ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Syrup [YAOI ทะเลทราย]

    ลำดับตอนที่ #13 : Syrup 12 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 195
      1
      27 เม.ย. 58



                     ทุกอย่างเหมือนภาพซ้ำที่วนเวียน มันออกจะน่าเบื่อหน่ายที่ต้องพบกับสถาณการณ์แบบเดิม
    คือการตื่นมาแล้วพบว่ามันมีอะไรมากมายผ่านไปแล้วเสียหลายวัน แต่กระนั้นลึกๆเขาก็คาดว่าครั้งนี้น่าจะ
    เป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องเจอะไรแบบนี้

     

    โรเรเนสลุกขึ้นนั่งในเช้าวันหนึ่งเขาไม่ได้สนว่ามีอะไรผ่านไปบ้างแล้ว เขาคลับคล้ายคลับคราว่าหลับๆตื่นๆอยู่แต่ไม่รู้ตัวดีนักเหมือนจะละเมอเหมือนจะฝัน ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ตายไปจริงๆในบางช่วงหรือไม่ แต่เขาก็สนเท่ห์อยู่ว่าทำไมไม่มีซักแว่บหนึ่งที่เขากลับไปสวรรค์บ้าง ทว่าช่วงกึ่งเป็นกึ่งตายนั้นถือว่าสบายตัวอย่างประหลาด

    นั่นถือเป็นประสบการณ์ที่ดีจนอยากจะตายไปเสียจริงๆแต่ก็ดันไม่ตาย โชคดีอยู่หน่อยนึงตรงที่ตื่นมาคราวนี้ความทรงจำเกี่ยวกับแดนสวรรค์ก็เพิ่มขึ้นมาก แม้นจะไม่ทั้งหมดแต่เข้าก็เหมือนจะจำอะไรได้มากขึ้น

     

    ตอนนี้มันเป็นช่วงเช้าเกือบๆสาย แดดส้มอ่อนรำไรเข้ามาในห้องกลิ่อหอมของอาหารโชยอยู่ไม่ไกลคะเคล้าจางๆกับกลิ่นดอกไม้หลายกลิ่นที่เขาแยกได้ไม่ยากว่ามีอะไรบ้าง มือเรียวเอื้อมจับแผลที่คอมันมีผ้าพัดไว้อย่างดีและไม่รู้สึกเจ็บเสียเท่าไร เขานึกหวนไปถึงวันนั้นก็เกิดรู้สึกแย่ขึ้นมาหลายอย่างและการตื่นขึ้นมาแบบนี้ทำให้เขาต้องมานั่งกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ ทำไมฟารันไม่ปล่อยให้เขาตาย?ยังอยากจะทำอะไรเขาต่ออีกหรือ แล้วท่านหมอนั่นเล่า.....โธ่ท่านหมอ

     เขาลงจากเตียงอ่อนนุ่มแล้วเดินไปยังห้องรับรองที่อยู่ใกล้ๆเพื่อกินอาหาร ซึ่งบอกได้เลยว่ามันอร่อยกว่าปรกติอย่างน่าประหลาดด้วยเพราะหิวหรืออย่างไรก็ไม่แน่ใจ ทั้งขนมปังและนมก็รสดีเสียมาก

    เขากินอย่างจริงจังโดยไม่มีใครรบกวนจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของคน2-3คนก้าวตรงมาที่ประตูห้องเขาถึงชะโงกหัวไปมอง เมื่อประตูเปิดแล้วเห็นว่าเป็นใครเขาก็ไม่ได้สนใจและจัดการอาหารต่อ

    ลากลอสเดินเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้อีกสอง พวกเขาแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่พบคนไข้นอนอยู่บนเตียงแต่เมื่อเห็นว่ามานั่งกินอาหารได้ปรกติในอีกห้องก็ยิ่งประหลาดใจใหญ่

    “โอ้ นี่เจ้าตื่นจริงจังแล้วใช่ไหมเนี่ย” ลากลอสเอ่ยทักอย่างแปลกใจก่อนจะลงนั่งร่วมโต๊ะที่เก้าอี้ใกล้ๆ โรเรเนสพยักหน้าให้โดยที่ปากยังเคี้ยวตุ้ยอยู่

    “เวลากลืนเจ็บคอไหม” 

    ส่ายหัว

    “แล้วเดินมานี่ไม่มึนหัวหรอ”

    ส่ายหัว

    “โฮ่ดีจริง เดี๋ยวข้าให้คนไปตามหมอมาดูอาการเจ้าอีกทีจะได้สบายใจ” คราวนี้เด็กหนุ่มตาเบิกโพลงแล้วรีบกลืนคำสุดท้ายก่อนจะพูดละล่ำละลัก

    “ทะ ทะ ท่านหมอยังอยู่รึ!

    “ม่าย ท่านหมอหลวงชัคบาไม่อยู่กับเราเสียแล้ว หมอที่มารักษาเจ้าเป็นหมออีกคนในราชสำนัก”

    โรเรเนสหน้าถอดสีแล้วเหมือนจะร้องไห้แต่อีกฝ่ายเห็นเช่นนั้นก็ห้ามเอาไว้ก่อน

    “ท่านหมอยังไม่ตาย แต่ท่านหมอกับพวกนักบวชถูกเนรเทศไปอยู่ที่อื่น”

    แต่แววตาเศร้านั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นเสียเท่าไรเมื่อพบว่าคนดีๆแบบนั้นต้องโดนลงโทษให้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

    “ส่วนเรื่องของเจ้า....อ่าม จากเหตุการณ์วันนั้น”

    หน้าสวยพลันนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอีก มีอะไรมากมายจนเลวร้ายจนจำไม่ได้หมด แต่พอคืนสติมาคราวนี้เขาก็นึกขึ้นได้ถึงพฤติกรรมบ้าบิ่นและกร้าวของตน แล้วก็พลันหน้าแดงขึ้นมา

    “อ่า...ลากลอส วันนั้นข้าทำตัวแย่มากๆเลยใช่ไหมข้าขอโทษท่านด้วยนะ”

    “เอ้ย!ไม่ต้องหรอก ข้าเข้าใจได้ว่าเจ้าโกรธมากแต่มันก็..”

    “ข้ามานึกดูตอนนี้ข้าไม่น่าโวยวายขนาดนั้นเลย มีคนที่ไม่เกี่ยวข้องอีกมากแล้วข้าก็ด่าเหมารวมไปเสียหมด ข้าไม่ได้อยากเป็นคนอารมณ์ร้ายแบบนั้นนะ....ตอนนั้นข้าอาละวาดหนักมากใช่ไหม”

    “หนักอยู่”

    เด็กหนุ่มก้มหน้างุด เขาไม่เคยโกรธมากขนาดนั้นเลยตั้งแต่เกิดมาและไม่ชอบมากๆเวลาที่คุมตัวเองไม่ได้แบบนั้น มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ต่างจากพวกมนุษย์กิเลศหนา เทพอย่างเขาควรควบคุมทุกอย่างได้ดีกว่านี้

    “แต่ก็สะใจดีนะ”

    “หา?”

    เลขาหนุ่มยิ้มหยันที่มุมปาก

    “ข้ากลับรู้สึกสนุกและสะใจมากที่เจ้าทำอะไรแบบนั้นถืงตอนท้ายมันจะโหดไปหน่อยก็เหอะ”

    “ท่านนี่โรคจิตเหลือเกิน ข้าทำแบบนั้นท่านยังว่าดี”

    “ลึกๆข้าก็เชียร์ให้เจ้าเดินเข้าไปตบราห์โออยู่”

    พอได้ยินการกล่าวถึงชายคนนั้นเขาก็เม้มปากแน่นแล้วสลดหดหู่ไปอีก ความโกรธยังคุอยู่ในใจเคล้าผสมปนกับความเศร้า เขาไม่อยากพูดถึงผู้ชายคนนั้นเลย หากแต่ก็คงไม่อาจเลี่ยงอะไรได้มากในเมื่อยังอยู่ในบ้านคนๆนั้น

    เขาแสร้งสานบทสนทนาต่อเหมือนข่มอารมณ์นั้นไว้ เขาอยากเข้มแข็งและดูเป็นปรกติที่สุดเมื่อพูดถึงผู้ชายคนนั้น

    “พูดแบบนั้นไม่ดีนะท่านลากลอส ท่านไม่ได้อยู่ข้าง..ข้างราห์โอรึ”

    “ข้าอยู่ข้างตัวเองเสมอ”

    “โฮ่ ท่านนี่มั่นใจดีจริง”

    “อันที่จริงเจ้าไม่ต้องเรียกข้าด้วยท่านแล้วนะ ตอนนี้สถานะเราเท่ากันแล้ว”

    หน้าสวยขมวดคิ้วมองอย่างฉงน เขาไม่เข้าใจว่าคำตัดสินจะมีอะไรอื่นได้อีกนอกจากประหารเขาเสีย

    “คือแบบนี้นะโรเรเนส จากการอาละวาดของเจ้าเมื่อคราวนั้นศาลตัดสินว่าเจ้า...อ่าม..สติไม่ดี ขออภัยที่ต้องพูดแบบนี้ แต่คือพวกเขาคิดว่าเทพที่พวกเขากราบไหว้กันอยู่ทุกวันไม่น่าจะคลั่งได้ขนาดนั้น...คือเจ้าต้องเข้าใจว่าตอนนั้นเจาขาดสติไปมาก ถึงแม้ข้าจะสะใจ แต่คนอื่นไม่คิดแบบนั้นนั่นแหละพวกเขาคิดว่าเจ้าหลงผิดจริงอย่างที่ท่านหมอชัคบาบอก จึงถือว่าเจ้าไม่มีความผิดฐานหลอกลวงราห์โอและถือว่าความผิดทั้งหมดของเจ้าเป็นโมฆะ แต่กระนั้นด้วยความที่เจ้ามีความรู้ด้านพฤษศาสตร์อยู่มากโขเลยให้รับราชการอยู่เป็นคนดูแลไม้ดอกของที่นี่...ประมาณนี้”

    โรเรเนสนิ่งอึ้งไปแล้วค่อยๆลำดับความคิดที่ละส่วนในหัว

    “เดี๋ยวนะ สรุปคือ...ข้าบ้า?”

