คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Syrup 5 100%
พระราชวังแห่งนี้นั้นมีสวนอยู่มากมายแม้แต่ในราชฐานชั้นในก็ยังมีทั้งสวนแนวตั้งสวนแนวนอน แต่สวนที่โรเรเนสมาเยือนบ่อยที่สุดก็คงจะเป็นสวนหย่อมขนาดกลางที่อยู่ใกล้ห้องพักของเขามากที่สุด
สวนเล็กๆแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยไม้หลากพันธุ์เหนือสูงขึ้นไปบนหลังคาเป็นช่องกระจกใสเพื่อให้แสงแดดได้ส่องถึง เขามักจะใช้เวลาหลายชั่วโมง ณ สวนแห่งนี้ ที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อดูจากขนาดและยิ่งรู้ว่าเป็นสวนในระบบปิดก็สร้างความชื่นชมให้แก่เขาเป็นอันมากถึงสถาปนิกและผู้ดูแลที่สรรสร้างสวนน้อยๆนี้ขึ้นมา
เขานั่งลงกับพื้นหญ้านิ่มสบายก่อนจะมองไปรอบๆอย่างคุ้นเคย พืชพันธุ์เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขาเข้ากับชีวิตบนสวรรค์แม้เขาจะไม่สามารถจำความอะไรได้แต่เขากลับจับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพืชได้โดยไม่ต้องเสียเวลานึก ทั้งเรื่องดิน น้ำ พันธุ์ และสารพัดองค์ความรู้ที่มีล้น ฉะนั้นไม่ว่ามองไปตรงจุดไหนที่มีพืชย่อมสร้างความสบายใจให้เขาเป็นอย่างมากเพราะเขารู้จักทุกอย่างที่เขาเห็น มันทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดมืดแปดด้านเหมือนเรื่องอื่นๆที่เขาพยายามนึกถึง อีกทั้งเขายังคิดด้วยซ้ำว่าการอยู่กับสิ่งที่คุ้นเคยแบบนี้ไปเรื่อยๆจะทำให้เขาจำอะไรได้เพิ่มขึ้นมาบ้าง
ซึ่งสำหรับเขามันก็ได้ผลอยู่บ้างเพราะความทรงจำหลายอย่างก็ค่อยๆกลับมาทีละน้อยหลายๆวันครั้ง แต่ก็มักจะเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์ความเป็นเทพของเขาเลย เรื่องส่วนใหญ่ที่เขาพอจะจำได้ก็มีแต่ภาพตัวเองทำงานโปรยพรอยู่ในห้องพันธุ์พืชในวิมาณของตน กับเรื่องเจ้าซาลาเปาแมวตัวขาวฟูของเขา จำตอนที่โดนซาลาเปางอนได้ จำตอนที่โดนซาลาเปานอนทับได้ เรื่องอีกสารพัดที่ซาลาเปาทำแต่เรื่องที่ควรจะจำได้ เช่นคำสวดอ้อนวอนของชาวสปันเทียหรือแม้แต่ความลับของพวกมนุษย์ที่มีแต่เทพเท่านั้นที่รู้เขาก็นึกไม่ออก ดูท่าเรื่องต้นไม้และแมวจะกินพื้นที่ในชีวิตเขามากเกินไปหน่อย
ลึกๆแล้วการที่จำเรื่องพาหนะตัวเองได้มากขึ้นก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกคิดถึงเจ้าแมวยักษ์ตัวฟูขึ้น แต่ก็นับเป็นโชคดีที่อย่างน้อยบนโลกมนุษย์นี้มีบางสิ่งที่ทำให้เขาคลายเหงาลงได้บ้าง บางสิ่งที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างร่าเริงก่อนจะกระโดดใส่พร้อมกับพวงหากที่แกว่งไกวอย่างอารมณ์ดี
“อ๋า หยุดนะกีก้า ฮ่าๆๆ ไม่เอาน่า”
เจ้าหมาตัวฟูสีเทาเห่าตอบอย่างร่าเริงก่อนจะวิ่งไปรอบๆตัวเขา กีก้าเป็นสุนัขขององค์ราห์โอแต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบเจ้ากีก้านี้กลับมาถูกใจโรเรเนสเป็นอย่างมากเรียกได้ว่าเทพหนุ่มองค์นี้เป็นคนๆเดียวที่ทำให้กีก้ายอมห่างจากเจ้าของสุดที่รักของมันได้
กีก้านั้นเป็นหมาพิเศษเพราะเป็นหมาพันธุ์ดีสง่าสมตำแหน่งสุนัขทรงเลี้ยงด้วยพ่อของมันนั้นเป็นไซบีเรียนฮัสกิ้นผู้กล้าหาญ มีขนสีขาวแซมเทาสวยงามตลอดตัวอีกทั้งดวงตาสีฟ้าใสที่งดงามอย่างหายาก ทำให้กีก้ามีลักษณะที่ดีพร้อมตามแบบฉบับฮัสกี้เช่นเดียวกับพ่อของมัน
ทว่าจุดด้อยจุดเดียวที่เจ้าหมาหน้าแป้นแล้นตัวนี้จะมีก็คือนอกจากสายพันธืจากทางพ่อแล้วมันยังมีสายพันธุ์จากทางแม่ที่ต่างกันสุดขั้วมาผสมด้วย นั่นก็เพราะแม่ของกีก้าเป็นหมาน้อยพันธุ์คอร์กี้ขาสั้นหูโต
กีก้าผู้เป็นลูกครึ่งจึงกลายเป็นฮัสกี้ผู้สง่างามที่มาพร้อมกับขาสั้นเตี้ย
“พอเถอะน่ากีก้าอย่าเสียงดังสิมานี่มานั่งนี่เร็ว” เจ้าหมาน้อยปรี่ไปนั่งข้างๆเด็กหนุ่มก่อนจะเอาคางไปหนุนตักอย่างสบายใจ เขาก้มมองมันอย่างเอ็นดูแล้วค่อยๆลูบขนนุ่มๆของมันอย่างเบามือ
“นี่ถ้าเจ้าของเจ้ารู้ว่ามาติดข้าแบบนี้เขาคงไม่พอใจข้าเป็นแน่ ฮึ กีก้า เราจะทำคนอื่นเขาเดือนร้อนนะรู้ไหม” แต่เจ้าหมาผู้ไม่รู้ความก็ยังนอนสบายไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“อ้าว หนีมาเล่นตรงนี้อีกแล้วไอ้เตี้ย” เสียงลากลอซดังมาจากด้านหลังทำให้กีก้าลุกพรวดขึ้นมาทันที มันเห่าใส่อย่างไม่พอใจอยู่สองสามครั้งก่อนจะเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วดมๆตามนิสัยหมา ดูท่าหมาตัวนี้จะโกรธใครไม่เป็นจริงๆ
“สวัสดี ท่านลากลอซมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ” โรเรเนสลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวทักทาย อีกฝ่ายเดินย่างเข้ามาในสวนพร้อมชุดสีน้ำเงินพอดีตัวที่เป็นเครื่องแบบของตำแหน่งเลขาส่วนพระองค์เหมือนปรกติอย่างที่เคยใส่ทุกวัน
“เรื่อยเปื่อย พอดีประชุมเสร็จแล้วก็เลยผ่านมาเห็นท่านอยู่คนเดียวก็แปลกใจ”
“อืม ข้าอยากไปไหนมาไหนคนเดียวบ้างน่ะ ไม่อยากรบกวนเด็กรับใช้กับท่านหมอ”
“แน่ใจนะว่าท่านแข็งแรงพอ”
“อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว อันที่จริงอยากเที่ยวสวนในวังให้ครบทุกสวนเลย แต่ติดตรงที่อยู่ได้แต่ในเขตชั้นใน ซึ่งในเขตชั้นในข้าก็ไปมาหมดทุกสวนแล้ว”
“อ๋อหรอ น่าเสียดายนะถ้าได้ออกไปข้างนอกบ้างก็ดีใช่ไหมล่ะ ข้าเชื่อว่าท่านต้องชอบสวนหลวงที่อยู่ท้ายวังแน่ๆ ถ้าได้ออกไปล่ะจะทึ่งใหญ่อย่างกับป่าแน่ะ”
“ขนาดนั้นเชียวหรอ”
“อื้ม ใช่อันที่จริงเรียกว่าอุทยานหลวงน่าจะเหมาะกว่าเพราะใหญ่มาก แถมยังเป็นที่จัดงานเลี้ยงบ่อยๆฟารันน่ะชอบให้พวกเพื่อนๆไปรื่นเริงกันในสวนมากกว่าในวังน่ะ หมอนั่นบอกว่าจัดงานในวังเล่นอะไรไม่ค่อยสนุก”
“เอ๋ มันต่างกันยังไงหรอ”
“นิสัยห่ามๆของเขาน่ะ เล่นบ้าเล่นบออะไรไม่รู้คราวก่อนมีงานเลี้ยงเขาก็ท้าให้พวกผู้ชายมาว่ายน้ำแข่งกันแต่ห้ามถอดชุดใส่อะไรมางานเท่าไหนก็ให้โดดน้ำลงทั้งชุดนั้นเลย พิเรนณ์ไหมเล่ามีองค์ชายเกือบจมน้ำเพราะดันใส่ทองมาเต็มตัว”
หน้าหวานหัวเราะร่าเมื่อได้ฟัง อีกฝ่ายก็ยิ้มแบบหน่ายๆเมื่อพูดถึงเจ้านายตนแต่แววตาก็ยังปนขำ
“สารพัดแหละที่เจ้านั่นคิดจะเล่นในสวนน่ะก็เลยชอบจัดงานข้างนอกมากกว่าถ้าไม่ใช่งานทางการน่ะนะ บ้าๆบอๆไปเรื่อย”
“ท่านลากลอซพูดถึงองค์เหนือหัวแบบนั้นจะดีหรอ”
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นดีกับเพื่อนนะรักเพื่อนมากแล้วคนก็รักมากเหมือนกัน”
“อ้อ”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับช้าๆก่อนจะเบนสายตาไปจับจ้องที่พื้น พลางในใจก็หวนคิดถึงเรื่องอื่นหน้าตาที่ร่าเริงเมื่อครู่หมองลงไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงบางสิ่ง แล้วเขาก็เอ่ยถามทั้งที่ยังมองนิ่งอยู่กับพื้น
“ท่านลากลอซ ข้าถามอะไรหน่อยสิ”
“อื้มว่ามาสิ”
“เห็นเรียกองค์ราห์โอสนิทแบบนั้นคบกันมานานแล้วหรอ”
“ก็ตั้งแต่เด็กๆล่ะ แล้วก็ไปเจออะไรด้วยกันมาเยอะแยะ”
“ก็ต้องรู้ใจกันสุดๆเลยใช่ไหมล่ะ”
“ใช่แล้ว”
“ถ้างั้น...ข้าถามได้ไหมว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนแบบไหน”
“หืม? ถามแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า....ท่านดูไม่สบายใจเลยนะ”
เด็กหนุ่มเงยหน้ามาสบตาแบบลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปอีก แล้วค่อยๆพูดอย่างเอียงอายเล็กน้อย
“ก็...ไม่รู้สิ ข้า ข้าไม่เข้าใจที่เขาทำกับข้าน่ะ ตอนเจอกันครั้งแรกก็มาช่วยแล้วก็ดีกับข้าแต่ว่าหลังจากนั้นก็ทำแบบนั้น” ผิวแก้มขาวแดงระเรื่อขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องน่าอายที่ฟารันกระทำกับตนต่อหน้าธารกำนัลเมื่อเดือนก่อน คนสนิทหนุ่มพยักหน้าช้าๆเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร เขาจึงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“อืม...หมอนั่นจริงๆเป็นคนอารมณ์แปรปรวนน่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแล้วก็มักแสดงออกมาตรงๆ แต่ลึกๆไม่มีอะไรหรอกนะ ก็แค่เป็นคนตรงๆน่ะ”
“งั้นหรอ”
“อื้ม ก็เป็นพวกคิดอยากจะทำอะไรก็ทำเลยน่ะ อย่างว่าเขามักทำตามใจตัวเองจนชินเพราะว่าเป็นกษัตริย์”
“ถ้างั้น....ตอนนี้ข้าก็ถูกเกลียดแล้วใช่ไหม?”
