คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 (100%)
เภตราวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาภายในพระตำหนัก อีกสิบนาทีจะได้เวลามื้อค่ำแล้ว วันนี้เธอจะต้องแก้ตัวหลังจากผิดนัดกับองค์หญิงเรเชลเมื่อวาน ความพยายามของเธอสัมฤทธิ์ผลแม้ว่ามันจะเฉียดฉิวก็ตาม
นางข้าหลวงที่กำลังเดินสวนมาถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นหญิงสาววิ่งตรงทางเดินซึ่งเป็นกิริยาที่สงวนไว้เฉพาะกับองค์หญิงเรเชลเท่านั้น แม้เวลานี้การเข้ามาอยู่ในพระราชวังของหญิงสาวจะเป็นเรื่องที่บรรดานางข้าหลวงยอมรับได้แล้วว่า เป็นการเพิ่มองค์หญิงน้อยเข้ามาอีกครั้ง แต่การผิดกฎระเบียบและฝ่าฝืนข้อตกลงต่างๆ โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจนั้น มักจะสร้างความประหลาดใจกึ่งไม่พอใจให้แก่นางข้าหลวงที่ยืดมั่นถือมั่นในกฎต่างๆ โดยเฉพาะกับนางข้าหลวงใหญ่
หญิงสาวยิ้มแหยๆ ให้แก่นางข้าหลวงที่หยุดทำความเคารพก่อนจะรอให้เธอวิ่งสวนไป ขณะเดียวกันเธอก็ไม่ได้หยุดรั้งรอที่จะวิ่งต่อไป อีกนิดเดียวจะถึงห้องของเธอแล้ว คงจะมีเวลาอีกห้านาทีสำหรับจัดการกับตัวเองเพื่อให้เจ้าหญิงน้อยทรงพอพระทัย
“อุ๊ย!” เภตราชะงักตรงทางเลี้ยวข้างหน้าเมื่อเกือบจะปะทะเข้ากับผู้ที่เดินสวนออกมาพอดี
“ขอโทษค่ะ” เธอหน้าเสียขณะกล่าวกับหญิงสูงวัย
“ไปกันเถอะค่ะคุณ” เสียงคุณมาร์ท่าที่เดินตามเบื้องหลังเอ่ยขึ้น หญิงสูงวัยตวัดสายตามองผ่านผู้ที่เกือบจะชนนางเพียงแวบเดียว ก่อนจะพาร่างอันผอมบางเดินผ่านไป โดยมีนางข้าหลวงใหญ่และนางข้าหลวงอีกสองคนเดินตาม
เภตราเก็บความสงสัยเกี่ยวกับหญิงสูงอายุในชุดดำไว้ ใบหน้าซูบตอบ จมูกโด่งงุ้มปลาย ริมฝีปากบางเฉียบ กับดวงตาเรียวยาวยามเพ่งมองเธอผ่านตาข่ายสีดำที่คลุมใบหน้าเกือบครึ่งของนางนั้น ช่างเหมือนใครบางคนซะจริงๆ แต่ว่าเป็นใครนั้น เธอคงต้องคิดอีกนานเชียวล่ะ อ๊ะ! นี่ไม่ใช่เวลาจะคิดเรื่องอะไรอยู่นะ ไม่ทันแล้วเภตรา ตอนนี้ผู้ร่วมโต๊ะคงจะนั่งประจำที่รอเธอเพียงคนเดียวแล้ว...
เมื่อถึงห้องอาหารเธอก็พบกับความว่างเปล่า ภายในนอกจากนางข้าหลวงคุ้นหน้าสามสี่คนแล้ว ก็ไม่มีใครที่เธอคาดหวังว่าจะเจออีก บนโต๊ะมีอาหารสำหรับหนึ่งที่ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องเป็นเธอ...แล้วลุงกับหลานไปไหน?
อย่าบอกนะว่านี่คือบทลงโทษของเด็กหญิง กับการแสดงออกว่า ‘งอน’ ของอาดีน?
“วันนี้คุณเพชรคงต้องทานคนเดียวแล้วล่ะค่ะ” ฟาน่าที่เพิ่งเดินเข้ามาหันกลับไปมองนางข้าหลวงที่ยืนนิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ้งอย่างตำหนิ มีอย่างเหรอปล่อยให้ว่าที่ราชินียืนเคว้งทำหน้าเหลอโดยไม่มีคำอธิบายให้
“ทำไมคะ?”
