ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Syrup [YAOI ทะเลทราย]

    ลำดับตอนที่ #4 : Syrup 3 100%

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.พ. 58



    องค์เลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าวนั้นเป็นแมวตัวใหญ่มาก เวลาท่านเลียหน้าเทพโรเรเนสนั้นจะเจ็บได้เรื่องอยู่เพราะลิ้นแมวเป็นที่ทราบกันว่าสากมาก องค์แมวเหมี๊ยวตัวขาวฟูนั่งเลียขาหน้าตัวเองอยู่  ก่อนสายตาจะเลื่อนมาเห็นคนตรงหน้าจึงเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายรู้ตัวว่ากำลังจะโดนแมวจู่โจมจึงร้องห้ามออกไปตามวิสัย
     

     

    “ไม่เอาน่าซาลาเปา หยุดนะ ซาลาเปา อย่าเลียสิซาลาเปา ซาลาเปา!

     

     

     

    โรเรเนสสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางยามเช้าอันสดใสพร้อมแสงแดดอ่อนๆและเสียงนกร้องร่าเริง
     

     

     

    ที่ไหนเนี่ย?
     

    เขานึกทบทวนหลายอย่างที่เกิดขึ้นที่ละลำดับทั้งที่ยังนอนอยู่ ความทรงจำนั้นค่อยๆกลับมาแล้ว แม้นจะไม่ครบถ้วนทุกอย่างแต่ส่วนสำคัญนั้นก็นึกออกได้

    ใช่ เขาเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์นามโรเรเนส มีแมวยักษ์เป็นพาหนะและแทนที่จะดูแลต้นไม้อยู่ในวิมาณตน ก็ดันต้องลงมาเป็นมนุษย์แทน.....

    แทนใครซักคนที่ยังนึกชื่อไม่ออก แต่ที่แน่ๆมันเกิดเหตุผิดพลาด มีพิธีอันเชิญเทพเกิดขึ้นและเป็นเหตุให้เขาต้องลงมาตกระกำลำบากจนเกิดเหตุที่ขยักแขยงขึ้นเมื่อคืนนี้

    จนกระทั่งฟารันเข้ามาช่วยไว้

    ฟารัน..... เขาจำไม่ได้หรอกว่าชายคนนี้เป็นใครจำได้แต่ว่าชื่อฟารัน เขาจำอะไรเกี่ยวกับโลกมนุษย์ไม่ได้เลยแม้นแต่โลกเทพก็ยังจำไม่ได้ในตอนนี้  เขามั่นใจว่าตนเคยรู้มากกว่านี้ ช่วงชีวิตหลายพันปีของการเป็นเทพมีความรู้มากมายอยู่ในหัว ทว่าตอนนี้เหลือเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่ก็เป็นชื่อ ชื่อตนเอง ชื่อแมว ชื่อฟารัน และอีกสารพัดพันธุ์พืชที่จู่ๆก็แล่นเข้ามาในหัว

    แต่นอกนั้นก็ยังนึกอะไรไม่ออก มีแต่ความรู้สึกคุ้นๆและคลับคล้ายคลับคราเป็นส่วนมาก แม้นกระทั่งพี่ชายตน...ใช่จำได้ว่ามีพี่ชาย ไม่ใช่พี่แท้ๆหรอก เป็นคนโผงผางอยู่มาก แต่ยังนึกหน้าและชื่อไม่ออก

    โรเรเนสถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เคราะห์กรรมอันใดถึงทำให้ตนต้องลงมาอยู่ในกายหยาบอันแสนอ่อนแอของมนุษย์เช่นนี้ ไหนจะความหิวโหย ความว้าวุ่นใจและความเจ็บไข้อีกล่ะ ยังไม่รวมถึงจิตใจที่ยากจะหยั่งอีกยิ่งไม่มีพลังเวทย์เช่นเทพอยู่แล้วเขาจะอยู่รอดไปได้อย่างไร โรเรเนสยังนึกไม่ออกเลย

    เขาค่อยๆหยัดกายขึ้นมาอย่างช้าๆ ร่างมนุษย์นี้ยังใหม่และอ่อนแอคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเขาจะสามารถบังคับร่างกายนี้ได้คล่อง คงเป็นเช่นนนี้กระมังความทรงจำมากมายของเขาจึงยังไม่กลับมา ด้วยร่างกายอันแสนอ่อนแอนี้เพียงแค่รองรับดวงจิตของเขาได้ก็นับว่าอัศจรรย์มากแล้ว นับประสาอะไรกับองค์ความรู้มากมายของเทพนั่นอีกเล่าคงต้องใช้เวลานานพอดูกว่าความทรงจำจะทยอยมาเต็มเติมหัวเล็กๆของมนุษย์นี้ได้