“หา? ทำไมท่านถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็ ท่านบอกว่าเขาเป็นคนตรงๆรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น แสดงว่าตอนนี้เขาต้องเกลียดข้ามากๆเลยใช่ไหม เพราะว่าที่ผ่านมาเขาไม่ยอมคุยกับข้าเลยเวลาเจอกันก็พูดคำสองคำเหมือนอยากจะหนีข้าไปเร็วๆ เขาต้องรังเกียจข้ามากแน่ๆถึงทำเหมือนไม่อยากมองไม่อยากเจอด้วยแบบนั้น” ปากบางพรั่งพรูคำพูดออกมาพร้อมตาเศร้าที่ดูเจ็บปวด ลากลอซมองฝ่ายนั้นอย่างแปลกใจก่อนจะค่อยๆพูดปลอบ
“ไม่จริงหรอก ท่านคิดมากไปเองนะ”
“มันจริงนะ เขาทำแบบนั้นจริงๆ...หรือ...เป็นเพราะโกรธข้าที่ช่วงแรกไม่ยอมเจอหน้าเขา”
“เอิ่ม จริงๆปรกติเจ้านั่นไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรแบบนั้นหรอกนะ ข้าว่าอาจจะเครียดเรื่องงานเลยทำให้ช่วงนี้ดูบึ้งตึงกว่าปรกติล่ะมั้ง อย่าว่าแต่ท่านเลยกับคนอื่นช่วงนี้ก็เหมือนจะโดนแบบนั้นไปด้วยคงเพราะช่วงนี้เครียดเรื่องงานนั่นแหละ”
แต่แม้นจะได้ฟังเหตุผลเช่นนั้นหน้าสวยก็ยังแลดูเศร้าอยู่ดี ลากลอซจึงพยายามพูดต่อ
“แต่ว่านะ...จริงอยู่ที่เจ้านั่นเป็นคนตรงๆนะแต่ก็ไม่ทุกเรื่องหรอก บางอย่างที่รู้สึกอ่อนไหวมากๆก็อาจจะทำตรงข้ามเหมือนพวกปากไม่ตรงกับใจไปเลยก็ได้ เหมือนอ่า...พยายามระงับความรู้สึกตัวเองน่ะเพราะบางอย่างถ้าทำตามใจไปเลยก็คงจะไม่ดี”
โรเรเนสได้ฟังก็พยายามขบคิดแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจว่าฟารันจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรเขาจึงเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย
ฟารันจงใจเย็นชาใส่เขาเพราะไม่ต้องการแสดงความรู้สึกบางอย่าง? อย่างนั้นหรือไม่น่าจะใช่ เขาออกจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ลากลอซพูดนักเพราะจากสิ่งที่เขาเจอ ดูอย่างไรก็เป็นการแสดงออกถึงความไม่ใส่ใจและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็คิดว่าป่วยการที่จะถามความต่อจึงได้แต่ถอนหายใจน้อยๆอย่างท้อใจ ก่อนจะพูดจากลบเกลื่อนไป
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยพูดให้ข้าคลายใจ ข้าก็คงแค่คิดมากไปเองนั่นแหละ” หน้าหวานยิ้มน้อยๆให้อย่างเป็นมิตรเพื่อให้อีกฝ่ายคลายใจ ฝั่งนั้นเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้ารับก่อนจะใช้จังหวะนี้เปลี่ยนเรื่องพูด
“เอ้อจริงสิ ข้ากะจะถามท่านเสียหน่อยว่าท่านทำอะไรกับสวนนี้หรือเปล่า”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ข้าแค่มานั่งเล่น”
“แค่นั่นหรอ อืม...แปลกจริงๆ”
“ทำไมหรอ”
“คือ ท่านสังเกตไหมล่ะว่าไม้ดอกในสวนนี้มันเริ่มผลิดอกผิดฤดูน่ะ” เลขาหนุ่มพูดพลางชี้นิ้วไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ที่ปลายยอดของมันนั้นมียอดอ่อนผลิตูมขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าสังเกตอยู่ว่ามันแปลกๆ ไปถามคนสวนเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันตามปรกติในช่วงนี้ของปีจะไม่มีดอกไม้หรอกนะ” โรเรเนสมองยอดอ่อนของต้นไม้ต้นนั้นก่อนจะหันมายิ้มน้อยๆให้
“เป็นเพราะมันได้รับความรักจากข้าล่ะมั้ง”
“โอ้ ไม่ยักรู้ว่าต้นไม้รับรู้แบบนั้นได้”
“ได้สิ ต้นไม้มันมีความรู้สึกนะแล้วก็มีวิญญาณด้วยถ้าพวกมันรับรู้ถึงความรักของเราพวกมันก็จะรักเราตอบยังไงล่ะ”
“วิเศษไปเลย แบบนี้แสดงว่าเจ้านั่นคงรักต้นไม้ตัวเองไม่พอแน่ในสวนกระจกดอกไม้ถึงไม่เคยออกดอกเลยนอกจากเจ้าต้นกุหลาบจันทราเท่านั้นที่ยอมมีดอกให้”
“เห? กุหลาบจันทรา?ที่ไหนกัน?”
