ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Syrup [YAOI ทะเลทราย]

    ลำดับตอนที่ #16 : syrup 15 100% 12/12/2558

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 280
      1
      12 ธ.ค. 58

    ข้ารับใช้หลายคนนั้นไม่รู้อะไรมากแต่ก็ถูกปลุกขึ้นมาตามเสียงร้องโวยวาย พอจับความได้หน่อยก็เริ่มขยายเรื่องต่อกันแบบไม่มีมูลที่รู้กันคือราห์โอนั้นบาดเจ็บปางตาย บ้างก็พูดกันไปแล้วว่าถูกลอบปลงพระชนม์


    เรื่องนี้รู้กันทันทีทั่ววังแม้จะถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดหรือบอกต่อไปมากกว่าเดิม แต่ความวุ่นวายก็แพร่กระจายไปพร้อมกับความหวั่นวิตก ไม่นานนักขุนนางทั้งหลายและหมอผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนก็มาถึงวังหลวง หมออวุโส คนมาช่วยกันกับองค์ชายโฮรันเพื่อยื้อชีวิตที่เหลือน้อยเต็มทนขององค์เหนือหัว ส่วนพวกขุนนางนั้นก็จิตป่วนและโต้เถียงกัน พยายามคิดหัวแทบแตกว่าใครเป็นคนทำ


    ด้านในห้องบรรทมนั้นมีความเครียดหนักหน่วงก่อตัว เสียงหัวใจของฟารันแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ตั้งแต่เดินทางมาถึง โฮรันจัดการดูดพิษออกจากปากแผลและถ่ายเลือดออกแต่ก็ดูจะช่วยไม่ได้มาก เมื่อตรวจพิษที่ได้จากปลายมีดถึงได้รู้ว่าเป็นพิษร้ายของงูชนิดหนึ่งที่ไม่มีตัวไม่มีตนอยู่ในบริเวณนี้ เป็นงูประหลาดมี หาง เรื่องเล่าของมันอยู่ในตำราการแพทย์โบราณแต่ก็ไม่เคยมีใครพบเจอเจ้าสัตว์ร้ายชนิดนี้อีกทั้งรายงานผู้ถูกทำร้ายก็ไม่เคยมี จนเหมือนงูปีศาจตัวนี้จะมีแต่ในนิทานเท่านั้น หากเมื่อองค์ราห์โอผู้มีอาการตรงกับตำราว่าไว้ทุกอย่างเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจนั้นก็มีมากเต็มไปหมด สวนทางกับความหวังที่น้อยลงไปเรื่อยๆ


    “พิษนี้มีเรื่องเล่ากันมานานว่าหากโดนแล้วจะอยู่ได้เพียง ชั่วโมงเท่านั้น” หมอชราท่านหนึ่งเอ่ยขณะโฮรันพยายามป้อนยาให้พี่ชาย

    “ในตำรานั้นมีวิธีแก้พิษเบื้องต้นอาจยื้อเวลาออกไปได้อีกถึง 12 ชั่วโมงแต่พ้นจากนั้นไปก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ ฝ่าบาทคงทรงทราบว่าพิษชนิดนี้ไม่มีการระบุถึงยาแก้อย่างชัดเจน”

    “ข้ารู้ แต่เราจะทำอะไรไม่ได้เลยหรือไง นอกเหนือจากความรู้ในตำราเราไม่อาจเข้าใจอะไรได้เลยเหรอเกี่ยวกับพิษนี้”


    ถึงแม้จะเป็นหมอมือดีที่ควรตัดใจได้แล้วเมื่อมาถึงขั้นนี้ แต่เขาก็ยังพยายามคิดหาวิธีรักษาให้ได้ เขาทำทุกอย่างตามความรู้เดิม ที่มีเพื่อบรรเทาพิษ ตั้งแต่ป้อนยาที่มีธาตุเย็นสลับร้อนเพื่อปรับธาตุในร่างกาย ถ่ายเลือดเอาพิษออก ใช้ยาที่มีสรรพคุณซ่อมแซมภายในต้านกับพิษที่กำลังทำลายร่างกาย ทุกอย่างต้องทำอยู่ตลอดเวลาจะยื้อไว้ได้ถึง 12 ชั่วโมง แต่พิษนั้นเหมือนจะเพิ่มจำนวนในร่างกายไม่จบไม่สิ้น เพราะเลือดดำที่ถ่ายออกมามีมากจนเหมือนทั้งตัวไม่เหลือเลือดสีแดงอยู่เลย ด้วยกลัวว่าคนไข้จะตายเพราะเลือดหมดตัวเสียก่อนโฮรันจึงถ่ายเลือดตัวเองให้พี่ชายและหวังว่าเลือดพิษที่ไหลออกมาจากร่างที่นอนนิ่งจะเปลี่ยนกลับมาเป็นสีแดงบ้าง


    “ฟื้นเถอะท่านพี่ อย่าทิ้งข้าไว้เหมือนตอนนั้น”

    เขาเอ่ยขึ้นพร้อมเหงื่อที่แตกกาฬแล้วฟุบหน้าลงข้างเตียงปล่อยให้เลือดจากร่างตนไหลไปตามสาย จนสุดท้ายหมอท่านอื่นต้องมาขอให้หยุดไม่เช่นนั้นเดี๋ยวได้ตายกันทั้งพี่ทั้งน้อง ท้ายแล้วการรักษาแบบนี้จึงต้องหยุดไปเหลือเพียงแต่คอยเฝ้าและดูอาการ


    ผ่านไปแล้ว ชั่วโมง อาการของราห์โอนั้นทรงกับที่ไม่มีหวังให้ดีขึ้น ได้แต่เฝ้ารอให้หนักไปกว่าเดิมจนหมดลมหายใจเมื่อครบ 12 ชั่วโมง

    โฮรันไม่พูดอะไรกับใคร ถึงแม้จะพยายามรักษาน้ำใจคนอื่นเมื่อตอนที่ตนเดินออกมาแล้วถูกโรเรเนสกับลากลอสถามถึงอาการราห์โอ เขาก็ตอบไม่เต็มปากและพยายามไม่พูดอะไรต่อ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่โรเรเนสเขาก็ไม่อยากพูดด้วย อันที่จริงในฐานะแพทย์ถึงจุดนี้เขาควรจะต้องเป็นคนบอกให้ทุกคนทำใจได้แล้ว แต่เมื่อตัวเขาเองยังทำใจไม่ได้ก็คงไม่มีสิทธิ์ไปพูดแบบนั้นกลับใคร

    ใบหน้าขององค์ชายกลับซีดและเหนื่อยอ่อนหลังจากไม่ได้นอนจนเช้า ลากลอสจึงไล่ให้เขาไปนอนแล้วตนมาเข้ามาเฝ้าแทน