    ใช่ คงอีกนานไม่รู้ว่าแค่ไหน สัปดาห์? เดือน? ปี? ความทรงจำของเขาจึงจะสมบูรณ์ได้

    ม่านตาสีฟ้าใสหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมือเรียวเอื้อมไปเปิดผ้าม่านที่ขึงล้อมเตียงกว้างนี้อยู่ แสงแดดที่ลอดเข้ามาจ้าพอตัว เขาย่างลงจากเตียงอย่างช้าๆ ชุดที่สวมใส่เป็นเหมือนเสื้อตัวยาวทอจากฝ้ายเนื้อดี มันยาวพอที่จะปกปิดส่วนสำคัญแต่ก็มิได้ยาวเลยเข่าจึงยังเห็นรอยนิ้วมือน่ารังเกียจที่ผู้บัญชาการลามกนั้นทิ้งไว้ให้

    สองขาก้าวได้ไม่มั่นคงนักพยายามจะเดินออกไปยังประตูห้องแต่พอดีกันนั้นบานประตูตรงหน้าก็เปิดเข้ามาผู้ที่เปิดคือชายวัยกลางคนที่ยังดูไม่ถึงกับแก่มากนักแต่ผมกลับเป็นสีขาวเรียบและผิวกายสีแทนแต่งกายด้วยชุดคลุมตัวยาวตามนิยมของอาณาจักรนี้

     เขายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะก้มลงคำนับจนหน้าผากจรดพื้น

    “อย่าทำเช่นนั้นเลยปฏิบัติต่อข้าเช่นคนปรกติเถิด”

    “หามิได้ เพราะไม่แน่ว่าหลังจากนี้ข้าจะได้ทำเช่นนี้อีก สามวันที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน”

    “สามวัน!

    “ใช่ ท่านหลับไปสามวันจนองค์ราห์โอต้องเรียกข้ามาดูท่านนี่ไง” ชายคนนั้นลุกขึ้นทั้งยังยิ้มอยู่

    “ข้ามีนามว่าชัคบา เป็นหมอหลวงประจำราชสำนักหลังจากท่านหลับไปได้หนึ่งวันปลุกเท่าใดก็มิยอมตื่นองค์ราห์โอจึงร้อนใจมากถึงกลับตามข้ามาดู ว่าแต่ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”  ชัคบาถามพร้อมพยุงโรเรเนสไปนั่งที่มุมหนึ่งของห้องแล้วรินน้ำให้ อีกฝ่ายเอ่ยขอบคุณอย่างแผ่วเบาก่อนจะพูดต่อหลังจากได้ดื่มอย่างกระหาย

    “เหนื่อยและเหมือนร่างกายหนักมาก อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก”

    “คงด้วยท่านกำลังอยู่ในช่วงปรับตัว หากรับร่างใหม่นี้ได้ทุกอย่างคงจะดีขึ้นเอง”

    “พวกนักบวชบอกข้าว่าเรื่องอันเชิญเทพเป็นความลับ แต่ทว่าท่านก็รู้ว่าข้าเป็นใคร”

    “ไม่มีใครบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นเพราะหลายเรื่องในวังนี้เป็นความลับที่แม้แต่คนในครอบครัวขององค์ราห์โอก็ไม่อาจล่วงรู้ แต่ด้วยข้าเป็นหมอและไม่ใช่คนโง่ เมื่อข้าตรวจร่างกายท่านจึงได้รู้ว่ามีบางสิ่งผิดไป ตัวข้านี้รู้จักร่างกายมนุษย์ดี จึงทราบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์เช่นท่านจะมีลักษณะใหม่หมดจดเช่นเด็กแรกเกิดได้ คนเราเมื่อโตมักจะต้องทิ้งร่องรอยของการเจริญเติบโตเอาไว้ทั้งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าและที่ต้องตรวจดู แต่ร่างกายของท่านนั้นไม่มีร่องรอยเช่นนั้นเลยเหมือนเกิดมาแล้วก็เป็นเช่นนี้ทันที ไม่ได้ผ่านวัยเด็กมาเช่นมนุษย์ผู้อื่น ประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอเหมือนเพิ่งหัดได้ใช้งานเช่นเด็กเล็กของท่านอีก จึงทำให้เดาได้ไม่ยากว่าร่างกายนี้ถูกเนรมิตขึ้นมามิได้เกิดด้วยการคลอดเช่นคนทั่วไป”

    ตาเชื่อมได้ยินดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆอย่างชื่นชมเพราะแม้จะเป็นหมอที่พิจาราณาทุกอย่างตามเหตุผลที่พิสูจน์ได้ แต่บุคคลผู้นี้ก็ยังใจกว้างพอที่จะยอมรับเรื่องเหลือเชื่ออย่างร่างเนรมิตของเขาได้อีก  

    “ท่านหมอนี่ใจกว้างจริง เชื่อเรื่องที่หาข้อพิสูจน์แบบนี้ด้วยหรอ”

    “ข้าเป็นศาสนิกชนที่ดีนะ หากพอจะจำได้ข้าสวดให้ท่านเป็นประจำ”

