คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 (100%)
“ได้ยินว่าบริษัทมีงานใหม่และก็อาจจะใหญ่ที่สุดในปีนี้เชียวนะ”
เภตราที่เพิ่งเดินเข้ามาในบริษัทได้ยินหางเสียงแว่วๆ จึงได้เดินเข้าไปสมทบกับเพื่อนที่ยืนคุยกันอยู่ที่โต๊ะทำงานของบาเลียนา
“งานอะไรเหรอจ้ะ” เภตราชะโงกหน้าเข้าไปในกลุ่มเพื่อน
บาเลียนาทำตาโตทำเสียงกระซิบกระซาบโดยไม่จำเป็น “ได้ยินว่าเป็นคฤหาสน์หลังหนึ่งที่นอกเมืองนะ”
เภตรายิ้มกว้าง การได้รับงานใหญ่หมายถึงบริษัทจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งยังก้าวเข้าสู่การเป็นธุรกิจที่ได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มคนอีกระดับชั้นของสังคม ที่สำคัญรายได้ของพนักงานก็จะเพิ่มอีกโขเชียวล่ะ
“แล้วทำไมถึงทำหน้าเครียดกันล่ะ” คนที่เภตราหมายถึงคือเจเจซึ่งยืนกอดอกคิ้วขมวดอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ
วิคกี้ยักไหล่พร้อมกับปรายตาไปยังเพื่อนสนิท “จำปราสาทที่เราไปงานหมั้น เอ่อ...ได้ไหม?”
“อย่าบอกนะว่าเราได้งานนั่น!” เภตราแทบจะตะโกนร้องออกมาอย่างดีใจ ความเก่าแก่ทว่ายังคงความงดงามด้วยสถาปัตยกรรมในยุคกลาง ยังคงติดตาตรึงใจอยู่จนทุกวันนี้
“เจ้าของใหม่เค้าอยากให้บริษัทเราเนรมิตให้เป็นที่อยู่อาศัย หลังจากกลายเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงมาตลอดหลายสิบปี”
“เจ้าของใหม่?...ใครกัน” เภตราขมวดคิ้วทบทวนความสำคัญของปราสาทต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในประเทศนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมบัติของรัฐบาล
“คุณยูริกับเจ้าสาวของเขาน่ะสิ”
เจเจเบือนหน้าหนี ความชอกช้ำแม้จะเจือจางแล้วแต่หากถูกสะกิดก็จะกลับมาเจ็บอีกอย่างช่วยไม่ได้...หากเธอจำต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับความสุขครั้งนี้ของเขาด้วย เจเจก็ไม่แน่ใจว่าจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่ร้องไห้ได้อย่างไร?
“วันนี้เธอไปกินมื้อค่ำกับฉันได้หรือเปล่า” บาเลียนาเอ่ยถามขณะเก็บของอยู่บนโต๊ะ
เภตราทำหน้าเจื่อนเมื่อนึกถึงโต๊ะอาหารเย็นที่พรั่งพร้อมไปด้วยครอบครัวเล็กๆ ในบ้านหลังใหญ่
“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็แค่ถามดู เผื่อเธอจะเซเยส” บาเลียนายิ้มปลอบใจ แต่เภตรารู้ว่าเพื่อนของเธอไม่ได้รู้สึกเช่นที่พูด ดวงตาของบีหม่นลงก่อนที่เปลือกตาจะหลุบต่ำปิดบังความรู้สึก
“ขอโทษนะบี...ไว้พรุ่งนี้ได้ไหม?”