    “เขาเคยเฉียดตายมาแล้วหลายครั้ง” สหายคนสนิทเอ่ยเสียงเรียบตอนที่เทพหนุ่มเดินเข้ามา “ทุกครั้งมันเหมือนปาฏิหาร”

    โรเรเนสเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่อีกฝั่งของเตียง เฝ้ามองแผงอกแน่นนั้นขยับอย่างแผ่วเบาจนแทบเหมือนไม่ได้หายใจ คนสนิทที่นั่งอยู่ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองสบตาแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม

    “เจ้าพอจะรู้บ้างไหมว่าในชีวิตมนุษย์คนหนึ่งจะมีปาฏิหารได้กี่ครั้ง”

    ผู้ถูกถามเม้นปากแน่น พลันน้ำตาที่คลอก็ไหลแหมะลงมาเหมือนเด็กๆ “ข้าขอโทษข้าเป็นเทพแท้ๆ แต่กลับทำอะรไม่ได้เลยแล้วก็ไม่รู้อะไรเลยด้วย” แล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มปล่อยตัวเองร้องไห้จนสะอื้นน้อยอย่างไม่อายใคร

    “มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก คนที่สมควรถูกกล่าวโทษมันลอยนวลอยู่ข้างนอกนั่น”

    “แต่ แต่เพราะพวกนั้นต้องการเอาชีวิตข้าทำไมถึงเป็นฟารันที่ต้องมาเป็นแบบนี้ ถ้าข้าตามมันก็ไม่เป็นไรข้าก็แค่กลับบ้าน แต่ฟารันเป็นมนุษย์ถ้าเขาตายมันก็จบกันเลยนะ!


     ลากลอสกัดฟันด้วยความแค้นกับสิ่งที่สหายเขาเจอแล้วไม่พูดอะไรต่อ โรเรเนสพยายามหักห้ามน้ำตาตัวเองแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเหม่อมองใบหน้าที่ซีดไร้เลือดพลางก็คิดสารพัดสิ่ง ตามปรกติแล้วเมื่อมนุษย์มีปัญหาก็มักจะสวดขอพรจากเทพเจ้าและแน่นอนสำหรับอาณาจักรสปันเทียคนก็มักจะสวดขอกับเขาเพราะเป็นเทพประจำเมือง แต่ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย


    เสียงงี๊ดๆ ดังขึ้นที่มุมหนึ่งเมื่อเขามองไปก็เห็นกีก้าเจ้าหมาเตี้ยนอนซมเศร้าสร้อยอยู่บนตั่งบุนวมที่ไกลๆ เจ้าหมาน้อยนั้นเข้าใจดีว่าเจ้านายมันกำลังแย่ แย่มากจนอาจไม่อยู่กับมันอีกแต่น่าแปลกที่มันไม่ยักเข้ามาเฝ้าเจ้าของมันใกล้ๆ

    “หมามันจมูกดีน่ะ กลิ่นพิษงูน่าจะรบกวนระบบประสาทของมันมันเลยทนอยู่ใกล้ฟารันไม่ได้” ลากลอสบอกขณะหันมองเจ้าหมา

    “น่าสงสารจัง ทั้งที่มันรักเจ้าของมากแท้ๆ”   โรเรเนสมองหมาน้อยที่จมูกมีน้ำมูกย้อยเพราะแพ้กลิ่นพิษอย่างเวทนา ก่อนจะหลับตาช้าๆ แล้วฟุบหน้าตัวเองลงที่ข้างเตียงความอ่อนเพลียและอาการเหนื่อยหนักจากความเครียดพาเด็กหนุ่มหลับไหลไปกับความฝันที่เกี่ยวเนื่องกับกาลก่อน ภาพแมวอ้วนฟูของเขาฝุดขึ้นมาเมื่อเคลิ้มใกล้หลับ

    ซาลาเปาช่วยฟารันด้วยเถอะ

                   


                    ตอนแรกนั้นมันมืดสนิท ก่อนจะสว่างขึ้นจนกลายเป็นขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาไม่แลเห็นเส้นขอบฟ้า เขามองไปรอบตัวแล้วพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อฟื้นความทรงจำ

    เราถูกมีดอาบยาพิษและภาพก็ตัดไป ---นี่เราตายแล้วรึ?

    ความกังวลมากมายก่อตัวขึ้น เขายังมีห่วงอีกมากอยู่ที่โลกและมีหลายอย่างที่ต้องทำหรืออยากทำแต่กลับพลาดไปแล้วสายไปเสียแล้ว

    “เคยได้ยินว่าสวรรค์นั้นมีแต่ความสุข นี่คงเป็นนรกกระมังข้าถึงได้ทุกข์ใจเพียงนี้” 

    เขาปรารภกับตัวเองไม่ได้หวังว่าจะมีใครได้ยิน แต่เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นสอดรับกับคำพูดเขา


    “นี่ไม่ใช่สวรรค์หรือนรก และนรกสำหรับคนหยาบช้าเช่นเจ้ามันต้องเลวร้ายกว่านี้”  เสียงนั้นก้องกังวาลและหาทิศทางไม่ได้ เสียงทุ้มต่ำนี่เหมือนมาจากทุกที่ไม่อาจจับตัวตนจึงทำให้ฟังดูน่าเกรงขามยิ่งนัก

    “ท่านเป็นใคร แล้วข้าอยู่ที่ไหน” ฟารันตะโกนกลับ

    “เจ้าอยู่ระหว่างรอยต่อของโลกคนเป็นและโลกคนตาย เจ้าตายแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นแล้วและข้าคือผู้ที่จะพาเจ้าไปสู่นรกโลกันตร์”


    ฟารันยังไม่ออกอาการแตกตื่นหรือเสียใจอย่างที่ควรเป็น เขานิ่งครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะตอบโต้กลับไป “หากนี้เป็นรอยต่อระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตาย ตามพระคัมภีร์แล้วข้าต้องอยู่ที่แม่น้ำแห่งวิญญาณซึ่งเป็นที่ที่เทพแห่งการชำระล้างจะปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าผู้วายชนม์เพื่อถามคำถามถึงสิ่งที่คนๆนั้นกระทำเพื่อตัดสินใจอีกทีว่าจะส่งเขาไปนรกหรือสวรรค์ใช่หรือไม่”


    เกิดความเงียบเข้าปกคลุม ทิ้งช่วงเป็นระยะเวลาหนึ่งเสียงทุ้มนั่นถึงตอบกลับมา “รู้ดีนี่ เช่นนั้นเจ้าก็สารภาพมาให้หมดสิว่าเจ้าทำบาปอะไรไว้บ้างข้าจะได้ตัดสินใจได้เร็วๆ”

