คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Syrup 2
เสียงหยดน้ำตกกระทบพื้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้ว ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นคือช่วงไหน เหมือนเป็นเช่นนี้มาตลอดนานนับอนันต์
เหมือนเสียงนี้ดังก้องอยู่ในความฝันและดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขากำลังจะตื่น
ทำไมมันมืดเหลือเกิน?
บุรุษเกศม่วงลืมตาตื่นขึ้นอย่างสับสน เขานอนหายใจรวยรินอยู่ในห้องๆ หนึ่งที่ตนเพิ่งสังเกตได้ว่ามันแสนอับชื้นเหมือนกลิ่นหินศิลาเก่าๆ แผ่นหลังของเขาเย็นเฉียบด้วยตัวนอนนาบอยู่บนหินอะไรซักอย่างแข็งๆ ร่างกายหนักอึ้งผิดปรกติและปวดหัวอย่างเหลือร้าย
เขาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก แต่ขณะกำลังเค้นความคิดที่ข้างกายก็รู้สึกเหมือนมีมดมากมายมาเดินไต่แขนยุบยับไปหมด เขาเอียงคอหันไปมองตามสัญชาตญานแต่ภายใต้ความมืดเขาย่อมไม่เห็นสิ่งใด ความกลัวแล่นขึ้นมาจากเบื้องลึก เขาพยายามหยัดกายให้ลุกขึ้น และก็พบว่ามันช่างเป็นสิ่งที่ยากลำบากเหลือเกินที่จะลากสังขารอันหนักอึ้งนี้ออกไป รู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่ตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคย รับรู้ได้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปรกติเกิดแก่ร่างกายของเขา หากแต่ก็ยังนึกสิ่งใดไม่ออก รู้แต่เพียงเวลานี้ควรหนีให้ห่างฝูงมดประหลาดที่ส่งเสียงยามเคลื่อนตัวคล้ายทรายไหลซู่ซ่านี้ให้พ้น
เขาขยับตัวและตกลงมาจากแท่นหินที่ตนนอนอยู่เมื่อครู่ สองมือไขว่คว้าหาที่ยืดเหนี่ยวในความมืด พลันสัมผัสได้ถึงขาโต๊ะตัวหนึ่งจึงพยายามใช้โต๊ะนั้นพยุงตัวขึ้นมา เจ้าตัวคว้าผ้าคลุมโต๊ะมาห่อร่างเปลือยของตนไว้ เสียงคล้ายเครื่องโลหะตกกระทบพื้นเมื่อดึงผ้าตามด้วยเสียงซ่าประหลาดเหมือนเม็ดทรายครูดไปกับโลหะดังตามมา
ตรงหน้าเขามีกลิ่นไอเย็นของฝนโชยมาปะหน้าหน้าเป็นระยะ ตนจึงพยุงร่างกายอันหนักอึ้งตรงไปยังทิศที่มีอากาศหายใจ จนเมื่อร่างชนเขากับแผ่นไม้หนาเขาจึงใช้ร่างทิ้งน้ำหนักดันสิ่งที่เชื่อว่าเป็นประตูให้เปิดออก
ชายหนุ่มหลุดผัวะออกมาจากห้องอับนั้น พลันแสงจันทร์วันเพ็ญก็สาดเขาไปในห้อง สิ่งที่ตอนแรกคิดว่าเป็นมดอันที่จริงเป็นเม็ดทรายสีขาว ที่กระจายตัวอยู่รอบห้องและพวกมันกำลังเคลื่อนตัวตรงเข้าหาใจกลางห้องที่เป็นแท่นหิน เหล่าเม็ดทรายจำนวนมากไหลเลื้อยขึ้นไปบนแท่นแล้วค่อยๆรวมตัวกันอย่างช้าๆทีละน้อยเหมือนจะสร้างบางสิ่งขึ้นมาบนแท่นหินนั้น
เขาหันมองรอบกายเห็นเป็นลานหินรูปจัตุรัสอยู่ตรงหน้าล้อมรอบด้วยทางเดินและอาคาร สภาพเหมือนเพิ่งมีฝนตกมาหมาดๆ ไอชื้นที่ปะทะร่างกายทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน ยามนี้คิดแค่ว่าควรหาที่ที่อุ่นกว่านี้เสียหน่อยและนุ่งอะไรที่ดีกว่านี้
เขาจึงเริ่มออกเดินอย่างอ่อนแรงทุกย่างเก้าที่เหยียบไปแทบเข่าทรุด แต่ก็พยายามใช้มือหนึ่งยันกำแพงเอาไว้ จนเมื่อเดินเข้ามาถึงตัวอาคารทึบที่มีทางเดินยาวออกไปสองข้างมีแสงสว่างจากคบเพลิงข้างกำแพงอาการหนาวสั่นก็น้อยลง แต่ก็ยังไม่ทันได้เบาใจเสียงตะโกนก็ดังมาจากเบื้องหลัง