บาเลียนาจ้องมองเพื่อนอย่างมีความหวัง “เอ่อ...ฉันทำให้เธอลำบากหรือเปล่า”
“เปล่าเลย...ฉันก็อยากจะนั่งคุยกับเธอบ้าง ที่ไม่ใช่เวลางานน่ะ” เภตรายิ้มกว้างเมื่อนึกถึงคืนวันเก่าๆ
“งั้นก่อนกลับเราไปเดินที่จัตุรัสกันไหม”
“ดีสิ” เภตรารับคำ
แต่ทันทีที่ทั้งสองก้าวพ้นประตูบริษัทออกมา คนขับรถประจำตัวของเธอก็ปราดเข้ามายืนอยู่ในสายตา
“ขอเวลาสักชั่วโมงนะ” เภตราเอ่ยกับคนขับรถ
“อย่าเลยเพชร...ฉันไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอลำบากใจ...เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ” บาเลียนาเขย่ามือเพื่อนเบาๆ พร้อมกับแยกตัวออกมุ่งตรงไปยังถนนที่พลุกพล่านตามลำพัง
เภตราครุ่นคิดมาตลอดทางตั้งแต่ที่หน้าบริษัทจนกระทั่งถึงพระราชวังอันเป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ของเธอ รั้วรอบขอบชิดทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงกฎระเบียบซึ่งบีบรัดจนแทบไม่อาจระบายลมหายใจเข้าออกตามความปรารถนาได้
อาจเป็นเพราะอานุภาพความรักที่ทำให้เธอไม่รู้สึกเช่นนี้ในตอนแรก หากแต่นานวันเข้าก็อดที่จะเปรียบเทียบกับสภาพความเป็นอยู่ที่ดำเนินมายี่สิบกว่าปี เฉพาะอย่างยิ่งกับสภาพความเคยชินในอดีตที่เธอรู้สึกว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเธอ
มาบัดนี้เธอไม่แน่ใจว่าจะอยู่ภายใต้กรอบแห่งอิสรภาพนี้ได้นานเท่าไหร่...
“คุณผู้หญิงเข้าบ้านผิดหรือเปล่า”
เภตราชะงักเท้าที่บันไดหินเกือบขั้นบนสุด เหลียวหาที่มาของเสียง ชายคนรักของเธอกอดอกยืนพิงต้นไม้ใหญ่กำลังมองมา
หญิงสาวยิ้มเนือยๆ ให้ พร้อมกับเดินเข้าไปหาเขา
“ขอโทษค่ะ...แต่คนรักของฉัน เขาบอกว่าอยู่ที่นี่”
“งั้นคุณก็มาถูกที่แล้วล่ะ” องค์อาดีนทรงสวมกอดหญิงสาวแน่นๆ เภตราหลับตาลงซุกใบหน้ากับไหล่ของเขา
“ว่างแล้วหรือคะ”
“อืม...วันนี้ผู้คนไม่รู้หายไปไหนกันหมด ผมก็เลยยกเลิกการประชุมแล้วมาดักรอคุณที่นี่”
เภตรายันตัวจากอ้อมกอดอบอุ่น เงยหน้ามองเขา เห็นดวงตาเป็นประกาย
“ล้อฉันเล่นอีกแล้วนะ”
“เปล่าสักหน่อย...วันนี้องค์ประชุมไม่ครบ ผมก็เลยให้คนที่มานั่งพักกินของว่างก่อนกลับ...แล้วก็เดินมารอคุณ...”
“เชื่อก็ได้ค่ะ” เภตราเดินตามองค์อาดีนมาที่สระน้ำเล็กๆ ด้านข้างของสวนใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่สำหรับเดินเล่นของเจ้าแครอท...จุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้พบกับเขา
“งานยุ่งมากหรือ”
“เปล่านี่คะ...ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?” เธอแหงนหน้ามองดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยของเขา
“ผมคิดว่าเราคุยกันได้ทุกเรื่องเสียอีก” องค์อาดีนทรงบีบมือเล็กในอุ้งพระหัตถ์เบาๆ
เภตรายิ้มให้ก่อนจะเบนหน้าไปมองแสงแดดยามเย็นที่ต้องกระทบผิวน้ำก่อให้เกิดความระยิบระยับน่ามอง
“ฉันสบายดี เพียงแต่...”
องค์อาดีนทรงเลิกพระขนงสูง หัตถ์สองข้างจับไหล่ของหญิงสาวให้หันกลับมา ทรงทอดพระเนตรนิ่งที่ดวงตาคู่งามนั่นราวกับต้องการจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดในหัวใจดวงน้อยนั่น
“คุณคงห่วงฉันมากเกินไป...อาดีนคะ ฉันไม่อยากให้พะวักพะวนเกี่ยวกับฉันจนกระทั่งเบียดบังเวลางานแบบนี้...”