    “ก็ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านไม่มาปรากฎกายต่อหน้าข้าตามคัมภีร์ว่าล่ะ”

    “ก็ถ้าไม่แล้วจะทำไม”

    “ก็ถ้าไม่ข้าก็ไม่อาจพูดอะไรกับท่านได้เพราะถือว่าท่านไม่บริสุทธิ์ใจ”

    “ปากดีเป็นแค่มนุษย์ที่ชีวิตเอาแน่เอานอนไม่ได้แล้วยังกล้าอวดดีอยู่อีก เจ้าไม่ใช่กษัตริย์อย่างที่เป็นแล้วนะ”

    “ข้าเปล่า แต่ไม่ใช่ว่ามันเป็นกฎหรอกรึ ข้ามีสิทธิ์ที่จะไม่สารภาพคำใดใดแก่ท่านหากท่านไม่มาปรากฎกายให้ข้าเห็น พวกนักบวชเคยบอกข้าว่าถ้าเกิดกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นเท่ากับว่าแท้จริงแล้วข้าไม่ได้อยู่ ณ แม่น้ำวิญญาณหรือที่ไหนๆ ใช่ข้าไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยและท่านก็ไม่ใช่เทพแห่งการชำระล้างด้วย เมื่อข้ารู้แบบนี้แล้วท่านจะยังยืนกรานว่าตนเองเป็นคนที่ไม่ได้เป็นอยู่ให้เสียเกียรติหรือไม่”


    ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งก่อนจะพลิกเป็นดังกัมปนาถดั่งฟ้าล่ม เสียงหัวเราะดังลั่นจนปวดหูตามมาด้วยเสียงสบถด่า

     “ไอ้ทุเรศ นิสัยไม่มีเปลี่ยนเลย เออถ้าอยากเห็นก็จะให้เห็น”

    ทันใดนั้นพื้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนมันไหวหนักตามจังหวะฝีเท้าที่ย่างเข้ามา ฟารันรู้ดีว่าพวกเทพนั้นมีพระวรกายใหญ่โตกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่านัก แต่เทพองค์นี้ท่าจะมหึมากว่าใครเพื่อนเพราะเสียงลือลั่นของฝ่าเท้าที่ใกล้เข้ามาบอกเช่นนั้น

    และแล้วองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ก็มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้ามนุษย์ผู้ต่ำต้อย “ดูเสียให้เต็มตาเจ้าคนสู่รู้อวดดี ข้านี่แหละผู้เป็นเจ้าของจักรวาลทั้งมวล”


    ฟารันแหงนหน้ามองขึ้นจนคอแทบหักกว่าจะเห็นยอดหัวได้ก็ต้องเพ่งจนปวดตา นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจินตนาการไว้ นี่ไม่ใช่องค์เทพผู้มีพระพักตร์อันงดงาม แต่เป็น...

    แมว

    แมวอ้วนตัวขาวฟู หูพับ ตากลมโตที่ตัวใหญ่มหึมาใหญ่จนเมื่อเทียบสัดส่วนแล้ว มนุษย์อย่างเขาก็มีขนาดเท่านิ้วเท้าท่านเท่านั้น * ตอนนี้ฟารันรู้แล้วว่าเขาอยู่กับใคร


    *หมายเหตุ ถ้ามเทียบกับเทพท่านซาลาเปาจะมีขนาดใหญ่ประมาณ เมตร แต่ถ้าเทียบกับมนุษย์ท่านจะมีขนาดประมาณก๊อตซิล่า

    ------------------------

    ต่อ>>>

     

    “ท่าน...ซาลาเปา?”

    “สามหาวใครอนุญาติให้เรียกชื่อเล่น!” ผัวะ! อ่อกอุ้งเท้ามโหฬารขนาดโต๊ะกินข้าวตะบบลงบี้ผู้ที่อยู่แทบเท้าจนแทบจมดิน

    “อภัยข้าด้วยท่านเลวิเลี่ยน” ผัวะฟาดซ้ำให้บี้แบน

    “โอ๊ยอะไรกันท่าน” ปั่ก! ปั่ก!  กระทืบทับแล้วบดขยี้

     “อ่อก อ่า เดี๋ยวท่าน” ท่านมหาแมวหยุดมือ(เท้า)แล้วมองต่ำอย่างเหยียดๆ

    ฟารันนอนราบอยู่กับพื้นรอยช้ำปรากฎขึ้นครู่หนึ่งก่อนหดหายไป เขายันตัวขึ้นแล้วกราดกร้าว

    “อะไรของท่านเนี่ย!!

    “เจ้าตายอีกรอบไม่ได้อยู่แล้วกลัวอะไร”


    ชายหนุ่มกัดฟันกรอดแม้นต่อหน้าเทพเขาก็ไม่ค่อยจะรู้สึกยำเกรงอะไร ใจหนึ่งก็คิดว่าเพราะอีกฝ่ายดูเป็นแมวมากๆ (ก็แมวนิ) จนรู้สึกเหมือนเห็นสัตว์หน้าขนเสียแทน องค์เทพหม่าวทรงรู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรจึงแสยะยิ้มเห็นเขี้ยวขาว

    “บ้าบอแท้เจ้าเนี่ย ขนาดเป็นมนุษย์ก็ยังทำตัวเช่นนี้....เอาเถอะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า” ขนาดคับฟ้าคับดินของแมวอ้วนหดลงเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่เท่ากับสัดส่วนที่เคยมีตอนอยู่กับเทพนั่นคือดูเหมือนสูงกว่าพื้นเพียง 5 เมตร

    “เจ้าน่ะ หมดอายุขัยแล้ว!

    “งั้นรั้งข้าไวทำไม หมดอายุขัยก็ไปปรโลกสิ”

    “ฮั่นแน่ะปากดี ข้าอุตส่าห์เขี่ยเจ้าขึ้นมาจากแม่น้ำแห่งความตายนะ”

    “เขี่ย?”