“เฮ้ย!นั่นใครกันน่ะ!” หันหลังตามเสียงไปก็เห็นชายสองคนในชุดคล้ายเครื่องแบบที่ทำจากผ้าดิบสีหม่นพร้อมเกราะทำจากหนัง มือของพวกเขาทั้งสองจับฝักดาบที่ห้อยข้างตัวขณะวิ่งตรงเข้ามา
ความตกใจกลัวแล่นเข้าขั้วหัวใจสองเท้าออกวิ่งด้วยสัญชาตญาณ หากแต่หนีไปได้ไม่ไกลก็ล้มลงด้วยขาอ่อนแรง เหงื่อกาฬแตกท่วมปอยผมสีม่วงอ่อนแนบลู่ไปกับหน้า หอบถี่ด้วยความเหนื่อยและหวาดกลัว
“เจ้าเป็นใครกันทำไมมาอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในได้!” ปลายดาบโค้งเงาสะท้อนแสงจ่ออยู่กับผิวหน้าเนียนที่ระเรื่อแดงด้วยเลือดฝาด
“..........”
“เจ้าเป็นสายลับใช่ไหม!”
“..........”
“ตอบมา!” มือหยาบกร้านจิกเข้ากับผมแล้วกระชากขึ้นให้ลุกนั่ง เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดน้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวสองมือคว้าฝ่ามือที่จิกผมอยู่อย่างอัตโนมัติ ทหารทั้งสองมองพิศร่างกายขาวเนียนที่เห็นได้ชัดขึ้นมื่อผ้าผืนบางลงไปกองกับพื้น
ร่างเปลือยของชายผู้นี้ไม่ได้บอบบางผอมแห้ง ทว่ามีสัดส่วนสมบูรณ์เช่นเด็กหนุ่มที่เหมือนเพิ่งโตเต็มที่ไปหมาดๆ ด้วยร่างกายเช่นนี้หากจะขัดขืนต่อสู้ก็น่าจะพอมีกำลังอยู่ ทั้งสองจึงยังไม่ลดดาบลง หากแต่ท่าทางหมดแรงเหมือนคนป่วยไข้ทำให้เหมือนว่าหนุ่มผมยาวผู้นี้ไม่น่าจะตอบโต้อะไรพวกตนได้ ฝ่ายที่ยืนเฉยๆ จึงพูดกับเพื่อนที่จิกกำผมเชลยไปว่า
“ดูท่าไม่น่าสู้ได้ มันอาจเป็นแค่ตัวเบี่ยงเบนความสนใจอาจมีพวกของมันแอบอยู่ตามจุดอื่น”
“บัดซบ! แบบนี้ต้องรีบรายงานผู้บังคับบัญชาโดยด่วน” แต่ยังมิทันได้ขยับไปไหนทั้งสามก็เห็นชายวัยกลางคนน่าเกรงขามย่างสามขุมเข้ามาอย่างทะมัดทะแมง
“มีอะไรกัน ข้าได้ยินเสียงตะโกน” ทหารทั้งสองยืนตรงทำความเคารพและเรียกชายผู้นั้นว่าผู้บังคับบัญชา แต่ชายผึ่งผายผู้นั้นกลับตะลึงงันกับร่างขาวสว่างที่มีสีหน้าเจ็บปวดอ่อนแรงตรงหน้าไปชั่วขณะ สายตาหื่นกระหายโลมเลียร่างตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง
“เราเจอเจ้าหมอนี่ตรงทางเดินครับ น่าจะเป็นตัวล่อของพวกสายลับถึงมาป้วนเปี้ยนในเขตชั้นในได้”
“อื้ม ดีงั้นเจ้ารีบไปบอกทหารเวรทุกคนให้ตรวจดูให้ทั่วพื้นที่ ส่วนเจ้าลากไอ้หนุ่มนี่ไปที่ห้องกับข้า ยังมิต้องเอาไปขัง ข้าจะเค้นความจากเจ้านี่เสียก่อน”
สองทหารรับคำหนักแน่น ผู้ที่ตัวเปล่าวิ่งออกไปทันทีส่วนคนที่ยังกำเส้นผมเปลี่ยนท่าทางเป็นจับเชลยพาดบ่าแล้วเดินตามหัวหน้าตนไป
--------------------------------
กุญแจมือเป็นโซ่ห้อยติดอยู่กับกำแพง มันล็อคแน่นอยู่กับข้อมือ สองแขนถูกชูสูงร่างเนียนที่หอบน้อยไร้สิ่งปิดบังนั่งอยู่ในห้องคุมขังที่สร้างซ้อนไว้ในห้องบัญชาการอีกที ประตูลูกกรงยังไม่ถูกปิดผู้ที่นำพาเข้ามายังยืนดูอยู่ตรงหน้า
“ให้ไปรายงานฝ่าบาทหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ต้อง”
“หืม?”