    ถึงตอนนี้แววตาสดใสของโรเรเนสก็กลับหมองลง

    “คงต้องขออภัยในเรื่องนี้ ข้าต้องสารภาพตามตรงว่ายามนี้ข้าไม่สามารถจดจำสิ่งใดๆได้เลยในตอนที่ข้าเป็นเทพอยู่บนสวรรค์”

    “จริงรึท่าน ท่านพอจะทราบไหมว่าทำไม” น้ำเสียงและสีหน้าของหมอหลวงเปลี่ยนไป เขาดูเป็นกังวลขึ้นมาก

    “เอ่อ...ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันคงเพราะร่างมนุษย์ยังรับดวงจิตของข้าไม่ได้ครบถ้วนน่ะ ก่อนหน้าข้าจำอะไรไม่ได้เลยแม้นแต่ชื่อตัวเอง ยามนี้จำได้แต่ชื่อแมวแถมยังจำได้แต่ชื่อเล่นของมันอีก แล้วก็ชื่อตัวเองกับพวกพันธุ์พืชเยอะแยะนับไม่หมดที่ค่อยๆโผล่มาในหัว คงต้องใช้เวลากว่าข้าจะจำทุกอย่างได้ ตอนนี้ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมืองที่ข้าอยู่นี่ชื่อ รู้สึกแต่ว่าวังนี้คุ้นๆชอบกล” ในท้ายประโยคเขามองไปรอบๆห้องอย่างพินิจ ใช่ตอนเป็นเทพเขาต้องคุ้นเคยกับมากจ้องมองวังวังนี้เป็นแน่เขารู้สึกได้เช่นนั้น

    “ตอนนี้ท่านอยู่ที่พระราชวังรานาราจา ซึ่งอยู่สูงเหนือขึ้นมาจากมหานครเอนนัคเมืองหลวงแห่งสปันเทีย”

    ใช่!สปันเทีย ชื่อนี้คุ้นหูนัก

    “ว่าแต่ทำไมดูท่านหมอหลวงถึงหนักใจนักที่ข้าจำความมิได้ หรือท่านต้องการถามอะไรจากข้างั้นรึ”  หมอหลวงทำหน้าหนักใจแล้วถอนหายใจ

    “ก็ไม่เชิงหรอกท่าน แต่อย่างที่ข้าบอกสามวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ข้าไม่ทราบหรอกว่าเรื่องพิธีอันเชิญเทพนั้นมีใครรู้บ้างแต่ที่แน่ๆ พวกขุนนางระดับสูงหลายคนรู้เรื่องนี้ และพวกนั้นสงสัยในความเป็นเทพของท่านจึงต้องการการพิสูจน์”

    “พิสูจน์? ข้านึกว่าคำพูดของกษัตริย์เป็นสิทธิ์ขาดเสียอีก ถ้าฟารันเชื่อว่าข้าเป็นเทพจะต้องทำอะไรอีก”

    “มันไม่ง่ายเช่นนั้นสิท่าน ฝ่ายขุนนางกับฝ่ายนักบวชเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ทั้งสองฝ่ายขัดผลประโยชน์กันอยู่เรื่อยๆ พวกขุนนางเชื่อว่าพวกนักบวชเอาศาสนาและความเชื่อมาเป็นเครื่องมือควบคุมประเทศ การที่นักบวชอันเชิญเทพลงมาสำเร็จเป็นเหมือนการตบหน้าพวกตน ดังนั้นเจ้าพวกขุนนางทั้งหลายจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ฝ่ายนักบวชหมดความน่าเชื่อถือ รวมถึงเรื่องที่ท่านเป็นเทพด้วยจนตอนนี้แม้นแต่องค์ราห์โอก็เริ่มจะหวั่นไหวแล้ว”

    “หวั่นไหว พวกขุนนางพูดอะไรทำไมฟารันถึง....”

    “ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นพูดอะไร แต่ข้าก็ได้บอกความเห็นของข้าเรื่องร่างกายที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปของท่านให้ฝ่าบาททราบแล้วและก็ดูจะทรงเชื่อด้วย แต่ฝ่ายขุนนางคงมีเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้จึงทำให้ทรงลังเล เช่นนี้จึงมีรับสั่งให้เมื่อยามท่านตื่นให้พาท่านไปสอบถามเสียให้แน่ชัดหลังจากท่านอาบน้ำและรับประทานอาหารแล้วข้าจะพาท่านไปเอง”

    เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่เขาต้องเจอเรื่องอะไรอีกล่ะนี่


     

    ------------------------------------------------------

     