    “เออ เคยเห็นแมวเขี่ยปลาทองในโหลไหมล่ะก็ใช้วิธีเดียวกันนั่นแหละ---แต่เอาเถอะไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกเพราะข้าไม่ได้อยากจะช่วยเลยซักนิด นิสัยต่ำชาติถ่อยเช่นเจ้าควรตายจากโลกแล้วกลับที่กลับทางของเจ้าไปเสีย หากไม่เพราะ 2 เหตุผลที่ดีพอข้าคงไม่ทำแบบนี้แน่”

    “เหตุผลอะไร”

    “ข้อแรกมีเรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องกลับไปแก้ซึ่งมันเกี่ยวกับไอ้หัวม่วง ซึ่งถ้าเจ้าไม่ทำสวรรค์ได้ป่วนจากนี้แน่”

    ฟารันขรึมลงอย่างอมทุกข์เมื่อเรื่องโยงเข้ามาถึงโรเรเนส “ทุกอย่างที่เกี่ยวกับโรเรเนสถ้าข้าต้องแก้ไขสิ่งใดข้าจะทำ”

    “หึ ก็ดี๊เพราะเหตุผลอีกข้อที่ข้าเขี่ยเจ้ามานั่นเพราะไอ้หัวม่วงมันขอมา”


      โรเรเนสอยากให้เราอยู่ต่อ ดีใจและปวดใจ รู้สึกดีที่ลึกๆแล้วฝ่ายนั้นยังต้องการให้เขาอยู่ต่อไม่ว่าจะด้วยแค่หวังดีกับประชาชนหรือสงสารเจ้าหมากีก้า แต่ความปรารถนาที่จะขอเขากลับไปมันพาให้ซาบซึ้งกับเด็กหนุ่มแสนดีที่เขาไม่อาจคู่ควรไม่ว่ากี่พบกี่ชาติ

    แต่นั่นคือเหตุของคำว่าปวดใจ---ระยะหลังมานี้เขารู้สึกแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการการให้อภัยจากโรเรเนส แต่ต้องการการชดใช้ที่สาสมของเขาเองมากกว่า มันควรจะสาสมกับที่เขาทำไว้


    “เพราะเช่นนั้นอย่างไรเล่า การตายมันถึงง่ายเกินไป” ท่านหม่าวรู้ได้ว่าฟารันคิดอะไรเอ่ยขึ้นพ้องกับความคิด

    “ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังโลก หากแต่เจ้าต้องชำระล้างบาปที่ตัวเองก่อไว้ก่อน....แบบไม่ต้องผ่านนรกเพราะข้าจะเป็นผู้ชำระเอง”

    แมวเหมียวสีขาวโบกหางอวบของตนอย่างแช่มช้าสบายใจ เสียงครางต่ำๆดังหึ่งพาให้กายสะท้าน ชายหนุ่มเพ่งดูใบหน้ากลมอิ่มนั้นแล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ข้าพร้อม”


    คมเขี้ยวแยกแสยะตามด้วยคำพูดทิ้งท้าย “ไม่ต้องกังวลเจ้าตายอีกหนไม่ได้ดอก”


    ปากนิ่มพุ่งเข้างับที่ลำคอและด้วยขนาดปากที่ใหญ่มันจึงยาวไปถึงอก เบื้องแรกเหยื่อรูปงามไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรนักจนเมื่อฟันเรียงรายเหล่านั้นค่อยๆ ออกแรงกดกรีดเนื้อ

    “อะ!..” เปล่งเสียงออกมาได้แผ่วในความเจ็บแรกก่อนจะทวีพล่านเมื่อแรกกดเพิ่มขึ้น “อ้า!

    และทันใดนั้น

     กึกกรอบเขี้ยวแหลมงับเต็มแรงจนทะลุเนื้อ กระดูกแตกแหลกกรอบแล้วกระชากดึงฉีกทึ้งเหมือนเสือกินเหยือ เลือดทะลักสาดพุ่งเจิ่งนองไปกับพื้นขาวโพลน

    อ๊ากกกกกกกกกกกก!” ฟารันตัวแหว่งวิ่นร้องลั่นอย่าเจ็บปวด ขนปากที่เคยขาวเปื้อนเลือดโชกพุ่งลงมากัดกินเนื้อส่วนท้องแล้วใช้ขาหน้ายันยึดเศษร่างก่อนจะทึ้งดึงเนื้อขึ้นมากิน เสียงร้องแผดไกลเคล้าเสียงกระดูกหักกายสะบัดเร่ากระตุกตามกลไกที่ไม่อาจฝืน


    ไม่ได้พิเศษอะไรมากด้วยเหตุการณ์นี้เป็นเพียงการกินเหยื่อทั้งเป็นของแมวซนๆ เท่านั้นเพียงแต่น่าชื่นใจเสียหน่อยตรงแมวอ้วนตัวนี้จะกินได้ไม่หมดไม่สิ้นด้วยเหยื่อของมันไม่ตายหากแต่ฟื้นขึ้นพร้อมร่างสมบูรณ์ให้กัดกินได้อีกครั้งซ้ำไปซ้ำมาวนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์เหมือนผีที่ไม่ผุดไม่เกิด

     

     

     

               ตอนนั้นโรเรเนสนั้นหลับฝันไป มิได้ล่องลอยไปไหนไกลหากแต่จิตไหลไปเวียนวนอยู่กับสวนของตนบนแดนสรวง อากาศเย็นสบายไม่จำเป็นต้องสร้างอุณหภูมิที่ต่างกันสำหรับพืชพันธุ์ใช้เพียงเวทมนตร์เล็กน้อยก็หล่อเลี้ยงทั้งหมดทั้งมวลของพฤษาเหล่านี้ได้


    เขาเหม่อมองบ้านเก่าอย่างเลื่อนลอยก่อนจะเริ่มทำงานเหมือนตามปรกติด้วยไม่รู้องค์ว่าตนฝันอยู่ กลิ่นหอมอบอวลอยู่รอบตัวแต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นที่เด่นแปลกไปจากอดีตจึงตามไปจนพบดอกกุหลาบจันทรากำลังผลิดอก

    มือเรียวเอื้อมไปแตะอย่างแผ่วเบาหวังใจจะเพียงลูบคลำแต่ไม้ดอกน้อยก็หลุดหักออกมาจากก้านก่อนจะสลายกลายเป็นน้ำคามืออุ้งมือ


                แล้วเทพหนุ่มก็สะดุ้งตื่น ร่างตรงหน้ายังนิ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่เวลานั้นเลยไปยามบ่ายแล้วหลายชั่วโมงแห่งชีวิตเสียปล่าไปอย่างไม่จำเป็นเด็กหนุ่มลุกขึ้นพรวดจนลากลอซและหมอที่พยายาบาลองค์ราห์โออยู่นั้นตกใจ เขาหน้าตื่นมองสหายสนิทครู่หนึ่งพลางทบทวนความฝันก่อนจะหันไปเรียกกีก้าให้ตามตนออกไป

    “เจ้าจะไปไหนน่ะ”

    “ไปเอากุหลาบจันทรามันช่วงฟารันได!” เขากล่าวขึ้นแล้ววิ่งจี๋ออกไปจากห้อง คำนั้นเป็นดังน้ำหยดลงดินแห้งความหวังในปาฏิหารเกิดขึ้นมาในห้อง ลากลอสไล่ตามด้วยความตื่นเต้น

     “เดี๋ยวสิ กุหลาบนั่นไม่ออกดอกในยามนี้เสียหน่อย”

    “ข้าเป็นเทพข้าทำให้มันออกดอกได้”

    “เยี่ยมเลย!