“อ่อ ท่านยังไม่รู้เรื่องสวนส่วนพระองค์ของราห์โอใช่ไหมเล่า เป็นสวนกระจกที่มีแต่ไม้เมืองหนาวน่ะอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในนี่ล่ะ” หน้าสวยตาโตขึ้นด้วยแปลกใจและกระตือรือล้น
“จริงรึ ข้าไม่เคยได้ยินเลยท่านบอกข้าหน่อยสิว่ามันอยู่ตรงไหน”
“เป็นสวนลับน่ะท่านไม่เคยเห็นหรอก อีกอย่างถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็คงเข้าไปไม่ได้ด้วยเป็นสวนลอยที่อยู่ตรงตึกปีกขวา เมื่อเดินไปจนสุดทางเดินจะเจอบันไดวนเล็กๆอยู่เดินขึ้นไปเรื่อยๆตามเสียน้ำตกไปก็จะเจอเอง แต่ว่าตามปรกติมันจะถูดปิดอยู่นะ”
“มีน้ำตกด้วยงั้นรึแปลกจังมันเป็นสวนแบบไหนกัน”
“เป็นสวนที่ฟารันปลูกเองสร้างเองน่ะ ตั้งใจจะเอาไว้ปลูกไม้เมืองหนาวสภาพในนั้นเลยเย็นกว่าอากาศภายนอกอยู่มาก แต่ก็คงเย็นไม่พอมั้งนะเพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ฤดูกาลเจ้านั่นก็ไม่เคยทำให้ดอกไม้ออกดอกได้เลยซักดอกมีแต่กุหลาบจันทราเท่านั้นแหละที่ยอมออกดอกให้ ที่เหลือในสวนก็เขียวขจีเสมอต้นเสมอปลายไม่มีสีสันอื่นเพิ่มขึ้นมาเลย แต่ก็นะปลูกไม้เมืองหนาวในสปันเทียไม่ตายก็ถือว่าเก่งแล้ว"
“แล้วองค์ราห์โอไปได้กุหลาบจันทรามาจากไหนกัน มันเป็นไม้ดอกหายากนี่นาตามปรกติถ้าไม่บังเอิญเจอในป่าก็ไม่มีทางได้เห็นหรอกแล้วยิ่งเอามาปลูกไว้เป็นของตัวเองนี่แทบเป็นไปไม่ได้เลย”
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้แฮะ”
เป็นเช่นที่โรเรเนสพูดกุหลาบจันทรานั้นเป็นกุหลาบเมืองหนาวที่มีความพิเศษ ด้วยลักษณะของมันนั้นเป็นที่มาของชื่อ กุหลาบชนิดนี้จะออกดอกเฉพาะคืนจันทร์เพ็ญเท่านั้น หนึ่งเดือนก็จะออกดอกเพียงหนึ่งหนและเพียงคืนเดียว แถมยังงดงามพิสดารกว่าพืชชนิดไหนๆ ด้วยดอกของมันนั้นยามปกติจะเป็นสีนวลๆคล้ายสีงาช้างแต่เมื่อยามแสงจันทร์สาดมาต้องกลีบดอกของมันจะสะท้อนแสงเป็นประกายคล้ายผิวของไข่มุก งดงามอย่างมิอาจวางตากล่าวกันว่าแสงสะท้อนของมันเมือเห็นในยามค่ำคืนนั้นนวลสว่างจนมองเหมือนเห็นเป็นรัศมีน้อยๆล้อมรอบดอกมันเลยก็ว่าได้ กลิ่นของมันก็หอมรัญจวนยิ่งกว่ากุหลาบชนิดไหนๆ จนเคยมีคนพยายามจะนำมันมาสกัดเป็นน้ำหอมหากแต่เมื่อดอกแสนงามถูกตัดออกจากต้นมันก็จะตายลงอย่างทันทีน้ำหอมกลิ่นกุหลาบจันทราจึงมิเคยกำเนิดขึ้น
ด้วยคุณสมบัติประการทั้งปวงจึงทำให้ดอกไม้ชนิดนี้เป็นที่ปรารถนาของทุกผู้คนที่อยากจะมีบุญได้พบเห็น เพราะนอกจากจะสวยงามจับตาแล้วนั้นก็ยังหายากเสียยิ่งกว่ายาก แล้วยิ่งการที่กุหลาบจันทราจะเติบโตและเบ่งบานในเคหะสถานของมนุษย์นั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย จากความทรงจำเท่าที่จะระลึกได้เทพหนุ่มจำได้ว่ากุหลาบจันทราเพียงพุ่มเดียวที่เบ่งบานอยู่ภายใต้อาคารได้นอกเหนือจากการอยู่ในป่าก็คงจะมีแต่ในวิมาณบนสวรรค์ของตนเท่านั้น
เรื่องที่ตอนนี้มีคนมาบอกว่ามีกุหลาบจันทราที่เติบโตแข็งแรงพร้อมออกดอกอยู่ในพระราชวังหลังนี้ก็เหมือนได้ยินว่าพระอาทิตย์กำลังตกที่ทิศตะวันออกฉันใดฉันนั้น
โรเรเนสอยากเห็นกุหลาบจันทราพุ่มนั้นด้วยกายเนื้อของมนุษย์นี้แทบขาดใจ จริงอยู่ว่าในความทรงจำของการเป็นเทพนั้นเขาเคยได้ใกล้ชิดและสัมผัสกับดอกไม้ชนิดนี้มาแล้ว ทว่าเมื่อได้ลงมาในร่างมนุษย์เขากลับพบว่ามีบางอย่างแปลกไป การรับรู้จากกายหยาบและสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ที่รู้สึกว่าคุ้นเคยกลับมิคุ้นเคย ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัส แม้กระทั่งแค่การเหยียบย่างลงผืนหญ้านุ่มด้วยเท้าเปล่าก็สร้างความรู้สึกรื่นภิรมย์ใจอย่างน่าประหลาด มันชัดเจนและเต็มตื้นอย่างมิเคยประสพแล้วหากร่างกายนี้และสัมผัสนี้ได้ไปพบกับดอกไม้แสนงามเช่นกุหลาบจันทรานั่นแล้วเล่า เชื่อได้ว่าเขาคงสุขใจเป็นที่สุดเป็นแน่
ร่างบางเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หัวใจระส่ำระส่ายด้วยปรารถนาอยากจะได้เห็น
“แล้วเมื่อไรจะเป็นคืนจันทร์เพ็ญล่ะท่านลากลอซ”
“อืม.....รู้สึกว่าจะเป็นวันนี้ล่ะ”
“หา! แล้วถ้าข้าอยากจะไปดูกุหลาบจันทราล่ะต้องทำยังไงท่านพาข้าไปได้ไหม”
“ขออภัยด้วยจริงๆ คืนนี้ข้าไม่ว่างอีกอย่างถ้าไปขอฝ่าบาทให้ข้าพาท่านไปไหนมาไหนยามวิกาลสองต่อสองฝ่าบาทก็คงไม่ยอมแน่”
นั่นสิ เขาคงไม่อยากให้เราไปคลุกคลีกับคนของเขา
“เอ่อ แต่ว่าท่านจะไปคุยกับฝ่าบาทตรงๆเลยก็ได้นะ สวนนั้นเป็นสวนส่วนพระองค์อย่างที่ข้าบอกถ้าไม่ได้รับอนุญาติก็เข้าไปไม่ได้หรอก”
หน้าหวานหลุบตาลงต่ำอย่างเศร้าสร้อยปากก็บ่นขมุบขมิบเมื่อได้ยินข้อเสนอนั้น “เขาอยากจะคุยกับข้าเสียที่ไหนเล่า”
“หืม?ท่านว่าอะไรนะ”
“เอิ่ม ไม่มีอะไรหรอกท่าน”
“อ่อ”
“แต่คือ...อันที่จริง..”
โรเรเนสอึกอักลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอื้อมสองมือไปกุมไว้กับมืออีกฝ่าย ลากลอซออกสีหน้าตกใจอยู่เหมือนกันแต่ไม่ก็ไม่ได้ชักมือกลับ
“ท่านลากลอซ ท่านช่วยพูดกับฝ่าบาทแทนข้าหน่อยสิตอนนี้ถ้าให้ข้าไปเจอหน้าเขาเองข้าคงทำไม่ได้หรอกนะ”
“เอ่อ ท่าน ปล่อยเถอะแบบนี้ไม่ดีนะ”
“นะนะ ข้าอยากไปดูดอกกุหลาบจริงๆนะ”
“ปล่อยมือข้าก่อนดีกว่านะ นะ”
“ลากลอซ!”
เสียงตะหวาดดังขึ้นดั่งฟ้าลั่น ทั้งสองสะดุ้งพลันเลขาหนุ่มก็กระชากมือกลับเหมือนไฟลวกใบหน้าไร้สีเลือดอย่างฉับพลัน เพียงเสี้ยวอึดใจที่เขาเห็นว่าผู้เอ่ยนามนั้นเป็นใครหัวใจก็ล่นไปที่ตาตุ่ม
“บรรลัยแล้ว” เขาเอ่ยอย่างราบเรียบตรงข้ามกับหน้าตาสุดๆ เจ้ากีก้าลุกขึ้นวิ่งลัดสวนตรงไปข้างหน้าซึ่งเป็นต่ำแหน่งที่เจ้าของมันยืนอยู่ มันเห่าอย่างร่าเริงพร้อมกระดิกหางโดยไม่รับรู้ถึงบรรยากาศอึมครึมรอบๆตัวเลย
องค์ราห์โอมาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
กาลเวลาหยุดนิ่งไปขณะหนึ่งก่อนที่ลากลอซจะเริ่มขยับตัว เขาอึกอักเล็กน้อยพยายามคลายอาการเกร็งของตนลงแล้วยิ้มแหยๆให้เจ้านายตน
“เอ้า!ฝ่าบาท บังเอิญจังเลยเนอะ แหม่...อ่า...”
หากแม้นการจ้องมองฆ่าคนได้ป่านนี้ลากลอซคงตายไปแล้ว ด้วยองค์ราห์โอมองตรงมาที่ลากลอซอย่างอาฆาตมาดร้ายมุ่งหวังที่จะปลิดชีพเสียบัดนี้ ด้านเลขาหนุ่มก็ใจดีสู้เสือ เขาสูดหายใจเต็มปอดก่อนจะพูดจาอย่างสบายๆแบบที่ตัวเองเป็น
“กระหม่อมอธิบายได้”
“หุบปาก”
“อืม”
.........
“คือจริงๆแล้วกระหม่อมก็แค่”
“หุบปาก”
“อ่า”
..........
