ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Syrup [YAOI ทะเลทราย]

    ลำดับตอนที่ #5 : Syrup 4 100% อัพต่อจากที่หายไปนานมวก

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.พ. 58



    ณ แดนเทพ

    วิมาณโอ่งโถงสีขาวสว่างถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีแดงชาติ มันเคยงดงามและหรูหราทว่าสภาพในตอนนี้กลับเละเทะจนเหมือนเพิ่งผ่านสงครามมาก็ไม่ปาน เหล่านางอัปสรข้ารับใช้หลายสิบตนกุลีกุจอเก็บกวาดเครื่องเรือนที่หักกระจายอย่างแข็งขัน พวกนางมิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อยด้วยเพราะการได้ทำงานป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้บุรุษรูปงามนั้นพาให้ใจเบิกบาน
     

     

    อามินอสเทพบุตรเกศทองสว่างที่ยามนี้นั่งทอดหุ่ยเปลือยท่อนบนอย่างสบายใจอยู่หน้าประตูบานหนึ่งในบ้าน เขายักคิ้วหลิ่วตาให้เหล่านางอัปสรเป็นระยะตามวิสัยหนุ่มจ้าวสำราญ แต่ก็ยังไม่ลืมจะใส่ใจบทสนทนากับอีกคนที่อยู่ในห้องหลังบานประตู
     

    “เฟรทริส ออกมาเถอะ”

    ไปให้พ้น!

    “อย่างน้อยก็ออกมากินอะไรหน่อยน่า เจ้าอยู่ในนั้นมานานเกินไปแล้วนะ”

    ข้าเป็นเทพข้าอิ่มทิพย์! ฮึก

    “ไม่ต้องร้องหรอกน่า โรเรเนสไม่เป็นอะไรหรอกเชื่อข้าสิ”

    ข้าไม่ได้ร้อง!

    “แต่เสียงเจ้าอู้อี้มากเลยนะ”

    ข้าเป็นหวัด!

    “เทพไม่เป็นหวัดนะเฟรทริส”

    เงียบไปเลยไอ้นกบ้า!

    “หึๆๆๆ นี่เด็กดื้อ ถ้าเจ้าไม่ยอมเปิดข้าจะพังเข้าไปเองนะ”

    “นกโง่ เจ้าเข้ามาไม่ได้หรอกข้าลงอาคมไว้”

    กริ๊ก! อามินอสบิดลูกบิดประตูแล้วเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย เฟสทริสที่นั่งอยู่บนเตียงถลึงตาแทบเหลือกกับสิ่งที่เขาไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้

    “จะ เจ้า เข้ามาได้ยังไงข้าลงอาคมไว้แล้วนะ”

    “อืมใช่เจ้าลงอาคมไว้....แต่ว่าลืมลงกลอนประตูน่ะ”

    เทพนักรบคำรามกร้าวอย่างเจ็บใจกับความซื่อบื้อของตัวเองก่อนจะจมหน้าลงกับหมอนอย่างเด็กงอแง อีกฝ่ายเดินมานั่งลงข้างเตียงอย่างเย็นใจเขาไม่ได้ใส่ใจอารมณ์ฉุนเฉียวตรงหน้าเลยซักนิด

    “นี่ เฟรทริส”

    “งื่อออ”

    “ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆสิ”

    ไม่!ออกไปซะ ฮื่อ”

    “นี่ถึงเจ้าจะนอนงอแงอยู่แบบนี้หรือว่าจะพังบ้านอีกซักกี่รอบมันก็ไม่ช่วยให้โรเรเนสกลับมาได้หรอกนะ”

    ทว่าเฟรทริสกลับเงยหน้าขึ้นมาตะโกนใส่พร้อมตาแดงๆที่เพิ่งแห้งน้ำไปหมาดๆ

    แล้วเจ้าช่วยอะไรได้มั่งเล่า! ทำอะไรไม่ได้ก็ไปให้พ้นเลย เจ้าไม่เข้าใจข้าหรอก เมียก็ทิ้งแถมน้องรักก็ยังต้องลงไปเป็นคนอีก ตอนนี้ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว!

    “อะไรกัน เจ้ายังมีข้านะ”

    ม่นับโว๊ยยยยยยย!” เฟรทริสค้อนให้แล้วกัดฟันกรอดก่อนจะพูดความในใจออกมาอย่างกึ่งตัดพ้อ


    “ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นโรเรเนส ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมหาเทพต้องห้ามไม่ให้ข้าพาเขากลับมา ก็แค่ฆ่าเขาซะ!พอตายก็ได้กลับมาเป็นเทพแท้ๆ นี่มันเป็นแค่เรื่องผิดพลาดข้าแค่จะทำให้มันถูกต้อง แล้ว แล้ว ไอ้เทวรูปบ้าบอนั่นอีก มันกลายร่างเป็นโรเรเนสแล้วแท้ๆแต่ทำไม ทำไมจู่ๆมันถึงมีเทวรูปโผล่ขึ้นมาได้ ข้าไม่เข้าใจและข้าก็ไม่ชอบเลยด้วย”

    พูดจบเขาก็คอตกเป็นหมาหงอย  ใบหน้าของบุรุษเทพนักรบผู้ห้าวหาญยามนี้กลับเหมือนแค่เด็กไร้เดียงสาผู้ถูกขัดใจในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ อันที่จริงเฟรทริสก็เป็นคนซื่อๆตรงๆอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเทพชั้นสูงแต่ด้วยนิสัยแบบนี้ทำให้มีหลายอย่างหลุดรอดสายตาเขาไปได้ตลอด อามินอสมองวงหน้านั้นแล้วถอนหายใจก่อนแววตาเอ็นดูก็ปรากฎขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