    ห้องที่หมอหลวงพาเขาเข้าไปเป็นเพียงห้องรับรองเล็กๆแต่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนหรูหรา มีชายสูงวัยแต่งตัวหรูหราเต็มยศ 4-5คนนั่งอยู่บนตั่งฝั่งขวาและมีพวกนักบวชชั้นสูงแต่งชุดขาวนั่งอยู่บนตั่งฝั่งซ้าย ถอยออกไปตรงกลางมียกพื้นที่ปูพรมอย่างดีเป็นที่ประทับขององค์ราห์โอที่สวมใส่เครื่องทรงเป็นเสื้อผ้าฝ้ายคอกว้างและกางเกงขายาวเนื้อผ้าเดียวกันที่แลดูสบายๆและธรรมดาสามัญยิ่งกว่าใครในห้อง ลากลอซคนสนิทยืนอยู่ข้างที่ประทับเขาแต่งกายด้วยชุดแขนยาวสีน้ำเงินปักดิ้นเงินตัดเข้ารูปพอดีตัวยาวถึงเข่าซึ่งเป็นเครื่องแบบประจำตำแหน่งของเขา

    โรเรเนสถูกพาเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นเข้าไป ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวจนรู้สึกอึดอัดใจ พวกขุนนางประดับยศด้วยเพรชพลอยแสบตามองเขาด้วยสายตาคุกคามส่วนพวกนักบวชกลับหน้าซีดทำท่าเหมือนอยากจะลงกราบเขาแต่ก็ไม่กล้า บรรยากาศเย็นชาที่ปกคลุมห้องเล็กๆห้องนี้ทำให้เขารู้สึกได้ว่าตนคงไม่ใช่เทพสำหรับคนในนี้แล้วกระมัง...

    เขาเข้าไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ใกล้กับองค์ราห์โอพร้อมหมอหลวงที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาที่กษัตริย์หนุ่มมองมาช่างดูทรมาณใจเหลือเกิน ทรงพิศมองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าชุดคลุมบางเบาตัวหลวมยาวถึงข้อเท้ายิ่งทำให้ดูตัวเล็กลงไปอีก ฟารันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเอ่ยถาม

    “ท่านทราบแล้วใช่ไหมว่าท่านถูกพามาที่นี่เพราะอะไร” ผู้ถูกถามเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายพบเนตรเหยี่ยวคมกร้าวที่ทำให้รู้สึกสะท้านไปถึงขั้วหัวใจแม้นตัวเองจะเป็นเทพก็อดใจสั่นมิได้

    “ทราบดี”

    “เช่นนั้นข้าขอเริ่มที่คำถามง่ายๆ...ท่านเป็นใคร”

    “ท่านทราบอยู่แล้ว”

    “เรื่องนี้เลยจุดที่ข้าจะทำตามใจได้ไปเสียแล้ว มันไม่สำคัญว่าข้าจะคิดอย่างไรตอบคำถามมาเสียเถิด”

    “เทพแห่งพืชพันธุ์นามว่าโรเรเนส”

    เสียงฮือฮาดังขึ้นภายในห้องจนองค์ราห์โอต้องสั่งปรามให้เงียบ

    “ทุกคนได้ยินชัดแล้วนะว่าชายผู้นี้กล่าวว่าอะไรมีใครจะถามอะไรอีกไหม” ชายวัยกลางคนที่ไว้เคราคนหนึ่งในหมู่ขุนนางยกมือขึ้น

    “ว่าอย่างไรท่านโยเฮน”

    “ขอกระหม่อมซักถามเขาได้หรือไม่ฝ่าบาท”

    “ตามใจ”  ขุนนางผู้นั้นโค้งให้กษัตริย์ตนก่อนจะเบนสายตามาที่เด็กหนุ่มหน้าห้อง

    “ท่านลงมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร”

    “เทวรูปองค์ปฐมเปลี่ยนจากหินอ่อนมาเป็นกายเนื้อให้แก่ข้า”

    “ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เทวรูปองค์ปฐมก็ไม่มีแล้ว แต่กลายเป็นท่านแทน”

    “ใช่ ยามข้าตื่นมาพบตัวเองอยู่บนแท่นประดิษฐานที่ว่างเปล่าเทวรูปองค์นั้นได้กลายเป็นข้าไปแล้วในยามนี้”

                    พลันจู่ๆขุนนางผู้เอ่ยถามก็ยกยิ้มขึ้นมาเหมือนจะเย้ยหยันและเหล่านักบวชหน้าตาซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด โรเรเนสรู้สึกผิดสังเกตุกับสีหน้าของคนเหล่านี้

    “แต่ว่าวันก่อนข้าได้ทูลฝ่าบาทให้ทรงลองไปตรวจดูในวิหารก็พบว่าเทวรูปขององค์โรเรเนสยังอยู่ดีเหมือนเดิม”

    “ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้”

    “นั่นเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นพวกนักบวชก็อยู่กับข้า” เสียงทุ้มเย็นเยียบดังลงมาจากคนที่อยู่บนยกพื้น โรเรเนสหันไปก็พบแต่แววตาเย็นชา