เหมือนอากาศรอบตัวจะหยุดนิ่งพร้อมกาลเวลา หนุ่มน้อยตาเศร้าตกใจกลัวจนไม่กล้ามองหน้าใครได้แต่ก้มหน้านิ่งมองพื้นพร้อมกับขบริมฝีปากแน่น
ท่านลากลอซแย่แล้ว เป็นเพราะเราแท้ๆ
ยามนี้ในหัวของเขารับรู้เพียงแค่กษัตริย์หนุ่มเกลียดเขาและการที่ฝ่ายนั้นเห็นเขายืนคุยกับคนสนิทแถมยังเล่นกับสุนัขของตนเองก็คงจะหัวเสียเป็นอย่างมาก นี่ก็คงกำชับไม่ให้ลากลอซมาคุยกับเขาด้วย พอเข้ามาเห็นว่าลูกน้องขัดคำสั่งก็ย่อมจะโกรธเป็นธรรมดา แน่ล่ะใครจะอยากให้คนของตัวเองไปสนิทสนมกับคนที่ตัวเองเกลียดเล่า
หน้าสวยค่อยๆฝืนใจช้อนตาขึ้นมองบุรุษหนุ่มที่กำลังโกรธเกรี้ยว พลันก็ได้พบกับตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองมาทางตนครู่หนึ่งก่อนฝ่ายนั้นจะบ่ายหนีไปมองทางอื่น เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเอื้อนเอ่ยอออกไปทำลายความเงียบ
“ทรงอย่ากริ้วท่านลากลอซเลย เป็นข้าเองที่เข้าไปคุยกับเขาก่อน”
นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนที่บุรุษหนุ่มที่เมินหน้ามองไปทางอื่นเหมือนไม่ได้ฟังจะหันกลับมามองคู่สนทนาของตน แต่แววตาที่ส่งออกมาคราวนี้นั้นต่างออกไปอย่างน่าประหลาด เป็นตาคมคู่เดียวกันจริงหรือที่เมื่อครู่ดูกราดเกรี้ยวน่ากลัวด้วยความโกรธา แต่ตอนนี้กลับดูเจ็บปวดทรมาณอย่างล้ำลึกลงไปข้างใน ม่านตาสีดำสนิทดูผิวเผินเหมือนจะนิ่งเรียบไร้อารมณ์ใดๆหากแต่ได้มองจนจมลงไปจะพบความปวดร้าวอยู่ในนั้น
คราวนี้เป็นฝ่ายเทพหนุ่มที่ต้องประหลาดใจเขาไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นของฟารันมาก่อน แววตาเศร้าดิ่งลึกแบบนั้น ทำไมกัน ทำไมถึงต้องปวดร้าวถึงเพียงนั้น พลันความรู้สึกแปลกๆก็เกิดขึ้นอย่างมิอาจเข้าใจได้ ณ เวลานั้นดวงตาสีม่วงเข้มของเด็กหนุ่มก็วาวไปด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่เมื่อองค์ราห์โอเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นเขาก็เบือนหน้าหนีไปทันทีพร้อมกับถอนหายใจหนักๆอย่างหงุดหงิด
“ลากลอซตามข้าไปที่ห้องทำงานเดี๋ยวนี้”
เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเดินจากไป เลขาหนุ่มลังเลเล็กน้อยกับคำสั่งนั้นก่อนจะหันไปมองคนข้างๆว่าเป็นอะไรมากไหม แต่โรเรเนสก็ส่ายหัวช้าๆ เพื่อแสดงออกว่าตนสบายดีทั้งๆที่ดวงตายังรื้นน้ำ ลากลอซนั้นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเดินจากมาเพื่อปล่อยให้เด็กหนุ่มทบทวนบางอย่างอยู่คนเดียว
-------------------
แสงจันทร์นวลผ่องสาดฟุ้งไปทั่วผืนฟ้า ยามเมื่อมันกระทบยอดเมฆก็เกิดสะท้อนเห็นเป็นขอบสีขาวเรืองๆดูแปลกตา คืนจันทร์เพ็ญนั้นแปลกนักด้วยเหมือนมันจะมีเวทย์มนต์อยู่ในตัวเอง ดวงจิตดวงใจทุกดวงภายใต้แสงเดือนมักจะไม่เป็นปรกติอย่างที่เป็น เมื่อเคยทุกข์กลับสุขได้และเมื่อเคยสงบก็กลับว้าวุ่นได้เช่นกัน เป็นเพราะจันทร์หรือเป็นเพราะสิ่งใดหรือเพราะเสียงหวูดหวิวของสายลมนั่นปะไรที่บาดใจอยู่
เหตุใดใจดวงน้อยถึงกลัดกลุ้มและสับสนถึงเพียงนี้
โรเรเนสนอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง ไม่แน่ใจว่าเวลานี้นั้นมันกี่ยามแล้วแต่ไม่ว่าจะข่มตาเพียงไรก็ไม่อาจจะหลับลงได้ ด้วยเพราะเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ที่ได้เจอไป ทั้งทุกข์ สับสน และไม่เข้าใจ
เขาทุกข์เป็นอย่างหนักที่รับรู้ว่าฟารันเกลียดเขา จะด้วยเพราะประชดที่ช่วงแรกเขาหนีหน้าหรือเพราะอะไรก็ตามแต่เขามั่นใจว่าฝ่ายนั้นต้องกำลังโกรธเขามากเป็นแน่ไม่เช่นนั้นจะทำเย็นชาใส่เขาไปทำไมกัน
เขาสับสนว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี ในเมื่อฝ่ายนั้นนิ่งมาเขาก็ควรจะนิ่งตอบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีหรือไม่ ไม่ต้องใส่ใจไม่ต้องคุยกันไปเลยก็น่าจะดีหรือเขาจะรวบรวมความกล้าแล้วไปจัดการเรื่องนี้เองโดยตรง เขาอาจเข้าไปขอโทษที่ทำตัวไร้มารยาทในช่วงแรกสารภาพไปว่าที่เขาหนีหน้านั้นเป็นสิ่งไม่ดีแล้วถ้าหากทำเช่นนั้นแล้ว แล้วฟารันยังมีปฏิกิริยาเย็นชาอยู่เช่นเดิมเขาก็คงต้องยอมรับ
แต่ในขณะนี้เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจตัวเองอย่างมากที่สุด เขารู้ตัวว่าทั้งอารมณ์ความคิดและการกระทำหลายอย่างของเขานั้นมันช่างโง่เง่าเป็นที่สุด
ข้อแรกเขาเป็นเทพแต่ทำไมต้องออกอาการเกรงกลัวต่อมนุษย์ธรรมดาอย่างฟารันด้วย แม้นจะเตือนตัวเองอยู่หลายครั้งว่าถ้าเจอให้เชิดหน้าไว้แต่เอาเข้าจริงเขาก็ลืมตัว ทำไม่ได้เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองอีกฝ่าย
ข้อสอง ทำไมเขาต้องใส่ใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายด้วย อันที่จริงเขาก็ออกจะสบายใจที่ฟารันไม่เข้ามายุ่งกับชีวิตของเขาเพราะอยู่ใกล้ทีไรก็รู้สึกอึดอัดขัดเขินตลอดๆ แต่พอฟารันห่างออกไปจริงๆก็เกิดเสียใจขึ้นมาแทนเอาแต่น้อยใจเหมือนเด็กๆ เจ็บใจตัวเองที่ทำตัวไม่ดีใส่อีกฝ่ายในตอนแรกจนทำให้กลายเป็นแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันแบบสุดขั้วและไม่มีทีท่าว่าเขาจะเข้าใจตัวเองได้ในเร็ววัน
เขาพลิกตัวอย่างแรงอีกครั้งพร้อมกับหน้ามุ่ยๆและคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแสงจันทร์สาดพาดเรือนผมสีม่วงจางและเลยออกไปยันปลายเท้า
พรุ่งนี้ต้องคุยให้ได้
เขาคิดกับตัวเองด้วยสายตามุ่งมั่น ยามนี้ตัวเขาเองไม่อาจทราบได้ว่าอะไรเป็นอะไรแม้แต่เรื่องของตัวเองยังจำมิได้นับประสาอะไรกับความเป็นมนุษย์ที่เขากำลังเป็นอยู่ เขาก็คงตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจตัวเองเพียงแต่ว่าตอนนี้ เขาคิดได้แค่ว่าเมื่อมีปัญหาก็ต้องพูดคุย พรุ่งนี้เขาจะต้องพบกับฟารันให้ได้และจัดการปัญหาให้หมดไปเพื่อให้ไม่ต้องทุกข์ใจอีกต่อไป หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หลายครั้งที่ผ่านมาเขาอาจควบคุมจิตใจและการกระทำตัวเองไม่ได้ แต่พรุ่งนี้เขาต้องทำให้ได้เขาต้องคุยกับฟารันให้ได้
แพขนตาหนากระพริบถี่สองสามครั้งก่อนจะปิดลงแล้วนิ่งไป ตัดสินใจได้แล้ว สบายใจ นอน....