    “ก็..ก็ตรงๆคนอื่นเขาก็คิดแบบนั้น”

    “ท่านก็คิดว่าข้าบ้า?”

    “ไม่นะไม่ๆๆๆ ข้าไม่คิดว่าเจ้าบ้า....เจ้าแค่...เข้าใจตัวเองผิด”

    “เจ้าก็ไม่คิดว่าข้าเป็นเทพสินะ”

    “ขอโทษจริงๆ”

    “แล้วนอกจากข้าจะบ้าแล้วข้าก็ยังโดนเก็บไว้เป็นคนสวนอีก”

    “แล้วเจ้าจะไปอยู่ที่ไหนเล่า”

    “ก็ไม่ส่งข้าออกประเทศไปเหมือนท่านหมอเล่า”

    “ไม่เอาน่าเจ้าความจำเสื่อมนะจะอยู่ยังไง อีกอย่างราห์โอทรงดำริเช่นนี้ด้วย”

    เด็กหนุ่มนิ่งงันแล้วเบือนหน้าหนี เขาเริ่มขบกรามแน่นยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธผู้ชายบ้าอำนาจเอาแต่ใจคนนั้น

    “แต่นะ นั่นก็หมายถึงเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ได้นะ”

    “หมายถึงข้าไปจากที่นี่ได้งั้นหรอ?”

    “ไปเลยไม่ได้หรอก เจ้าเป็นคนไม่มีทะเบียนเร่ร่อนไปทั่วจะลำบากเปล่าแต่ถ้าออกไปเที่ยวเล่นนนอกวังน่ะพอจะทำได้”

    พวงแก้มใสป่องขึ้นอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เขาไม่ได้มีความผิดติดตัวอันที่จริงก็อยากจะหนีไปเลยแต่ก็เกิดฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้

    “ลากลอสที่ที่ท่านหมอไปมันลำบากไหม”

    “ไม่หรอกก็ถือว่าอยู่ได้ดี แต่ที่แย่ที่สุดเขาคงไม่มีโอกาสได้เจอกับลูกสาวเขาอีกแล้วเพราะมันเป็นธรรมเนียมที่ครอบครัวจะไม่ติดต่อกับผู้ถูกเนรเทศ”

    “เพราะท่านหมอถูกตัดสินให้ผิดสินะ ถ้าเขาไม่ผิดก็กลับมาได้ใช่ไหม”

    “ก็ ประมาณนั้น”

    “งั้นข้าต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวข้าเป็นเทพสินะเขาถึงจะได้กลับมา”

    คราวนี้เป็นฝ่ายเลขาหนุ่มที่เม้มปากเรียบอย่างหนักใจ สำหรับเขาโรเรเนสไม่ใช่เทพนั่นคือสิ่งที่ทุกคนยืนยันและการกระทำของโรเรเนสก็ยืนยันในข้อนั้น เรื่องนี้ถือว่าน่าเศร้าและเจ็บปวดสำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้และท่านหมอแต่โดยส่วนตัวเขาไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรได้มากไหมนอกจากสิ่งที่ราห์โอบอกเขามา

    ราห์โอกล่าวกับเขาว่า เขาสงสัยว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการนำโรเรเนสมาทำให้ความจำเสื่อมและทำให้หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นเทพ อาจเป็นผู้ใช้เวทย์บางคนและคนในที่จัดการเรื่องนี้ ซึ่งข้อสันนิษฐานนั้นยังไม่ชัดเจนแต่ก็คาดกันเอาไว้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับโยเฮน

    เขาไม่ได้บอกว่าโยเฮนเป็นคนพาโรเรเนสมานั่นมันย้อนแย้งกันเกินไปแต่ราห์โอทรงเชื่อว่าโยเฮนน่าจะรู้ว่าใครทำและคนๆนั้นน่าจะเป็นอริของโยเฮน โยเฮนจึงพยายามอย่างไม่ปิดบังที่จะกำจัดโรเรเนสที่เป็นเหมือนเครื่องมือของอีกฝ่าย ราห์โอจึงกำชับให้เขาช่วยสืบหาว่าโยเฮนนั้นมีอะไรปิดบังหรือเป็นอริกับใครเขาไว้บ้าง

    นั่นคือที่ลากลอสรู้มา 1.ท่านหมอไม่ผิด 2.โรเรเนสไม่ใช่เทพแต่เป็นเครื่องมือของใครไม่รู้ 3.และใครไมรู้คนนั้นเกี่ยวกับโยเฮนซึ่งไม่อาจบอกได้ว่าโยเฮนคือคนผิด อีกฝ่ายผิดหรือผิดทั้งคู่

    และทั้ง3ข้อนี้ลากลอสก็เชื่อสนิทใจโดยไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทจำเป็นต้องโกหกเขาในเรื่องเหล่านั้น ด้วยแท้ที่จริงแล้วโรเรเนสนี้เป็นเทพและเรื่องนี้เกี่ยวกับโยเฮนล้วนๆไม่ได้มีมือที่3มาทำให้ป่วนแต่อย่างใด หากแต่เพื่อรักษาสัจจะและแผนการที่นัดแนะกับท่านหมอไว้ฟารันจึงไม่อาจให้ใครแม้นซักคนล่วงรู้ได้ว่าโรเรเนสเป็นเทพ แม้แต่เพื่อนสนิทที่คบกันมานานขนาดลากลอสก็ไม่อาจรู้ได้เลย

    “อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นเทพก็ได้นะถ้าหากจะให้ท่านหมอพ้นผิด แต่เรื่องนั้นข้าคงบอกรายละเอียดเจ้าไม่ได้แต่อยากให้เจ้าวางใจว่าซักวันท่านหมอจะได้กลับมาแน่”

    โรเรเนสไม่ค่อยเข้าใจว่าจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อช่วยให้ท่านหมอกลับมา แต่เขาก็ได้แต่พยักหน้ารับไปและเริ่มคิดทบทวนถึงทางเลือกของตัวเอง

     

    ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นก็ไม่รู้ได้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของใครกันบ้างที่เด็กหนุ่มตัดสินใจยอมทำงานเป็นคนดูแลพืชพันุ์อยู่ในวังไม่หนีไปไหน เจ้าตัวไม่ได้ให้เหตุผลอะไรกับใครเรื่องนั้นเขารู้อยู่ในใจแม้คนส่วนมากมองว่าเด็กหนุ่มสติไม่ดีคนนี้คงไม่กล้าออกไปอยู่ข้างนอกแต่ลำพังและออกจะเวทนาในตัวเขา แต่ลึกๆที่เขายังไม่หนีไปไหนเพราะเขาเชื่อว่าการไม่เอาตัวรอดแต่คนเดียวเป็นอะไรที่มีศักดิ์ศรีมากกว่า ที่สำคัญเขายังเชื่ออีกว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ทำให้ท่านหมอชัคบาพ้นผิดได้


    เช่นนี้ราห์โอก็ยังใจชื้นอยู่บ้างที่ฝ่ายนั้นยังอยู่ในสายตาไม่งั้นออกไปข้างนอกก็อาจถูกสายของโยเฮนสังหารได้ แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจผิดไปว่าหนุ่มหน้าสวยนั้นยังพอจะอยู่ในจุดที่เขาจะเข้าหาได้แต่นั่นก็ไม่เลย

    ด้วยสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดที่เขาทำนั้นเป็นเหตุให้หลังจากตื่นมาโรเรเนสก็ไม่ยอมคุยกับเขาอีก หากแม้นคุยก็ไม่มองหน้า คุยเฉพาะเรื่องงานเมื่อเลี่ยงได้ก็เลี่ยง หลายครั้งที่เขาพยายามหาโอกาสให้ได้อยู่กันลำพังเพื่อปรับความเข้าใจแต่ก็ยังไม่มีวันไหนที่เขามีโอกาสเช่นนั้น ด้วยตัวเขาเองก็ได้ว่าและฝ่ายนั้นก็ไม่อยากจะเจอจึงทำได้เพียงเฝ้ามองอยู่ห่างๆ จึงทำได้เพียงให้มีคนค่อยดูแลสอดส่องแล้วรายงานเขาเป็นระยะว่าฝ่ายนั้นอยู่ดีหรือไม่อย่างไร บ้างก็ฝากลากลอสให้นำของกำนัลไปให้พร้อมจดหมายที่กี่ครั้งก็ไม่เคยถูกเปิดอ่าน