    “จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนข้าตื่นมาแท่นประดิษฐานยังว่างเปล่าอยู่เลย” เด็กหนุ่มตกใจและร้อนรน เขาไม่เข้าใจว่าเป็นด้วยเหตุใดกันแน่ โยเฮนขุนนางสูงวัยเห็นสีของจำเลยตนก็ได้ทีซักไซ้ต่อไปอีก

    “ยามท่านตื่นงั้นรึ? มีใครเป็นพยานเห็นตอนท่านกลายร่างเป็นมนุษย์บ้างล่ะ หากไม่มีเช่นนี้ก็เชื่อถือไม่ได้หรอกนะเพราะเป็นคำพูดของท่านฝ่ายเดียว”

    ผู้ถูกถามเม้นปากแน่นสนิททั้งโกรธและอึดอัด นี่เป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้เทวรูปนั้นไม่มีทางจะยังอยู่ตรงนั้นเช่นเดิมได้ เขาอดคิดได้ว่าต้องมีคนจงใจกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรและทำได้อย่างไร

    “เช่นนี้ข้าขอถามหน่อยหากท่านเป็นองค์โรเรเนสจริง ท่านเสกให้ต้นไม้งอกได้ไหม”

    “เมื่ออยู่ในร่างเทพทำได้ ยามนี้เป็นมนุษย์ทำไม่ได้”

    “ท่านมีพลังเวทย์ใดใดไหม”

    “ไม่มี กล่าวอีกครั้งข้าอยู่ในร่างมนุษย์ ร่างนี้ไม่สามารถรองรับอำนาจเช่นนั้นได้”

    “เช่นนั้นท่านก็ต้องมีความรู้ที่เหนือไปจากมนุษย์จริงไหม ท่านทราบไหมว่าจักรวาลเกิดขึ้นอย่างไร”

    “ไม่ทราบ”

    “บนสวรรค์เป็นเช่นไร”

    “ไม่ทราบ”

    “แต่ท่านเป็นเทพท่านจะไม่รู้ได้อย่างไร”

    “ข้ายังปรับตัวอยู่ ร่างนี้ใหม่และอ่อนแอมากมันยังไม่สามารถรองรับองค์ความรู้และความทรงจำของเทพได้ในคราวเดียวหากแต่ต้องใช้เวลา”

    “เช่นนี้ท่านก็ไม่รู้อะไรเลยแล้วจะให้เชื่อว่าเป็นเทพได้อย่างไร”

    “เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์”

    “ไร้สาระ!” สิ้นคำหมิ่นประมาทของโยเฮน หัวหน้านักบวชที่ทนต่อพฤติกรรมจาบจ้วงมานานก็ลุกขึ้นประท้วง

    “บังอาจสิ้นดี!ท่านดูหมิ่นองค์เทพมากไปแล้ว”

    “องค์เทพงั้นรึ? วันก่อนท่านกับฝ่าบาทก็ได้ไปดูที่วิหารแล้วนี้ว่าเทวรูปยังอยู่ปรกติดี เช่นนี้บุคคลผู้นี้ก็เป็นแค่คนหน้าเหมือนที่พวกนักบวชจ้างมาเพื่อตบตาฝ่าบาทเท่านั้นเอง เพื่อผลประโยชน์และความน่าเชื่อถือของฝ่ายตนพวกท่านย่อมทำได้อยู่แล้วนี่”

     “บ้าบอ!มันไม่มีทางที่มนุษย์จะมีหน้าพิมพ์เดียวกับเทพเช่นนี้หรอก ฝ่าบาทโปรดฟังความเห็นของฝ่ายข้าด้วย” ประโยคหลังนักบวชอวุโสหันไปพูดกับเหนือหัวด้วยท่าทางอ้อนวอน

    “กระหม่อมเชื่อว่าเทวรูปที่อยู่ในตอนนี้เป็นของปลอมที่เจ้าพวกขุนนางชั่วมันทำเลียนเอาไว้แม้จะยังไม่มีหลักฐานและข้อพิสูจน์แต่เชื่อว่ากระหม่อมต้องพิสูจน์ได้ในวันหนึ่ง”

    “อย่ามากล่าวหาข้าแบบนั้นนะ! พระราชฐานชั้นในข้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปอยู่แล้วเทวรูปองค์ปฐมเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นจะไปทำของปลอมมาได้อย่างไร”

    “โยเฮนให้นักบวชพูดให้จบก่อน”

    “และก็ถือว่าทำได้แนบเนียนมากเพราะแม้นกระหม่อมเองก็ยังดูไม่ออกว่าต่างจากของเดิมตรงไหน แต่ฝ่าบาทเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะตัดสินความในวันสองวันมิได้ โปรดให้เวลาองค์เทพได้พิสูจน์องค์เถิด ข้าเชื่อว่ายามนี้องค์เทพได้มาสถิตย์อยู่กับเราจะต้องมีปาฏิหารเกิดขึ้นให้เป็นที่ประจักษ์อย่างแน่นอน ตามวิสัยของผู้มีบุญญาธิการสวรรค์จะต้องเข้าข้างโปรดพระองค์ทรงรอดู อีกทั้งยังมีข้อคิดเห็นทางการแพทย์จากท่านหมอหลวงที่น่าเชื่อถืออีกเช่นนี้ก็รับรองได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นเทพตัวจริงแน่นอนฝ่าบาท”