แลเมฆก็เคลื่อนคล้อยผ่านไปเกิดเป็นเงาจางเลื่อนผ่านบรรดาข้าวของเครื่องใช้ในห้องเรื่อยๆไปจนแล้วจนเล่า ผ่านไปเหมือนมากมายไม่สิ้นสุด
เขาลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่ง
หลับไม่ได้เสียแล้ว ช่วงเวลาที่เขาจะต้องหลับได้ผ่านพ้นไปแล้วยามเมื่อคนเราตาตื่นจนเลยเวลาง่วงปรกติไปแล้วนั้นก็เป็นการยากที่จะข่มตาลงอีก อีกเรื่องแปลกๆแสนยุ่งยากของร่างกายมนุษย์ โรเรเนสถอนหายใจกับตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายแต่ฉับพลันความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาก่อนหน่วยตาที่เต็มไปด้วยความเบื่อจะแปรเป็นวาวโรจน์ร่าเริง หน้าหวานหันไปมองพระจันทร์ดวงโตนอกหน้าต่างแล้วก็อมยิ้มให้กับตัวเอง
พระราชวังยามค่ำคืนนั้นงดงามไม่แพ้ยามกลางวัน หากแต่อุณหภูมินั้นหนาวเย็นกว่ากันมากจนเขาต้องกอดกระชับเสื้อคลุมตัวหนาของตนเอาไว้เมื่อยามก้าวเดินและโชคดีที่พื้นกระเบื้องหินเย็นเยียบไม่อาจสัมผัสแผ่นเท้าบางที่สวมรองเท้าผ้ากำมะหยี่ได้ โรเรเนสย่างผ่านโถงทางเดินที่เงียบเชียบไปเหมือนแมวขโมยที่ระวังรอบตัวกลัวใครจะมาเห็น แสงไฟจากโคมที่แขวนไว้รายทางวูบไหวเล็กน้อยตามแรงลมแผ่นที่ผ่านไป ก้าวอย่างรวดเร็วแต่แผ่วเบาผ่านบานประตูไม้สลักลายมากมายไป จนพ้นทางเดินเขาก็หลุดมาอยู่ ณ โถงกว้างโปร่งสบายที่มีเสาหินใหญ่เรียงรายอยู่โดยรอบ โถงนี้ถูกตกแต่งด้วยไม้นานาพันุ์หลายจุดและเต็มไปด้วยที่นั่งหย่อนใจ แต่นี่ก็มิใช่จุดหมายหรอกเพราะเขาวิ่งผ่านที่โล่งนี้ไปยังอีกฟากของห้องแล้วหายไปกับทางเดินเล็กๆอีกสาย มุ่งตรงไปยังจุดที่เขาภาวนาว่ามันจะถูกต้อง และแล้วเมื่อมาจนสุดทางเดินเขาก็เจอสิ่งที่อยากเจอพอดี
บันไดวนสู่สวนกระจกที่ปีกขวา
เขายิ้มกับตัวเองแล้วเดินตรงเข้าไปผลักบานประตูลูกกรงสีเงินให้เปิดออกมันไม่ได้ลงกลอนอย่างที่เขาหวังไว้จึงเป็นการง่ายที่เขาจะเดินขึ้นไปด้านบน วนขึ้นสูงขึ้นไปจนเริ่มได้ยินเสียงน้ำตกแว่วมาแต่ไกลๆ
ทว่าจนเมื่อเดินขึ้นมาถึงจุดสูงสุดเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบตัวเองยืนอยู่กลางห้องโล่งๆไร้เครื่องเรือน มันเป็นห้องที่ถูกปูด้วยอิฐตั้งแต่พื้นไปยังเพดาน มีช่องให้ลมเข้าเป็นช่องเล็กๆเรียงไปตามกำแพงพอแสงจันทร์ส่องลอดช่องลมเข้ามาก็จะเห็นเป็นเส้นยาวๆหลายเส้นพาดอยู่กับพื้นและผนังฝั่งตรงข้าม นอกนั้นก็เป็นแค่พื้นที่โล่งๆไม่มีแม้นแต่คบเพลิง ทว่าเสียงน้ำตกกลับชัดเจนอยู่ใกล้ๆ
เขาหรี่ตามองไปรอบๆอย่างตั้งใจไม่คิดว่าตัวเองจะโดนหลอก แต่ก็ไม่คิดว่าลากลอซจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับสวนกระจกทั้งหมดให้แก่เขาเพราะตอนนั้นก็คงไม่คิดว่าเขาจะแอบมาที่สวนคนเดียวแบบนี้ แลเมื่อไตร่ตรองและพิศมองไปรอบๆตัว เขาก็ตัดสินใจเดินไปที่ผนังแน่นทึบที่อยู่ใกล้ๆแนบหูลงกับอิฐที่เย็นเฉียบแล้วตั้งใจฟังก่อนจะเริ่มไล่คลำและออกแรงกดไปตามแนวผนังจนในที่สุดส่วนหนึ่งของผนังก็เหมือนจะขยับจมลงไป
นั่นปะไร
เขาออกแรงผลักให้ส่วนนั้นของผนังจมลงไปทีละน้อยแรงเสียดส่งเสียงดังครืดๆเสียดหู จนเมื่อมันหยุดเขาก็พบว่าตัวเองได้เปิดบานประตูลับสำเร็จแล้วเพียงแค่แรงดันอีกเล็กน้อยบานประตูอิฐพอดีตัวก็เปิดออกเผยให้เห็นห้องที่ซ่อนอยู่ด้านใน
อากาศชื้นเย็นโชยปะทะหน้าให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างไม่เคยเจอมาก่อน กลิ่นชื้นหอบเอากลิ่นหญ้าและกลิ่นหอมแปลกๆออกมาด้วย เสียงซู่ซ่าของน้ำตกดังขึ้นชัดเจนทันทีที่ประตูเปิดกว้างจนสุดแล้วโรเรเนสก็ต้องตกตะลึงกับภาพสวนขจีตรงหน้า เขาค่อยๆเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปเมื่อเข้าไปถึงก็ยิ่งตื่นตามากขึ้นไปอีกเพราะสวนแห่งนี้ถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
พื้นนิ่มปูด้วยหญ้าและตกแต่งด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นไม้พุ่ม ไม้เลื้อย และไม้ยืนต้นขนาดกลาง พวกมันไม่ได้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบนักแต่ก็สวยงามมากตามธรรมชาติของมัน มีทางเดินบางจุดที่ปูด้วยแผ่นหินศิลา มีลำธารสายเล็กๆไหลผ่านจากฝั่งหนึ่งของห้องไปยังอีกฝั่ง
แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คงเป็นโดมน้ำตกกระจกที่สูงขึ้นไปหลายเมตร แม้นจะอยู่สูงขนาดนั้นก็ยังสามารถมองเห็นสายน้ำที่ไหลผ่านผิวกระจกได้อย่างดีทำให้เมื่อยามแสงจันทร์ส่องผ่านแผ่นกระจกเคลือบน้ำนี้เข้ามาที่พื้นสวนด้านล่างจะปรากฏเป็นเงาลายน้ำเคลื่อนไปมาเหมือนอยู่ใต้ทะเล ส่วนผนังทั้งซ้ายขวานั้นก่อด้วยอิฐศิลาแต่ถูกเจาะช่องทั้งสองฝั่งให้มีซุ้มประตูโค้งเรียงยาวไปทั้งผนังตรงซุ้มโค้งที่ถูกเจาะนี้เองที่ได้เห็นม่านน้ำตกซึ่งเป็นน้ำทีไหลลงมาจากหลังคา แม้นจะยืนห่างออกมามากแต่ไอน้ำที่เกิดจากการกระทบพื้นของม่านน้ำตกทั้งส่องฝั่งก็ยังฟุ้งมาไล้เลียผิวหน้าขาวให้รู้สึกเย็นชื้นขึ้นได้อยู่ดี ส่วนผนังท้ายสวนซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับทางเข้านั้นเป็นกระจกใสเช่นเดียวกับหลังคาโดมซึ่งส่วนด้านล่างนั้นมีประตูกระจกเปิดโล่งออกสู่ระเบียงด้านนอกได้
ช่างเป็นสวนที่สวยงามและพิสดารอย่างที่สุด เรียกได้ว่าน่าจะเป็นสวนในร่มที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นเลยก็เป็นได้ ตัวห้องนั้นเงียบเชียบมีแต่เสียงน้ำตกเท่านั้นที่ดังชัดอยู่ในความมืด ไร้แสงใดๆจากโคมไฟมีเพียงแสงจันทร์เพ็ญดวงโตที่สาดจ้าลงมาถึงพื้นหญ้า ความมืดเย็นและบรรยากาศอันแสนสงบทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในป่า
โรเรเนสถอดรองเท้าผ้าออกปล่อยให้ฝ่าเท้าสัมผัสหญ้านุ่มเมื่อย่างลงไปในสวน เขาเดินลัดผ่านลำธารสายเล็กและพุ่มไม้เตี้ยๆไป แหวกฝ่าม่านของพืชตระกูลเคราฤษี เดินเรื่อยไปจนเกือบจะถึงท้ายสวน แล้วเขาก็หยุดยืนบริเวณท้ายสวนตรงนั้นเองที่ได้เห็นพุ่มไม้หนามมีก้านสีดำสนิท
กุหลาบจันทราชูช่อมากมายอยู่เหนือก้านหนามและใบสีเขียวเข้มของมัน งดงามอย่างน่าหลงใหลกลีบของมันมีสีนวลสะอาดตาเมื่อยามเงาเมฆเคลื่อนมาบัง แต่เมื่อยามต้องแสงจันทร์ผิวกลีบสีมุกของมันก็สะท้อนแสงเกิดเป็นวงรัศมีรอบๆดอกของมันจริงๆ
เด็กหนุ่มเกศม่วงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ลืมเสียสิ้นทุกสิ่งไม่แม้นจะสังเกตใดใดรอบตัว ลืมแม้กระทั่งอุณหภูมิที่เย็นต่ำกว่าปรกติของห้องนี้ เขาถึงกับถอดเสื้อคลุมตัวโคร่งแสนเกะกะทิ้งลงพื้นแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆพุ่งไม้หนาม ค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นระริกด้วยความตื่นเต้นเข้าไปสัมผัสกลีบบางอย่างแผ่วเบา มันละเอียดนุ่มอย่างไม่อาจบรรยายแต่ก็เรียบลื่นยิ่งกว่าผ้าไหมเนื้อดีผืนใดๆในโลก กลิ่นของมันรัญจวนใจอย่างลุ่มลึก เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆที่ฟุ้งจางอยู่รอบๆ หากแม้นพยายามสูดดมอย่างจริงจังจะไม่รู้สึกว่ามีอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายแล้วหายใจอย่างปรกติกลิ่นหอมของมันก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขายิ้มให้แก่ดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าและรู้สึกสนุกขึ้นมากับประสบการณ์ใหม่นี้