“นี่ดึกเกินไป อีกอย่างแค่นกต่อไร้ทางสู้คนเดียวไม่ต้องไปทูลให้ระคายเบื้องพระบาท เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะรายงานไปเอง เจ้าไปรวมกับคนอื่นเถอะตามจับพวกที่เหลือมาให้ได้ เดี๋ยวข้าจะสอบสวนเสียหน่อย”
สิ้นคำสั่งทหารหนุ่มก็ละออกไป ทิ้งให้ผู้บังคับบัญชาอยู่กับเชลยเพียงสองคน ชายแก่ที่ยังดูแข็งแรงดีจ้องมองร่างตรงหน้าอย่างปรารถนา เขาลงนั่งยองๆ ข้างหน้าเด็กหนุ่ม ที่ตื่นกลัวและดูไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมาอยู่ในสภาพนี้ได้”
พูดเรื่องอะไร!
“หึ แปลกจริง ดูท่าเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย งั้นคำถามง่ายๆ นะเจ้าชื่ออะไร”
ริมฝีปากบางเปิดออกเหมือนจะเปล่งเสียง แต่ก็ต้องปิดลงเมื่อไม่รู้จะพูดอะไรออกมา สองคิ้วขมวดลงเพื่อนึกคิด
นั่นสิเราชื่ออะไร?
เราเป็นใคร?
เราเป็นใคร?
หยาดน้ำใสเอ่อขึ้นมาอีกเมื่อตระหนักได้ว่าตนลืมสิ้นทุกสิ่ง เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าจะจำได้ แต่พอจะนึกให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาก็ทำไม่ได้เลย หน้าหวานขบริมฝีปากตัวเองแน่นด้วยความปวดใจ
“จำไม่ได้รึ? หรือแกล้งจำไม่ได้? หึๆๆ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังต้องไต่สวนเจ้าตามหน้าที่ล่ะนะ” สายตาหื่นกระหายจ้องเหมือนจะกลืนกินก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไล้ในส่วนผิวราบที่ท้องน้อย ฝ่ายนั้นสะดุ้งหนีมือหยาบอย่างหวาดกลัว แต่ก็มิอาจขัดขืน มือนั้นไล่ขึ้นไปยังยอดออกสีชมพูก่อนจะบีบแน่นลงจุดนั้น
“อ๊ะ! อย่า”
“โอ้ พูดได้ด้วยมิได้ใบ้หรอกรึ” นิ้วกร้านคลึงเค้นอย่างสนุกกับยอดแดงที่เริ่มแข็งเป็นไตตามอารมณ์ซ่านร้อน ผู้ถูกกระทำรู้สึกได้ว่าเริ่มร้อนไปทั่วร่างโดยเฉพาะส่วนหว่างขา เสียงครางประท้วงขัดขืนดังหวานหู
“อ๊า อ๊ะ อื้อ ยะ อ้า ”
“ไหน บอกมาซะดีๆ ว่าใครส่งเจ้ามา”
“อื้มมม อื้อ”
“ปากแข็งจริง” ชายแก่ลามกก้มหน้าจมลงกับยอดอกอีกข้างขบกัดลงเบาๆ แล้วใช้ปลายลิ้นดุนดันอย่างรุนแรงสลับกับดูดดึงส่วนปลายนั้น ร่างเปลือยสั่นสะท้านน้อยๆ เสียงโซ่เหล็กกระทบผนังจากการบิดเร่าพยายามหนีการสัมผัสของอีกฝ่าย สองมือเอื้อมลงไปลูบไล้ที่ขาอ่อนด้านในแล้วบีบเค้นเข้ากับส่วนโคนขาหนีบส่งผลสะท้านไปถึงท่อนเนื้อนุ่มนิ่มที่เริ่มพองแข็งขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้สัมผัสโดยตรง
“อ๊าาา! อ๊ะ อ๊ะ ไม่” ฝ่ามือจับแน่นกับโคนขาแล้วใช้นิ้วโป้งกดวนหยอกเย้าใกล้ๆกับเนื้อนิ่มที่เป็นส่วนฐาน ชายแก่หัวเราะอย่างพึ่งใจที่ได้รังแกหน้างามไร้ทางสู้