“ไม่สักหน่อย” ทรงกลั้นพระสรวลไว้เต็มที่ พยายามไม่ให้คนรู้ทันจับได้
“วันนี้ไม่ใช่ แต่เมื่อวาน เมื่อสองวันก่อน อาทิตย์ที่แล้ว...อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะคะ มันทำให้ฉันไม่สบายใจคุณรู้ไหม...ฉันไม่อยากเพิ่มภาระให้แก่คุณอีก”
“คิดมาก”
เภตราส่งเสียงในลำคอ นึกเหมือนกันว่าจะได้เห็นลักษณะของผู้ชายคือการแสดงออกว่าตนคิดน้อยเหลือเกิน ทั้งที่จริงแล้วก็ไม่ต่างจากผู้หญิงนักหรอก เพียงแต่ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวพันโยงใยใหญ่โต พวกเขาก็มักจะทำเป็นมองข้ามแล้วทำลืมๆ มันซะ
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่ฉันไม่อยากให้กษัตริย์แห่งวาดิเมียร์ถูกครหาว่าแอบหนีการประชุมเพียงเพื่อมายืนรอผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง”
“แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นคือคุณ ก็คงไม่มีใครกล้าพูดแบบนั้น”
“ไม่พูดต่อหน้า ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีใครพูดนี่คะ...ถือว่าฉันขอร้องล่ะ เราเจอกันทุกมื้อค่ำ มันก็น่าจะพอแล้ว” เสียงท้ายประโยคแผ่วเบา ดูเหมือนเธอจะกำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ใช่...แค่นั้นยังไม่พอสำหรับเธอ
“หากจะทำให้คุณสบายใจขึ้น” องค์อาดีนทรงลูบปลายคางของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาเป็นการปลอบโยน
“ค่ะ”
เภตรารับคำแต่ทว่าตอนนี้ความสบายกายที่นี่เทียบไม่ได้กับความสบายใจที่ได้อยู่กับเพื่อนรักในห้องที่มีพื้นที่จำกัดแต่สามารถแสดงความเป็นตัวตนได้อย่างเต็มที่
แต่เธอคงไม่กล้าบอกความในใจนี้ให้เขารู้ เธอควรจะเก็บมันไว้ครุ่นคิดหาทางออกเพื่อค้นหาทางออกที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเอง และมันต้องเป็นทางออกสำหรับความรักที่ดีที่สุดเช่นกัน...
เภตราสูดลมหายใจลึกๆ ขณะเดินผ่านประตูปราสาทเก่าเข้าไป หลายต่อหลายครั้งที่เธอเคยนั่งรถผ่านสถานที่ดุจเหมือนต้องมนต์ขลังเช่นนี้ และมักจะจินตนาการว่าตัวเองได้เป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นผู้ตกแต่งภายในทั้งหมด ท่ามกลางความชื่นชมของครอบครัวและเพื่อนสนิท
เมื่อตอนที่เธอมีโอกาสเข้ามาในปราสาทหลังนี้ครั้งแรก ความใฝ่ฝันของเธอก็ยังไม่หมดไป แม้ว่ามันจะกลายเป็นสถานที่จัดงานหมั้นของคู่รักที่มีหน้ามีตาคู่หนึ่งในประเทศนี้
แต่ความต้องการของเธอกลับหยุดลงทันทีเมื่อรู้ว่าครอบครองคนใหม่เป็นใคร ซึ่งเธอก็หวังใจว่าจะไม่ได้พบกับเขาตลอดเวลาที่เธอเข้ามาทำงานที่นี่
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ฉันรู้ว่าเธอปลื้มมันจะตายอยู่แล้ว จำได้ว่าตอนนั้นกลับจากโรงเรียน เราเกือบจะมุดรั้วเข้ามาได้แล้วเชียว ถ้าตาลุงนั่นไม่โผล่มาซะก่อน”
บาเลียนาหลับตานึกถึงอดีต สีหน้าของเธอไม่ต่างจากเด็กสาวช่างฝัน ตรงกันข้ามกับผู้ที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน เภตรากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะกลั้นใจก้าวผ่านประตูไม้บานใหญ่ไป