“วันนี้ฝ่าบาทเสด็จข้างนอกค่ะ...องค์หญิงก็เสด็จด้วย คุณเพชรนั่งคนเดียวล่ะค่ะ” ฟาน่าพูดพลางเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาว
เภตรามองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์การละเลียดอาหารเพียงลำพังหรอกนะ แต่ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอเริ่มคุ้นชินกับการปรนนิบัติเอาใจของอาดีน และเสียงเจื้อยแจ้วน่ารักของเด็กหญิง และบทสนทนาแสนสนุกที่ช่วยกระตุ้นน้ำย่อยให้หลั่งออกมามากกว่าปกติในมื้อเย็น
“หวังว่าคงไม่ใช่เพราะพวกเขาโกรธฉันหรอกนะคะ” เธอเงยหน้ามองเพื่อนตาละห้อย
ฟาน่าตกใจในตอนแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยกมือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะ
“ไม่หรอกค่ะ วันนี้ฝ่าบาททรงมีพระราชกรณียกิจมาก...แล้วยัง...” ฟาน่าตะครุบปากตัวเองได้ทัน ก่อนจะเผลอพูดสิ่งที่เป็น ‘หัวข้อ’ สนทนาในหมู่นางข้าหลวงตลอดสามวันที่ผ่านมา
“ยัง?” เภตราทวนคำด้วยสีหน้างุนงง กระนั้นเมื่อสบสายตามีพิรุธของอีกฝ่าย ประกอบกับการหลบสายตาของบรรดานางข้าหลวงคนอื่นๆ เธอก็มั่นใจว่าภายในพระราชวังคงเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลอะไรบางอย่างที่เธอไม่ควรรู้เข้าเสียแล้ว
แม้ขณะอยู่ในห้องนอนเพียงลำพัง เธอก็ปล่อยให้ความสงสัยเข้าครอบงำ ทำไมเพื่อนของเธอต้องทำเหมือนไม่อยากให้เธอรู้ด้วยนะ?
“คุณเพชรยังไม่นอนอีกหรือคะ เกือบจะสามทุ่มแล้วนะ” คืนนี้เป็นหน้าที่ของเจนที่จะเข้ามาดูแลหญิงสาวก่อนเข้านอน
“อืม...มีอะไรต้องคิดหลายอย่าง”
“คิดเรื่องอะไรกันคะ ดูสิคิ้วขมวดใหญ่แล้ว” เจนหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าของอีกฝ่ายที่ไม่ต่างกับองค์หญิงเรเชลเวลาคิดหาคำตอบด้วยตนเอง
“ฉันกำลังคิดว่า พวกคุณต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่ๆ”
นางข้าหลวงเจนชะงักมือกับผ้าห่ม ก่อนจะหันมามองคนพูดด้วยความแปลกใจ
“อะไรกันคะ? โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่มีเรื่องปิดบังคุณ” เจนก็คิ้วขมวดเช่นกัน เธอนึกไม่ออกว่าในพระราชวังจะมีความลับปกปิดว่าที่ราชินีได้อย่างไร
“แต่คุณฟาน่าบอกว่ามี...”
นางข้าหลวงถึงกับสะดุ้ง “หรือว่า...”
“นั่นไง ไหนบอกว่าไม่มีอะไรปิดฉัน...เล่ามาให้หมดเลยนะคุณเจน ไม่งั้นฉันจะไปถามฝ่าบาทเอง” เภตราขู่
“ยะ...อย่านะคะ” เจนละล่ำละลักมือไม้สั่น ดวงตาวิตกกังวล
เภตราสังหรณ์ใจว่านี่คงจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะต้องบอกเธอทันที ไม่มาทำหน้ามีลับลมคมในอย่างที่ฟาน่าทำหรอก
“งั้นก็พูดสิคะ”
“เอ่อ ไม่สำคัญอะไรหรอกค่ะ”
เภตรารีบคว้าแขนของนางข้าหลวงได้ทันก่อนที่หล่อนจะเดินหนี
“อันที่จริงฉันก็พอจะรู้มาบ้างแหละ...แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดเท่านั้นเอง”
นางข้าหลวงมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างค้นหา
“ฉันก็ไม่รู้เรื่องนักหรอกค่ะ...ว่าแต่ที่คุณทราบน่ะคืออะไร ฉันจะได้เล่าต่อได้ถูก”
แหมคุณเจน...ฉลาดจังนะ แต่เภตราคนนี้จะยอมจนมุมหรือ ไม่มีทางหรอก
“เกี่ยวกับผู้หญิงชุดดำที่มาเมื่อตอนเย็น...”