ลูบไล้ไปทั่วตั้งแต่ตัวกลีบ ใบ หรือแม้นแต่ก้านหนามของมัน ดอมดมและเพ่งพิศสีสันที่แปรไปของดอกไม้ประหลาดนี้อย่างกระตือรือร้นและแล้วเขาก็ตัดสินใจทำบางอย่าง
“เจ้างามมากจริงๆจนข้าอดใจไม่ไหว เช่นนี้แล้ว....อภัยให้ข้าเถอะนะ” พูดจบเขาก็ก้มลงไปจุมพิตที่กลีบดอกอย่างแผ่วเบาแต่ก็เนิ่นนานเสมือนดั่งผีเสื้อโผลงมาเกาะเกสร คราวนี้เมื่อแสงจันทร์ต้องกระทบทั้งเนื้อหน้าและผิวดอกก็ยากจะบอกได้ว่าสิ่งใดงดงามกว่ากันเมื่ออยู่ใต้เดือนเพ็ญ กุหลาบหรือคนล้วนงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
แลถึงจุดนี้ผู้ที่เร้นกายเพื่อลอบมองภาพที่งดงามที่สุดก็จำต้องปรากฏกายออกมา
“ผู้ชายดีๆเขาไม่ขโมยจูบหญิงสาวแบบที่เจ้าทำหรอกนะ”
เจ้าของหน้าสวยสะดุ้งหนีจากดอกกุหลาบก่อนจะหันไปมองต้นเสียงอย่างตื่นตระหนก แล้วก็ได้พบว่าที่ข้างตัวมีบุรุษผู้หนึ่งได้มายืนอยู่ใกล้ๆตั้งแต่เมือใดไม่ทราบได้ เขาผู้นั้นสวมชุดเหลือบทองปักลายอร่ามตัดพอดีตัวยาวเรื่อยลงไปถึงหน้าแข้งพ้นชายเสื้อลงไปก็เป็นบูทหนังสีน้ำตาลเข้ากับชุด ส่วนด้านบนคอปกตั้งแต่ตัวเสื้อกลับผ่าลึกลงไปจนถึงหน้าอก ช่วงเอวคาดด้วยเข้มขัดสีทองทั้งหมดทั้งมวลบ่งบอกฐานันดรศักดิ์ได้อย่างครบถ้วน
“ราห์โอ!” โรเรเนสโพล่งขึ้นและตั้งใจจะลุกหนีแต่อีกฝ่ายลงมาจับแขนเขาไว้ก่อน
“อย่ากลัวเลยข้าสัญญาว่าจะไม่ทำแบบวันนั้นอีก”
เด็กหนุ่มผู้ยังไม่ไว้ใจพยายามดึงมือให้หลุดและเขยิบตัวหนียามที่อีกฝ่ายย่อตัวลงมานั่งใกล้ๆ เมื่อร่างสูงเห็นอาการตระหนกเช่นนั้นก็ยอมปล่อยมือแล้วค่อยๆนั่งลงช้าๆโดยไม่ผลีผลามทำสิ่งใด เหมือนเวลาที่เจ้าของพยายามเข้าใกล้สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่ยังไม่เชื่อง
แล้วต่างฝ่ายต่างก็นิ่งกันไปเหมือนรอบางสิ่ง
เงาเมฆเคลื่อนคล้อย เสียงน้ำตกไหลดังอยู่รอบตัวหากแต่มีเพียงเท่านั้นในทั้งหมดของสรรพเสียงเมื่อทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ปริปากพูดอันใดออกมา จนเมื่อเงาสลัวเลื่อนไปให้แสงเดือนสาดพาดวงหน้างามที่ระเรื่อแดงเทียมริมฝีปากและเห็นชัดถึงแววตาคมปราบดุจเหยี่ยวของบุรุษเกศดำได้ชัดขึ้น ยามนั้นตาหวานเศร้าก็หลุบหนีอีกฝ่ายจนเหลือให้เห็นเพียงการกระพริบสองสามครั้งของแพขนตา
ต้องไม่หนีอีก บอกตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่หนีอีก
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวคนตัวเล็ก อีกอึดใจหนึ่งเขาจึงยอมจ้องตาคนตรงข้ามอีกคราก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยท่าทีที่ยังประหม่าเล็กน้อย
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่”
“หนึ่งเดือนมีเพียงคืนเดียวที่กุหลาบจะบานคิดว่าข้าจะพลาดรึ” เขาพูดทั้งที่ตายังจ้องเขม็งไปที่คนตัวเล็กอย่างไม่ไหวติง โรเรเนสพยายามฝืนมองใบหน้าคมเข้มนั้นอยู่ซักพักแต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องก้มหนีลงไปอีก ความรู้สึกแปลกวูบวาบขึ้นอีกครั้งเมื่อต้องมองหน้ากับชายคนนี้ เป็นอะไรไปนะ?
“เจ้าหน้าแดง” ผู้ที่จ้องมองสังเกตเห็นอาการนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปนขำพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เปล่านะ” คนตัวเล็กออกอาการคัดค้านอย่างจริงจังแต่นั่นยิ่งทำให้ดูไม่น่าเชื่อยิ่งขึ้นไปอีก
“จริงสิ นี่ยิ่งแดงใหญ่แล้ว”
“ไม่จริงเสียหน่อย นี่มันกลางคืนท่านเห็นไม่ชัดหรอก”
“งั้นหรอ จะว่าข้าตาไม่ดีงั้นสิถ้างั้นต้องเข้าไปดูให้ชัดๆหรือเปล่าถึงจะเชื่อถือได้”
จบคำฟารันก็ยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆอย่างกระชั้นชิดจนคนร่างเล็กออกอาการผงะ ระยะที่ห่างกันไม่กี่กระเบียดทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงลมหายใจของกันและกัน ตาคมพิศมองผิวแก้มเนียนที่แดงซ่านเพื่อพิสูจน์คำพูดตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปจ้องตาอีกฝ่าย
แล้วสองตาก็ประสบมอง
แล้วเวลาเหมือนหยุดนิ่ง
เป็นเพียงช่วงเวลาแค่อึดใจแต่เหมือนเนิ่นนานกับครั้งแรกที่ได้มองเห็นอีกฝ่ายกันอย่างเต็มตา
ตาเศร้าคู่นั้นกับแพขนตาที่เรียงตัวลากลงไปยังหางตาตกๆ ปรือมองตอบมาอย่างขัดเขิน
ใบหน้าแดงซ่านแบบเด็กสาวแรกรุ่นเช่นเดียวกับริมฝีปากบางที่เชิดขึ้นเล็กน้อยเหมือนเด็กๆพาให้ความรู้สึกที่พยายามข่มกดไว้มานานล้นขึ้นมาในใจ มากขึ้น มากขึ้น จนแรงปรารถนาถูกฉายชัดในแววตาอย่างมิอาจปกปิด
เช่นนี้เทพหนุ่มที่ถูกจ้องก็มิอาจทานทนได้อีกแล้วกับตาคมเข้มที่มองลึกดุจเหยี่ยวเพ่งเหยื่อของอีกฝ่าย ความรู้สึกซ่านร้อนเมื่อยามใกล้ชายคนนี้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะและการจ้องมองนี้ก็เหมือนจะทำให้เขาละลายลงไปให้ได้ เขาขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยแล้วเบือนหน้าหนีไป
พลันตาคมที่ออกอาการวาวโรจน์ก็แปรไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายหนีหน้า เขามองหน้าหวานด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะพูดเสียงแผ่วคล้ายกระซิบด้วยน้ำเสียงเรียบเศร้า
“เกลียดข้าหรือเปล่า”
แต่เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินคำถามเขาจึงหันกลับมาด้วยสีหน้าสับสนก่อนจะพูดสวนไปอย่างไม่แน่ใจ
“ข้าต่างหากที่อยากจะถามท่านเช่นนั้น” ราห์โอหนุ่มถอยกลับไปพร้อมสีหน้าประหลาดใจ
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
“ก็...ก็ท่าน เย็นชาแล้วก็ไม่ยอมคุยกับข้าเลย”
“ก็เจ้าหนีหน้าข้า อย่าปฏิเสธนะข้ารู้อยู่ว่าเมื่อต้นเดือนก่อนเจ้าพยายามหนีข้า” พอได้ยินแบบนั้นโรเรเนสก็มองตอบด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“โกรธหรอ” ฟารันมองคนตัวเล็กด้วยสายตาเอ็นดูเมื่อเห็นกิริยาหงอยๆแบบนั้นก่อนจะพูดต่ออย่างเรียบๆ
“ไม่ใช่ หากแต่ข้าคิดว่าเจ้าเกลียดข้าถึงได้หนีหน้าข้าแบบนั้น ข้าเลยไม่อยากทำให้เจ้าลำบากใจเลยคิดว่าถ้าห่างกันไปแบบนั้นเจ้าจะสบายใจกว่า อีกอย่างทุกครั้งที่เราเจอกันเจ้าก็เหมือนไม่อยากจะเจอ”
“จริงหรอ”
“จริงสิ ก็เจ้าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา”
“เปล่านะ”
“เจ้าไม่เห็นหน้าตัวเองล่ะสิ อย่างเมื่อตอนกลางวันนั่นก็อีกแค่เจอหน้าข้าก็น้ำตาคลอแล้ว แล้วไหนจะวันก่อนๆอีกขนาดมองหน้าข้าตรงๆยังไม่อยากจะมองเลยไม่ใช่หรอ”
