คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Syrup 1
ท้องฟ้าสีสางถือเป็นกาลปกติของที่แห่งนี้ ทั่วทั้งบริเวณมีรัศมีสว่างไสวนวลสะอาดอย่างไร้แหล่งกำเนิด กลิ่นหอมหวลของไม้นานาพันธุ์ฟุ้งขจรคละเคล้าจนมิอาจแยกแยะ ไร้โมงยามดั่งสำแดงอยู่มานานชั่วกัลป์ ไร้ขอบเขตดั่งเส้นขอบฟ้าที่ร่นถอยห่างออกไปทุกขณะ เรียกขานกันอย่างดาษดื่นว่า สวรรค์หากแต่ในที่นี้เราจะขอเรียกว่าโลกเทพ
ล้านกัปล้านกัลป์มิอาจกล่าว ณ ที่ซึ่งเหล่าทวยเทพสถิตอยู่อย่างรื่นภิรมย์ใจ เลื่อนไหลเวียนผ่านทุกสิ่งเป็นอนัตตาตั้งอยู่แล้วดับไป เอกบุรุษหนึ่งที่ตั้งอยู่ ณ ขณะที่กล่าวมีนามว่าเทพโรเรเนส ผู้ทรงสถิตอยู่ในวิมาน
ภายในวิมานอันโอ่โถง มีลูกแก้วใบหนึ่งซึ่งโรเรเนสเฝ้ามองอย่างใส่ใจอยู่ทุกวัน มันเป็นดวงแก้วใสใบใหญ่เท่าตัวคนสะท้อนภาพมากมายซ้อนทับกันไปมา เหล่านั้นที่เห็นอยู่เป็นบรรดาทุกชีวิตที่อยู่บนโลก หน่วยตาเรียวปรืองดงามจดจ้องหน้าต่างส่องโลกใบนี้อย่างเหม่อลอย ริมฝีปากบางได้รูปขบลงเล็กน้อยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขานั่งนิ่งอยู่หน้าสิ่งนี้โดยไม่ขยับเลยสักนิด แสงสะท้อนของดวงแก้วสาดเข้าตัวยิ่งขับให้วงหน้าหมดจดน่าหลงใหลยิ่งขึ้น มันสะท้อนไล่ขึ้นไปยังกระบังหน้าสีเงินที่ประดับอยู่บนเรือนผมยาวสีม่วงจาง ทอดเป็นเงาพาดลงไปถึงครุยสีขาวเหลือบที่ชายแผ่กว้างไปกับพื้น
จดจ้องอย่างหลงใหล องค์เทพแห่งความอุดมเอื้อมนิ้วเรียวของตนไปแตะอย่างแผ่วเบาที่แก้วเบื้องหน้า
เขาชื่อ ฟารัน บุรุษมนุษย์ผู้นั้นมีชื่อว่าฟารัน
ปรากฏชัดเห็นเป็นภาพของวงหน้าเข้มคมสันชวนพิศขึ้นบนใบแก้ว ผมสีดำเงาชุ่มโชกราบติดไปกับศีรษะ กล้ามเนื้อเนียนแน่นสมส่วนชวนละลายเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำ เห็นชัดแทบทุกส่วนที่อยู่พ้นผิวน้ำที่สูงเพียงแค่ต้นขา สองมือแกร่งกวัดน้ำขึ้นลูบเนื้อตัวอย่างถ้วนถี่
โรเรเนสมองภาพตรงหน้าอย่างเพ้อพินิจ ครั้นความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้ามาทำให้ผิวแก้มสีขาวนวลแปรเป็นสีแดงจัด สายตาหวานเศร้าเขม็งมองอย่างจดจ่อ
บางสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายกับตัวเองได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกพิกลที่ไม่มั่นใจว่าคือสิ่งใด หากแต่ก็ทำให้เขารับรู้ว่าตนเองไม่อาจละสายตาไปจากชายคนนี้ได้เลย
ทว่าจนเมื่อเสียงกระทบของที่เคาะประตูโลหะดังขึ้นที่ด้านหลัง การลอบมองทุกอย่างจึงจบสิ้นอย่างรวดเร็ว เพียงกวาดมือผ่านใบแก้วแล้วภาพทั้งหมดก็ปลิวหายไปขณะเดียวกับที่บานประตูหินอ่อนบานเขื่องถูกผลักเข้ามา