คนฟังทำหน้าตกใจ ก่อนจะยอมจำนนแล้วเผยอปากเป็นคำพูดว่า “นี่คุณเจอคุณหญิงคีราแล้วเหรอคะ”
“คุณหญิงคีรา?” เภตราทานคำเบาๆ
“ก็ท่านแม่ของพระชายาไงคะ...” นางข้าหลวงแปลอาการเบิกตาโตก่อนจะเปลี่ยนเป็นหรี่ตาลงของอีกฝ่ายว่านั่นคือการใคร่ครวญหาคำตอบอะไรบางอย่าง
เป็นแม่ของพระชายานั่นเอง มิน่าเล่าดวงตาถึงได้เหมือนกันขนาดนี้
“แล้วทำไมถึงใส่ชุด...” เภตราโยนหินถามทางต่อไป
“ก็นั่นแหละค่ะที่เราพูดกันให้ทั่วในสองสามวันนี้ ตอนแรกก็ว่าเป็นข่าวลือ แต่ที่ไหนได้มันกลับเป็นความจริง ก็คุณหญิงท่านมาถึงที่นี่น่ะสิคะ”
“หมายความว่ายังไง ข่าวลือที่นั่น...” เภตราแสร้งทำหน้าเหมือนต่อจิ๊กซอว์สำเร็จ เพื่อให้อีกฝ่ายคายความลับออกมา
“ใช่ค่ะ เสนาบดี...ท่านพ่อของพระชายาเสียชีวิตแล้วค่ะ...”
เภตรานึกถึงเสียงกรีดร้องยามค่ำคืนมันช่างโหยหวนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ที่แทรกซึมบาดลึกเข้าไปในจิตใจจนทำให้ผู้หลับใหลต้องตกใจตื่น
“อาจเป็นเพราะใจของพ่อลูกสื่อถึงกัน” เภตราสรุปจากคำบอกเล่าของนางข้าหลวง
“พูดแล้วขนลุกค่ะ เราก็เพิ่งทราบว่าท่านมหาดไทยเสียชีวิตเมื่อสองวันก่อน เป็นเวลาเดียวกับที่พระชายาทรงกรีดร้อง ทั้งๆ ที่พระอาการดีขึ้นขนาดจำองค์หญิงได้แล้ว
“เอ๊ะ องค์หญิงไปเยี่ยมพระชายาด้วยเหรอจ๊ะ”
“สามครั้งค่ะ แม้จะทรงอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ก็ไม่อิดออดที่จะเข้าไปเยี่ยมตามคำขอของหมอ”
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดไม่อาจตัดขาดด้วยการกระทำอันโหดร้ายในอดีตได้ และองค์หญิงน้อยก็ได้พิสูจน์องค์เองแล้ว่าทรงมีสายเลือดแห่งราชวงศ์เข้มข้นแค่ไหน การให้อภัยและอดทนยิ่งกว่าผู้อื่นนั้น เป็นคุณสมบัติส่วนพระองค์ในองค์อาดีนโดยแท้
“แล้วที่แม่ของพระชายามาที่นี่หวังว่าคงจะไม่ได้มารับพระชายากลับไปอยู่ด้วยหรอกนะ”
เภตราถามอย่างกังวล
“อาจจะแค่มาเยี่ยมอย่างที่เคยทำเป็นประจำนั่นล่ะค่ะ” เจนพูดอย่างผิดหวัง แต่มันจะดีแค่ไหนถ้าพระชายาออกไปจากที่แห่งนี้ได้
“แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” เภตราถามยิ้มๆ
“ก็แหม ใครๆ ที่นี่ก็อยากเห็นฝ่าบาททรงพระสำราญน่ะสิคะ ตราบใดที่พระชายายังอยู่ก็เหมือนกับเป็นหนามแหลมคม ถึงแม้จะไม่ทิ่มแทงทำให้เจ็บปวด แต่เพียงแค่เห็นความแหลมคมของมันแล้วอยู่เฉยๆ ก็น่ากลัวแล้วล่ะค่ะ”
เภตราหัวเราะเบาๆ กับความช่างคิดของอีกฝ่าย
“หากทำแบบนั้นฝ่าบาทมิถูกคนครหาแย่หรือจ๊ะ ขนาดคนในครอบครัวของพระองค์ยังไม่อาจดูแลได้ นับประสาอะไรกับราษฎรเป็นแสนเป็นล้านที่ฝากชีวิตไว้กับพระองค์ ยิ่งตอนนี้หลายฝ่ายเฝ้าจับตาวาดิเมียร์อย่างใกล้ชิด หากเกิดอะไรขึ้นก่อนที่จะทรงเปลี่ยนระบอบการปกครอง มิเท่ากับว่าฝ่าบาททรงเสียแรงเปล่าหรอกหรือ”
คนฟังคิดตามก่อนจะพยักหน้า นางข้าหลวงเจนไม่เคยนึกถึงเหตุผลในข้อนี้มาก่อน แต่ลำพังแค่เหตุที่เกิดจากพระชายาจะสร้างภัยมหันต์ให้เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น เธอยังนึกไม่ออกอยู่ดี
“เอาเถอะ ตอนนี้คนที่เป็นห่วงมากที่สุดคือองค์หญิง เรามาช่วยกันดูแลเอาใจใส่ทำให้องค์หญิงมีความสุขกันดีกว่านะ”