    โรเรเนสวิ่งตรงไปทางสวนกระจกพร้อมหมาเตี้ยที่ควบขาตาม ลากลอสผู้ไล่ตามไปเกิดนึกขึ้นได้ว่าควรไปตามองค์ชายตอนผ่านห้องบรรทมจึงเฉเข้าไปหาโฮรันที่นอนนิ่งด้วยอ่อนเพลีย เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงแล้วเขย่าเรียกอีกฝ่าย

    “ฝ่าบาท! ฝ่าบาทตื่นเถิดเรามีความหวังขึ้นมาแล้ว” ใบหน้าคมคายอ่อนพริ้มนั้นผุดพรายไปด้วยเหงื่อกาฬและแดงก่ำ  โฮรันลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ แววตาอ่อนล้าหมดอาลัย

    “นี่ท่านมีไข้เหรอเนี่ยองค์ชาย”

    “ลากอส นี่กี่โมงแล้ว ท่านพี่ ท่านพี่ล่ะ” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาพร้อมอาการซมเมื่อพยายามหยัดกายลุก

     “ยามบ่ายแล้วแต่โรเรเนสรู้แล้วว่าจะรักษาอย่างไร ท่าน องค์ชายท่านมีไข้จริงด้วย” สหายสนิทเอื้อมมือแตะหน้าผากอีกฝ่าย โฮรันนั้นยังนิ่งไม่ใส่ใจต่อคำพูดของเพื่อน “มันเป็นไปไม่ได้หรอกลากลอส ข้าเป็นหมอข้ารู้มันไม่มีทางทำให้ท่านพี่ฟื้นตื่นมาหรอก”

    “ทำไมพูดแบบนั้น ถ้าเราหวังปาฏิหารมันก็ไม่มีอะไรเชื่อได้มากกว่าคำของเทพอีกแล้ว” ทว่าเมื่อได้ยินผู้ฟังก็กลับก้มหน้างุดก่อนจะทิ้งตัวลงบนตักเพื่อนเหมือนสิ้นแรง

    “ไม่มีเทพที่ไหนหรอก”

    “ท่านพูดอะไรน่ะ”

    “เขาเคยเป็นเทพแต่ตอนนี้เขาเป็นมนุษย์ เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นไม่ต่างจากพวกเทวดาตกสวรรค์เลย ดังนั้นข้าไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเทพ ไม่เคยเลย”

    “แต่ท่านบอกตลอดว่าท่านเชื่อ”

    “ก็ข้าเป็นหมอจะทำร้ายจิตใจคนอื่นได้อย่างไร อีกทั้งข้าก็ชอบเขามากและอยากแกล้งท่านพี่---แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ท่านพี่กำลังจะตายเหตุเป็นเพราะข้า ข้าไม่สนใจอะไรแล้วและไม่อยากได้อะไรแล้ว ไม่เอาแล้ว” ท้ายเสียงหายห้วงแทรกเสียงเครือเขาซุกหน้าหนีลงกับตักลากอสผู้ก็รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่ซึมออกมา องค์ชายนั้นเหมือนกลายเป็นเด็กที่งอแงจากที่เคยเป็นบุรุษสุขุมภูมิฐาน ความสิ้นหวังทำให้เขากล่าวพาลสหายสนิทรู้ดีว่าโฮรันไม่ได้หมายเช่นที่พูดจริง

    “ท่านจะงอแงเหมือนตอนเด็กไม่ได้แล้วนะแล้วมาซุกตักผู้ชายด้วยกันแบบนี้มันก็น่าอายออก”

    “ตอนนั้นข้าก็ทำแบบนี้ ตอนที่ท่านพี่หายไป”

    “ตอนนั้นท่านเพิ่ง 6 ขวบ ข้าเองก็เด็กเพียง 8 ขวบเท่านั้น”

    “มันเหมือนกันเพราะข้าคิดว่าท่านพี่ตายแล้ว”

    “แต่เขาก็รอดมาได้ เขารอดมาได้ตลอดไม่ว่าตอนนั้น ในสงครามหรือครั้งไหนๆ--- ลุกขึ้นเถิดองค์ชาย ข้ารับปากว่าเขาจะกลับมาถ้าหากท่านเชื่อ องค์เทพอยู่กับเราแล้ว”


               องค์เทพอยู่กับพวกเขาแล้วองค์เทพผู้ทรุดตัวลงนั่งข้างกอกุหลาบจันทราไร้ดอก ด้วยช่วงเวลาแห่งการเบ่งบานได้ล่วงเลยผ่านไป เจ้าหมาอาการตรงจมูกดีขึ้นอย่างทันทีที่ได้เข้าใกล้ไม้ดอกต้นนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าพิษร้ายแปลกประหลาดสามารถรักษาได้ด้วยพืชชนิดนี้ หากแต่ยังไม่พอต้องเป็นยากลั่นจากดอกเท่านั้นที่จะสัมฤทธิ์ผล

    แต่อย่างไรเล่าเมื่อยามนี้ไม่มีทางจะฝืนธรรมชาติไปได้ ต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้ถึงเวลาผลิดอกจะมีดอกได้อย่างไร?

    “ที่ข้าเป็นคนได้ก็ผิดธรรมชาติเช่นกัน”

     องค์เทพยามนี้ไร้สิ้นความประหม่าหวั่นเกรงเขาเอื้อมมือไปแตะแผ่วที่กิ่งก้านตรงหน้านิ่งนานเพ่งระลึกถึงสิ่งที่ตนทำเป็นกิจวัตรยามเมื่ออยู่บนสวรรค์---ร่ายเวทย์เพื่อไม้งามจะเบ่งบานออกมา


    ทว่าทิ้งระยะจนแขนล้าก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นนับจากลองครั้งแรกก็เพียรแล้วเพียรเล่าทั้งตั้งจิตอย่างที่เคยทำทั้งกล่าวร้องขอต้นไม้แสนงามให้รับฟังและช่วยกัน แต่กระทั่งยามเหงื่อผุดพรายเลือดฝาดพล่านทั่วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาทิ้งแขนผ่อนพักหลายครั้งเมื่อล้าแล้วเริ่มใหม่ซ้ำไปซ้ำมายาวนานนับชั่วโมง เวลาสุดท้ายใกล้กระชั้นเข้ามา

