สะท้อนแสงจันทร์คู่นั้น คล้ายกับสีน้ำของท้องทะเลในยามค่ำคืน ที่มิอาจคาดคะเนถึงความลึกได้
“แล้วคุณมาทำอะไรตรงนี้” เขามองตากวางที่จับจ้องเขาอย่างไม่กะพริบ
ตากวางกะพริบอย่างรู้สึกตัว เธอเสมองไปรอบๆ อย่างเก้อเขิน
“ว่าไง” เสียงของเขาเรียกสติของเธอกลับมา
“เอ่อ...ฉันคิดว่าพวกนั้นไม่ใช่คนดีก็เลยหาที่ซ่อน...อย่างที่เห็น”
เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ฉันรู้ทางออก...ตามมา”
มือแข็งแรงคว้าแขนของเธอไว้
“อะไรล่ะ...รีบไปสิ ก่อนที่พวกนั้นจะย้อนกลับมา”
“หากคุณรู้ทางออก แล้วทำไมไม่รีบไป มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“ถ้าฉันจะบอกว่ามาตามหาคุณ เอ่อ...ใครหรืออะไรที่พวกนั้นกำลังตามหาอยู่ คุณจะเชื่อไหมล่ะ”
เขาส่ายหน้า
หญิงสาวมองเขาอย่างพิจารณา ก็น่าอยู่หรอก ใครจะบ้าตามหาคนที่ไม่รู้จักอย่างนี้ด้วยล่ะ
“เอาเป็นว่า ฉันมาเดินเล่น แล้วตอนนี้ก็เบื่อ...อยากกลับบ้านแล้ว และคุณล่ะอยากกลับบ้านหรือยัง”
เขาพยักหน้า
พ่อรูปหล่อของเธอมีกิริยาอยู่สองอย่าง ไม่พยักหน้าก็ส่ายหน้า
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วใช้แสงของมันส่องไปตามทาง ก่อนจะค่อยๆ มุดออกไปทางพุ่มไม้และต้นไม้ที่ขึ้นอย่างสลับซับซ้อนด้วยความชำนาญ
“นั่นไง รั้วต้นไม้” เธอร้องบอกอย่างดีใจ
“คุณทำงานที่โบสถ์หรือ”
“ทำไมล่ะ หน้าตาฉันเหมือนมิชชันนารีมากหรือไง”
เขาส่ายหน้า “ ผมเห็นว่าคุณชำนาญทาง ทั้งๆ ที่มันรกขนาดนี้” ใช่...เขาสงสัยอย่างมาก นี่ถ้าเป็นในเมืองที่มีตรอกซอกซอย ยังพอมีเหตุผลว่าชำนาญทางบ้างอยู่หรอก แต่นี่สวนขนาดใหญ่ ที่รกครึ้มด้วยพุ่มไม้ที่ขึ้นสูงและต้นไม้ใหญ่นานาชนิด มีแต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในป่าเท่านั้นแหละ ถึงจะหาทางออกเจอ
“อ๋อ...คุณสงสัยว่าฉันรู้ได้ยังไงในเมื่อต้นไม้ขึ้นรกขนาดนี้ใช่ไหมล่ะ”
เขารู้สึกทึ่งที่เธอพูดราวกับอ่านใจเขาได้ เขาพยักหน้านิดหนึ่ง ก่อนหันไปมองที่พื้นหญ้า มือเล็กๆ หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา
“นี่ไง...โชคดีนะที่ฉันหยิบติดมือมาด้วย” เธอหยิบช็อกโกแลตเคลือบสีสันหลากสีที่มีสโลแกนประเภท ละลายในปากไม่ละลายในมือ ขึ้นมาดูด้วยความภาคภูมิใจ ถุงช็อกโกแลตที่อยู่ในกระเป๋าเธอมาเป็นอาทิตย์ เพิ่งจะมีประโยชน์ก็วันนี้แหละ
เขาหัวเราะอย่างอดไม่ได้ รู้สึกแปลกใจตัวเอง ในเวลาที่กำลังประสบกับความเป็นความตายอยู่เบื้องหน้าแท้ๆ ผู้หญิงคนนี้กลับทำให้หัวเราะได้
“รีบไปเถอะค่ะ”
ทั้งสองมองไปรอบๆ ก่อนที่จะรีบตรงไปที่รั้วต้นไม้ จวนจะถึงอยู่แล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด พร้อมกับเสียงฝีเท้ามาวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
เขารีบดึงเธอวิ่งไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
“ทางนี้” หนึ่งในสามตะโกนเรียกพรรคพวก ไม่ทันไรพวกที่เหลือก็ตามมาสมทบ
“เจ้าเฝ้าตรงนี้ อย่าให้มันลอดออกไปได้”
“ข้าเห็นมีผู้หญิงอยู่กับมันด้วย” เขาบอกกับผู้ที่เป็นหัวหน้า
“ผู้หญิงหรือ...ฮ่าๆ ดี...จับให้ได้ทั้งคู่ เอานังผู้หญิงมาต่อรอง...ไป”
ทั้งหมดแยกย้ายไปตามสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆ อย่างอุกอาจ ไม่หวาดเกรงสิ่งใดทั้งสิ้น พวกเขาหวังเพียงแต่จะทำงานให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายมาด้วยอาวุธครบมือที่เตรียมไว้ จนอาจลืมไปว่า บริเวณนี้เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพร้อมจะปกป้องผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความรัก
ความคิดเห็น