    “เฟรทริส ที่เหล่ามหาเทพไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้เพราะทุกอย่างมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เทพเจ้าก็มีโชคชะตาที่ถูกขีดไว้เหมือนนุษย์นั่นแหละ การที่น้องเลี้ยงเจ้าต้องลงไปเป็นมนุษย์ข้าเชื่อว่ามันก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดอยู่ดีไม่ว่าจะอย่างไร”

    “ม่ายจริงอ่ะ เจ้าจะบอกว่าข้อผิดพลาดทุกอย่างเป็นเรื่องตั้งใจงั้นหรอ เช่นนั้นถามหน่อยถ้าเทพกำหนดชีวิตมนุษย์แล้วใครกำหนดชีวิตเทพ”

    “ผู้ที่ทำหน้าที่นั้นไม่มีหรอก หากแต่กระดานพยากรณ์ก็เขียนเอาไว้ว่าชีวิตเทพแต่ละคนจะต้องเป็นอย่างไร”

    “แล้วใครเขียนกระดานพยากรณ์”

    “เท่าที่ข้าเคยเห็นก็ไม่มี อาจารย์เคยพูดว่าทุกอย่างถูกเขียนขึ้นโดยการกระทำของเหล่าเทพ มันเป็นเหตุเป็นผลกันอยู่”

    “แล้วโรเรเนสทำอะไรผิดล่ะถึงต้องลงไปเป็นมนุษย์น่ะฮึ”

     

    “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความโง่เขลาเบาปัญญาของพวกมนุษย์ที่เชื่อคำภีร์ที่ถูกดัดแปลงอย่างไม่มีเงื่อนไข คืออย่างนี้คำภีร์ที่เหล่านักบวชใช้กันอยู่น่ะเป็นข้อความที่ถูกบอกต่อกันมาตั้งแต่มนุษย์ยังไม่มีตัวหนังสือทั้งเรื่องหลักคำสอนและศาสนพิธี รวมทั้งเมื่อเวลาผ่านไปก็ถูกสังคยานาและเติมแต่งขึ้นอีก จึงทำให้พระคำภีร์ทางศาสนาที่ถูกใช้อยู่ในปัจจุบันที่ความผิดเพี้ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะเรื่องการอันเชิญเทพที่ไม่มีใครทำมานานแล้วข้อมูลหลายอย่างขาดหายไป

    แต่เดิมนั้นเทวีอนามอเฟียเป็นเทวีแห่งศิลปะ แต่ด้วยความงามของนางจึงทำให้มนุษย์ยกย่องนางว่าเป็นเทพแห่งความงามแทนและเปรียบนางว่างามดั่งดอกไม้ จนท้ายแล้วก็ถูกเข้าใจว่านางเป็นเทพแห่งดอกไม้ทั้งปวงไปเสีย

    ส่วนโรเรเนสนั้นก็เป็นเทพแห่งพันธุ์พืชซึ่งหมายถึงพืชทุกชนิดรวมถึงดอกไม้ด้วย แต่ด้วยความที่เหล่าชาวไร่ชาวนาสวดขอพรจากโรเรเนสบ่อยๆจึงกลายเป็นว่าเขากลายเป็นเทพสำหรับผลผลิตทางการเกษตรเสียอย่างนั้น

    ครั้นเมื่อยามที่เหล่านักบวชสวดเรียกเทวีอนามอเฟียพวกเขาก็เอ่ยว่า ขออันเชิญองค์เทพผู้งดงามผู้ทรงเป็นเทพแห่งมวลไม้งามทั้งมวล ซึ่งพวกเขาเข้าใจว่ากำลังเรียกเทวีอนามอเฟียอยู่แต่อันที่จริงพวกเขากำลังเรียกโรเรเนสอยู่ต่างหาก เข้าใจรึยัง”

     

    เฟรทริสนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทวนสรุปสิ่งที่เข้าใจ

    “นี่ นี่เจ้าหมายความว่า จริงๆแล้วพวกนักบวชสวดเรียกโรเรเนสแทนที่จะเรียกอนามอเฟียโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวงั้นรึ”

    “ประมาณนั้น”

    “แต่เดี๋ยวสิเช่นนี้ทำไมไม่มีใครรู้เรื่อง ข้าก็ไม่รู้ โรเรเนสก็ไม่รู้”

    “อ่ามมม....อันที่จริงเขารู้กันทั้งสวรรค์แล้วนะว่าทำไมน้องเจ้าถึงลงไปเป็นคนได้ แต่ที่โรเรเนสไม่รู้คงเพราะตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจพิธีกรรมนั่นเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนเจ้า....มันก็ปกติอยู่แล้วนี่ที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับชาวบ้านเขาเลย”

    บังอาจ!” เฟรทริสขว้างหมอนที่อยู่ใกล้มือใส่หน้าหล่อที่ยิ้มเย้ยตนอยู่

    “มาทำเป็นพูดดี ถ้ารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทำไมไม่หยุดพิธีไว้เล่า”

    “ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก”

    “ข้ออ้าง เนี่ยมันเป็นความผิดเจ้าแท้ๆ”

    “อ่าว อะไรกันเมียหนีก็โทษข้าน้องหายก็โทษข้า”

    ใช่!ความผิดเจ้า! ข้าจะโทษเจ้าในทุกๆอย่าง ต่อให้เป็นเรื่องแค่หอยทากลื่นล้มข้าก็ถือว่าเป็นความผิดเจ้า!