ภายในโอ่โถงไม่ต่างไปจากงานวันหมั้น เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีดอกไม้ ผ้าม่านหรือพรมมาประดับประดาสร้างสีสันให้แก่สถานที่เก่าแก่แห่งนี้ มันจึงดูเหมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่มีคุณค่าน่าศึกษาด้วยตัวของมันเอง
“เสียดายจัง ถ้าเจเจเมาด้วยก็ดีสิ” บาเลียนามองรอบตัวแล้วก็อดนึกถึงเพื่อนไม่ได้
“ดีแล้วล่ะที่ไม่มา ฉันจะได้ไม่ต้องคอยปลอบใจยัยนั่น” วิคกี้พึมพำ
“ฉันจำได้ว่านั่นมันหน้าที่ของเพชรไม่ใช่เหรอ” บีช่วยทบทวนความจำ
“เออ นั่นล่ะ ใครปลอบก็เหมือนกัน แต่รู้ไว้เถอะว่าฉันไม่ชอบใจผู้หญิงประเภทยัยเจเลยจริงๆ”
“ยังไง” บีทำหน้ายุ่ง ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่มีอุดมการณ์ในเรื่องผู้ชายร่วมกัน หาใช่เพื่อนตายอย่างที่เธอเคยนึกไว้
“ประเภททำตัวไร้ค่า พอผู้ชายไม่รักไม่สนใจแทนที่จะสะบัดก้นแอ่นอกหาใหม่ กลับเกาะแข้งเกาะขาไม่ยอมปล่อยมือจากผู้ชายที่ไม่แยแส ประเภทขาดเธอเหมือนขาดใจ ไม่มีศักดิ์ศรีเลยจริงๆ” วิคกี้แบะปากยักไหล่ประกอบ
บีเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว นี่น่ะหรือคุณสมบัติของความเป็นสาวมั่น ไม่แคร์และทำตัวเด่นเหนือใครเพียงเพื่อกลบเกลื่อนความอ่อนแอของหัวใจทั่งไม่เคยมีความรักมาเยี่ยมเยือนสักครั้ง หรือไม่พวกหล่อนก็เพลี่ยงพล้ำและพ่ายแพ้กับความรักจนไม่อาจหวนกลับย้อนไปคืนวันเก่าๆ เพื่อตอกย้ำความทุกข์ของตัวเองอีกครั้ง
ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อไป คุณกาโตฟก็พาร่างใหญ่โตเข้ามาพร้อมกับอินทีเรียมือหนึ่งผู้ที่ไม่พิสมัยหญิงใดในโลกหล้า แต่ไม่ใช่เพราะผู้ชายที่มีความละเอียดมากกว่าผู้หญิงคนนั้นหรอกนะที่ทำให้สาวๆ ยืนนิ่งเหมือนต้องมนต์
หากแต่เป็นผู้ที่เดินรั้งท้ายเข้ามาต่างหากล่ะ เจ้าของคฤหาสน์คนใหม่
“คุณยูริ” วิคกี้ครางเบาๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีวันจะแลหญิงอื่น เพราะสถานภาพที่เปลี่ยนไปแล้วของเขา แต่ความสง่างามภูมิฐานและดวงตาเจ้าชู้ดูมีเสน่ห์นั่นทำให้เธออดไม่ได้ที่จะชื่นชมอย่างเปิดเผย
บาเลียนาที่เพิ่งตื่นจามนต์สะกดเช่นเดียวกันนั้น เบือนหน้ากลับไปมองเพื่อนสินท ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้มีสายตาชวนฝัน หากแต่กำลังส่งยิ้มให้อย่างสุภาพแก่คนทั้งสาม ประเภทไม่มีใครน้อยหน้ากว่ากัน
“สวัสดีสาวๆ ขอโทษที่ทำให้รอ วันนี้คุณยูริจะมาเพิ่มเติมให้อีกเล็กน้อย หลังจากที่เลขาของเขาได้ส่งรายงานมาให้เราดูเมื่ออาทิตย์ก่อน”
คุณกาโตฟผายมือไปยังบุรุษในชุดสูทสีฟ้าอมเทา ซึ่งช่วยขับให้ดวงหน้าของผู้สวมใสสดใสชวนมองอีกเท่าตัว
“ครับ ผมทราบว่าพวกคุณคงได้รับมอบหมายงานกันแล้ว ที่นี้ผมก็จะขอทราบรายละเอียดคอนเซ็ปต์ที่พวกคุณจะนำไอเดียของผมมาปรับแต่งปราสาทหลังนี้”
บีหันมาองหน้าเภตรา นี่มันควรจะเป็นเรื่องที่จะพูดกันในห้องประชุมไม่ใช่เหรอ?