    “ฝ่าบาทหากเป็นองค์เทพจริงนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่ใช่ก็ถือว่าพระองค์ทรงตกอยู่ในอันตรายนะพะยะค่ะเพราะการที่ให้คนที่ถูกจ้างวานมาหลอกลวงพระองค์มาป้วนเปี้ยนอยู่ในพระราชฐานชั้นในเช่นนี้เราไว้ใจอะไรไม่ได้เลยว่าคนพวกนี้คิดชั่วอะไรอยู่ ตบตาคนในวังได้ขั้นหนึ่งแล้วขั้นต่อไปจะลอบปลงพระชนม์ก็ย่อมได้ โปรดรีบตัดสินความในคราวนี้เสียเถิดอย่าปล่อยให้เนินนานออกไปเลย” ขุนนางโยเฮนแย้งขึ้นอีก

     

    ฟารันมองชายสูงวัยทั้งสองคนสลับไปมาก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ลำพังแค่เรื่องเทวรูปก็บอกได้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่เทพจริงๆ แต่เรื่องผลการตรวจร่างกายจากท่านหมอก็มาค้านความคิดนั้นไว้อีก เช่นนี้เขาก็มิอาจตัดสินได้เพราะไม่สามารถพิสูจน์ความถูกต้องของทั้งสองฝ่ายได้ แต่จะปล่อยทิ้งให้ค้างคาก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ แล้วเขาจะตัดสินใจอย่างไรดี?

    เขาเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มผมม่วงที่อยู่ใกล้ๆ เสื้อตัวหลวมเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียนที่ยังมีรอยจ้ำแดงๆปรากฎอยู่ วงหน้างามหายใจช้าๆอย่างอึดอัดส่งให้พวงแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อน่าหมั่นเขี้ยว ริมฝีปากบางเม้มลงพร้อมสีหน้าวิตกกังวลทว่าเขากลับคิดว่ามันน่ามองเสียจริง

    ฟารันหันหน้ากลับมา ก่อนจะพูดกับชายสูงวัยทั้งสองที่ยังยืนรอคำตอบอยู่



    “ข้ารู้แล้ว่าจะพิสูจน์อย่างไร” ทุกสายตาหันมามองเขาเป็นตาเดียวและจดจ่อเฝ้ารอ



    “พวกท่านเคยได้ยินเรื่องAngel syrupไหม”  ทุกคนออกอาการตกใจและเหมือนจะรู้ดีว่ามันคืออะไร เว้นแต่โรเรเนสเท่านั้นที่ไม่ทราบว่าคนอื่นแตกตื่นเรื่องอะไร คราวนี้ลากลอซคนสนิทของราห์โอผู้ยืนสงบนิ่งมานานก็เกิดอาการร้อนรน

    “เอ่อ ฝ่าบาทอย่าเลยมัน....” ฟารันยกมือขึ้นห้ามสหายของตนไม่ให้พูดต่อก่อนจะยืนขึ้นแล้วก้าวช้าๆพร้อมพูดต่อไป

    angel syrup หรือน้ำเชื่อมเทวดาว่ากันตามความเชื่อเก่า แกนกายของบุรุษเทพเทวาจะขับน้ำวิสุทธิ์สีใสเมื่อยามถึงจุดสุขสมออกมา ต่างจากของมนุษย์ที่เป็นน้ำสีขาวขุ่น อีกทั้งยังหอมหวานจนถูกเรียกว่าเป็นน้ำเชื่อม” สองขาแกร่งก้าวลงไปใกล้เด็กหนุ่มผมยาวที่มีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากคนอื่นรอบๆห้อง

    “ผู้ที่จะมีangel syrupได้นั้นมีเพียงผู้ที่เป็นเทพหรือผู้ที่มีเชื้อเทพเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้และมีบันทึกเอาไว้ชัดเจน หลายคนในที่นี้ก็คงเคยได้ยินว่าแม่ทัพฝ่ายเหนือของเราก็เป็นมนุษย์ครึ่งเทพและก็คงเคยรับรู้มาว่าน้ำวิสุทธิ์ของเขาผู้นั้นก็เป็นสีใสซึ่งพิสูจน์สถานะกึ่งเทพของเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว”

    กษัตริย์หนุ่มหยุดยืนเมื่อถึงระยะประชิดตัวกับผู้ที่อ้างตนเป็นเทพ อีกฝ่ายก้มหน้าหนีตาคมนั้นอย่างอึดอัดเขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูกและหัวใจเริ่มเต้นระส่ำ ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชายคนนี้เขาต้องรู้สึกแปลกๆด้วย