“ก็ ก็นั่นมันเพราะ...มันแปลกๆ ข้าไม่ได้เกลียดท่านนะมันแค่แปลกๆข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันข้าเลยทนอยู่ใกล้ท่านไม่ได้ แล้วส่วนเรื่องเมื่อตอนกลางวันนั่นมันก็เพราะท่านนั่นแหละทำหน้าเศร้าแปลกๆจนข้ารู้สึกแย่ตาม”
“หืม?ที่ว่าแปลกๆยังไงกัน”
“ก็ มันน่าอึดอัดแล้วในตัวข้าก็ร้อนๆ แล้วก็ใจเต้นแรงมากเลยตั้งแต่ที่ท่านทำแบบนั้นวันนั้น มัน มันทำให้ข้าอึดอัดแล้วก็หายใจไม่สะดวก ข้ากลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ข้าจะหน้ามืดเหมือนวันนั้นอีก” แต่พอได้ยินจนจบคำฟารันพยักหน้ารับคำด้วยสายตากรุ้มกริ้มและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“อ่อ....อื้ม”
“อะ อะไรหรอ”
“ไม่แปลกหรอก สาวๆหลายคนที่เจอข้าก็เป็นแบบเจ้าเหมือนกัน”
“ไม่ใช่นะ! ข้าไม่ได้ ข้าไม่ได้รุ้สึกกับท่านแบบนั้นเหมือนที่พวกผุ้หญิงเป็นนั่นท่านเข้าใจผิดไปแล้วนะ ข้าว่านี่มันเป็นเพราะหัวใจข้ายังไม่แข็งแรงต่างหาก”
“อ้อ งั้นหรอ ถ้างั้นบอกข้าหน่อยว่าตอนนี้สุขภาพเจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“ก็ดีขึ้นบ้าง”
“โอ้ ถ้าอย่างนั้น” ฟารันขยับตัวเหมือนจะเข้าหา แต่โรเรเนสก็รีบเขยิบหนีก่อนจะโพล่งออกไปอย่างฉับพลันด้วยสีหน้าประท้วงอย่างสุดฤทธิ์
“แต่นั่นไม่ได้แปลว่าข้าจะทำเรื่องแบบนั้นได้แล้วนะ” คนตัวเล็กระแวดระวังอย่างเต็มที่กับทุกท่าทีของอีกฝ่ายโดยการจับยึดเสื้อผ้าตัวเองไว้อย่างแน่นเหนียว กษัตริย์หนุ่มที่เห็นอาการขัดขืนแสนน่ารักแบบนั้นก็เผลอหลุดขำออกมาอย่างทนไม่ได้ แต่โรเรเนสออกจะไม่ชอบใจที่โดนหัวเราะจึงลุกหนีแล้วไปหยิบเสื้อคลุมที่ตนทิ้งไว้มาสวมให้กระชับก่อนจะยืนมองอีกคนด้วยสายตาค้อนน้อยๆ
ฟารันพยายามสงบสติอารมณ์แล้วจึงยืนขึ้นก่อนจะยื่นมือออกไปหาเด็กหนุ่ม
“ข้าว่าเรื่องนี้เราน่าจะออกไปคุยกันข้างนอกนะ” โรเรเนสยังมองมือข้างนั้นอย่างไม่ไว้ใจ ฟารันจึงพูดต่อด้วยซุ่มเสียงที่อ่อนโยนขึ้น
“ข้าสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำแบบวันนั้นอีก มาเถอะ”
อย่างละล้าละลังและไม่แน่ใจ นิ้วเรียวก็โผล่พ้นแขนเสื้อตัวยาวออกมาเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนออกไปแตะกับปลายนิ้วอีกฝ่าย ฟารันจูงมือเด็กหนุ่มให้เดินตามออกไปที่ระเบียงด้านนอก ซึ่งถูกข้างกั้นเอาไว้เพียงแผ่นกระจกบาง พวกเขาเดินพ้นออกจากสวนมาสู่ระเบียงโล่งกว้างด้านนอกที่มีเพียงม้านั่งตัวยาวเพียงตัวเดียวที่ตั้งอยู่ ดาวบนฟ้าดูถนัดชัดมากขึ้นเมื่ออยู่ด้านนอกพอๆกับลมที่พัดโชยมาปะทะคนตัวเล็กกระชับเสื้อคลุมให้มิดชิดมากขึ้นเมื่อพบว่าอากาศนั้นเย็นกว่าที่คิดไว้มาก
“ยามกลางวันก็จะร้อนมาก ส่วนยามกลางคืนก็เย็นเยือกเป็นเช่นนี้เสมอในสปันเทีย”
โรเรเนสยื่นหน้าออกไปมองนอกระเบียงแลเห็นแสงไฟอยู่เป็นบางจุดจากบ้านเมืองอันแสนศิวิไลด้านล่าง
“ช่างต่างกันอย่างน่าประหลาด”
“ใช่ต่างกันมาก”
ลมแรงพัดมาอีกระลอกจนเด็กหนุ่มต้องกอดตัวเองไว้เมื่อลมหนาวผ่านไปเขาถึงกับจามออกมาด้วยร่างกายไม่เคยชิน ตามปรกติเวลาแบบนี้เขาคงนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอนแล้วไม่เคยเลยซักครั้งที่จะออกมาตากลมอย่างที่เป็นอยู่ ฟารันเห็นเช่นนั้นก็มองอย่างเฉยเมยทว่าจู่ๆก็ดึงคนตัวเล็กเข้าไปกอดเสียอย่างนั้น แต่โรเรเนสยันกายให้ห่างตามสัญชาติญาณ แต่แล้วก็นิ่งไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแค่กอดตนเพื่อให้อุ่นเฉยๆมิได้ทำไปมากกว่านั้น
“สัญญาก็คือสัญญาราห์โอตรัสแล้วไม่คืนคำหรอก” กษัตริย์หนุ่มก้มลงไปยิ้มให้กับอีกคนที่สูงแค่คาง แม้นฝ่ายนั้นไม่ได้เงยมามองตอบแต่ก็เห็นแล้วว่าหน้าแดงๆดั่งลูกตำลึงนั้นกำลังบ่ายหนีแผงอกแน่นอย่างเอียงอาย
“เจ้าจะซุกหน้าลงไปกับไหล่ข้าเลยก็ได้นะจมูกจะได้อุ่นขึ้นด้วย”
“มะ ไม่”
“ตามใจ”
...........
.............
ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่านานเกินไปตาหวานจึงเหลือบมองคนตรงหน้าอย่างสงสัยแต่ก็เห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยที่มองออกไปยังเมืองเบื้องล่างเหมือนลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังกอดคนอื่ยอยู่ เขาจึงเอ่ยปากทักท้วงขึ้นมา
“เอิ่ม ข้าไม่เป็นไรแล้วท่านปล่อยข้าเถอะ”
“หืม ปล่อยทำไมล่ะ”
“ก็ข้าไม่หนาวแล้วไง”
“คิดว่าข้ากอดเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้าหนาวหรือไร”
“เช่นนั้นกอดข้าทำไมเล่า”
“อยากทำ”
“ฮื่ออออ” ร่างเล็กส่งเสียงครางหงุดหงิดในลำคอออกมาเหมือนเด็กถูกขัดใจ แล้วจึงตามด้วยการถอนหายใจแบบเซ็งๆ แต่องค์ราห์โอไม่ถือสากลับลอบยิ้มให้กับกิริยาเหล่านั้นแทนก่อนเปลี่ยนเรื่องเพื่อพูดต่อ
“ว่าแต่พูดถึงเรื่องที่เราสองเข้าใจผิดกันไปเอง สรุปว่าเจ้าไม่ได้เกลียดข้าแต่ที่หนีหน้าในตอนแรกเพราะเชินใช่ไหม”
“อ่า ข้าไม่ได้เกลียดท่านแต่ข้าไม่ได้เขินนะบอกแล้วว่ามันแปลกเฉยๆ”
“แล้วแต่จะเรียก ว่าแต่ได้รู้แบบนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง”
“ไม่รู้สิ....”
ตาเศร้าก้มหน้างุดด้วยอาการเย็นชาที่อีกฝ่ายกระทำใส่ตอนก่อนหน้ายังติดตรึง การจะบอกว่าตอนนี้สบายดีหายน้อยใจทันทีที่ได้คุยก็คงจะยังไม่ใช่ ร่างสูงลอบมองใบหน้าหงอยอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกมาด้วยเสียงที่อ่อนโยน
“ข้าขอโทษ”
คำพูดแผ่วเบาหลุดออกมาจากปากคนที่ไม่น่าจะยอมโอนอ่อนให้ใครทำให้ผู้ฟังถึงกลับเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจ เขาจึงต้องย้ำให้แน่ชัดอีกครั้งด้วยคำพูดเดิม
“ข้าขอโทษ ข้าไม่น่าทำกับเจ้าแบบนั้นเลยอันที่จริงข้าน่าจะคุยกับเจ้าให้รู้เรื่องมากกว่าจะหลีกหนีไปเช่นนั้น”
“อย่าพูดแบบนั้นเลย ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษมันเป็นเพราะข้าเองที่ทำให้ท่านเข้าใจผิด”
กษัตริย์หนุ่มสบตาอีกฝ่ายนิ่งอึดใจหนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับช้าๆ
“อืม..ถ้าเข้าใจกันแบบนี้ก็ ถือว่าเราดีกันแล้วใช่ไหม”
“ก็หากท่านไม่ทำตัวเย็นชาอีกมันก็คงไม่มีอะไร”
“แน่นอน”
“อ่อแต่ติดอยู่นิดนึง”
“อะไร?”
“ท่านยังไม่ยอมปล่อยข้า”
รอยยิ้มอันอ่อนโยนแปรไปเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางน่ารักแบบนั้น มันกลายเป็นรอยยิ้มที่เอ็นดูปนขี้แกล้งเหมือนจะหมั่นเขี้ยว แต่นั่นก็เป็นเพียงวูบหนึ่งเท่านั้นก่อนเจ้าของตาคมจะดึงสีหน้าให้กลับไปเรียบเฉยเหมือนแกล้งไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำท้วงของอีกฝ่าย
“อยู่แบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนิ”
“ก็มันแปลกๆ”
“แปลกอะไรผู้ชายกอดกันไม่เป็นไรหรอก ถ้าเจ้าเป็นผู้หญิงสิถึงจะดูไม่งาม”
“มันไม่ดีต่อสุขภาพหัวใจข้านะ ท่านกอดข้าแบบนี้ใจข้าเต้นแรงมากเลย”
“จะบอกว่าเดี๋ยวเจ้าจะหัวใจวายตายเพราะข้ากอดงั้นรึ ไม่จริงล่ะม้างข้าก็ยังเห็นเจ้าสบายดีอยู่”
“ม่ายหรอก” โรเรเนสพูดตอบด้วยเสียงอ่อยๆ
คนขี้โกง...........