    “เอาแต่ใจเสียจริงแม่หนูน้อย” 

    เรียกข้าว่าอะไรนะไอ้นกบ้า!

    เฟรทริสได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนด้วยคำที่เขาเกลียดที่สุดก็โกรธจัดเลือดขึ้นหน้า จึงกระโจนเข้าหาหมายจะต่อยซักเปรี้ยงแต่ก็มิทัน เพราะอามินอสได้กางปีกสีเงินส่องสว่างออกแล้วพุ่งหนีขึ้นไปด้านบน ทำให้เทพเกศแดงคว้าได้แค่อากาศเท่านั้น


    ไอ้คนขี้โกง!

    เฟรทริสตะโกนด่าโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าปีกของอามินอสนั้นถือเป็นจุดอ่อนของเฟรทริส เฟรทริสชอบปีกคู่นี้มาก(แต่เกลียดเจ้าของที่สุดฮึ!) เมื่อพบครั้งแรกจึงอยากได้มาเป็นพาหนะมาก แต่เมื่อนานวันไปก็ยิ่งชอบปีกคู่นี้มากขึ้น มากจนทนมองไม่ได้ เพราะเห็นทีไรก็อ่อนระทวยทุกที(แต่ยืนยันอีกทีว่าเกลียดเจ้าของปีกจริงๆนะฮึ!) จนท้ายแล้วต้องขอให้มหาเทวีอาราอัสประทานสร้อยวิเศษที่ช่วยบรรเทาอาการมาไว้สวมใส่

    ทว่าสร้อยวิเศษนั้นตอนนี้ไม่อยู่แล้ว มันหายไปพร้อมกับเมียทั้ง8ของเขา ง่ายๆก็คือเมียหนียังไม่พอยังขโมยของไปอีกด้วย...โถ เมียรัก

    เช่นนี้เฟรทริสจึงไม่อาจทนมองอามินอสตรงๆยามกางปีกได้เลย อีกทั้งทำให้เขาไม่ยอมโดยสารพาหนะตัวเองไปไหนมาไหนอีกด้วย
    อามินอสรู้ถึงข้อนี้ดี และเขาก็พึงใจมากที่เฟรทริสกลายเป็นแบบนี้เพราะมันทำให้เขาจะทำอะไรก็ได้กับอีกฝ่ายโดยที่อีกฝ่ายขัดขืนมิได้ แต่อามินอสก็ยังไม่เคยทำอะไรลงไปเลย


    เทพบุตรปีกเงินค่อยๆลงมานั่งบนขอบเตียงพร้อมด้วยยิ้มแบบคนขี้แกล้งของเขา เฟรทริสสำผัสได้ถึงแสงสว่างทางด้านหลังจึงไม่ยอมหันไปยามนี้เขาเสียเปรียบเป็นที่สุด

    “ดี เป็นแบบนี้เจ้าจะได้นิ่งๆเสียหน่อย จะยอมคุยกันดีๆไหม”

    “......”

    “เฟรทริส”

    “ข้าจะทำตัวดีๆถ้าเจ้าหุบปีกลงไป” 
    เขาตอบกลับไปด้วยเสียอ่อยๆงอนๆ เหมือนเด็กดื้ออ้อนขอขนม อามินอสรู้สึกว่านี่มันน่ารักจนทนไม่ไหวอยากจะรังแกเสียตอนนี้


    “มิได้หรอก เจ้ายังอยู่ในช่วงอารมณ์แปรปรวนถึงข้าหุบปีกลงไปเจ้าก็ไม่ยอมสงบหรอก”

    “ถ้างั้นก็หันหลังคุย”

    “หัดเอาชนะใจตัวเองบ้างเถอะ กับอีกแค่มองปีกข้าตรงๆยังทำไม่ได้แล้วเจ้าจะไปช่วยโรเรเนสได้อย่างไร” 

    ได้ยินเช่นนั้นก็ฉุกใจคิด เขาจึงค่อยๆหันมามองทางด้านหลังอย่างช้าๆ

     แต่เพียงแค่ได้เห็นปีกคู่นั้นเต็มตาหัวใจก็เต้นระส่ำอย่างยากจะเข้าใจ แถมใบหน้าก็แดงซ่านซักพักก็เริ่มอ่อนระทวยเหมือนจะไม่มีแรง เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงหลุบตาลงต่ำไม่ยอมทนดูปีกนั้นอย่างตรงๆ แล้วสงเสียร้องอิดออดอยู่ซักพักก่อนจะเอ่ยปากพูดไปด้วยเสียงเบาๆ

    “ข้าหันมาแล้วนะ ทีนี้บอกได้ไหมว่าข้าจะช่วยน้องข้ายังไง” เขาพูดด้วยเสียงกระเง้ากระงอน ดวงตากลมโตดูหงอยลงไปริมฝีปากเชิดเป็นเป็ดแสดงชัดเจนถึงความอึดอัดใจ

    “เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ทำได้เพียงแต่ให้พรแก่เขาไม่ให้ต้องเจอความเดือนร้อนมากเกินไปเท่านั้น”  

    “ไม่เห็นจำเป็นเลย เดี๋ยวพิสูจน์ได้ว่ามีangel syrup เขาก็ได้อยู่สบายๆในวังแล้ว แต่ข้าไม่ได้ต้องการให้เขาอยู่สบายข้าต้องการเขาคืน”

    “ข้าไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นแบบนั้นน่ะสิ”

    “ทำไมเล่า?”