กายท่อนบนขยับหนีปากสกปรกแต่สะโพกท่อนร่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาเขาเริ่มไหลปริมออกมา ทั้งกลัว ทั้งโกรธและสับสน และก็คิดอะไรไม่ออกซักอย่าง สำคัญยิ่งกว่านั้นหัวใจที่เต้นโครมครามนั้นรุนแรงเหมือนจะทะลักออกมา ทรมาน หายใจไม่ออก เหมือนจะช็อคตายเพราะใจเต้น
ใครก็ได้
------------------------------
เหล่าทหารเวรวิ่งวุ่นไปให้ทั่วสร้างความประหลาดใจให้ทหารองครักษ์ที่ลงมาเดินทอดน่องหลังจากได้ผลัดเวรเป็นอย่างมาก เครื่องแบบขององค์รักษ์นั้นต่างจากพวกทหารเวรยามระดับล่างเล็กน้อย ด้วยมีเครื่องประดับยศเป็นดาวสีเงินกลัดอยู่ที่หน้าอก
เขาเห็นท่าทางร้อนรนและเสียงตะโกนให้ตามหาคนวุ่นกันไปหมดจึงรั้งทหารเวรคนหนึ่งที่วิ่งผ่านหน้าให้หยุดเพื่อถามความ
“เกิดอะไรขึ้น มีคนลอบเข้ามารึ”
“ใช่ขอรับ ตอนนี้จับผู้ลักลอบมาได้คนหนึ่ง แต่คาดว่าจะมีคนอื่นอีกจึงพยายามตามหากันขอรับ”
“แล้วมีคนไปทูลฝ่าบาทแล้วรึยัง”
“น่าจะยังขอรับท่านหัวหน้ากองทหารเวรสั่งไม่บอกเพราะเห็นว่าดึกแล้ว”
“บ้าน่า!ถ้ามีคนลอบเข้ามาในพระราชฐานชั้นในขนาดนี้ จะไม่แจ้งฝ่าบาทให้ระวังพระองค์ได้อย่างไร ไร้สาระ แล้วเจ้าคนที่จับได้ลักษณะเป็นอย่างไร”
“น่าจะเป็นต่างชาติ เป็นเด็กหนุ่มผิวขาวผมยาวสีม่วงอ่อนขอรับ แต่ว่าไร้อาวุธและดูไร้ทางสู้ด้วยไม่แน่ใจว่าเป็นนกต่อหรือมีจุดประสงค์อะไรกันถึงส่งคนไร้ความสามารถแบบนี้เข้ามาได้”
“นำไปขังไว้ที่คุกใต้ดินรึยัง”
“ยังขอรับ ท่านหัวหน้ากองทหารเวรขังไว้ในห้องบัญชาการขอรับ”
“แปลกจริง เอาเถอะเดี๋ยวข้าจะไปทูลฝ่าบาทเอง”
-------------------------------------
ก่อนหน้านั้นมินานเท่าไรกษัตริย์แห่งสปันเทียผู้มีตำแหน่งเป็นองค์ราห์โอ กำลังนั่งเล่นหมากรุกอย่างเอาเป็นเอาตายกับคนสนิท เขาสวมฉลองพระองค์ที่เป็นผ้าฝ้ายแขนยาวขายาวสบายๆทั้งเสื้อยาวและกางเกง สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงเพลิงตัดกับผ้าขาว ผมหยักน้อยๆสีดำดูชื้นไม่เป็นทรง หน้าเข้มเท้าแขนลงกับโต๊ะหมากรุกพลางกวาดสายตาคมปราดไปยังตัวหมากตรงหน้า
“ฝ่าบาท...” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มมีลักษณะดูดีทั้งรูปร่างหน้าตาและกิริยาอยู่ในชุดนอนสบายๆคล้ายกันเพียงแต่ไม่ได้สวมเสื้อคลุมรุงรังนั่งอยู่อีกฟากของกระดานหมากรุก หน้าตาเขาเบื่อหน่ายอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด
“อะไร ลากลอซ”
“ปล่อยกระหม่อมไปนอนเห๊อะ”
“เจ้าก็หลับไปเล่นไปก็ได้นิ เดี๋ยวพอถึงตาเจ้าข้าปลุกเอง”
คนสนิทถอนใจยาวแล้วแล้วนวดขมับตัวเองเบาๆ
“ฝ่าบาทก็น่าจะไปบรรทมได้แล้วนะ มันดึกแล้วนา”
“ก็ข้าไม่ง่วงนิ”
“ไม่ง่วงหรือแค่ไม่อยากนอน ท่านเกรงว่าจะฝันแบบนั้นอีกใช่ไหมเล่า”