ข้อนี้นางข้าหลวงเจนเห็นด้วย และน้อมรับคำของว่าที่ราชินีอย่างแข็งขัน
“หม่อมฉันแค่ต้องการพระกรุณาธิคุณจากฝ่าบาทเท่านั้น”
องค์อาดีนทรงทอดพระเนตรใบหน้าเศร้าสร้อยของหญิงสูงวัยด้วยความเห็นพระทัย
“ช่วงนี้อาจไม่เหมาะเท่าไหร่คุณหญิง”
“ทำไมล่ะเพคะ นี่น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว พระชายาจะได้ทำหน้าที่ลูกเป็นครั้งสุดท้าย” คุณหญิงคีราสะอื้นไห้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก คุณข้าหลวงใหญ่ค่อยเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ให้
“อาการของควาช่าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว คุณหญิงก็น่าจะรู้นี่ว่าเรื่องสะเทือนใจจะทำให้อาการแย่ลงไป...อีกอย่างควาช่าชอบอยู่ที่นี่มาก”
“ฝ่าบาทเพคะ เรื่องนั้นหม่อมฉันทราบดี แต่หม่อมฉันกลับเห็นว่าอาการของพระชายาจะแย่ลงไปอีกถ้ายังอยู่ต่อไป”
“ทำไมคุณหญิงถึงคิดแบบนั้น” ทรงขมวดพระขนาง หากยังมีที่ไหนเหมาะสมยิ่งไปกว่านี้ พระองค์จะไม่เหนี่ยวรั้งพระชายาของอนุชาของพระองค์ไว้ แต่นึกเท่าไหร่ก็ไม่เห็นว่าจะมี?
“หม่อมฉันได้ยินมาว่า...ว่าที่ราชินีขณะนี้ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว...หากเรื่องนี้รู้ถึงพระชายาล่ะก็...แม้ว่าจะทรงไม่รับรู้อะไรแล้วก็ตาม ในฐานะแม่ย่อมไม่อาจทนเห็นความเจ็บปวดของลูกได้”
องค์อาดีนทรงไม่แสดงความคิดเห็นต่อ สถานที่อาจจะไม่สำคัญนัก ขึ้นอยู่กับความสบายใจของผู้อาศัยมากกว่า
“ถ้าคุณหญิงเห็นควรแล้วก็ตามใจ...แต่อย่าลืมว่าเรเชลยังอยู่ที่นี่”
คุณหญิงคีราเดินออกจากห้องทรงพระอักษรด้วยใบหน้าเศร้าหมองยิ่งนัก ดวงตาที่เต็มไปด้วยร่องรอยของอายุเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้งดี นางหยุดที่หน้ากระจกทางเดินที่จะออกไปสู่ท้องพระโรงด้านนอก
คุณข้าหลวงมาร์ทายื่นผ้าเช็ดหน้าให้อย่างรู้ใจ
“คุณหญิงจะพาพระชายากลับไปตอนนี้เลยหรือคะ”
“แน่นอน แม้ว่าพิธีจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ แต่แนก็ไม่อยากให้ลูกต้องทนทุกข์ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว”
นางเช็ดคราบน้ำตาออกช้าๆ ดวงตาที่มองตัวเองผ่านกระจกช่างหมองหม่นยิ่งนัก แค่เวลาเพียงปีเดียว แต่ทำไมถึงเกิดเรื่องสูญเสียขึ้นกับครอบครัวของนางมากมายขนาดนี้นะ สวรรค์...ท่านช่างกลั่นแกล้งคนได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งสามีที่แขวนคอในคุกเพื่อหนีข้อหากบฏ ส่วนลูกสาวเพียงคนเดียวกลับต้องเผชิญโลกเพียงลำพังด้วยสติที่หลุดลอย
“คุณหญิงก็เห็น เอ่อ...ผู้หญิงคนนั้นแล้วนี่คะ” นางข้าหลวงใหญ่เตือนความจำ
คุณหญิงคีราพยักหน้า หรือว่าหล่อนคือซาตานที่นรกส่งมาทำลายล้างครอบครัวของนาง!...ถ้าเช่นนั้นไม่เพียงแต่ครอบครัวของนางหรอก แต่วาดิเมียร์จะต้องล่มสลายไม่ต่างกัน เพราะผู้หญิงต่างชาติที่อาจหาญก้าวขึ้นมาช่วงชิงตำแหน่งราชินี ในกฎราชสำนักก็ระบุคุณสมบัติไว้อย่างชัดเจน ไม่มีหนทางใดที่หญิงคนนั้นจะแทรกเข้ามาได้
คอยดูเถอะ นางจะคอยยิ้มเยาะให้กับหายนะของราชบัลลังก์แห่งวาดิเมียร์...อีกไม่นาน!
ความคิดเห็น