“ว่าแต่น่าคิดเหมือนกันนะว่าข้าทำได้แค่ไหน”
“หา?” คราวนี้เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ
“ก็สุขภาพหัวใจเจ้ายังไม่พร้อมจะให้ข้าเค้นAngel syrupใช่ไหมเล่า แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าพร้อมแล้วล่ะ”
“อ่าม...เอ่อ..เดี๋ยวท่านหมอก็บอกท่านเองกระมัง”
“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธข้า เจ้ารับปากหรือไม่ว่าหากท่านหมอกล่าวว่าเจ้าหายดีแล้วเจ้าจะยอมข้าแต่โดยดี”
“.............”
“หรือหากเจ้าล้มลงไปอย่างครั้งนั้นอีก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะตายจริงๆหรือแสร้งทำเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสจากข้า”
คนตัวเล็กนิ่งคิดอยู่นิดนึงก่อนจะตอบออกไป
“ถ้าท่านไม่เชื่อใจข้าเช่นนี้ งั้น....ถ้าข้าพร้อมข้าจะเป็นคนบอกท่านเอง” แต่อีกฝ่ายที่ได้ฟังไม่สนใจในท้ายประโยคเขายังกอดเด็กหนุ่มไว้แล้วพูดต่อ
“เป็นคำตอบที่ดี แต่ยังไม่ดีที่สุด”
“หา?”
“ข้ายังไม่รู้นี่ว่าเจ้าจะพร้อมเมื่อใด สัปดาห์ เดือน ปี ข้าปล่อยให้คนแปลกหน้าอาศัยอยู่ในบ้านโดยไม่มีสถานะชัดเจนนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ ถ้าพิสูจน์ได้เร็วๆว่าเจ้าเป็นเทพจริงจะได้จัดการทุกอย่างให้เป็นเรื่องเป็นราว”
หากมองในมุมของฟารันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องนี้โรเรเนสเข้าใจได้ดีเพราะกษัตริย์ต้องฟังคำรอบข้างและตัดสินทุกอย่าง อย่างมีหลักฐาน เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นหากแม้นองค์ราห์โอยังซื่อสัตย์ไม่ได้การที่จะหวังให้คนอื่นทำบ้างก็คงจะยาก เช่นนั้นการที่เขาจะขอให้ฟารันเชื่อเขาโดยไม่ต้องพิสูจน์เรื่องAngel syrupก็คงเป็นไปไม่ได้ หากแต่ตัวเขาเองก็ไม่กล้าพอจะให้อีกฝ่ายสัมผัสตัวเช่นนั้น เขาเองก็ไม่กล้ารับปากจริงๆว่าถึงเวลาที่ท่านหมออนุญาตให้ทำได้เขาจะยอมอีกฝ่ายหรือไม่
“ถ้าแบบนั้นท่านจะให้ข้าทำอย่างไรล่ะ แต่ว่าถ้าจู่ๆจะมาทำแบบนั้นข้าก็ ก็ กลัวว่า...”
“ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าไม่ทำอะไรอุกอาจแบบคราวนั้นอีกแล้วแต่ว่าต้องมีการทดสอบเพื่อที่ข้าจะได้รู้ว่าเจ้าพร้อมไหม”
“ท่านจะทดสอบข้าอย่างไร?”
ผู้ที่ได้ฟังคำถามทำเป็นเคร่งขรึมครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะพูดอย่างเรียบๆ
“ก็อย่างเช่น.... ถ้าข้ากอดแบบนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” พูดจบเจ้าของอ้อมกอดก็กอดกระชับให้แน่นขึ้นอีก จนรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของคนตัวเล็กที่ค่อยๆสูบฉีดมากขึ้นจนใบหน้าเริ่มแดงหนักขึ้นกว่าเก่า
“ข้าไม่รู้ แต่ แต่มันร้อนๆ”
องค์ราห์โอลอบยิ้มก่อนจะก้มลงกระซิบเบาๆที่หูของอีกฝ่าย
“ข้าถึงถามในตอนแรกไงว่าข้าทำได้แค่ไหน ถ้าการกอดยังไม่ทำให้เจ้าหัวใจวายตายงั้นก็ถือว่าไม่เป็นไรใช่ไหม”
“.............”
“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะจะตายไหม”
ฟารันจุมพิตลงที่พวงแก้มของเด็กหนุ่มซึ่งอายจนต้องร้องประท้วงออกมาแล้วอิดออดขอให้ร่างสูงปล่อยตน
“ระ ราห์โอปล่อยข้าเถอะ”
หากแต่ไม่แม้นจะฟังคำท้วงเขาก้มลงไปประทับปากตนกับผิวแก้มแดงอีกครั้ง แม้ฝ่ายนั้นจะบ่ายหนีแต่ก็ไม่พ้นโดนหอมจนได้
“ราห์โอ”
“มีเหตุผลหน่อยสิ ถ้าข้าไม่ทดสอบจะรู้ได้ไงว่าหัวใจเจ้ารับได้แค่ไหน”
แต่ร่างเล็กไม่อาจทานรับความรู้สึกวาบหวามนี้ได้มากนัก เรี่ยวแรงเขาน้อยลงเรื่อยๆและลมหายใจก็เหมือนจะหลุดลอยหายไปเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของชายคนนี้ อันที่จริงอย่าว่าแต่กอดเลยแค่ให้เขามองหน้าฟารันเฉยๆก็จะละลายอยู่แล้ว เขาจึงมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเว้าวอนก่อนจะขอร้องออกไปด้วยเสียงที่เริ่มสั่นน้อยๆ
“ดะ ได้แค่นี้ล่ะ ได้โปรดเถิดหัวใจข้า มัน....”
แต่จู่ๆคำพูดก็กลืนหายไปเหลือเพียงตาหวานๆที่มองส่งไปอย่างอ้อนวอน ริมฝีปากบางเม้มลงอย่างประหม่า หากแต่ทั้งหมดนั้นน่ารักเกินกว่าจะทนไหว เช่นนั้นแค่ชั่วอึดใจของการประสานตาจึงตามมาด้วยการประกบกันของริมฝีปาก
ร่างสูงโน้มตัวลงไปจูบโดยไม่แม้นจะชั่งใจ เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยด้วยความกลัวและพยายามขัดขืน
“อื้อออ!”
เขาร้องตกใจหากแต่อีกฝ่ายก็กระทำลงไปอย่างอ่อนโยนเนิบช้าและแนบแน่น ความดูดดื่มซาบซ่านที่เริ่มก่อตัวสูบเอาพลังทั้งหมดให้หายไป ทีละน้อย ทีละน้อยจนความผวาค่อยๆคลายตัว ลิ้นสากสอดเข้าไปเก็บเกี่ยวรสหวานนุ่มจากอีกฝ่ายดั่งผึ้งดูดน้ำหวานที่ละน้อย ทีละน้อย อย่างนุ่มนวล
“อือ อืมมม”
เสียงประท้วงพลันเปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างคล้อยตามพร้อมกับลมหายใจขาดห้วง สองมือกำสาบเสื้อคนร่างสูงไว้แน่นแล้วเมื่อหัวใจดวงน้อยพลันหล่นหายแลหลงลืมไปกับการกระทำอันซ่านร้อนแต่หอมหวาน นิ้วเรียวยาวเหล่านั้นก็คลายออกก่อนจะเริ่มเคลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอคนที่สูงกว่าเอาไว้
จังหวะซ้ำๆถูกส่งจากผู้นำสู่ผู้ตามเหมือนพร่ำสอน จนเมื่อเครื่องโอฐหวานนิ่มของเด็กหนุ่มเรียนรู้ที่จะคล้อยตามอย่างถูกต้องกิจกรรมนี้ก็เป็นไปอย่างลื่นไหลเพลิดเพลินเช่นการเต้นรำ ทีละน้อย ทีละน้อย....
และยามที่ทุกอย่างถึงจุดที่เหมาะสมพลันระดับของความร้อนก็ทวีเป็นหนักหน่วงยิ่งขึ้นเช่นการไล่เสียงของตัวโน๊ต มันเริ่มไล่ขึ้นเป็นความเร่าร้อนปลุกปั่นจนระทวย แรงขึ้นและแรงขึ้น ทว่าก่อนจะถึงจุดที่เต็มอิ่มนั้น.....
ฉับพลันเจ้าของตาคมก็ถอนปากออกกะทันหันเหมือนกลั่นแกล้ง ปล่อยให้ริมฝีปากบางเผยอค้างอย่างปรารถนา สายตาเว้าวอนปนสงสัยถูกส่งออกมาจากดวงตาหวานเศร้านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยอารมณ์ที่คั่งค้างทำให้ชั่วแวบหนึ่งเขาหวังให้อีกฝ่ายการะทำต่อ หากแต่สติที่หลงเหลือฉุดให้เขาเข้าใจได้ว่ากำลังโดนทดสอบเทพหนุ่มเลยรู้สึกเขินอายต่อปฏิกิริยาของตนเป็นอันมาก เขาจึงออกอาการเหนียมและทำหน้าเหมือนโดนจับได้ว่ากระทำผิด ก่อนจะซุกหน้าลงกับบ่ากว้างของอีกฝ่ายคล้ายอยากจะหายไป ร่างสูงลอบมองกิริยานั้นอย่างเอ็นดูแล้วก็พูดกระเซ้าเล่นด้วยซุ่มเสียงอ่อนโยน
“สอนง่ายเหมือนกันนะเรา”
แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบอะไรได้แต่ซบหน้านิ่งเหมือนเด็กๆ องค์ราห์โอไม่จึงไม่เย้าต่อซ้ำยังปรารถนาให้อยู่อย่างนี้ไปนานๆ ท้ายแล้วทั้งสองจึงยืนกอดกันอย่างนิ่งเงียบท่ามกลางหมู่ดาวนับล้านที่พยายามสู้แสงจันทร์
------------------
หวานๆใสๆล่ะเอิ๊กๆ เตรียมใจก่อนจะเลือดพุ่ง
ขอให้สนุกนะคะ ขอบคุณที่มาอ่านกันค่ะ
ความคิดเห็น