     คำขอโทษนั้นก็ไม่เคยจะไปถึงครั้นเมื่อพยายามจะไปเจอหน้าก็เกิดเหตุกระอั่กกระอ่อนพูดกันได้ไม่จบความ ครั้งหนึ่งราห์โอนั้นทนไม่ไหวบุกไปหาถึงห้องในยามค่ำคืนเพื่อจะขอโทษและอธิบายความ แต่เมื่อยามเห็นตาเศร้าที่รื้นน้ำทุกครั้งที่เห็นหน้าเขาเขาก็จำต้องหลีกมา เพราะทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้โรเรเนสก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดมันไม่ใช่เหมือนในครั้งก่อนนั้น ครั้งก่อนที่เราไม่คุยกันครานั้นเด็กหนุ่มออกแนวระแวงเขามากกว่ากลัวว่าจะโดนเขาทำมิดีมิร้ายอีก

     แต่คราวนี้โรเรเนสไม่ได้กลัว ไม่เลยไม่ซักนิดที่จะเกรงกลัวฟารันอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่มีมันเป็นความด้านชาที่ซ่อนความเจ็บแค้นไว้ทุกครั้งที่เจอหน้ากันเขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกทรมาณใจที่ฝ่ายนั้นส่งมา เห็นชัดว่าไม่อยากพบไม่อยากเจอแค่อยู่ใกล้กันก็คงอึดอัดสะอิดสะเอียดจนจะร้องไห้แล้วกระมัง เหมือนทรมาณเหมือนรังเกียจและปนแค้น

                  ฟารันเคยเห็นมาแล้วคนที่เป็นแบบนี้แววตาแบบนี้ นานมาแล้วตั้งแต่สมัยสงครามนั่นก็เมื่อเขายังเด็ก ตอนนั้นเกิดเรื่องขึ้นหลังจากทัพของสปันเทียบุกไปตีเมืองหนึ่งมาได้ ช่วงขณะที่พักกองกันอยู่ในเมืองก็มีทหารนายหนึ่งฉุดคร่าสาวชาวบ้านมาขืนใจ แม่ทัพรู้ความก็จัดการตัดหัวของทหารคนนั้นเสียแลกล่าวกับทุกคนว่าเราเป็นทหารหาใช่โจรย่ำยีผู้หญิงมีโทษถึงตายสถานเดียว

    หลังจากนั้นก็มีเรื่องต้องลำบากใจอีกเมื่อแม่ทัพผู้นั้นต้องเป็นคนนำศีรษะของทหารผู้นั้นไปคืนแก่มารดาของเขา ตอนนั้นแหละที่ฟารันได้แอบตามไปดูด้วย

    แววตานั้นอธิบายเป็นคำพูดได้ยากมากๆ เมื่อต้องรับศพลูกชายจากคนที่ฆ่าลูกตัวเอง ท่านแม่ทัพต้องขอขมากับแม่ผู้ตายและครอบครัวแต่ที่ทำก็เป็นสิ่งจำเป็น แน่นอนว่าหญิงวัยกลางคนนั้นเข้าใจว่าทำไมลูกของนางสมควรตาย แต่มันก็เป็นการยากที่จะยอมรับในการกระทำของท่านแม่ทัพกับคนที่ฆ่าลูกของเธอ เป็นข้าศึกก็ไม่ใช่แต่เป็นคนชาติเดียวกันคนที่นางฝากฝังไว้ว่าจะดูแลกองทัพและลูกนางได้

    แววตานางรื้นน้ำไม่ด่าทอไม่ต่อว่าอะไรไม่ยอมรับคำขอโทษหรือแม้แต่จะสนทนาอะไรทั้งนั้น ได้แต่พูดสั้นๆว่า

     “ท่านกลับไปเสียเถอะ”

    แล้วนางก็เดินกลับหลังบ้านไป ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจหรอกว่านางรู้สึกอย่างไรแต่มันมากกว่าเศร้า มันหลายอย่างเหลือเกินทั้งเสียใจ โกรธ จำยอม แต่ชัดเจนว่าไม่อยากจะยุ่ง ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากเกี่ยงข้องอะไรได้วยอีก ต่างคนต่างอยู่กันไปเลยและก็เป็นเช่นนั้นจริงหลังจากนั้นไม่ว่าท่านแม่ทัพจะพยายามขอขมาแค่ไหนนางก็ไม่สนใจ นางไม่ได้ต้องการการชดใช้ใดๆ นางไม่สนใจอะไรแล้วขอแค่ต่างคนต่างอยู่ก็พอ

    ตอนนี้เขารู้สึกว่าโรเรเนสเป็นแบบนั้นอาจไม่ถึงขั้นที่แม่คนนั้นได้เสียลูกชายไป แต่น้ำตาของเด็กหนุ่มนั้นไม่ใช่แค่ความเศร้าแบบนั้น มันเหมือนคนที่ถูกฉกฉวยบางสิ่งไปและเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะพูดคุยถึงเรื่องเหล่านั้นได้ มันมีแค่ความคิดว่าอยากอยู่ห่างๆ ไม่อยากพูดไม่อยากคุย ไปให้ไกลๆหน้ากันเลยก็ดี ไม่ได้อยากได้คำขอโทษไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น

    แล้วเขาจะทำอย่างไรเล่า แม้นทรมาณเจียนตายที่ไม่อาจให้ฝ่ายนั้นเข้าใจตัวเองได้แต่ทุกครั้งที่เข้าใกล้ก็เป็นการทำร้ายกันไปอีก เขาไม่ต้องการแบบนั้นเขาไม่ได้อยากตามใจตัวเองอีกแม้นจะทรมาณใจที่ไม่อาจเข้าใกล้ไม่อาจพูดคุยอะไรกันได้อีก แต่หากมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้เขาก็จำยอม ก็ได้แต่อยู่ห่างๆอย่างปวดร้าว

    จนหลังๆมานี้กลายเป็นเขาเองที่พยายามหนีหน้าให้มากเข้าไว้ มีอะไรก็ต้องผ่านคนอื่นตลอดซึ่งถึงแม้จะทำแบบนั้นเขาก็ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่โรเรเนสต้องรับรู้เรื่องราวหรือข้อความใดๆก็ตามจากฟารันสีหน้าปรกติของเด็กหนุ่มก็แปรเป็นอึดอัดทุกครั้ง เหมือนคำสาปเหมือนยาขมใดใดในโลกนี้ที่เกี่ยวกับเขานั้นไม่อาจเข้าใกล้เด็กหนุ่มโดยไม่ทำร้ายจิตใจเขาได้เลยแม้นแต่น้อย

    หลายครั้งเขาก็แอบคิด ว่าทำไมคนที่อยู่ใกล้เพียงกำแพงกั้นแค่นี้ถึงได้ไกลกันเหลือเกิน

    หลายครั้งเขาก็แอบคิด ว่าแม้นจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันซักวันหนึ่งทั้งสองคงลืมไปแล้วว่าหน้าตาอีกฝ่ายนั้นเป็นอย่างไร

    ความคิดนั้นวนเวียน

    จนหนาวอก

    จู่ๆเหมือนมันวาบลงลึกและเสียดแทง

    ขณะนั้นในค่ำคืนหนึ่ง เป็นอีกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวงกุหลาบจันทราก็คงบานอีกครั้งแต่เขาไม่ได้เห็นมันมาซักพักแล้วล่ะ ด้วยรู้ดีว่าสวนส่วนตัวของเขามีใครเป็นผู้ดูแล หากเขาเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปเจออีกฝ่ายอยู่ในสวนแห่งนั้นก้คงไม่เป็นการดี เขาไม่ควรเลยแม้นซักครั้งที่จะให้คนๆนั้นเห็นหน้า เช่นนี้ถึงแม้จะเป็นสวนของเขาเป็นกุหลาบล้ำค่าของเขา เขาก็ไม่อาจจะไปดูได้เลย

    เขาจึงได้แต่ยืนชมจันทร์อยู่ที่ริมระเบียงพลางเฝ้าระลึงถึงสิ่งสวยงามสองสิ่งที่งามละม้ายจันทร์ลอยเด่นนั้น แต่แล้วเมื่อวูบหนึ่งของลมหวานพัดเข้ามามันก็เหมือนแทรกลึกเข้ากลางใจและฝังแน่นอยู่ในนั้น เมื่อเขาระลึกได้ว่าเขาอาจจะลืมได้ ว่าวงหน้าขาวเนียนนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร แน่นอนว่างดงามราวดวงจันทร์แน่นอนว่าขณะนี้ยังจำได้หากแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเขาจะยังจำได้ไหมว่าตนเองเฝ้าฝันถึงใครอยู่ร่ำไป