ฟารันราห์โอเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย
“ข้าก็กำลังแก้ปัญหาเรื่องนั้นอยู่ไง”
“กระหม่อมทูลตามตรงนะ การเล่นหมากรุกไม่ช่วยให้ความลามกโสมมคาวโลกีย์ในใจฝ่าบาทมันลดลงหรอกนะ”
“เฮ่ย พูดดีหน่อยๆ”
“ก็หรือไม่จริงเล่า ฝ่าบาทพยายามหาอะไรทำเพื่อดึงความสนใจจากฝันบาปๆหื่นๆของฝ่าบาทมากี่ครั้งแล้ว มันก็ไม่ได้ผลเสียหน่อย ฉะนั้นก็ปล่อยมันไปเหอะ ยังไงพระองค์ก็ได้แต่ฝันทำจริงไม่ได้อยู่แล้วจะกลัวอะไร”
“เรื่องจำพวกนี้แค่คิดก็บาปแล้ว การที่ข้าฝันสกปรกกับองค์เทพนี่ยังไม่น่าเป็นห่วงอีกรึ”
“นี่ฝ่าบาทจะทรงรู้สึกผิดขนาดนี้ไหมเนี่ยถ้าฝ่ายที่ถูกกระทำในฝันต่ำช้าของฝ่าบาทเป็นเทวีอนามอเฟีย”
“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงไม่ เพราะยังไงนางก็ต้องลงมาเป็นมเหสีของข้าอยู่แล้วจะฝันหรือทำจริงก็ไม่ผิดหรอก.....แต่พูดไปก็เท่านั้นมันเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้วนี่”
ฟารันหมายถึงพิธีกรรมอันเชิญเทพที่จัดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนและก็ล้มเหลวไปอย่างไม่เป็นท่า แม้นตัวเขาเองไม่ต้องการมีมเหสี แต่การมีสตรีรูปงามมาอยู่ข้างกายคงช่วยให้ความฝันฟุ้งในใจหายไปได้บ้าง การมีเมียเป็นตัวเป็นตนอาจช่วยให้เขามีขอบเขตจัดการกับไฟราคะที่สุมอกได้แทนที่จะไปลงกับพวกนางโลมที่ไม่ช่วยอะไรเลย
เพราะฝันบาปๆนั่นเอง ที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ก่อนหน้าที่จะฝันความปรารถนาของเขาก็มีอย่างปรกติเท่าๆกับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ทั่วๆไป แต่เพราะฝันนั่นแหละฝันที่ดำเนินนานมาร่วมสองเดือนที่แปรใจเขาให้ร้อนรุ่มจนการเยือนหอนางโลมเป็นไปอย่างถี่ขึ้น
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ด้วยคนที่อยู่ในฝันเขานอกจากเป็นเทพแล้ว...ยังเป็นผู้ชายอีกด้วย
“วันนี้มีแต่เรื่องน่าโมโห ทั้งเรื่องฝันที่ไม่ยอมหายไปและเรื่องพิธีกรรมบ้าบอนั่นอีก”
เขากล่าวขึ้นพลันนึกถึงพิธีอันเชิญเทพที่แสนจะไร้สาระและองค์เทวรูปองค์ปฐมที่ตอนนี้ไม่อาจมั่นใจได้ว่าศักดิ์สิทธิ์จริงไหม
ที่มาขององค์เทวรูปมหัศจรรย์นี้ว่ากันว่าแต่เดิมเมื่อสมัยองค์ราห์โอองค์แรกก่อตั้งสปันเทีย มีเรื่องเล่ากันว่าองค์เทพได้ประทานเทวรูปองค์ปฐมให้เป็นขวัญเมืองแก่สปันเทียไว้สององค์ คือเทพแห่งความงามเทวีอนามอเฟียและเทพแห่งความสมบูรณ์โรเรเนส
เทวรูปทั้งสองนั้นถูกประดิษฐานอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างอยู่ ณ ใจกลางพระราชวัง ตัววิหารนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นักด้านในมีจตุรัสโล่งกว้างอยู่ตรงกลาง สองฟากของจตุรัสมีห้องเล็กๆอยู่ห้องละฝั่ง ฝั่งขวาเก็บองค์เทวรูปของเทพโรเรเนสส่วนห้องฝั่งซ้ายเก็บองค์เทวรูปของเทวีอนามอเฟีย