“ตามนี้นะทุกคน เดี๋ยวแยกย้ายไปในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบเลย ผมจะพาคุณยูริไปดูห้องนอนก่อน” คุณกาโตฟพร้อมอินทีเรียมือหนึ่งเดินตามเจ้าของคฤหาสน์ขึ้นบันไดไป
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณยูริจะมาคุมงานเอง” วิคกี้ขยับเสื้อผ้า สำรวจความเรียบร้อย ก่อนจะกระวีกระวาดหอบเอกสารตรงไปยังส่วนที่ส่วนเองรับผิดชอบ
“ถึงฉันจะมีแฟนแล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่รับรองว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อต้องอยู่กับคุณยูริสองต่อสอง ต่อให้ห้องนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเป็นนิ้วก็ตามเถอะ” บียักไหล่ก่อนจะลงมือหยิบเอกสารของตัวเอง และยืนรอเพื่อนสนิทซึ่งทำหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความเห็นกับคำพูดเมื่อครู่ของเธอ
“อย่างว่าแหละ หากฉันเป็นล่ะก็ต่อให้บรรยากาศโรแมนติกกว่านี้สักร้อยเท่า หรือล่องลอยอยู่บนสวรรค์ชั้นไหน ก็คงไม่มีสายตาไว้มองใครอยู่แล้ว ในเมื่อเธอก็มีเทพบุตรเป็นของตัวเองอยู่ทั้งคน” บีหรี่ตาลงก่อนจะเดินแยกไปทางขวามือ
เภตราเงยหน้ามองตามหลังเพื่อนไป พร้อมกับถอนหายใจอย่างหนักหน่วง งานนี้หนักกว่าที่คิดไว้ ไม่ใช่เพราะการเข้ามารับผิดชอบอย่างเต็มตัว แต่จิตใจของเธอกำลังหนักอึ้งเต็มไปด้วยผู้ชายที่ชื่อยูริ...
ไม่ใช่เพราะเขาข้ามาครอบครองหัวใจของเธอแทนที่ใครอีกคนที่จับจองอยู่ก่อนแล้ว แต่เธอกำลังครุ่นคิดถึงความรู้สึกที่แสดงออกยามเมื่ออยู่หน้าเขา
ครั้งหนึ่งเธอเคยอึดอัดกับผู้ชายที่พยายามพิชิตหัวใจเธอคนนี้ แต่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเขาก็เป็นผู้ชายที่คู่ควรแก่ความรักของเธอไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชายอีกคนหนึ่ง เหตุการณ์ในอดีตเธอรดพ้นจากความตายก็เพราะเขา ดังนั้นในฐานะที่เธอมีพันธะทางหัวใจแล้วจึงมอบความไว้วางใจในฐานะผู้มีพระคุณตลอดเวลา
จนกระทั่งเมื่อถึงงานวันหมั้น คุณยูริก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการสถานะนั้นจากเธอ และพร้อมที่จะยกเลิกพันธะทันทีที่เภตรายินดีจะใช้ชีวิตร่วมกับเขา
แล้วเช่นนี้จะให้เธอแสดงออกกับเขาอย่างไรดี
ความคิดเห็น