“โรเรเนสท่านทำอะไรอยู่” ชื่อถูกเอ่ยขึ้นจากชายผู้เข้ามา ร่างกายสมบูรณ์สมบุรุษเพศ พร้อมเครื่องเกศสีแดงเพลิงปรากฏอยู่ที่ประตู เทพเฟรทริส องค์เทพแห่งนักรบ นั่นคือพระนามของท่าน ผมหยักศกที่เคยยาวระบ่าถูกรวบขึ้นเป็นหางม้า ตาโตคมกร้าวบ่งบอกถึงลักษณะที่มุ่งมั่น ต่างหูห่วงทองห้อยประดับอยู่ทั้งสองข้าง ร่างกายท่อนบนเปิดเผยชัดเจนแก่ทุกสายตา ด้วยเพราะครุยที่สวมทับอยู่นั้นเป็นผ้าตาข่ายสีทองขลิบขอบแดงเนื้อบางเบาดั่งผ้าส่าหรี สองขาสวมกางเกงแบบอินเดียโบราณสีเลือดยาวกรอมเท้าก้าวเข้ามาอย่างผึ่งผาย เมื่อย่างเข้ามาจวนประชิดตัวจึงเห็นถึงสัดส่วนที่ต่างกันอย่างชัดเจน โรเรเนสสูงเพียงระดับตาขององค์เทพผู้เป็นพี่เท่านั้น
“ท่านพี่...ข้ารออยู่พอดี” เจ้าของตาเชื่อมอึกอักตอบเล็กน้อย ตาคมมองเห็นถึงพิรุธจึงยิ้มหยอกก่อนจะชะเง้อมองข้ามไหล่อีกฝ่ายไปยังลูกแก้วด้านหลัง แต่เห็นเพียงลูกแก้วที่ฉายภาพทั่วๆ ไปเท่านั้นจึงไม่ได้เอะใจอันใด ได้แต่ถามไปอย่างซื่อบริสุทธิ์ตามนิสัยกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“งานท่าจะหนักนะท่าน กรำงานถึงกับหน้าแดงเชียว” เฟรทริสเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบไม่ใคร่จะฉุกใจใดๆ เลย แต่ตาเศร้าก็หลุบหนีด้วยร้อนตัวก่อนจะช้อนมองอย่างตรงๆ
“ก็ทั่วไปล่ะท่านไม่มีอะไรหรอก”
“งั้นรึ อืม..ดีล่ะ งั้นเราไปกันดีกว่าก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้”
เขาเอ่ยอย่างธรรมดาที่สุด ก่อนจะเดินนำหน้าเจ้าของบ้านเข้าไปในห้องด้านใน โดยไม่สนเรื่องมารยาทใดๆ
สองพี่น้องต่างสายเลือดนั้นเป็นเช่นนี้
คนหนึ่งกล้าหาญ เคร่งครัด และซื่อตรงเป็นที่สุด ทุกสิ่งในใจฉายออกมาทางตาคมใสอย่างชัดแจ้ง
อีกคนเงียบขรึม ถือตัว แฝงด้วยความเร้นลับนับร้อยประการใต้วงหน้างามและตาเศร้า
ภายในห้องที่ทั้งสองเดินเข้าไปนั้น เป็นห้องโถงกว้างหลังคานั้นเปิดโล่ง ที่พื้นผิวเบื้องล่างถูกปกคลุมไปด้วยผืนหญ้านิ่มหนาทว่าสภาพแวดล้อมก็ดั่งป่ารกชัฏ แต่จะดูดีกว่าเสียหน่อยด้วยพันธุ์พืชนับล้านๆ ชนิดซึ่งถูกจัดหมวดหมู่และจัดเรียงกันอย่างดี ตั้งแต่ต้นไม้ใหญ่สิบคนโอบไปยังตะไคร่น้ำก็ยังมี ด้วยนี่คือห้องทำงานของเทพเจ้าของวิมานองค์นี้นี่เอง
หากสิ่งที่ทั้งสองสนใจนั้นมิใช่เหล่าพฤกษา แต่คือซาลาเปาลูกใหญ่สูงห้าเมตรวางอย่างสงบนิ่งอยู่ ณ ใจกลางห้องต่างหาก....ใช่ซาลาเปาขาวๆ นุ่มๆ
องค์เทพผู้สวมครุยสว่างเยื้องกลายเข้าไปใกล้ ใช้มือตบเบาๆ ที่ซาลาเปายักษ์สองสามครั้ง แล้วซาลาเปาก็เปลี่ยนพื้นผิวขาวละเอียดเป็นขนฟูฟ่องขึ้นมาในบัดดล ก้อนนิ่มกลมก็กลายร่างเป็นแมวอ้วนพันธุ์สก๊อตติสโฟล(หูตูบ) ขนหนาสีขาวสะอาดตา มันผงกหัวขึ้นมามองเจ้าของด้วยสายตาง่วงงุน ก่อนจะค่อยๆ ยืนเหยียดแข้งขาจนหางสั่นไล่ความขี้เกียจออกไป แล้วนอนหมอบต่ำเพื่อให้นายของตนขึ้นขี่หลัง