พิธีกรรมอันเชิญเทพเกิดขึ้นที่ห้องฝั่งซ้ายที่ประดิษฐานองค์เทวีผู้ที่กล่าวกันว่างามว่าสตรีใดใดในสามโลกเมื่อช่วงหัวค่ำ เพื่ออันเชิญพระองค์ลงมาเป็นมเหสีของฟารันองค์ราห์โอองค์ปัจจุบัน
ตามตำนานเล่ากันว่า มีแต่เทวรูปองค์ปฐมนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำพิธีอันเชิญเทพได้ โดยทั้งรูปร่างหน้าตาทุกอย่างถูกเล่าว่าเป็นลักษณะที่แท้จริงขององค์เทพ ดังนั้นเห็นเทวรูปขององค์เทวีอนามอเฟียงามเท่าใด ตัวจริงของพระนางก็งามเท่านั้น
เช่นนี้วิหารนี้จึงเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีแต่คนในราชวงค์และนักบวชชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปภายใน ด้วยมนุษย์ปุถุชนไม่คู่ควรพอที่จะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงขององค์เทพ
ทว่าเรื่องนี้อาจจะต้องเปลี่ยนไป
เมื่อมีสิ่งที่สั่นคลอนความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เทวรูปไปเสียแล้ว ด้วยพิธีอันเชิญเทพนั้นล้มเหลวเพราะองค์อนามอเฟียไม่ลงมาสถิตยังเทวรูป เทวรูปในวิหารจึงยังคงร่างเป็นหินอยู่ดังเดิม
ตอนที่พิธีกรรมจบลงเทวรูปขององค์พระแม่ก็ไม่มีที่ท่าว่าจะเปลี่ยนไปเลย ยังคงร่างเป็นอิฐหินอยู่เช่นเดิมมิได้กลายเป็นร่างเนื้อหนังของมนุษย์ ท้ายแล้วองค์ราห์โอก็เกิดรำคาญใจจึงบอกให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปเสีย แม้ว่าหัวหน้านักบวชจะขอให้มีคนเฝ้าวิหารไว้ก่อนเพราะยังไม่ทราบได้ว่าองค์เทวีจะกลายร่างเป็นคนเมื่อใด อาจเป็นวันหรือนานเป็นเดือนก็เป็นได้
แต่ฟารันก็ไม่ฟังเขากลับคิดเสียว่านี่เป็นเพียงพิธีกรรมโบราณที่งมงาย ไม่เคยมีบันทึกด้วยซ้ำว่าเคยทำได้จริงมีแต่ขั้นตอนไม่กี่ข้อให้ทำตามเท่านั้น เขาโกรธเพราะรู้สึกโง่ ที่หลงเชื่อไปได้ว่าก้อนอิฐก้อนหินจะกลายร่างเป็นคนจริงๆไปได้
มันไร้สาระที่สุด หากเทวรูปนี้มิใช่ของปลอมพิธีกรรมนี้ก็เป็นพิธีกรรมที่เป็นไปไม่ได้มาแต่แรกแล้ว
โกรธตัวเอง โกรธนักบวช พาลโกรธไปยังเทวรูปและองค์เทพ
เช่นนี้เขาจึงไล่ทุกคนไปเสียให้พ้นบริเวณแล้วสั่งไม่ให้ใครเข้าใกล้วิหารอีกจนกว่าเขาจะอนุญาต และนั้นมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
วิหารถูกทิ้งให้ตกอยู่ในความสงัดเช่นเดียวกับตอนก่อนจะมีใครเขาไป ไม่ได้เผื่อใจไว้เลยว่าจะเกิดเหตุอันใดภายในวิหารนั้น
ฟารันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเอนหลังลงพิงกับพนักเก้าอี้ ไม่กี่อึดใจจากนั้นองครักษ์คนหนึ่งก็วิ่งมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องบรรทมแล้วคุกเขาข้างหนึ่งลงเคารพองค์ราห์โอ
“พระอาญามิพ้นเกล้า มีคนลักลอบเข้ามาถึงเขตพระราชฐานชั้นในพะยะค่ะ ตอนนี้จับได้แล้วหนึ่งคนพวกทหารเวรคาดว่ายังมีพวกมันอีกจึงตามหากันอยู่พะยะค่ะ”
“เฮ้ออ มันจะมาทำไมกันวันนี้ มีแต่เรื่องวุ่นๆทั้งวันเลยให้ตายสิ ถ้าจับได้แล้วก็เอาไปรวมๆที่คุกใต้ดินก่อนแล้วกัน ได้ความยังไงค่อยมาบอกข้าพรุ่งนี้เช้า”
“พะยะค่ะ”
“ว่าแต่ลักษณะมันเป็นยังไงล่ะเจ้าคนที่ถูกจับได้น่ะ ฤทธิ์เยอะมากไหม”
“ไม่พะยะค่ะ เห็นพวกทหารเวรบอกว่าน่าจะเป็นตัวเบนความสนใจเสียมากกว่า เพราะอ่อนแอจนไม่น่าทำอะไรได้ รูปร่างหน้าตาก็น่าเป็นเด็กหนุ่มต่างชาติ เพราะมีผิวขาวและผมยาวสีม่วงอ่อนพะยะค่ะ”
ฟารันตาเบิกโพลงแล้วตะโกนถามอย่างร้อนใจ
“ตอนนี้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน!”
“เอ่อ...หะ ห้องหัวหน้ายามอะ ฝ่าบาทเดี๋ยว!จะทรงไปไหน อย่าออกไปยามนี้นะพะยะค่ะ”
ฟารันวิ่งออกจากห้องไปอย่างไม่ลังเลโดยมีทหารองครักษ์วิ่งตามไปห้ามอยู่ติดๆ เหลือแต่ลากลอซที่นั่งอึ้งอยู่ที่เดิม
หรือว่า....แทนที่เทวีจะลงมาแต่กลับเป็น....
--------------------------------------------
ตอนฟารันไปถึงนั้นความรู้สึกมากมายทะลักจนเขาต้องชะงัก ทั้งตกใจ สับสน โกรธ ปิติ แต่ที่รู้ๆอารมณ์ที่รุนแรงที่สุดในทั้งหมดส่งเขาให้พุ่งออกไปกระชากชายแก่ลามกที่กำลังไซ้ซอกคอเด็กหนุ่มที่ตัวสั่นทั้งน้ำตากระเด็นออกไปไกลก่อนจะนำเสื้อคลุมของตนคลุมร่างนั้นไว้ แล้วดิ่งไปตบฉาดใหญ่เข้าที่หน้าชายแก่
“สวะ!กล้าทำแบบนี้ในวังของข้าหรอ”
“พระอาญามิพ้นเกล้า แต่ชะชายผู้นี้เป็นแค่”
“หุบปาก!แล้วกุญแจมา” เขาคว้ากุญแจที่ผู้น้อยยื่นให้อย่างหวาดกลัวไปปลดพันธนาการคนถูกยึดติดกำแพง อีกฝ่ายที่กลัวจนตัวสั่นโผเข้ากอดร่างสูงและเพ้อพูดออกมาโดยไม่ได้คิด
“ฟารัน” ถูกเพรียกหาด้วยเสียงอันบางเบาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องเป็นชื่อนี้
“ฮึก ฟารัน”
เจ้าของชื่ออุ้มอีกฝ่ายขึ้นด้วยสองแขนแกร่งแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดไม่จา
------------------------------------------------
ห้องนอนขนาดใหญ่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายเดิมถูกใช้เป็นห้องที่เตรียมไว้สำหรับว่าที่องค์มเหสี แต่ด้วยเวลาจำกัดจึงจัดแจงให้เด็กหนุ่มปริศนาเข้ามาพำนักเสียก่อน เขาได้รับการตอนรับเป็นอย่างดีทั้งได้ชำระร่างกายนุ่งเสื้อผ้าและทานนมอุ่นๆตอนที่อยู่บนเตียง หลังจากวางแก้วลงในถาดที่หญิงรับใช้ถืออยู่ไปเมื่อครู่เขาก็ต้องฉงนในท่าทีของคนมากมายที่อยู่ในห้อง