    เจ้าหมาน้อยร้องงี๊ดนอนหงอยเหมือนมันก็เข้าใจได้ ร่างขาวเนียนเริ่มหอบเหนื่อยความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วกายพร้อมกับอาการปวดมวลไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างมนุษย์นี้ เขาไม่สนและไม่คิดถึงมันพยายามยกแขนที่จู่ๆก็หนักอึ้งเหมือนถือทั่งขึ้นชูอย่างลำบาก พลังมหาศาลที่พยายามเรียกคืนมานั้นอาจหนักหนาไปสำหรับกายหยาบนี้

    ออกดอกมาเถอะ เบ่งบานขึ้นเถอะนะได้โปรด

     

     

     

     

                    รวยรินปริ่มสิ้นใจฟารันกระอักเลือดนอนแผ่อยู่บนพื้นเย็นเฉียบมีแมวยักษ์ตัวหนึ่งนั่งเลียอุ้งเท้าเปื้อนเลือดอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ปลายเท้า

    “นี่ข้าสองจิตสองใจอยู่นะ ว่าข้าจะลดโทษให้เจ้ากึ่งหนึ่งดีไหมหรือยังไงดีเพราะจู่ๆข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าเคยโดน---โดนข่มขืนตอนอายุ11ใช่ไหม?”


    เสียงฟี้ของลมที่ลอดออกจากช่องคอดังแผ่วเป็นคำตอบ เลือดยังผุดออกมาบ้างใบหน้าที่บิดเบี้ยวขยับตามริมฝีปากที่พยายามเอ่ย ความน่าอานาถเป็นเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยหวนคืนที่ละนิด ร่างกายแหว่งวิ่นฟื้นคืนเป็นร่างเดิมที่ไร้แม้รอยขีดข่วน นานเท่าใดกันนะ กี่วัน? กี่ปี? เขาโดนกินทั้งเป็นมากี่ร้อยรอบแล้ว? ความทรมาณพิลึกพิลั่นไร้บรรยายดำเนินมายาวนานเหมือนตลอดไป


    “องค์รัชทายาทหายไปจากขบวนเสด็จตอน 8 ขวบโดนขายเป็นทาสใช้แรงงานเด็กอยู่ 3 ปีเศษแถมตอนท้ายก่อนจะได้กลับบ้านดันโดนข่มขืนเสียอีก”

    อ่า...ใช่ตอนนั้นนานมากมาแล้ว กับตาแก่ใจสัตว์อ้วนสกปรก คนระย่ำเลวผู้คว้าไหดินเผาฟาดร่างเล็กที่ขัดขืนแล้วฉีกกระชากเสื้อผ้าจนวิ่น ย่ำยีเละเทะด้วยหื่นกาม

    “แต่ก็ไม่เคยหมดหวังว่าจะได้กลับบ้านเพราะรู้ว่ามีคนสัญญาไว้แล้วว่าจะพาเจ้ากลับไป”

    ดอกไม้ดอกน้อยสีม่วงสดผุดขึ้นอย่างทันตากลางก้อนหิน ในตอนนั้นตอนที่เด็กน้อยวัย 8 ขวบ ร้องขอต่อองค์เทพให้รับฟังแล้วดอกไม้ดอกนั้นก็ผุดขึ้นมาราวปาฏิหารเป็นคำตอบสำหรับคำขอ เขาขอให้เทพโรเรเนสพาเขากลับไปที แม้จะนานล่วงไป 3 ปีแต่เขาก็เชื่อเสมอว่ายังไงก็ต้องได้กลับบ้านเพราะองค์เทพสัญญาไว้แล้ว


    ร่างกายกลับมาสมบูรณ์แต่หาได้มีเรี่ยวแรงจะหยัดยืน น้ำตารื้นเอ่อจนไหลรินออกมาเขายกแขนก่ายหน้าผากปิดตาคู่นั้นก่อนกายที่ไร้แม้ริ้วรอยจะสะท้านน้อยๆ แล้วพลางสะอื้น องค์เทพแห่งแมวก้มมองนิ่งสงบแล้วย่อองค์ลงหมอบข้างกัน


    “เข้าใจได้ว่าเจ้าทำเพราะสำคัญผิดคิดว่าโรเรเนสเป็นคนอื่นไม่ใช่เทพโรเรเนส แต่กระนั้นก็เถอะไม่ว่าโรเรเนสจะเป็นเทพหรือไม่เจ้าก็รู้นี่ว่าไม่ควรทำกับคนอื่นแบบที่เจ้าเคยเจอ”


    สะอื้นไห้ให้หมดสิ้นสิ่งที่ไม่อาจทำได้ชัดแจ้งยามเมื่อเป็นกษัตริย์ เจ็บมาตลอดทั้งตอนที่ทำร้ายลงไป เจ็บที่คิดว่าตนโดนหลอก เจ็บที่คนที่ไว้ใจหักหลัง แต่ยามเมื่อรู้ความจริงก็ดำดิ่งไปกว่าเก่า เจ็บกับความความรู้สึกผิดกับความรู้สึกดีๆ ที่เอาคืนไม่ได้ แต่ความเสียใจมันไม่พอหรอกการลงโทษทั้งหมดนี้ก็ไม่พอหรอก ทั้งที่ตนรู้วาอะไรไม่ควรทำแต่ก็ยังทำไม่มีข้ออ้างอะไรมาอ้างได้

    เขามันชั่วช้าจริงๆ

    ฟารันสูดลมหายใจเข้าแรงแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “นี่มันยังไม่สาสมกับสิ่งที่ข้าทำลงไป”

    “โฮ่!” ท่านแมวหม่าวตาโตกลมแป๋วพลางฟาดหางแรงอย่างตื่นเต้น “งั้นรึ ยังอยากได้อีกรึแต่ข้าเบื่อรสชาติเจ้าแล้วนะ”

    “จะฉีกทึ้งตบกระทืบข้าอย่างไรก็ได้” เข้าของขนฟูฝุดลุกนั่งแล้วจ้องมองอย่างจริงจัง

    “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าควรทำอะไร”

    “ให้ท่านลงโทษจนกว่าจะสาสม”

    “ไม่ใช่ การชดใช้ความผิดนั้นมันไม่มีมาตรวัดหรอกว่าแค่ไหนคือพอมันก็เหมือนการแก้แค้นนั่นแหละ ถ้าคนยังแค้นอยู่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ชดใช้ไปกี่ร้อยกี่แสนปีมันก็ไม่หมด ทีนี้เจ้ารู้สึกผิดและต้องการชดใช้ความผิดหากเจ้าไม่รู้จักให้อภัยตัวเองเจ้าคงได้ชดใช้ความรู้สึกผิดอยู่ที่นี่ไปชั่วกัลปาวสานแน่ ตอนนั้นศพเจ้าก็เป็นอาหารหนอนไปแล้วและโรเรเนสก็ต้องเสียใจมากๆ”

    “แล้วจะให้ข้าทำยังไง นี่มัน มันยังไม่พอ!