    มันเป็นเรื่องที่ดีที่ฝ่ายนั้นจะลืมว่าเขาหน้าตาเป็นเช่นไร ลืมไปเสียให้หมดที่เกี่ยวกับฟารันถ้ามันทรมาณใจเขาก็ยินดีที่จะให้ลืม ลืมเสียให้หมดจนจำไม่ได้ไปเลยก็ดีว่ามีเขาอยู่บนโลก แต่ตัวเขานั้นไม่อยากลืมมันมีเหตุผลมากมายที่เขาไม่อยากลืมเด็กหนุ่มคนนั้นยิ่งเมื่อพบแล้วว่าเป็นเทพจริง ก็ยิ่งลืมไม่ได้ ไม่อาจลืมได้จากทั้งหมดของชีวิตที่เขาเติบโตมากับการสวดขอพรจากเทพองค์ที่เขาชอบที่สุด เช่นนี้ก็ไม่อาจลืมได้อีกทั้งความรู้สึกที่ซ้อนทับกันระหว่างมนุษย์ที่รักในตัวเองเทพและความรู้สึกรักที่ชายหนุ่มพึงมีแลเต็บไปด้วยแรงปรารถนาอาลัยอาวรณ์และโหยหา

    ใช่เขารู้สึกตลอดมาตั้งแต่ก่อนโรเรเนสจะลงมาเป็นมนุษย์ ทุกครั้งที่เฝ้ามองเทวรูปองค์ปฐมของเทพแห่งพืชพันธุ์เขาก็รู้สึกปรารถนามาแต่เก่าก่อนแล้ว มันไม่ใช่สิ่งดีหรอกที่มนุษย์จะบังอาจหลงรักเทพหรือมีแรงปรารถนาต่อองค์เทพแต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรกับความรู้สึกตัวเองได้ จนเมื่อโรเรเนสลงมาเป็นมนุษย์มันก็เหมือนความฝันบ้าคลั่งที่ลงมาเป็นความจริง ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ทุกครั้งที่ได้พิสมองวงหน้าไร้ที่ตินั่น มันเหมือนเขาอยู่ในช่วงกึ่งจริงกึ่งฝันเหมือนเสียสติไปและเหมือนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทั้งสับสนและทรมาณแลฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อนอยู่ภายใน เขาหลงไปลุ่มหลงอย่างไม่อาจทอดถอนใจและสติทั้งปวง

    ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ตัวและไม่อาจยอมรับ ทั้งตอนก่อนและหลังเด็กหนุ่มได้ลงมายังโลก แต่ยามนี้นั้นชัดเจนว่าเขารู้สึกอย่างไรกับตาหวานเศร้านั่น แต่นั่นก็ไม่ทันแล้วไม่อาจทำอะไรได้แล้วมารู้ตัวแลระลึกถึงการกระทำของตนได้ในยามนี้ก็สายเกินไป

     เขาทำทุกอย่างพังไปแล้ว มันไม่อาจหวนคืนมาได้ตั้งแต่ตอนที่เขาจับอีกฝ่ายโยนขึ้นเตียง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นตัวเอง เขารู้ว่าโดนบังคับเช่นนั้นเป็นอย่างไร อดีตของเขาไม่หอมหวานแต่กระนั้นเขาก็ยังทำแบบนั้นกับคนอื่นทั้งที่เขาควรเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่จะอยากทำเรื่องแบบนั้น ทั้งที่เขารู้ดีทั้งที่ตัวเองก็... แต่ก็เหมือนลืมไปแล้วทั้งที่ไม่ควรลืมและควรระลึกไว้เสมอว่าอย่าทำแบบนั้นกับใคร แต่ก็พลาดไปเสียแล้วสมควรและสมน้ำหน้า

    อยากเจอ อยากเห็นหน้าอีก นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนทุกครั้งที่เขาเศร้าใจหรือปวดร้าวอันใดเขาจะเข้าไปยังวิหารเพื่อเฝ้ามองเทวรูปองค์ปฐมของโรเรเนสเสียให้ชื่นใจแล้วทุกปัญหาก็พลันมลายไปในช่วงสั้นๆ แต่ยามนี้เทพเจ้ารูปงามองค์นั้นมาอยู่ใกล้เพียงไม่กี่เมตร มาพร้อมเนื้อหนังและลมหายใจแต่ไม่อาจพบกันได้เลยไม่อาจพิศดูวงหน้านั้นได้อีก เขาจะหลีกหนีความทรมาณใจนี้ไปในที่แห่งไหนได้อีกเล่าในเมื่อสิ่งเดียวที่ทำให้เขาคลายโศกได้นั้นเป้นสิ่งเดียวกันที่ทำให้เขาเจ็บ

    เหม่อมอง ฟ้ายังเปื้อนด้วยผืนดาวระยิบระยับร่าเริงอย่างไม่สนใจว่าจะเกิดเหตุใดใดบนโลกนี้เลย ดาวไม่เคยรู้และคงไม่อาจรับรู้ องค์ราห์โอหันหลังให้กับท้องฟ้าแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่างมันเล็กน้อยแต่ก็ยากจะตัดสินใจตาคมเข้มแฝงแววเศร้าหมองทรมาณมองต่ำลงพื้นก่อนจะออกย่างเดินจากห้องตนเองไป

    มันเป็นเวลาดึกแล้วในตอนนี้และหนุ่มหน้าสวยคนนั้นก็คงหลับฝันไปนานแล้ว ซึ่งก็จริงในตอนที่เขาค่อยๆย่างเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสียงลมหายใจยังดังแผ่วสลับกับเสียงลมโชยหวิวแสงจันทร์ผ่องยังคงฉาบทับร่างขาวเนียนนั้นอย่างเคย

    เขาเดินย่างเข้าไปใกล้แล้วยืนนิ่งมองผู้ที่หลับไหลอย่างสงบ เพียงแค่มองเท่านั้นพิศมองให้ละเอียดในทุกส่วน เหมือนไม่ได้เห็นมานานแล้ว ใบหน้ายามหลับนั้นแลดูผ่อนคลายและสงบนิ่ง นี่คงเป็นช่วงเวลาเดียวที่เขาจะได้เห็นโรเรเนสในระยะใกล้เช่นนี้โดยไม่ทำให้เขาร้องไห้ไปเสียก่อน อกกระเพื่อมน้อยๆตามจังหวะลมหายใจที่คอนั่นยังมีแผลเป็นจากรอยดาบอยู่ ริมฝีปากนั้นยังคงระเรื่อเหมือนกลีบไม้ดอก แพขนตานั้นปิดสนิทเรือนผมสีม่วงอ่อนกระจายตัวน้อยๆบนหมอนนุ่ม งามสว่างสะท้อนแสงจันทร์และเห็นแล้วก็เย็นใจเป็นที่สุด อยากจะบันทึกภาพนี้ไว้หากเป็นได้อยากให้เวลาทั้งหมดหยุดอยู่แต่เพียงเท่านี้แล้วจำไว้ให้ได้มากที่สุดทุกรายละเอียดที่คงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นเช่นนี้อีก เหมือนดั่งกุหลาบจันทราที่งามเหลือคณาแต่กลับให้เห็นกันได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เหมือนหีบสมบัติล้ำค่าที่แม้จะกอดไว้แนบตัวก็ไม่อาจรู้ได้ว่าข้างในบรรจุอะไรด้วยกุญแจที่จะไขหีบนั้นได้หล่นหายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงเท่านี้ เพียงแค่มอง แอบมองอย่างไร้ตัวตน อย่าตื่นเลยอย่าตื่นขอเวลาอีกซักหน่อยเถิด ขอเวลา....

    ร่างขาวผ่องนั่นขยับตัวเล็กน้อย เขาบิดขี้เกียจนิดหน่อยแล้วเปลี่ยนท่านอนก่อนจะค่อยๆกระพริบตาช้าๆแล้วก็ลืมตาขึ้น

    เขาลุกนั่งและมองไปรอบๆ

    ......ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
     

    --------------------------------------------------

     

    จู่ๆเขาก็หยุดมือที่กำลังกอบกำดินร่วนเนื้อละเอียดนั้นเสียแล้วก็ปล่อยให้ตัวเองนั่งเหม่ออยู่แบบนั้น โรเรเนสกำลังคิดว่าลางสังหรณ์ของเขาน่าจะถูก อีกไม่นานเขาต้องเตรียมตัวต่อการมาถึงของบุรุษที่เขาเลี่ยงการพบเจอมานาน

    มีคืนหนึ่งเมื่อหลายวันก่อนเขาตื่นขึ้นกลางดึกด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือนมีใครกำลังจ้องมอง แต่เมื่อมองสำรวจแลออกเสียงเรียกไปทั่วก็ไม่พบจริงๆว่าจะมีผู้ใดอยู่ร่วมห้องกับเขา กระนั้นก็เถิดเขาก็ยังมั่นใจว่าฟารันนั้นมาหาเขาที่ห้อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรดลใจทำให้เขาคิดแบบนั้น แต่เขาก็รู้สึกได้แบบนั้นจริง หลังจากนั้นเมื่อล้มตัวลงนอนอีกครั้งพลันหลับฝันไปถึงความทรงจำบางอย่างที่เขาลืมเลือนไปแล้ว กับการมาเยือนของเด็กน้อยที่เฝ้ามองเขาวันแล้ววันเล่าพลางซบแก้มใสลงบนต้นขาหินอ่อนอันเย็นเฉียบของเทวรูป