นี่คือท่านเทพเลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าว สัตว์เทพพาหะนะของโรเรเนส ท่านองค์เลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าวทรงเป็นมหาเทพแห่งแมวทั้งปวง ยิ่งใหญ่กว่าราชาราชสีห์ทั้งสิบสองโลกรวมกัน มวลมนุษย์นั้นนับถืออย่างทั่วถึง ทรงมีวิหารประจำองค์เยอะเสียยิ่งกว่าเทพโรเรเนสนายของตนเสียอีก ด้วยทรงมีพระวรกายฟูนุ่มอุดมสมบูรณ์จนเกือบเผละจึงถูกเรียกว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวยและโชคลาภ มีฤทธาสูงส่งด้วยกรงเล็บศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดภัยร้ายและจอมมารทั้งปวงได้อย่างหมดจด มนุษย์ผู้ใดมีพระฉายาหรือรูปเคารพไว้บูชาจะประสบพบแต่ความมั่งคั่งดังนี้เอย...
ทว่าโรเรเนสกลับเรียกท่านด้วยพระฉายาน่าเอ็นดูว่า ซาลาเปา ซึ่งมีแต่โรเรเนสเท่านั้นที่เรียกได้ เทพอื่นใดแม้นจะเป็นถึงมหาเทพทั้งสี่ก็มิมีอำนาจจะเรียกซาลาเปาได้เลย หากเรียกก็ต้องเรียกด้วยความนอบน้อมบูชาอย่างเต็มยศว่า เทพเลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าว เสียทุกครั้ง
โรเรเนสยกมือลูบศีรษะท่านซาลาเปาด้วยความเอ็นดูเพียงหนึ่งครั้ง เครื่องทรงประดับพระองค์ก็ปรากฏขึ้นมา พร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง เจ้านายรูปงามขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังท่านตัวฟูก่อนจะมองลงมาที่เทพเฟรทรีสด้วยตาฉงนเล็กก็น้อย
“ท่านพี่จะทรงซาลาเปาไปกับข้ารึ แล้วท่านอามินอสล่ะ” เพียงแค่ได้ยินนามนั่นเพียงนิดเดียว สีหน้าของเฟรทรีสก็แปรเปลี่ยนเป็นเบื่อหน่ายเสียพื้นไปอย่างนั้น เค้ากลอกตาไปมาก่อนจะเอ่ย
“อย่าพึ่งพูดถึงเจ้านั่นได้ไหม พี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าได้คนแบบนี้มาร่วมชายคา” ผู้กล่าวนั้นหมายถึงเทพพาหนะของตนนั่นเอง พาหนะของเทพเฟรทรีสมิใช่สัตว์เทพแต่เป็นองค์เทพกึ่งสัตว์เสียมากกว่า ลำดับชั้นนั้นก็บารมีสูงทัดเทียมเขา ปากคอเรอะร้าย กวนประสาท เทพอามินอสจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเทพเฟรทรีสมาโดยตลอด
“ท่านพี่น่าจะดีกับเค้าหน่อยนะ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ร่วมวิมานกัน”
ผู้ฟังส่ายหัวเหนื่อยหน่ายเมื่อปีนขึ้นหลังแมวยักษ์ ทั้งสองจัดระเบียบร่างกายให้เหมาะเจาะแก่การทรงแมวเพื่อเดินทาง เมื่อเรียบร้อยดีแล้วโรเรเนสก็หันไปมองดวงแก้วใบใหญ่ที่อยู่อีกห้องเป็นครั้งสุดท้าย คนด้านหลังรู้ได้ถึงกิริยานั้นจึงมองตามจนเห็นภาพปรากฏที่ชัดเจนของบุรุษเกศดำเจ้าของเนตรเหยี่ยวนามว่าฟารันผู้นั้นฉายขึ้นบนผิวแก้ว เมื่อเลื่อนดวงตาสีเขียวมรกตของตนมามองหน้าสวยของอีกคนก็เห็นชัดถึงสายตาพบเพ้อเสน่หาอย่างชัดเจน แววหึงหวงริษยาวาบขึ้นที่ตาคมเขียวคู่นั้น เทพเกศเพลิงโอบแขนกอดน้องชายจากด้านหลัง ยื่นหน้ากระชั้นใบหูแล้วเอื้อนเอ่ยกระเซ้าเล่น