    “เออข้าก็คิดว่ามันยังไม่พอ ไม่รู้ว่าเจ้ากับข้าใครมันโรคจิตกว่ากันนะแต่ข้าแค่เตือนไว้ในสิ่งที่เจ้าควรทำ หลังจากนี้หาก ก็หากนะสมมติว่าเจ้าได้กลับไป ต้องรู้จักแก้ไขให้มันถูกสมองน่ะะใช้ให้มากๆ ไอ้หัวม่วงมันดูออกง่ายจะตายถ้าเจ้าตั้งใจเจ้าจะรู้เองว่าไอ้เทพอ่อนด๋อยป้อแป้นั่นมันอยากได้อะไร เข้าใจ๊”

    “อืม”

    “อืมพระบิดาเอ็งสิข้าเป็นเทพ!

    “ขอรับ!

    “เออ งั้นก็จัดการซะอุปกรณ์อยู่ข้างๆนั่น”  ชายหนุ่มหันไปมองตามคำบอกก็พบเห็นดาบเล่มหนึ่งวางอยู่หน้ากระจกเงา เขาเข้าใจทันทีว่าคืออะไร และไม่คาดคิดถึงสิ่งนี้มาก่อนพลันหัวใจก็หล่นวูบรู้สึกสันหลังวาบจนมือไม้ชา


    “เรามาลองอะไรที่มันโบราณกันหน่อยดีกว่า เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าเป็นเหตุให้คอไอ้หัวม่วงเป็นรอยดาบ ถึงจะตั้งใจแค่ขู่แถมเจ้าเทพง่อยนั่นจะทำตัวเองก็เถอะ แต่หันดาบใส่คนกำลังคลั่งก็ไม่ใช่อะไรที่ฉลาดหรอกนะ”

    เมื่อโบราณกาลมาแล้วนักรบผู้หาญกล้าของเผ่าสปันโบราณซึ่งเป็นต้นสายของชนชาวสปันเทียมักมีวิธีประหารนักรบด้วยการให้สำเร็จโทษตัวเอง ใช้ดาบคู่ใจบาดคอหน้ากระจกแล้วดูตัวเองตายช้าๆ เป็นการกระทำสยดสยองชวนวิปลาสการฆ่าตัวตายนับว่ายากแล้วแต่การต้องดูตัวเองตายเป็นฝันร้ายที่บาดใจไปยังภพภูมิหน้าได้ทีเดียว ทว่าหากหลังจากฟารันทำสิ่งนี้เขาจะยังไม่ตาย....


    ชายหนุ่มคุกเข่าลงหน้ากระจกเห็นชัดถึงใบหน้าของตนเอง หยิบดาบขึ้นอย่างแช่มช้าลังเลหากแม้แค่เชือดคอตนคงพอฝืนทำได้แต่ต้องลืมตาค้างเอาไว้แบบนั้น---แค่คิดมือมันก็ขยับไม่ออก

    “กลัวอะไร ทำสิ”

    มือที่กำด้ามดาบนั้นสั่นระริกริมฝีปากถูกขบกัดจนห้อเลือด เขาแข็งใจนึกถึงสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่สาสมแล้วตัดใจกระชากแขนบาดคมดาบลงลึกกลางคอหอยตนเองแล้วแผงอกแน่นก็ได้อาบเลือดต่างน้ำ หลอกหลอนดั่งฝันร้ายร่างแข็งทื่อไม่อาจขยับแม้อยากหลับตาก็เหมือนไม่สามารถบังคับฝืนใดใดได้ แล้วก็ล้มลงหน้ากระจกบานใหญ่ดูตัวเองตายที่ละน้อยภาพใบหน้าเจ็บปวดไร้เกียรติน่าสมเพช เคยเห็นมามากแล้วภาพคนตายน่าอนาถแต่ตรงหน้าเป็นใบหน้าเขาเอง


    คาวเลือดคะคลุ้งแดงฉานก่อนจะดับมืดพลันชั่วครู่ก็สว่างจ้าอีกครั้ง เขาตื่นและเริ่มใหม่

    “เป็นไง เป็นประสบการณ์ที่หายากนะ---เอ้า เอาอีก” เหมือนมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นบังคับร่างของเขาให้กลับมาอยู่ท่าเดิมที่คมดามจ่อคอตัวเอง “ไม่ต้องห่วงข้าจะช่วยทุ่นแรงให้ เจ้าจะไม่ได้หยุดหรอกจนกว่ามันสมควรแก่เวลา”

    ฟารันมองเห็นถึงแววตาหวาดหวั่นของตนที่ระริกสะท้อนเงาอยู่ตรงหน้า การสำเร็จโทษตนเองดำเนินไป อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง ......

     

     

               ร่างนั้นซีดเผือดเหมือนเลือดหาย โรเรเนสฟุบหน้าลงดินหอบเหนื่อยขณะแสงตะวันคล้อยต่ำจนใกล้จะเย็นย่ำ เด็กหนุ่มช้อนตาเศร้ามองกอไม้ที่ไม่ไหวติ่งไม่สะทกสะท้านและเขาก็ร้องไห้ออกมาเฉยๆ สะอึกสะอื้นปล่อยโฮเพราะสิ้นหวัง เขาไม่รู้ว่าตัวเองลงมาเป็นมนุษย์เพราะอะไรแต่ถ้าไม่มีฟารันก็ไม่รู้จะทำยังไง ความพันผูกเก่าก่อนนานมาที่เขาจำไม่ได้แต่รู้สึกได้บอกเขาว่าเขาควรอยู่เห็นฟารันมีชีวิตไปเรื่อยๆ นานมาแล้ว เก่ามากแล้วเรื่องระหว่างเขากับกษัตริย์หนุ่มนานมาตั้งแต่ยังไม่ลงมาเป็นมนุษย์แม้จะจำไม่ได้


    หยาดน้ำตาหยดหล่นแหมะลงที่โคนต้น อาทิตยายอแสงสาดจ้าเป็นทางส้มสะท้อนเงาหยดน้ำข้างแก้มวาววับเหมือนแสงดาว องค์เทพร่ำไห้อีกครั้งในร่างมนุษย์หากคราวนี้ปวดประหลาดสิ้นหวังมากกว่าเคย แต่หยาดน้ำใสดังยอดเพชรนั่นเองที่ก่อเกิดปาฏิหาร