    แล้วเมื่อตื่นเขาก็คิดขึ้นได้ว่าควรจะสะสางความสัมพันธ์คาราคาซังนี้ซะ มันควรจะเรียบง่ายและจบสิ้นไปเสียมิให้เหลือเยื่อใยแห่งความหวังใดๆที่อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่ามันยังมีอยู่ ก็จนเมื่อเช้าวานนี้เขาก็เดินเข้าไปหาลากลอซและพูดไปอย่างเรียบง่ายว่าเขาต้องการพูดคุยกับองค์ราห์โอถึงเรื่องทุกอย่างในอดีต ปัจจุบันและอนาคตที่ระหว่างพวกเขามันควรจะเป็นไป แม้จะผิดธรรมเนียมไปเสียหน่อยที่จะเรียกให้กษัตริย์มาหาแทนที่ข้าราชการในระดับเขาจะต้องเป็นคนไปเข้าเฝ้าเอง แต่แน่นอนว่าสำหรับความรู้สึกที่เขามีต่ออีก่ายทำให้มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับชายผู้นั้น จึงได้ฝากบอกไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าอยากจะมาคุยหรือไม่ก็ได้

    เขาไม่อาจล่วงรู้ได้หรอกว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทิ้งเวลาเป็นวันกว่าจะหาโอกาสมาพบเขาได้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้นและได้แต่ทำงานไปเรื่อยๆจนความรู้สึกว่าตนกำลังจะได้พบคนๆนั้นมันเกิดขึ้น

     

    องค์ราห์โอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยากคุยด้วย แน่นอนว่าเขารู้สึกดีใจที่โอกาสจะปรับความเข้าใจนั้นมาถึงแล้วแต่ความกังวลกับคำตอบที่จะได้รับกลับมานั้นยังวนเวียน ความกระวนกระวายนั้นสุมอกมาตั้งแต่เมื่อวานท่ามกลางความวุ่นวายของภาระ ยามนี้เขาก็กำลังสาวเท้าอย่างหนักแน่นเดินตรงไปยังโถงทางเดินที่เชื่อมไปยังสวนและพยายามอย่างที่สุดที่จะระงับสติอารมณ์ของตนไว้เมื่อยามก้าวเข้าไปในเรือนกระจกนั้น แล้วยิ่งต้องข่มความรู้สึกมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเดินย่างเข้าไปใกล้แผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังวางกล้าต้นน้อยลงดิน

    โรเรเนสนั่งอยู่เช่นนั้นกับชุดฝ้ายสีหม่นและผ้ากันเปื้อนเนื้อเดียวกัน ผมสีม่วงอ่อนของเขาถักเป็นเปียหลวมๆยาวไปถึงกลางหลังต้นคอสีขาวเนียนนั้นมองดูจากด้านหลังไม่อาจเห็นรอยแผลเป็นจากคมดาบได้แต่เมื่อเอนเอียงเมียงมองไปซ้ายทีขวาทียามทำงานก็เห็นได้บ้างกับซีกหน้าที่ผุดผาดและบางส่วนของรอยแผลที่ยังชัดเจนอยู่

    “ลากลอสบอกว่าเจ้าอยากคุยกับข้า” 

    มือเรียวผละออกจากงานที่ทำ เขาไม่แสดงอาการแปลกใจใดๆกับการมาเยือนและไม่แม้จะหันไปมอง

    “ใช่แล้ว”

    ฟารันกัดปากตัวเองแน่นเขาสาวเท้าเข้าไปใกล้พร้อมทั้งเรียกขึ้นด้วยสุ้มเสียงเจือเศร้า

    “โรเรเนส ข้า...”

    “อย่าเข้ามา”

    “.............”

    “อภัยข้าด้วยหากต้องสนทนากับท่านอย่างไม่สมเกียรติ แต่ถ้าเราอยากจะพูดคุยกันอย่างจริงจังโปรดจงอยู่ในจุดที่ท่านยืนนั้นเถิด”

    เขาหยุดยืนตามคำห้ามก่อนจะพยายามอีกครั้งแล้วเป็นฝ่ายเริ่มพูด

    “ข้าขอโทษ”

    “.............”

    “ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพราะความเขลาของข้า เป็นความผิดของข้า ข้าขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ข้าทำลงไป ขอโทษสำหรับความไม่เชื่อใจ การเอาแต่ใจและทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าได้พลาดไป ข้า...”

    ผู้ที่นั่งหันหลังยังนิ่งไม่มีเสียงตอบและคาดไม่ได้ว่ากำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรอยู่

    “ให้โอกาสข้าเถอะ อภัยให้ข้าด้วย”

    หน้าสวยหลุบตาลงต่ำ เขาทิ้งช่วงไปปล่อยให้อีกฝ่ายเฝ้ารออยู่พักหนึ่ง

    “ท่านจะบอกว่าท่านเชื่อแล้วว่าข้าเป็นเทพ?”

    องค์ราห์โอนิ่งงันไป คำพูดและคำเตือนของท่านหมอฝุดขึ้นในกระแสสำนึกของเขา

    “ข้าบอกได้เพียงแค่ทั้งหมดที่ข้าทำได้นี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าและดีที่สุดสำหรับท่านหมอ”

    “ท่านส่งเขาไปอยู่ที่อื่น!” เด็กหนุ่มกล่าเสียงเครือเขาเบี่ยงหน้ามาเล็กน้อยพอให้เห็นหางตาที่รื้นน้ำนั้น

    “ถ้าท่านคิดว่าเพียงการไว้ชีวิตเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและปราณีที่สุดท่านก็เข้าใจผิดแล้ว เหตุผลเดียวที่ข้ายังอยู่นั่นคือต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้ท่านหมอนั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องการที่สุด...ไม่ใช่การดูแลจากท่านหรือคำขอโทษของท่าน”

    “มันมีหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่อาจล่วงรู้และเข้าใจได้ โรเรเนสตอนนี้ข้าตาสว่างแล้วสัญญาว่าข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ข้าบอกได้แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้สิ่งที่เป็นอยู่มันคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆ”

    “นั่นก็ตามแต่ท่านจะตัดสินใจเถอะ ข้าก็เป็นแค่คนสวนไม่ใช่หรือ”

    “ยกโทษให้ข้าเถอะนะ ขอให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีกซักครั้งเถอะ”

    เทพหนุ่มเกศม่วงเงียบไปอีกครั้ง คราวนี้ทิ้งช่วงนานกว่าเดิมจนฟารันเกือบจะเอ่ยปากถามซ้ำอีกรอบแต่แล้วก็ชะงักไปเพราะผู้ถูกถามลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆเดินห่างออกไป ท่ามกลางหมู่มวลพรรณพืชที่ค่อยๆเริ่มแตกยอดอ่อนบ้างเป็นพุ่มบ้างเป็นต้น

    “ราห์โอข้าจะดูแลสวนของท่านให้ดีที่สุด”

    เขากล่าวขณะก้าวย่างข้ามสะพานเล็กๆที่สร้างอยู่เหนือลำธารประดิษฐ์นั้นไปอีกฝั่ง

    “ในยามนี้มีไม้ดอกหลายพันธุ์ในสวนแห่งนี้กำลังค่อยๆเบ่งบานตามใจปรารถนาของท่านและข้าจะพยายามกับอีกมากมายในนี้ที่ยังไม่ยอมออกดอก”

    เขาเดินเลี้ยวเข้าไปยังใต้ต้นไม้ขนาดกลางๆต้นหนึ่งก่อนจะหันกลับมาทว่าก็ยังมิอาจมองเห็นกันและกันได้ด้วยแมกไม้ที่แผ่กิ่งนั้นบดบังหน้างามและคราบน้ำตายาดใสนั้นอยู่

    “เว้นเสียแต่ต้นอนาไลต้นนี้ ที่จะบานเพียงสามปีครั้งในช่วงฤดูเหมันต์เท่านั้นและช่วงเวลานั้นไปผ่านพ้นไปแล้วต่อให้พยายามแค่ไหนหรือเรียกร้องมากเพียงใดนางก็ไม่อาจผลิบานดอกงามใดๆให้ได้ยลโฉม ทุกสิ่งทุกอย่างมีช่วงเวลาเหมาะสมของมันแล้วเมื่อมันได้ผ่านพ้นไปแล้วก็ไม่อาจหวนคืนได้”

     

    เสียงธารน้ำนั้นไหลรินแม้นจะแผ่นเบาแต่ก็ยังฟังชัดท่ามกลางเสียงซ่าของน้ำตกกระจกที่ครอบอยู่รอบด้าน ริมฝีปากระเรือนั้นเรียบสนิทสีของมันเด่นชัดอยู่ระหว่างสีเขียวๆของใบไม้ นั่นคือทั้งหมดที่ฟารันจะมองเห็นได้ เขาไม่อาจรับรู้ความรู้สึกใดๆผ่านสีหน้าของอีกฝ่ายทำได้แต่เพียงจ้องมองริมฝีปากงามนั้นและเฝ้ารอให้มันขยับเอื้อนเอ่ยออกมา