    “เพราะไอ้ขุนนางที่ชื่อโยเฮนนั่นแหละตัวดี มันเป็นขุนนางทุจริตที่ต้องการปกปิดเรื่องของตนไว้ พอมันรู้ว่ามีเทพลงมาก็กลัวว่าเทพจะบอกเรื่องความประพฤติมันให้ฟารันรู้ มันเลยพยายามทำให้ฟารันเชื่อว่าโรเรเนสไม่ใช่เทพยังไงล่ะ อย่างไอ้เจ้าเทวรูปนั่นก็เป็นของปลอม ของจริงกลายร่างเป็นโรเรเนสไปแล้วเจ้าก็เห็น แต่เจ้านี่กลับสร้างของปลอมขึ้นมาเพื่อตบตาทุกคน ข้าถึงบอกว่าโรเรเนสจะต้องลำบากอย่างไรล่ะเจ้านี่มันทำได้ทุกอย่างให้น้องเจ้ากลายเป็นคนโกหก”

    “เลวจริง เราทำอะไรไม่ได้เลยหรอ”

    “ก็อย่างที่ข้าบอก ทำได้แค่ให้พรกับสร้างปาฏิหารเล็กๆน้อยๆให้เจ้ากษัตริย์หน้าหล่อมันฉุกใจคิดขึ้นมาบ้างว่าโรเรเนสน่าจะเป็นเทพ แต่จะทำมากกว่านี้ไม่ได้นะไม่เช่นนั้นพวกมหาเทพต้องห้ามเราอีกแน่”

    เฟรทริสที่ยังไม่ยอมเงยหน้าเลยตั้งแต่หันมา เขาเม้มปากแน่นแล้วทำแก้มบ่องอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะค่อยๆสงบจิตใจลงแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด หากเป็นยามปรกติเขาก็คงอาละวาดบ้านแตกไปแล้ว แต่ตอนนี้อามินอสยังกางปีกอยู่ความรู้สึกของเขาจึงถูกคุมเอาไว้

    “แต่ว่านะ angel syrup มันเป็นสีใสๆจริงหรอ”  คราวนี้เป็นฝ่ายอามินอสที่ต้องถลึงตามอง  อีกคนที่ก้มหน้าก้มตาพูดก็เริ่มรู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆที่มองตน

    “ถึงข้าไม่เห็นแต่ก็รู้นะว่าเจ้ามองอยู่ มองข้าแบบนั้นทำไมล่ะ”

    “นี่เจ้าเคยมีเมีย8คนจริงหรือเนี่ย”

    “ก็ ก็ เวลาทำเรื่องแบบนั้นข้าไม่จำเป็นต้องมานั่งดูของตัวเองนี่นา”

    “ไม่เคยเสร็จข้างนอกหรอ หรือว่าช่วยตัวเองอะไรแบบนี้”

    ไอ้คนลามก! งื่อ ข้าไม่ได้ต่ำแบบเจ้านะ!

    “โฮ่ นี่ขนาดข้ากางปีกอยู่ยังพยศได้ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย เจ้านี่ฤทธิ์เยอะเสียจริง”

    “หุบปีกเสียสิเจ้าจะได้รู้ว่าฤทธิ์ข้ามีแค่ไหน”
    อามินอสหลิ่วตามองแล้วก็นึกเรื่องสนุกๆขึ้นมาได้ จึงยอมเสกให้ปีกตนหายไป


    เสร็จข้าล่ะไอ้นกชั่ว!

    ฉับพลัน ไวดั่งใจคิดเฟรทริสกระโจนเข้าบีบคออีกฝ่ายทันที แต่แทนที่อีกฝ่ายจะพยายามปัดป้องกลับยกสองแขนโอบรอบเอวคนตัวเล็กกว่าเอาไว้แล้วสะบัดปีกออกกางก่อนจะห่อร่างคนในอ้อมแขนตนไว้อีกชั้นหนึ่ง เท่านี้เทพจอมพยศก็ตกอยู่ในอ้อมแขน(อ้อมปีก?) ของเขาเรียบร้อยแล้ว

    “อะ อะ อะไรกันเนี่ย ปะปล่อยข้านะ คนบ้า”
    เฟรทริสใช้สองมือดันอกอีกฝ่ายให้ออกห่างและดิ้นขลุกขลักเพื่อประท้วงอยู่ซักพักก่อนจะสิ้นฤทธิ์ด้วยแพ้แก่ปีกเงิน อามินอสหัวเราะเบาๆพร้อมรอยยิ้มกวนประสาท


    “เจ้าต้องโดนลงโทษที่ทำลายข้าวของนะ ข้าจะให้เจ้าอยู่แบบนี้จนเจ้าจะยอมกอดข้าตอบ”

    “อี๋ โรคจิต”

    “เขาเรียกว่าละลายพฤติกรรม เราควรจะสนิทกันไว้นะเพราะเชื่อข้าเถอะอีกหน่อยเจ้าต้องมีเรื่องพึ่งข้าอีกเยอะ” 