    กลิ่นหอมแปลกที่เย้ายวนและคุ้นเคยเด่นแทรกกลิ่นไอดินขึ้นมา เด็กหนุ่มดีดตัวผุดนั่งแลเห็นตรงหน้าเป็นยอดดอกตูมของกุหลาบน้อย ความหวังและความดีใจท่วมท้นไม่อาจบรรยายเขาหันรีหัวขวางอยู่สองสามทีแล้วกลับมาตั้งสติเพ่งจิตอีกครั้ง คราวนี้ไม่แม้แต่จะแตะก้านดอกด้วยปลายนิ้วเพราะเวทย์มนต์ที่กลับฟื้นคืนสำแดงเดชเร่งการเจริญเติบโตขึ้นอย่างทันตา ไม่นานเท่าใดกอไม้หนามก็ผุดผาดไปด้วยดอกกุหลาบสีนวลนับสิบดอก สวยงามอย่างน่าพิศวงด้วยนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกที่กุหลาบจันทราแบ่งบานใต้แสงตะวัน 

    โรเรเนสร้องไห้โฮเป็นคำรบสองแต่ครานี้ด้วยปิติเจียนสิ้นสติ “ขอบคุณ ขอบคุณ” เขาพร่ำพูดกับเหล่าดอกไม้งามแล้วก้มลงจูบกิ่งหนามตรงหน้าก่อนจะค่อยๆเด็ดดอกไม้สีมุกนั้นที่ละดอกอย่างเบามือ



                       องค์ชายโฮรันมองตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้าเหมือนตัดใจด้วยสิ้นแสงตะวันก็สิ้นเช่นกันกับชีวิตราห์โอ ผู้คนนับร้อยในเขตวังพากันเศร้าสร้อยแลทำใจเตรียมพร้อมกับการสวรรคตที่เร็วเกินไป แต่ขณะที่ความหวังถูกทิ้งไปโรเรเนสก็วิ่งพรวดเขามาพร้อมดอกไม้ที่หอบมา

    “หมอโฮ ข้าได้มันมาแล้ว!” ทุกคนในห้องหันมามองเด็กหนุ่มพลันตกตะลึงกับความงามและกลิ่นหอมล้ำของกุหลาบพันธุ์หายาก ทุกคนไม่คิดฝันว่าชาตินี้จะมีโอกาสเห็นกุหลาบจันทราออกดอกมากไปกว่านั้นคือออกดอกยามมีแสงอาทิตย์อีกด้วย

    “เทพแท้ๆ พ่อคุณ” หญิงรับใช้นางหนึ่งพึมพำขึ้น ก่อนเสียงพึมพำจะทวีขึ้นในห้องแต่โรเรเนสไม่ได้ยินหรือสนใจจะฟังเขามุ่งแต่จะให้โฮรันกลั่นยาให้ซึ่งแน่นนอนหมอหนุ่มไม่รอช้าสั่งคนให้เอาอุปกรณ์มาทันที ลากลอสไล่ให้ทุกคนออกไปรอข้างนอกเพื่อให้องค์ชายทำงานสะดวก


    “มันจะทันเวลาไหม มันจะทันเวลาไหม” เทพหนุ่มร้อนรนแต่ ถูกห้ามกิริยาไว้ด้วยสหายสนิทองค์ราห์โอรู้ดีว่าเวลานี้ผู้เป็นหมอต้องการสมาธิ ขะมักเขม้นบดยาอย่างเร่งรีบแข่งกับเวลาอันน้อยนิดไม่กี่อึดใจยาวิเศษก็ได้ที่ เขาจับยากรอกปากพี่ตนแล้วใช้บางส่วนทาพอกลงบนปากแผล ทุกคนยืนนิ่งรอเวลาที่ปาฏิหารจะสัมฤทธิ์ผล แต่จนเมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้าแล้วแทนที่ด้วยแสงเทียนก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    ทุกคนงงงวยแต่ยังไม่ถอดใจ โรเรเนสเดินเข้าไปใกล้ร่างที่นิ่งแล้วทรุดลงนอนแนบศีรษะตนลงกับอกกว้าง หลับตานิ่งพยายามฟังเสียงหัวใจที่เหมือนจะหายไป ใช่เมื่อแนบหูลงฟังเสียงหัวใจได้หยุดไปแล้ว

    กลับมาฟารัน กลับมาได้แล้ว

    “ข้ารอท่านอยู่นะฟารัน”

     

     

    …..

     

    …………

     

    …………………

     

    ตึก.... แรงบีบเกิดขึ้นอีกครั้ง ตึก.....แล้วตามด้วยอีกหลายครั้งหัวใจนั้นกลับมาเต้น เต้นขึ้นใหม่เหมือนเด็กแรกเกิดเทพหนุ่มหยัดกายขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างข้างใต้ตน

    “ดูนั่นสิ!” ลากลอสชี้นิ้วไปยังบาดแผลที่หดหายทันตาร่างกายที่ซีดไร้เลือดค่อยๆกลับคืนดังคนสุขภาพดี ท่านหมอโฮตาตื่นพุ่งเข้าไปจับชีพจรพี่ตนเขานิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือข้างนั้นแล้วถอยออกมามองเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง

    “เขาหายแล้ว....เขาหายแล้ว!พิษสลายไปหมดแล้ว!” องค์ชายโฮรันตะโกนลั่นผู้ที่ถูกกันอยู่ด้านนอกได้ยินก็ถือวิสาสะแห่ถลันกันเข้ามา ปาฏิหารเกิดขึ้นแล้วการส่งเสียงแสดงออกถึงความดีใจเซ็งแซ่ขึ้น นางข้ารับใช้คนเดิมวิ่งออกจากที่เกิดเหตุแล้วประกาศเสียงดังอย่างไม่สำรวมกิริยาว่าองค์ราห์โอรอดแล้ว

     

    ผู้คนในวังต่างดีใจและโล่งใจไปตามกัน ทุกคนออกอาการยินดีกันถ้วนหน้าส่วนองค์เทพรูปงามนั้นเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ มองใบหน้าคมสันนั้นอย่างชื่นใจ

     

    ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

    มาอัพแล้วจ้า ขออภัยหายไปนานอีกแล้วววว ช่วงนี้ทำโปรเจคจบเดี๋ยวปีหน้าก็เรียนจบ(มั้ง)แล้วเฮ่ หวังว่าจะจบ (เฮ่) หางานทำ (เฮ่) ปีใหม่เทียวไหนกันจ๊ะ


      ขอบคุณที่ยังรออ่านนะคะ ทั้งที่ดองงานได้น่าเกลียดขนาดนี้แต่ก็หวังใจว่าจะให้จบเรื่องนี้ภายในต้นปีหน้าไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นจะยาวขนาดไหนหะหะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×