    “ข้าสามารถยกโทษให้ท่านได้แต่ข้าไม่สามารถจะรู้สึกดีกับท่านได้ สิ่งที่ข้าต้องการบอกแก่ท่านก็คือข้าอยากให้ท่านเลิกคิดเสียทีว่าทุกอย่างมันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ช่วงเวลาผลิบานของอนาไลได้ผ่านไปแล้วท่านไม่จำเป็นต้องสนใจข้าหรือขอขมาใดๆแก่ข้า หากต้องการให้ข้ายกโทษให้ข้าก็ทำให้ได้แต่หากท่านต้องการความรู้สึกที่ข้าเคยมีให้นั่นคงเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีช่วงเวลาของมันเมื่อมันหมดไปแล้วก็เท่านั้นมันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจฝืนได้ หัวใจก็เช่นกัน”

    “จะให้ข้าทำเช่นไร....ความทรมาณที่ข้ามีนี้ยังไม่พอจะชดใช้กระนั้นรึหากเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้มากกว่านี้ข้าก็ยอมเพียงแค่บอกมาว่าทำอย่างไรเราถึงจะกลับมาดีกันได้อีก”

    “ข้าไม่รู้หรอก นี่มันเหนือเกินไปกว่าที่สิ่งใดในจักรวาลจะทำได้ ความคิดนั้นอาจพอจะจัดการได้จะขอให้ข้าคิดให้อภัยท่านั้นย่อมทำได้ แต่ความรู้สึกของคนนั้นไม่อาจจัดการได้ข้าจึงไม่สามารถรู้สึกดีกับท่านเหมือนเช่นที่ผ่านมาได้และข้าก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับในเรื่องของจิตใจนี้”

    เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วเดินหายไปหลังลำต้นครานี้ก็ไม่อาจมองเห็นได้แม้ปลายเส้นผมเหลือเพียงเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนเป็นต้นอนาไลนั่นเองที่เป็นคนพูด

    “ข้าเป็นเทพอยู่มาหลายพันปียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบังคับจิตใจคนได้อย่างไร การที่ท่านขอให้ข้ากลับไปรู้สึกกับท่านดั่งเช่นแต่เก่าก่อนนั้นข้าก็จนปัญญาเพราะแม้นใจข้าเองข้าก็สั่งมันไม่ได้”

    “......โรเรเนส”

    “ข้าเป็นเทพข้ายังทำไม่ได้แต่ถ้าท่านคิดว่าราห์โอทำได้ก็ทำ ข้าก็ขอให้ท่านเริ่มจากจิตใจของท่านก่อน....ทำให้มันไม่รู้สึกอะไรเช่นที่ข้าไม่รู้สึกแล้วกับท่าน”

    บาดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจความเจ็บหน่วงนั้นหนักแน่นจนเขาพูดไม่ออก ฟารันนิ่งงันไร้สุ้มเสียงความรู้สึกนั้นถาโถมท่วมท้นขึ้นมาจนจุกแลพลันก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างตีบตันอยู่ในลำคอ เขากัดฟันแน่นเหมือนพยายามให้ทั้งหมดที่รื้นขึ้นในใจนั้นกลับย้อนลงไป เขาค่อยๆหายใจลึกๆก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ

    “ข้าเข้าใจแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มันสั่น

    ตาเศร้าคู่งามค่อยๆเคลื่อนออกจากเงาไม้เขามองลอดใบไม้หนาทึบนั้นออกไปเพื่อลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆใบหน้าหล่อคมสันนั้นดูทรมาณจนยากจะปิดมิด ตาคมนั้นหลุบลงมองต่ำจนปอยผมสีเข้มนั้นหล่นลงมาปรกหน้าในบางส่วน

    นี่เป็นส่วนที่ยากที่สุดแต่เขาต้องทำ

    โรเรเนสเดินออกมาจากแมกไม้นั่นแล้วค่อยๆย่างเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฟารันมองร่างนั้นด้วยอารมณ์หลายอย่างทั้งโหยหาทั้งเจ็บปวด แววตาอ่อนโยนที่มองมาท้นไปด้วยความเศร้าและคำถาม ทั้งสองไม่ได้เอ่ยอะไรแก่กันจนกระทั่งเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดนิ่งในระยะที่ห่างกันพอตัวแต่ก็ใกล้มากพอที่จะเห็นสีหน้าของทั้งสองฝ่ายได้

    “ข้าอาจมองหน้าท่านได้หลังจากนี้ แต่เราก็เพียงแค่ทำงานร่วมกันได้อยู่ร่วมชายคากันได้ เพียงเท่านี้ที่ข้าต้องการในความสัมพันธ์ของเราขอข้าเป็นเพียงแค่คนๆหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่นี่เถอะ”

    ฟารันขบริมฝีปากแน่นเขาจ้องลึกลงไปในตาเศร้าคู่นั้นก่อนจะต้องเบือนหนีด้วยทนไม่ได้

    “ท่านกลับไปเสียเถิดเราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”

    “เจ้ารู้อะไรไหม”

    “...........”

    “แม้นช่วงเวลาของการผลิดอกนั้นผ่านไปแล้วและแม้ไม่ว่าจะต้องรอนานเท่าใด แต่ซักวันหนึ่งอนาไลก็จะต้องผลิดดอกของมันมาอีกครั้ง และข้าก็ยินดีที่จะรอ”

    “อย่ารอเลยเพราะถึงแม้จะมีฤดูกาลเป็นตัวกำหนดแต่อนาไลต้นนี้อยู่ผิดที่ผิดทางไม่มีอะไรการันตรีได้ว่ามันจะออกดอกได้ มันมาไกลเหลือเกินจากบ้านเกิดของมันมาสู่ดินที่มันไม่รู้จักสภาพที่มันไม่คุ้นเคยข้าไม่อาจรับประกันได้เลยว่าอีกสามปีหลังจากนี้หรือนานไปกว่านั้นมันจะออกดอกหรือไม่.....ท่านกลับไปเถิดกลับไปใช้ชีวิตของท่านส่วนอนาไลต้นนี้มันก็อยู่ได้อยู่แล้วถึงแม้ไม่มีท่านมีแค่ลำธารสายนี้ให้น้ำมันก็เพียงพอแล้ว”

    ฟารันเลื่อนสายตามามองคนตรงหน้า ใบหน้างามนั้นเรียบเฉยแม้จะดูออกว่ามีคราบน้ำตาแต่ก็ชัดเจนในคำพูดของเขานั่นแล้วว่ามันจบเพียงเท่านี้

    “ข้าไม่อาจจะล้างความรู้สึกที่มีต่อเจ้าได้แม้นที่ผ่านมาข้าจะทำตัวเช่นนั้น” เจ้าของตาคมนั้นเอ่ยขึ้น “และข้าก็ไม่อาจห้ามให้ตัวเองล้มเลิกความตั้งใจได้ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้”

    แล้วเขาก็เดินจากมาตามคำขอ หันหลังกลับออกไปจนสิ้นเสียงและไร้เงาของเขานั่นแหละ ตาหวานเศร้านั้นถึงยอมปล่อยน้ำตาออกมา

    --------------- ----------------- ------------------

    ในวันหนึ่งของแดดจ้าที่ร้อนระอุ ฟารันกำลังสะสางงานอยู่ในห้องทรงงานร่วมกับลากลอสพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับเอกสารมากมายจนเกือบไม่ได้สนใจกองจดหมายที่เพิ่งมาใหม่เลย หากไม่เพราะลากลอสสังเกตุเห็นลายมือที่คุ้นคาประทับอยู่บนซองจดหมายฉบับหนึ่งนั่นแหละ พวกเขาถึงได้ตระหนักว่าอะไรกำลังจะมาถึง

    “ให้ข้าอ่านให้ไหม” ลากลอสถามพลางชูจดหมายฉบับนั้นขึ้น

    “อ่านแล้วสรุปให้ข้าฟังก็พอ เนื้อหาจริงๆคงมีอยู่ไม่กี่บรรทัดนอกนั้นก็คงแค่เรื่องไร้สาระของเจ้านั่นอีกตามเคย” คนสนิทค่อยๆฉีกจดหมายออกอ่าน ในนั้นมีจำนวนแผ่นกระดาษอยู่4-5แผ่นแต่เขาก็แค่กวาดตาไปมามากกว่าที่จะอ่านโดยละเอียดเพราะเป็นเช่นที่ราห์โอกล่าวว่าบุคคลผู้นี้มีน้ำมากกว่าเนื้อในใจความจดหมาย  ซึ่งอันที่จริงนั่นก็เป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว จนกระทั่งได้พบกับข้อความทิ้งท้ายที่เป็นใจความจริงๆของทั้งหมดเขาจึงเงยหน้าขึ้นมา

    “สรุปได้ว่าเขามาถึงแล้ว”