ที่ข้างกายเขามีชายที่ตนเรียกไปว่าฟารัน และที่ปลายเตียงมีชายชุดขาวโกนหัวเกลี้ยงหลายคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นชายชราที่ดูสูงศักดิ์กว่าคนอื่นเขาก้าวออกมาแล้วลงก้มคำนับจนหน้าผากจรดพื้นแล้วคนอื่นก็เริ่มทำตามรวมทั้งฟารันด้วย
“ขออภัยองค์เทพที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น จนทำให้เกิดเรื่องร้ายกับท่านทรงอย่าพิโรธพวกทหารโง่เลย พิธีกรรมอันเชิญเทพจัดขึ้นอย่างลับๆพวกทหารไม่รู้ได้ว่าจะมีองค์เทพลงมาจุติ อีกทั้งพวกข้าพเจ้ามิได้อยู่เฝ้าวิหารให้นานพอจึงไม่มีใครไปรับตัวท่านให้สมเกียรติต้องโปรดอภัยด้วย”
ชายชราเอ่ยขึ้นทั้งยังไม่เงยหน้า พวกเขาค้างอยู่ในท่านั่นเหมือนรอให้เด็กหนุ่มตอบรับอะไรบางอย่าง ตัวเขานั้นยังไม่เข้าใจอะไรนักแต่เขาก็ไม่ตระหนกมากกับท่าทางนอบน้อมที่คนอื่นมีให้ เพราะเขารู้สึกได้ว่าเคยเห็นภาพผู้คนคำนับตนมาบ่อยครั้งแล้วเพียงแต่นึกว่าไม่ออกว่าอย่างไรหรือเมื่อใด เช่นนี้เขาจึงส่งเสียงตอบรับออกไปอย่างแผ่วเบาเพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นมานั่งตามปรกติ
“เหตุใดท่านถึงลงมาแทนองค์เทวีอนามอเฟีย” ฟารันเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบเฉยไม่มีทีท่ายำเกรงแต่อย่างใด ตามวิสัยของคนที่อยู่จุดสูงสุดผู้ไม่เคยต้องนอบน้อมกับใคร
ทว่าตาเศร้ากลับเลื่อนลอยก่อนหลุบลงและไร้คำตอบ
ทำไมถึงเป็นเรา?
นั่นสิทำไมเราถึงอยู่ที่นี่?
แล้วก่อนหน้านี้เรามาจากไหน?
เราเป็นใคร?
คิ้วน้อยๆขมวดหากันอย่างหนักใจ ความรู้สึกบางอย่างบอกได้ว่าที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ตัวเขาไม่คุ้นเคยไม่ใช่ร่างกายของเรา แต่ก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้ เมื่อความเงียบเข้าครอบคลุมหัวหน้านักบวชจึงกล่าวทำลายความเงียบขึ้น
“อย่าพึ่งซักไซ้ท่านเลยฝ่าบาท ร่างกายมนุษย์ยังใหม่และอ่อนแอนักให้องค์ท่านได้พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูกำลังก่อนเถิด” ฟารันพยักหน้าอย่างช้าๆโดยไม่ละสายตาออกจากคนตรงหน้า จนคนถูกจ้องรู้สึกร้อนแปลกๆบนผิวหน้า
ทุกคนลงคำนับเขาอีกครั้งก่อนจะค่อยๆทยอยเดินออกไป องค์ราห์โอออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขาหันมามองเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนประตูบานใหญ่จะปิดลง
แล้วชายเกศม่วงก็ถึงกาลหลับใหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
-----------------------------------
ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ รบกวนคอมเมนต์ด้วยน้าาา
ความคิดเห็น