“จะมองอีกนานไหมน้องพี่ หากสายกว่านี้ข้าคงต้องลงโทษเจ้าเหมือนครั้งเยาว์นั่นแน่” ตาหวานเชื่อมสะดุ้งจากการกระทำของพี่ชาย ใบหน้าฉับพลันซ่านแดงก่อนจะดึงจิตกลับมาให้นิ่งแล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบไม่หวั่นไหว
“เทพเฟรทริส ทำตัวรุ่มร่ามแบบนี้ไม่กลัวโดนฟันหัวหรือไร” ผู้ฟังอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจออกมา โรเรเนสยิ้มเหยียดก่อนจะกล่าวต่อ
“ก็เป็นเสียอย่างนี้ บรรดาชายาทั้ง 8 องค์ถึงทิ้งท่านไปสินะ” คราวนี้เสียงหัวเราะขาดห้วงหายไปเหมือนดับเทียน กลายเป็นเทพองค์น้องเองที่หัวเราะลึกในลำคอออกมาแทน
แล้วท่านเทพเลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าว ก็ทะยานขึ้นสู่นภาสีทองที่มีดาวดารดาษกระจายอยู่ทั่วผืนฟ้า
---------------------------------
วิมานโอ่โถงวิจิตรด้วยเพชรพลอย ทั้งผนังและเสาอิฐถูกฉาบเรียบด้วยแผ่นทองที่เต็มไปด้วยอักขระแปลกตาที่สลักฝังลึกลงไปถึงเนื้อใน
ทว่าสิ่งนี้ก็เป็นแค่สิ่งหลอกตาเพราะถึงแม้จะสลักลงลึกแต่ตัวหนังสือทุกตัวก็มิได้อยู่นิ่ง มันวิ่งสลับกันไปมาเกิดเป็นลายซับซ้อนเหมือนลายน้ำกระเพื่อมอยู่ทั่วห้อง
ณ ที่นี้คือโดมแห่งสวรรค์เป็นที่ชุมนุมของเหล่าทวยเทพ ใจกลางมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ฉายภาพโลกเบื้องล่างเช่นเดียวกับลูกโลกใสสว่างที่เทพหลายองค์มีอยู่ที่วิมานตน เหล่าเทพมากมายมาพบปะสังสรรค์กันอย่างปกติ บ้างก็ไม่เป็นสาระบ้างก็ถกปัญหานานาที่พวกมนุษย์ก่อขึ้น
ด้วยสวรรค์นั้นมิได้แบ่งแยกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ในที่นี้จึงพบเห็นเหล่าเทพมากลักษณะต่างกันไปอยู่ปะปนกัน ทั้งสีผิว สีผมและเครื่องแต่งกายก็ผิดแผกกันอยู่ไม่ใช่น้อย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละวัฒนธรรมที่เทพองค์นั้นได้รับการบูชา จึงไม่แปลกเท่าใดนักที่จะเห็นเรือนผมสีม่วงอ่อนของผู้เป็นน้องและสีแดงฉานของผู้เป็นพี่อยู่เคียงกัน
ในยามนี้สองพี่น้องยืนเคียงกันพูดคุยจิปาถะกับองค์เทพหลายองค์ที่ผ่านไป เช่นเดิมดั่งปกติโรเรเนสตอบโต้ทุกคนด้วยกิริยาสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างพอเป็นพิธี ต่างกับพี่ชายที่โผงผางร่าเริงหัวเราะร่าไปกับสหาย ถึงแม้บางช่วงยังแสดงออกถึงความเศร้าโศกที่ถูกชายาทั้ง 8 ทิ้งไปจะโผล่ออกมาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อบทสนทนาเลยจนกระทั่ง...