    “อะไรนะ” ราห์โอวางปากกาขนนกลงแล้วหันไปมองอย่างอึ้งๆ

    “จดหมายนี้ถูกส่งมาจากนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เช่นนี้เขาก็คงมาถึงในวังนี้แล้วตอนนี้”  กษัตริย์หนุ่มเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าหงุดหงิด

    “ทำอะไรปุบปับตามใจแบบนี้ทุกทีสินะเจ้านั่นน่ะ”

    “ก็ควรที่เขาจะมาอยู่หรอกก็ท่านเล่นส่งอาจารย์ของเขาไปนอกประเทศเสียนี่ เขารู้เรื่องทั้งหมดรึยังละ”

    “ถ้าจะรู้ก็คงรู้จากเจ้าที่แอบบอกเขาไปนั่นแหละ”

    “จะทรงไปรับเขาไหมฝ่าบาท”

    “เจ้าก็ไปรับสิสนิทกันดีไม่ใช่หรอ”

    “ไม่ล่ะ น่ากลัวจะตาย”

    “ถ้างั้นก็ช่างมัน ถ้ามันอยากเจอข้าเดี๋ยวก็มาหาข้าเองแหละ เอาจดหมายอื่นส่งมาให้ข้าที”

    ราห์โอลงมืออ่านจดหมายฉบับอื่นและสะสางงานต่อไป เขาไม่ได้พูดถึงเจ้าของจดหมายฉบับแรกอีกแม้จะยังรำคาญใจเกี่ยวกับเรื่องที่รับรู้ไปเมื่อครู่ก็ตาม คงมีแต่ลากลอสที่เหมือนจะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

    -----------      --------------         -------------------

    เป็นอีกบ่ายในสวนกระจกที่หนุ่มเกศม่วงนั้นต้องทำงาน ด้วยพืชพันธุ์ในส่วนอื่นนั้นยังพอให้คนอื่นดูแลได้เพราะเป็นไม้ในเขตร้อนเว้นแต่ในสวนนี้ที่เป็นไม้เขตหนาวจึงต้องรับการดูแลเป็นพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญ เชี่ยวชาญระดับองค์เทพกันเลยทีเดียวอย่างเช่นเขาเพื่อจะให้พวกมันผลิดอกออกผลกันได้บ้าง

    โรเรเนสได้ขอให้มีเรือนหลังเล็กอีกหลังสร้างเป็นกระท่อมอยู่ในสวนแห่งนี้เพื่อเพาะกล้าอ่อนของเมล็ดพันธุ์ต่างถิ่น ในขณะที่เขากำลังตั้งอกตั้งใจหอบเจ้าต้นไม้น้อยๆนั้นออกมาลงดินที่ขุดเตรียมไว้เสียงบานประตูก็ดังขึ้น ตอนแรกนั้นเขาแอบตกใจอยู่เหมือนกันเพราะสวนแห่งนี้มีเพียงคนที่ฟารันอนาญาติเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ ฉะนั้นวูบแรกเขาก็คิดไปว่าฟารันจะมาหา แต่เมื่อเงยหน้ามามองก็พบว่าเป็นคนแปลกหน้าที่ยิ้มละไมเข้ามา

    บุรุษผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดสีขาวพอดีตัวคล้ายคลึงกับชุดประจำตำแหน่งที่โรเรเนสได้ แต่ต่างกันตรงเนื้อผ้าของชายผู้นี้ดูเหมือนเป็นผ้าฝ้ายที่ใส่สบายกว่ามาก หน้าตานั้นหล่อเหลาจมูกโด่งสันเป็นตาคมคู่นั้นทอประกายอันอ่อนโยนส่งมาที่เขา เรือนผมนั้นเป็นสีดำขลับแต่ดูเรียบร้อยดูดีด้วยเส้นผมละเอียดเล็ก แต่ลักษณะเด่นอีกอย่างที่น่าจะทำให้ชายคนนี้ดูใจดีเป็นพิเศษก็คงเป็นแว่นตาใสกรอบบางที่เขาสวมใส่อยู่

    “ท่านคงเป็นโรเรเนสใช่ไหม?”  รอยยิ้มอบอุ่นนั้นดูดีเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นคนแปลกหน้าเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกไว้ใจได้เพราะท่าทางที่สุภาพของเขา

    “ใช่ ยินดีที่ได้รู้จักท่านคือ...”

    “ตัวข้านี้เป็นหมอมาใหม่จะและเป็นลูกศิษย์ของท่านหมอชัคบา หลังจากนี้ข้าคงจะได้มาเป็นหมอหลวงของที่นี่โปรดเรียกข้าว่าหมอโฮอย่างที่คนอื่นเขาเรียกกันเถิด”

    รูปร่างน่าตาดูดีสมส่วน ค่อนข้างน่าทึ่งว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งหมอหลวงอันเป็นตำแหน่งสำคัญของผู้ทรงปัญญาจะเป็นคนที่ดูเด็กขนาดนี้ จะว่าไปบุรุษผู้นี้น่าจะแกกว่าอายุ(กายมนุษย์)ของโรเรเนสเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

    “หมอโฮ” เด็กหนุ่มเรียกตามอย่างไม่ขัดเขินเขายิ้มตอบให้อย่างน่ารักและพอใจที่จะจ้องมองเข้าไปในแววตาลึกอุ่นสีฟ้าใสที่อยู่หลังกรอบแว่นนั้นไม่ได้

    “ข้าจำเป็นต้องสานต่องานของท่านอาจารย์ สำหรับการสร้างความคุ้นเคยนี้พวกเราจะเดินคุยกันไปได้ไหม” หน้างามพยักหน้าตอบน้อยๆก่อนจะย่างก้าวไปพร้อมกับอีกคน

    “งานของหมอหลวงตามปรกติแล้วจะต้องดูแลแต่เพียงสมาชิกของราชวงศ์เท่านั้น หากแต่ท่านอาจารย์ได้รวมท่านไว้ในรายชื่อคนไข้ของเขาด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับตัวท่านเท่าที่ข้าทราบก็เพียงแค่ท่านเป็นชายความจำเสื่อมจากโอเรนเดลเท่านั้น นอกนั้นข้าก็ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรอีก อาจารย์เพียงแต่บอกข้าว่าหากข้าได้ตรวจร่างกายของท่านก็จะได้รู้ในสิ่งเดียวกับที่ท่านอาจารย์ได้รับรู้ ในจุดนี้ขอข้าถามท่านหน่อยได้ไหมว่าอันที่จริงแล้วท่านเป็นใครและป่วยเป็นอะไร”

    “นั่นสิข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าป่วยเป็นอะไร แต่ถ้าถามคนแถวนี้นอกจากเขาจะตอบกันว่าข้าความจำเสื่อมยังจะพูดอีกว่าข้านั้นสติฟั่นเฟือนเพราะหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นเทพ”

    คราวนี้หมอหนุ่มหยุดชะงักแลมองมายังคู่สนทนาอย่างสงสัยเจือสงสารเล็กน้อย

    “เป็นจริงอย่างที่ท่านอาจารย์บอกจริงๆด้วย”

    “อะไรหรือ”

    “ว่าเจ้านั้นเคยโดนรังแกใช่หรือไม่”  หมอหนุ่มจ้องมองด้วยแววตาอ่อนโยนจนผู้ถูกมองรู้สึกประหลาด โรเรเนสหลุบตาลงต่ำเขารู้สึกว่าหมอคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้เขาคุ้ยเคยอย่างประหลาดและพาลให้นึกถึงคนบางคนที่เคยมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้เช่นกัน ต่างกันตรงที่ท่านหมอคนใหม่ดูใจดีกว่ากันมากมายยิ่งนัก

    “ไม่หรอก เรื่องมันผ่านไปแล้วและตอนนี้ข้าสบายดีไม่ได้ป่วยไข้อะไร ถ้าไม่นับเรื่องความทรงจำของข้าตัวข้านี้ก็สุขสบายดี”

    “เช่นนั้นหรอกรึ แต่สีหน้าเจ้าไม่สู้ดีเลยนะ ให้ข้าตรวจหน่อยได้ไหม”  โดยเจ้าตัวยังไม่อนุญาติหมอหนุ่มก็จับข้อมืออีกฝายมาวัดชีพจร การสัมผัสตัวอย่างกระทันหันนั้นทำให้เด็กหนุ่มตกใจอยู่เหมือนกันแต่พอเห็นท่าที่จริงจังของหมอก็รู้สึกคลายใจเพราะเข้าใจได้ว่าฝ่ายนั้นคงแค่ทำตามหน้าที่ของตนเองจริงๆ

    “เจ้ารู้ไหมร่างกายกับจิตใจคนเราเชื่อมถึงกันนะ ข้าบอกได้ว่าร่างกายเจ้านั้นแข็งแรงดีก็จริงแต่กระนั้นมันก็ยังบอกได้ว่าความทุกข์ที่อยู่ในใจเจ้านั้นมีมากจนจับได้แม้ดูด้วยตา”  เขาปล่อยข้อมือขาวนั้นแล้วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

    “คงจะเป็นคนที่ใจร้ายน่าดูถึงข่มเหงจิตใจคนที่น่ารักเช่นเจ้าได้”