    “มองตาข้าสิ”   เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบาเหมือนอยากให้ได้ยินแค่สองคน  ตาเศร้าเชื่อมช้อนมองตอบตามคำขอริมฝีแดงเรื่อยังคงเม้มสนิท ชายหนุ่มพิศใบหน้างามนั้นก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงที่อ่อนโยน

    “ยืนยันหรือไม่ว่าเจ้าเป็นเทพ”

    “ข้าคือเทพ”

    “เช่นนั้นข้าต้องขอพิสูจน์นะ”  เสียงพูดนั้นแผ่วเบาราวกระซิบแต่ก็แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าขี้แกล้งกว่าร่างเล็กจะไหวตัวทันก็สายไปเสียแล้ว

    สองแขนแกร่งดึงคนตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขนแล้วก้มลงกระกบริมฝีปากลงอย่างแนบแน่น ลิ้นสากสอดเข้าตักตวงความหวานจากอีกฝ่ายดั่งปรารถนาจะดูดดึงลมหายใจให้หมดสิ้น ส่งให้ความร้อนวูบวาบไหลแล่นลงไปจนถึงเบื้องล่าง

    “อื้อออออ!” เสียงครางประท้วงพร้อมออกแรงดิ้นอยู่ในวงแขนแต่ก็ไม่ทำให้การกระทำดังกล่าวหยุดลงเลยมีแต่ทวีความหวานซ่านหนักหน่วงซ้ำไปมาให้เหนื่อยอ่อน  ลิ้นสากไล้เลียกระหวัดดึงอย่างเร่งร้อนพลางแขนแกร่งก็กอดกระชับผู้ประท้วงตนให้ร่างแนบชิดขึ้นไปอีก...แนบแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย

    ผู้คนรอบข้างพากันแตกตื่นโวยวาย หลายฝ่ายพยายามห้ามการกระทำอันอุอาจของราห์โอหนุ่ม หากแต่ก็ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปขัดจังหวะตรงๆเพราะกลัวจะโดนโทษทัณฑ์

    หัวใจเด็กหนุ่มระส่ำไม่เป็นจังหวะเรี่ยวแรงที่แทบไม่มีอยู่แล้วก็พลันหมดไปจนสิ้นฤทธิ์ขัดขืน  ลมหายใจของเขาถูกช่วงชิงไปหมดเมื่อจังหวะดูดดื่มเริ่มเนิบช้าลงจนอีกฝ่ายถอนปากออกหน้างามทำได้เพียงเผยอปากหอบน้อยๆอยู่ใต้วงแขนบุรุษตาคม แม้นแรงจะยืนก็แทบไม่มี ความร้อนซ่านแผ่ไปทั่วตัวทั้งใบหน้าแลแก่นกายเบื้องล่าง

    หากแต่ที่ผ่านไปเป็นเพียงบทนำด้วยขณะที่ฟารันโอบอีกฝ่ายไว้ด้วยแขนข้างเดียวมืออีกข้างนั้นก็ถกเลิกผ้าเนื้อบางที่คลุมร่างกายเด็กหนุ่มไว้ก่อนจะล้วงเข้าคว้าส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน

     “อ๊ะ อ๊า อื้อ!ไม่นะ” ร่างบางสะดุ้งหนีมือสากหากแต่ก็แค่ทำให้ตัวเองจมลงสู่อ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีกเท่านั้น

    “รู้สึกไวเหมือนกันนะ แต่จูบนิดเดียวก็เป็นเสียขนาดนี้แล้ว”

    “อ๊ะ อ๊ะ ฟารัน อึก...ฮ้า”

    “ก็บอกแล้วไงว่าต้องพิสูจน์ หากแก่นกายของเจ้าขับน้ำangel syrupออกมาได้จริงข้าถึงจะเชื่อว่าเจ้าเป็นเทพ” ราห์โอหนุ่มคลึงเค้นท่อนเนื้อสีชมพูอย่างคล่องแคล่วก่อนจะรูดขึ้นลงเป็นจังหวะซ้ำ จุดนั้นแข็งร้อนดั่งไฟสุ่มพาลให้ใจคลั่ง ร่างบางบิดเร่าสองมือพยายามป่ายปัดมือหยาบนั้นออกจากช่วงล่างของตนแต่ก็ไร้ผล พวงแก้มแดงระเรื่อพร้อมกับปากที่เผยอหอบหายใจถี่ๆ เขาสะท้านน้อยๆแล้วซบหน้าหนีลงที่แผงอกอีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้

    “อึก อ๊ะ ฟะ ฟารัน ยะ..อ้า”

     เขาไม่อาจต่อต้านได้และไม่อาจระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนได้อีกด้วยจึงได้แต่ครางกระเส่าอย่างน่าอายอยู่แบบนั้น