    เขาพูดพลางขยับแขนตนให้กอดกระชับเข้าไปอีก ร่างในอ้อมกอดก็อึดอัดขัดเขินจนไม่รู้จะไปมองตรงไหน พอเงยหน้าก็เจอปีกงามสว่างชวนหลงไหลจนรู้สึกแปลกๆ จะมองหน้าก็เจอหน้าหล่อสุดกวนที่เห็นแล้วอยากจะต่อยซักเปรี้ยง พอก้มหน้าก็เห็นร่างกายกำยำสมส่วนน่าอิจฉา เขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่หลับตาปี๋

    นั่งไปได้ซักพักเขาก็เมื่อยจึงเริ่มขยับตัวอยู่หลายรอบ แต่ไม่ว่าเมื่อยแค่ไหนก็พยายามฝืนตัวไม่ให้เอาตัวเองไปอิงกับอีกฝ่าย เขานั่งแข็งทื่อเป็นรูปปั้นอยู่แบบนั้นนานเท่าที่จะนานได้

    ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปได้ซักพักใหญ่ๆหลังจากนิ่งหลับตามาได้นานพอสมควร เฟรทริสก็ก้มลงซบอกอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย  ดูท่าเขาจะเปลี่ยนใจเสียแล้ว

    “โอ้ นี่เจ้ายอมแล้วรึ”

    ทว่าเสียงตอบกลับไม่ใช่เสียงพูดแต่เป็นเสียงกรนเบาๆให้ได้ยิน  เทพนนักรบผู้นั่งหลับตาไปๆมาๆก็หลับไปเสียจริงๆ เจ้าของปีกเงินเห็นเช่นนั้นหัวเราะน้อยๆอย่างเอ็นดู แล้วจึงบรรจงประคองร่างนั้นให้นอนลงบนที่นอนพร้อมทั้งห่มผ้าให้เรียบร้อย

    เขาก้มมองวงหน้าซื่อบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆนั้นครู่หนึ่งแล้วเริ่มเรียกอีกฝ่าย

    “เฟรทริส”

    “........”

    “แม่หนูน้อย”

    “........”

    เมื่อทดสอบแล้วว่าหลับจริงเขาจึงยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงราวกระซิบ

    “ข้าขอโทษนะที่ข้าทำให้เมียเจ้าหนีไปแล้วยังเรื่องที่ข้าไม่ยอมหยุดพิธีอันเชิญเทพอีก แต่ทั้งหมดที่ข้าทำก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ ไม่โกรธใช่ไหม”

    “...........”

    “ไม่ตอบแปลว่าไม่โกรธนะ”

    “...........”

    “งั้นเพื่อยืนยันว่าเจ้าไม่โกรธ ข้าขอจูบเจ้านะ”

    “.........”

    “ไม่ตอบก็แปลว่าไม่ปฏิเสธนะ”

    เขาอมยิ้มมองอย่างอ่อนโยนก่อนจะฉวยโอกาสก้มลงจุมพิตที่กลีบริมฝีปากแดงอย่างแผ่วเบา

    เบาเหมือนขนนกสีเงิน

    แล้วก็เดินจากไป
     

    -----



     

    หากจะกล่าวว่าสปันเทียเป็นดินแดนทะเลทรายก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะอย่างที่รู้กันโดยสามัญสำนึกว่าผืนทะเลทรายนั้นไม่มีแม่น้ำผ่านเป็นแน่ ทว่าอาณาจักรแห่งนี้กลับมีแม่น้ำสายใหญ่ถึงสองสายขนาบประเทศเอาไว้ นั่นคือแม่น้ำยูไรและแม่น้ำไทลา สองเส้นเลือดใหญ่ที่สร้างความรุ่งเรืองให้แก่อารายธรรมบริเวณนี้


    ทิศเหนือจรดผืนทะเลซึ่งเป็นช่องแคบนามว่าฟอรุม ล่องเรือข้ามไปเพียง 1 สัปดาห์ก็จะถึงโอเรนเดล  อาณาจักรบนเทือกเขาเขียวขจีที่ซึ่งผู้คนมีผิวขาวและภูมิประเทศมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาว


    ทิศใต้ติดกับฟาซีดารี อาณาจักรทางใต้ที่มีภูมิประเทศไม่ต่างจากสปันเทียนัก และมักเป็นคู่แข่งกับสปันเทียมาตลอด


    ทิศตะวันออกติดกับซีบีเรียน เมืองแห่งหุบเหวและขุนเขาที่ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ทองทำและหินอัญมณี อีกทั้งยังเป็นอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดบนทวีปนี้ ทั้งเรื่องเล่าเก่าแก่ เวทย์มนต์และจุดเริ่มของศาสนาเกิดขึ้นที่นี่ ว่ากันว่าซีบีเรียนมีเทวรูปองค์ปฐมของเทพนับร้อยองค์แต่ก็ยังไม่เคยมีใครพิสูจน์ในเรื่องนั้น


    ทิศตะวันตกติดกับทะเลทรายเว้งว้างนามว่าเธโลส ที่ก็ยังไม่มีใครทราบได้ว่าสุดขอบทะเลทรายเป็นที่แบบไหน