    “มะ ไม่หรอกท่านอย่างกล่าวแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันเลย” เด็กหนุ่มเกิดอาการขวยขึ้นเมื่อถูกชม เขาอมยิ้มน้อยๆเหมือนจะขำขัน อีกฝ่ายนั้นก็เห็นสนุกด้วยเลยหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดต่อ

    “หะๆๆ อภัยข้าเถอะ เจ้าคงรู้สึกขนลุกน่าดูล่ะสิข้าไม่ได้มีเจตนาจะเกี้ยวเจ้าหรอกนะ ข้าก็แค่พูดไปตามที่เห็นเท่านั้น”

    “ไม่หรอก ข้าแค่ไม่คิดว่าจะเจอผู้ชายด้วยกันพูดหวานใส่แบบนี้บ่อยๆ”

    “บ่อยๆงั้นรึ มีชายที่ไหนเกี้ยวเจ้าบ่อยหรือไร”

    คราวนี้ยิ้มละไมของหนุ่มเกศม่วงนั้นจางลงด้วยความทรงจำอันหอมหวานที่เขาเคยมีกับคนบางคนที่เคยอ่อนโยนและใจดีได้หวนขึ้นมา หมอโฮรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเศร้านั้นจึงถามต่อไป

    “ข้าถามได้ไหม ว่าเขาคือคนที่รังแกเจ้างั้นหรือ”

    ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ หมอหนุ่มจึงเลื่อนสายตาลงมามองที่ต้นคอขาวที่ประทับรอยจางๆของคมดาบเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปแตะแผลเป็นนั้นอย่างแผ่วเบา ร่างขาวสะดุ้งน้อยๆแต่ก็ไม่ได้หนีมือ

    “เขาทำกับเจ้าขนาดนี้เลยรึ”

    แพขนตากระพริบช้าๆ ก่อนตาหวานเศร้านั้นจะช้อนมองสบตากับอีกฝ่าย พวกเขาจ้องมองกันอยู่ในระยะใกล้จนกระทั่งมีแขกมาเยือน

    “นั่นปะไร!กะแล้วเชียว ดีนะที่ข้าไม่ได้เอาจดหมายนั่นให้ฝ่าบาททรงอ่านเอง” ลากลอสโพล่งขึ้นมาขณะสาวเท้าเข้ามาในห้อง

    “ลากลอส!” หมอหนุ่มร้องขึ้นอย่างดีใจเขาผละมือจากหนุ่มตาหวานนั่นแล้วพุ่งเข้าไปหาผู้มาใหม่ทันที่ก่อนจะโผเข้ากอดสหายที่ไม่เจอกันนานเสียแน่นจนลากลอสต้องร้องโวยวายออกมา

    “นะ แน่นไปแล้ว ปล่อย ปล่อยอื้อ อ่อก”

    ชายผู้สวมแว่นใสผละออกตามคำขอแต่ยังยิ้มอบอุ่นนุ่มละไมให้ก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายไว้แล้วพูดเสียงนุ่ม

    “ลากลอสข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกับเจ้า เจ้าสบายดีใช่ไหมข้าตอนที่ข้าเป็นหมออยู่ที่ชายแดนที่นั่นกันดารมาก จดหมายเจ้าไม่ค่อยจะมาถึงข้าเลยทั้งที่ข้าเขียนกลับมามากมายแล้วแท้ๆ”

    ฝ่ายผู้ถูกถามไม่ได้ดูยินดีหรือรู้สึกดีใจไปด้วยกลับทำสีหน้าเหนื่อยใจและพยายามดึงมือตัวเองออกเหมือนรังเกียจ

    “ข้าสบายดี เหมือนเคยๆที่เขียนไปในจดหมายนั่นแหละ ท่านคงได้อ่านบ้างถ้ามันไม่หายไปอย่างที่ท่านกล่าว”

    “ในระยะเวลา 2 ปีข้าได้รับจดหมายตอบจากเจ้ามาแค่ 3 ฉบับเท่านั้นทั้งที่ข้าเขียนมาหาเจ้าประมาณ 100 กว่าฉบับได้ ที่เหลือมันคงจะสูญหายระหว่างทางจริงๆ”

    “เอ่อ มันไม่ได้หายไปหรอก ข้าเขียนไปแค่นั้นจริงๆ”

    “อ่อ” หมอหนุ่มหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่แล้วก็กลับมายิ้มอุ่นให้อีกฝ่ายจนได้ ลากลอสไม่สนใจแต่หันไปมองอีกคนที่อยู่ห่างไปเล็กน้อย

    “สวัสดีโรเรเนส เป็นอย่างไรบ้าง”

    “ต้นไม้สบายดีข้าก็สบายดี” เด็กหนุ่มยิ้มตอบ ลากลอสจึงพยักหน้ารับก่อนจะวกกลับมาคุยกับคนตรงหน้า

    “ท่านน่าจะไปหาพี่ท่านก่อนนะแล้วถึงค่อยมาที่นี่”

    “เห?ท่านหมอโฮมีพี่ทำงานอยู่ที่นี่ด้วยรึ” คราวนี้พ่อคนสวนหน้าสวยก็เดินเข้ามาสมทบแล้วมองหมออย่างสงสัย แต่ลากลอสกลับมีท่าทีรำคาญเสียเต็มประดา

    “นี่ท่านยังไม่ได้บอกเขาอีกรึ”

    “ก็กำลังจะบอกอยู่ ใช่ข้ามีพี่ชายทำงานอยู่ที่นี่เจ้านั่นบ้างานมากจนข้าคิดว่าต่อให้ข้าไปหาเขาก็คงไม่มีเวลามาสนใจข้าอยู่ดี” ส่วนท้ายนั้นเขาหันไปตอบกับเด็กหนุ่ม โรเรเนสก็ยังกระตือรือร้นที่จะถามต่อไป

    “งั้นหรอดีจังเลย เขาทำงานอะไรล่ะข้ารู้จักไหม”

    “เจ้ารู้จักแน่นอน พี่ชายข้ามีนามว่า ฟารันน่ะเจ้าน่าจะเคยได้ยินนะ”

    !!!!!!!!

    รอยยิ้มน่ารักหายไปจากหน้าสวยทันทีเขาอ้าปากค้างแล้วจ้องมองหมอหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง ลากลอสถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิดก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม

    “น่ารำคาญใช่ไหมล่ะ คิดดูสิข้าต้องทนพี่น้องเอาแต่ใจคู่นี้มาตั้งแต่เด็กเลยนะ เอาล่ะโรเรเนสบุรุษผู้นี้ก็คือองค์ชายโฮรัน พระอนุชาลำดับที่ 1 ขององค์ราห์โอ”

    องค์ชายยังยิ้มอ่อนให้เด็กหนุ่มที่ยังอึ้งและทำสีหน้าอธิบายยาก

    “ขออภัยที่ไม่ได้บอกก่อน หลายปีหลังข้าเป็นหมอบ้านนอกอยู่กับชาวบ้านมานาน ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าข้าเป็นใครข้าจึงติดนิสัยแนะนำแต่ชื่อไม่ระบุต่ำแหน่งแบบนี้มานานแล้ว แต่เจ้าก็ยังเรียกข้าว่าหมอโฮได้แบบเดิมนะข้าชินแบบนั้นเสียมากกว่า”

    “ชาวบ้านเรียกว่าหมอโฮ แต่คนในวังเรียกเขาว่าองค์ชายหมอ”

    “อะ..องค์ชาย?..หมอ?”  เด็กหนุ่มกล่าวตามก่อนจะเม้มปากเรียบ เขาจ้องมองใบหน้านั้นอีกครั้งก่อนจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้นัก เพราะว่าเป็นพี่น้องกันนี่เองแต่กระนั้นก็ยังต่างกันเหลือเกินกับความอบอุ่นใจดีของผู้เป็นน้อง

    ยามนี้เทพหนุ่มไม่แน่ใจว่าเข้าจะรู้สึกอย่างไร ยินดีหรือหนักใจ

     

     @ 6/04/2558 หายไปนานแต่ไม่หายไปเลยน้าคะ ตอนนี้ชีวิตดราม่ามากๆต้องขออภัยที่ลงฟิคช้าแล้วอาจมีแบบนี้อีกในช่วงนี้ต้องขอโทษจริงๆค่ะ แต่ยังพยายามหาเวลาเขียนอยู่นะคะ ขอบคุณทุกคนที่ยังมาอ่านกันนะคะ ขอบคุณมากๆเลย  

    @27/04/2558  สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่ฮักยิ่ง สบายดีไหมค่ะ หายไปนานๆอีกแล้ว ก็งานสุมเหมือนเดิมล่ะค่ะ คราวนี้นี่มรสุมชีวิตเล็กๆ และยังไม่จบไม่สิ้น แต่ก็หาเวลามาเขียนฟิคได้(ก็เพิ่งจะมีเวลามาเขียนวันนี้) ขอโทษจริงๆนะคะ ยังไม่ได้ไปwsoค่ะยังเขียนอยู่แต่งานเยอะขนาด หวังว่าปิดเทอมจะมาโดยเร็วชีวิตปลายเทอมมันดราม่ามากๆเลยค่ะ 

    ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ
     

    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×