    ถึงตอนนี้หมอหลวงและลากลอซก็ไม่อาจยืนเฉยอยู่ได้ทั้ งสองพุ่งเข้าไปห้ามนายตน  ลากลอซนั้นถึงกับสบถออกมาด้วยความโกรธในพฤติกรรมบ้าระห่ำเช่นนี้

    “หยุดสิเว่ยฝ่าบาท! บ้าไปแล้วหรือไงฮะ” เขาฉุดมือไร้มารยาทนั้นออกจากใต้ชุดเด็กหนุ่มที่ร้องเสียงกระเส่าอย่างอ่อนแรง ก่อนจะถูกมือข้างเดียวกันนั้นคว้าคอเสื้อตนเองไว้

    “ไม่ต้องมายุ่ง!” ฟารันตะหวาดเกรี้ยวจนคนรอบข้างกลัวหัวหด เว้นแต่ลากลอซที่ยังสู้ตาคมนั้นอย่างไม่ไหวติง

     

    แต่เพียงแค่อึดใจเท่านั้นสายตาของคนสนิทก็เลื่อนจากนายของตนไปมองเด็กหนุ่มอีกคนอย่างตกใจ เมื่อหันกลับไปดูร่างในอ้อมแขนก็พลันทรุดลงกับพื้นไปต่อหน้า เขาปล่อยมือจากคอเสื้อคนสนิทแล้วลงไปประคองร่างนั้นไว้

     “นี่เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ!โรเรเนส!” 

    โรเรเนสหอบหายใจอย่างหนักสองมือสั่นเทากุมอกตัวเองไว้ ผิวหน้างามกลับซีดจนไร้เลือด หัวใจของเขาเต้นแรงจนรู้สึกทรมาณแทบขาดใจ...... เทพหนุ่มกำลังจะช๊อค

    เมื่อเห็นเช่นนั้นหมอหลวงก็ลงมาสมทบพร้อมกลับตรวจดูอาการก่อนจะชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้แล้วพูดกับราห์โอด้วยความโกรธ

    “ข้าบอกท่านแล้วว่าร่างกายนี้ยังใหม่นัก หัวใจของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้การทำให้หัวใจเขาเต้นเร็วเกินไปอาจฆ่าเขาได้นะฝ่าบาท” จบคำหมอก็คว้าตัวคนไข้ตนมาไว้เอง

    “ทางที่ดีทรงอย่าเพิ่งเข้าใกล้เขาเลย หากพระองค์ต้องทำเรื่องบัดสีเช่นนี้กับเขาอีกก็โปรดรอให้หัวใจของเขาแข็งแรงกว่านี้เถิด” องค์ราห์โอชะงักไปด้วยคำพูดของหมอหลวง

     

    “.......” แล้วบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ

     

    ฟารันนิ่งสงบมองดูร่างนั้นหอบหายใจอย่างอ่อนแรงอยู่ซักพัก ก่อนแววตาคมกร้าวจะปรากฎขึ้นอีก

    “ได้!” เสียงกังวานดังขึ้นทำลายความเงียบ

    “เช่นนี้ ข้าจะมอบบุรุษผู้นี้ให้อยู่ในความดูแลของท่านหมอหลวง” เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบห้อง เหล่าขุนนางและนักบวชก้มหน้างุด ไม่มีใครกล้าสบตากร้าวของกษัตริย์เลือดร้อนองค์นี้แม้แต่คนเดียว

     

     

    “ยามนี้ข้าจะยังไม่ตัดสินว่าเขาเป็นเทพหรือเป็นผู้ร้าย ฉะนั้นจงปฏิบัติต่อเขาเช่นอาคันตุกะทั่วไปจนกว่าข้าจะพิสูจน์สถานะของเขาได้หลังจากนี้ห้ามผู้ใดแตะต้องเขาเป็นอันขาด”  สิ้นคำตรัสองค์ราห์โอก็สาวเท้าก้าวออกจากห้องไปโดยไม่หันมามองอีกเป็นครั้งที่สอง

     

    ---------------------------------
     

    อะฮ้อยๆๆๆ ฟารันคนบาป!ฟารันคนบาป! ตอนนี้ก็รู้กันแล้วนะคะว่าความหมายที่แท้จริงของ Angel syrup นั้นคืออัลลัยยยยยยยยยยแว๊กก

    ติดตามต่อตอนหน้านะคะ ว่าราห์โอหนุ่มจะหาพิสูจน์ความเป็นเทพของโรเรเนสได้หรือไม่ เอิ๊ก

    ขอบคุณที่มาอ่านกันนะคะ เย๊เฮ

    ป.ล.ขอบคุณทุกท่านที่มาคอมเมนต์ให้นะคะ ขออภัยที่ไม่ได้ตอบคอมเมนต์นะ มีอะไรไปคุยได้ที่หน้าIDนะคะ ไรเตอร์จะไม่พิมพ์ในคอมเมนต์ตัวเองน้าเพราะว่าทราบดีว่าคงข้อความคงไม่ถึงผู้อ่านเอิ๊ก

    @SQWEEZ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×