                      บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำยูไรและไทลานั้นเป็นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกดี ทว่าลึกเข้ามาใจกลางเมืองนั้นจะเริ่มแห้งแล้งลงเรื่อยๆจนถึงตัวเมืองเอนนัค เมืองหลวงแห่งสปันเทียที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือพื้นราบปกติถึงสองร้อยเมตร นับเป็นชัยภูมิที่ดียามเมื่อเกิดสงคราม แต่จะเป็นปัญหาตรงที่ว่า ตัวที่ราบสูงนี้ดินเป็นหิน ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ผู้คนอยู่ได้โดยการค้าขาย


    จนกระทั่งถึงรัชสมัยขององค์ซูเมอร์ราห์โอ องค์ราห์โอองค์ที่856 ก็ได้ริเริ่มการผันน้ำเข้าสู่ตัวเมือง  ขุดคลองและคูน้ำมากมายในเมืองหลวงอีกทั้งยังขุดแม่น้ำล้อมรอบเมืองหลวงไว้อีกชั้นหนึ่ง เช่นนี้เมืองเอนนัคจึงเต็มไปด้วย โรงอาบน้ำ น้ำพุ ธารน้ำไหลมากมายมีทั้งให้ใช้บริโภคและตกแต่งเมือง


                        โดยเฉพาะพระราชวังหลวงที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุดใจกลางเมืองเอนนัค ที่ร่มรื่นเย็นสบายผิดกับสภาพภูมิอากาศปรกติของประเทศด้วยตัวอาคารถูกสร้างด้วยอิฐดินเนื้อหนาที่ป้องกันความร้อนและกักเก็บความเย็น อีกทั้งระบบน้ำที่สร้างขึ้นเป็นสายลำธารภายในและเหล่าแมกไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกตกแต่งไว้ทำให้ พระราชวังแห่งนี้เย็นสบายอย่างน่าประหลาดใจ

    ลมร้อนพัดโบกปะทะหน้างามให้เส้นผมปลิวไปกับลม เขายกมือขึ้นเพื่อปัดปอยผมบางส่วนที่บังหน้าไว้ก่อนจะสูดหายใจอย่างสดชื่นให้กับเช้าที่สดใส นี่เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่โรเรเนสได้ลงมาเป็นมนุษย์ เขาได้รับการปรนิบัตรอย่างดีจากข้ารับใช้ในวังด้วยองค์ราห์โอให้เขาอาศัยอยู่ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ทำให้คนรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องราวเข้าใจว่าเขาเป็นเพียงพระสหายต่างชาติที่มาพักรักษาตัวอยู่ที่สปันเทียเท่านั้น ถึงแม้จะผิดวิสัยไปเสียหน่อยที่องค์ราห์โอกำชับให้ดูแลแขกคนสำคัญคนนี้ให้ดี แต่ตัวเองกลับไม่ได้เจอหน้าแขกคนนี้เลย

     ใช่ หนึ่งเดือนมาแล้วที่โรเรเนสไม่ได้คุยกับฟารันเลย อันที่จริงเรียกว่าไม่ได้พูดคุยแบบจริงจังกันเสียมากกว่า

     
    ที่เป็นเช่นนี้มิใช่เป็นฝ่ายฟารันที่ไม่ใส่ใจ แต่เป็นฝ่ายนี้ต่างหากที่ไม่ยอมเจอ  พอถูกเรียกพบก็ให้หมอบอกว่าไม่สบาย พอฝ่ายนั้นมาหาก็หนีไปซ่อนห้องอื่นไม่ก็แกล้งหลับหรือกระทั่งจงใจ
    แอบ เวลาฟารันเดินผ่านมา ที่ทำแบบนี้ก็ด้วยตัวเขานั้นรู้สึกว่าไม่พร้อมจะเจอหน้าอีกฝ่ายเพราะภาพความทรงจำและความรู้สึกถึงสัมผัสทุกอย่างที่คนผู้นั้นได้ทำยังคงตกผลึกทิ้งร่องรอยไว้ในใจและตามส่วนต่างๆของร่างกายของเขาอย่างมิอาจลบเลือน เพียงแค่นึกถึงฟารันขึ้นมาเท่านั้นร่างกายและผิวหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวอย่างน่าอึดอัดใจ หากได้เจอหน้ากันตรงๆเขาคงไม่อาจทนมองสายตาคมปราบนั้นได้แน่ เขาจึงพยายามหนีหน้าอย่างไม่ปิดบังและสามารถเรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทสำหรับเจ้าของบ้านเป็นอย่างมาก แต่เทพหนุ่มก็จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องหัวใจของเขาเอง


    ฝ่ายกษัตริย์หนุ่มก็รู้ตัวว่าถูกหนีหน้าอย่างรุนแรงจึงมีเพียงสองสัปดาห์แรกเท่านั้นที่เขาพยายามจะเจอตัวอาคันตุกะหน้าหวานผู้นี้ หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากเจอเขาก็ไม่พยายามอีกเลยเว้นเสียแต่บางครั้งที่ทั้งสองได้เจอหน้ากันโดยบังเอิญตามทางเดินในตอนที่คนตัวเล็กหนีเขาไม่ทัน แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะราห์โอหนุ่มก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอันใดต่ออีกฝ่ายเลยเพียงแค่ทักทายตามมารยาทด้วยใบหน้าเย็นชาเรียบเฉยแล้วจากไปอย่างเร่งรีบเหมือนมีธุระตลอดเวลา


     นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับกรณีที่ต้องพบหน้ากันตรงๆโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเกิดขึ้นน้อยมากเพราะส่วนใหญ่จะเป็นกรณีที่หลีกเลี่ยงได้ หลายครั้งถ้าทั้งสองอยู่ในบริเวณใกล้กันจะไม่มีการเดินเข้ามาทักทายกันแต่อย่างใดและทุกครั้งที่บังเอิญหันไปเจอกันฟารันก็จะมองเลยผ่านไปเหมือนไม่เห็นอะไร อันที่จริงสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลังเหมือนกลับตาลปัตรกลายเป็นฝ่ายฟารันแทนที่หนีหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่วิธีการนั้นต่างกันฟารันไม่ได้วิ่งหนีหรือแกล้งหลับ เขาใช้ชีวิตอย่างปรกติเพียงแค่ทำเหมือนโรเรเนสไม่ได้อยู่ร่วมวังกับเขาเท่านั้นเอง


    ทว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจเทพหนุ่มเป็นอย่างมากการที่รับรู้ว่าตัวเองไร้ตัวตนสำหรับอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกอึดอัดอัดอั้นอย่างยากจะอธิบาย ไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะฟารันโกรธที่ตนหนีหน้าในช่วงแรกหรือเพราะอะไร พอเขาถามไถ่เรื่องนี้กับหมอหลวงและลากลอซก็ถูกบอกว่าอย่าใส่ใจ จนเมื่อเบื่อหน่ายที่จะเซ้าซี้เขาก็ไม่ถามความเรื่องฟารันกับใครอีกได้แต่เก็บความทุกข์ใจไว้เงียบๆ และปล่อยให้หัวใจจมอยู่กับความสับสน สับสนอย่างที่สุดด้วยใจหนึ่งก็ไม่อยากเจอหน้าเพราะกลัวความรู้สึกแปลกๆของตัวเองแต่อีกใจก็เจ็บปวดเหลือเกินกับท่าทีเย็นชาเช่นนั้น

    ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทั้งจิตใจของเขาเองและจิตใจของราห์โอหนุ่ม....นี่สินะ การเป็นมนุษย์ ช่างสับสนวุ่นวายและเจ็บปวดนัก

     

     “ท่านโรเรเนสคะ โปรดอย่างออกไปนอกระเบียงตอนนี้สิคะ ท่านหมอกำกับไว้ว่ามิให้ท่านถูกแดด” ผิวหน้าขาวเนียนสะท้อนแสงตะวันดูผ่องเสียให้แสบตาหันมาอย่างเบื่อหน่าย

    “โธ่ ชาช่าก็วันนี้มันอากาศดีนี่นา”

    “ท่านอยากจะไปที่สวนไหมล่ะคะ เดี๋ยวอิฉันจะให้เจ้าชามันไปเป็นเพื่อน”

    “อย่าเลย น้องชายเจ้ามีงานต้องทำรวมทั้งเจ้าด้วย ไปทำสิ่งที่ต้องทำเสียเถิด อาการข้าดีขึ้นมากแล้วข้าไปที่สวนคนเดียวได้”  สาวใช้ผิวแทนผมดำขลับลังเลเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไป เจ้าของห้องชั่วคราวมองนางเดินหายไปจนลับตาจึงหันกลับไปเท้าสองมือลงกับรั้วระเบียงอีกครั้ง


    คนที่จะพอเป็นเพื่อนกันเขาได้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกข้ารับใช้ที่เขาได้พบเจอ คนเหล่านั้นชอบเขาเป็นอย่างมากด้วยชื่นชมในหน้าตาก็หนึ่งเหตุและด้วยเวทนาเห็นเป็นคนความจำเสื่อมก็ด้วยอีกหนึ่งเหตุ ทำให้คนรอบข้างใจดีกับเขาเป็นพิเศษเขาก็ตอบแทนกลับไปด้วยมิตรไมตรี  แต่ฉไนเจ้าบ้านกลับเย็นชาใส่เขาได้เช่นนั้นนะ


    หน้าสวยเม้มปากบางลงก่อนจะหันหลังเดินผละจากระเบียงมา เขาเดินเรื่อยออกจากห้องนอนตนอย่างเงียบๆ ช่วงเช้าเป็นเวลาของการทำงาน ทุกคนในวังตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุดต้องทำงานของตนเอง เว้นแต่แขกอย่างเขาที่ว่างไม่มีอะไรทำ ยามนี้จึงเป็นการดี ที่เขาจะเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปโดยไม่ต้องมีใครมาวุ่นวาย


    ตามโถงทางเดินนั้นไร้ผู้คน รอบๆนั้นมีห้องหับมากมายซึ่งถูกปิดไว้มีเพียงประตูห้องของเขาเท่านั้นที่เปิดอ้า ส่วนห้องอื่นๆโดยรอบนั้นเงียบเชียบ ห้องเหล่านี้เป็นห้องรับรองสำหรับพระราชอาคันตุกะยามเมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองเท่านั้นบริเวณนี้ถึงจะมีชีวิตชีวาขึ้นได้ และเมื่อเดินเลยออกไปจะเป็นส่วนห้องพักของเหล่าราชวงศ์ซึ่งโรเรเนสไม่เคยย่างเข้าไปถึง เขามองไปในทิศทางนั้นแล้วชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินไปในทิศที่ไม่คุ้นเคยแล้วเดินผ่านบรรดาห้องต่างๆไปอย่างเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเหมือนเสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่งดังแว่วมาจากห้องที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาไม่ได้สนใจจนเกือบจะเดินผ่านห้องนั้นไปเสียแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นก่อน

    “ข้าอ่านรายงานของท่านแล้ว แต่ที่ยังไม่ลงตราประทับให้เพราะมันยังมีบางจุดที่ต้องแก้ไขอยู่”

    เสียงที่คุ้นเคยของราห์โอหนุ่มดังออกมา ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยแล้วถลาไปแอบหลังหนึ่งในบานประตูไม้ที่ปิดไว้  แต่เสียงพูดคุยยังคงดำเนินต่อไปในห้องนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าเจ้าของเสียงจะรับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น เขายืนฟังเรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองและการทำงานทั่วไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ในหัวรับรู้แต่เสียงทุ้มหนักแน่นมีอำนาจนั้นเพียงเท่านั้นเอง

     พลันความสงสัยใคร่รู้ก็ก่อตัวขึ้นเจ้าของตาเชื่อมเศร้าจึงค่อยชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อลอบมองบุคคลผู้อยู่หลังโต๊ะทำงาน

    เขาเพียงอยากรู้ว่าในยามนี้ตนจะสามารถทนมองใบหน้าของชายคนนี้ได้อยู่ไหม แต่ก็ได้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ยากอยู่เหมือนกันเมื่อได้มองหน้าคมเข้มสมส่วนไร้ที่ติที่กำลังคร่ำเคร่งดูเองสารบนโต๊ะสลับกับปรึกษาพูดคุยกับเหล่าขุนนางหลายคนที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตรงนั้น แม้นจะดูน่ากลัวอยู่บ้างแต่ก็กลับน่ามองและชวนหลงไหลอยู่ในที

    เห็นเช่นนี้แล้วก็ต้องขบริมฝีปากบางของตนเก็บอารมณ์วูบวาบที่ฉีดขึ้นจนแดงซ่านไปทั้งพวงแก้มทันที จมูกโด่งได้รูปรับกับตาคมนั่นพาลทำใจเขาให้สั่นระรัวอย่างไม่อาจเข้าใจได้ จนผ่านไปหลายอึดใจก็ไม่อาจละสายตาได้แม้จะสั่งตัวเองให้เลิกมองแต่ใจเจ้ากรรมก็ไม่อาจทำตามสมอง

                    เหมือนเคยทำแบบนี้มาก่อน....

    ตาหวานแสนซุกซนจดจ้องใบหน้าคมสันอย่างหลงไหลเหมือนตกอยู่ในภวังค์ กระทั่งเจ้าของหน่วยตาคมรู้สึกตัวจึงหันตวัดตาไปมอง การประสานตาเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีก็คลาดกันไปด้วยร่างเล็กสะดุ้งหนีแล้วหลบหายไปหลังประตู เขายืนพิงบานไม้อย่างพลั่นพรึงกลัวว่าจะถูกจับได้ กลัวว่าจะถูกรังแกเช่นวันนั้นอีก ใช่ฟารันเห็นเขาแล้ว แน่ใจเลยทีเดียวว่าฟารันรู้แล้วว่าเขาอยู่ตรงนี้ทว่า

    “ส่วนทางด้านงานของกระหม่อมนั้น...”  เสียงของท่านหมอหลวงเอ่ยขึ้นทำลายความคิดฟุ้งซ่านของเขาไป ท่านหมอคงกำลังจะรายงานเกี่ยวกับการรักษาตัวเขาให้องค์ราห์โอฟัง

    “การรักษาอาคันตุกะคนสำคัญของฝ่าบาทเป็นไปได้ด้วยดี ยามนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับอีกทั้ง...”

    “ท่านหมอ”

    “กระหม่อม?”

    “อะไรที่มันไม่สำคัญก็ข้ามๆไปก่อนเถอะ ข้าขอฟังแต่เรื่องที่มันสำคัญจริงๆเท่านั้น”

                   ไม่สำคัญ....

    “อ่า...เอิ่ม...”

    “เรื่องวิจัยของสภาเพทย์ไปถึงไหนแล้ว”

    “เรื่องนั้นกำลังดำเนินการไปด้วยดีกระหม่อม หากแต่จะมีขัดข้องบ้างก็ตรงที่....”

    สรรพเสียงที่เหลือเหมือนละลายหายไปหมดแล้วเขาไม่ได้ยินอะไรอีกต่อจากนั้น...จริงสินะเขาไม่ใช่คนที่อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายมานานนับเดือนแล้ว ไม่ได้มีความหมายใดๆเลย ไม่ได้สำคัญอันใดทั้งนั้น ไร้ตัวตน ถึงแม้เขาจะโผล่พรวดเข้าไปยืนกลางห้อง ก็คงไม่อาจเรียกความสนใจใดๆให้อีกฝ่ายได้แม้นแต่น้อย ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอันใดเลย การหลบอยุ่หลังประตูนี้ก็ไม่สำคัญอะไรแม้แต่น้อย ตาเศร้าหลุบลงมองต่ำก่อนจะผละออกจากตรงนั้นแล้วเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

     

     

    ------------
    สวัสดี ไม่มีอะไรจะอ้างหุหุ แต่ขอโทษทีที่หายไปนาน หลังจากนี้จะพยายามหายไม่เกิน 1เดือนนะคะ.....จบข่าว @SQWEEZ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×