เสียงฮือฮาจากเหล่าเทวีและนางอัปสรข้ารับใช้ที่เพ่นพ่านดูแลความสะดวกให้เหล่าเทพนั้นเริ่มส่งเสียงคิกคักเบาๆ ต้อนรับผู้มาใหม่
สองพี่น้องหันตามเสียงอย่างปรกติ ทว่าเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ย่างเข้ามา เทพเฟรทรีสก็ถึงกับชักสีหน้าทันทีแล้วหันหนีแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่บุรุษผู้นั้นก็ยังหมายตรงเข้ามาใกล้
ทุกสายตาที่มองไปนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม ด้วยผู้ที่มาใหม่มิใช่ใครอื่นไกลนอกจากจะเป็นเทพอามินอสผู้ที่เป็นทั้งพาหนะและอริร่วมบ้านของเฟรทริสนี่เอง
ผู้ที่ย่างเข้ามามีลักษณะติดตัวที่ชวนมอง ด้วยเรือนผมสีทองสว่างจนเกือบขาวถูกเสยขึ้นไปจนเห็นหน่วยตาคมรีและคิ้วสีน้ำตาลเข้มที่ตัดกันกับผมบลอนด์สว่าง จมูกโด่งจัดเป็นเอกลักษณ์ที่แม้นจะเห็นเรือนรางเพียงเงาหากเห็นร่างของสันจมูกก็รู้ได้ว่าเป็นใคร
ยิ่งมองด้านข้างพิศรวมคู่กันทั้งตาและสันจมูก ความคมเข้มที่เข้ากันของอวัยวะสองส่วนเห็นแล้วก็ถือว่าหล่อเหลาชวนละลายตาย ร่างสูงงามสง่ามาพร้อมกล้ามเนื้อมัดล่ำแน่นหนาเห็นสัดส่วนได้คมชัดสมบุรุษเสียยิ่งว่าเทพองค์ใดๆ ด้วยเจ้าตัวมิได้สวมอะไรเป็นกิจจะลักษณะแม้แต่น้อย นอกเสียจากสายประดับสีเงินหลายเส้นที่พาดห่อไหล่ทั้งสองข้างจนดูเผินเหมือนผ้าคลุม ปลายสายทั้งสองข้างถูกเก็บเข้าด้วยเข็มกลัดขนาดใหญ่ที่มีสีเดียวกันอยู่บริเวณอกด้านขวา ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงสีขาวพอดีตัวที่ถูกสวมให้เกาะเอวต่ำจนเห็นขนอ่อนรำไรที่ลากไล่ขึ้นมาถึงสะดือ
ม่านตาสีเทาลอยปรือเหมือนจะดูเย็นชาและเฉยเมย ทว่าแววตาคู่นั้นกลับส่อแววของคนขี้แกล้งออกมาได้อย่างเด่นชัด มุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เอื้อนเอ่ยคำทักทายที่ใช้กับเฉพาะบุคคลออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและคุ้นเคย
“ไงหัวแดง หนีข้ามาอีกแล้วนะ”
ผู้ฟังตอบกลับคำพูดนั้นด้วยหางตาขุ่นเคืองใส่ร่างสูงผู้เดินมาใกล้จนแทบประชิดตัวก่อนจะกล่าวตามด้วยน้ำเสียงกระด้าง
“ตามมาทำไม ทำไมไม่อยู่บ้าน”
เทพอามินอสเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจก่อนจะหรี่ตาลงแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ด้านเฟรทรีสนั้นก็มิสะท้านแต่อย่างใดกลับเชิดคางขึ้นมองอย่างถือตัว
กิริยาของทั้งสองฝ่ายทำให้ผู้ที่รายล้อมทราบได้ว่าจะเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นอีกแล้ว ดั่งเช่นที่ทั้งคู่ทำมาตลอดนั่นคือ ทะเลาะ...
“ทำไมเล่าเทพเฟรทริส อยากให้ข้าอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนนักหรือไง”
“ไม่ต้องมาปากดี ข้าไม่มีอารมณ์จะคุยกับท่านตอนนี้ “
“แต่ข้าอยากคุย เมื่อก่อนออกจากวิมานมาท่านไม่ยอมฟังข้าดีๆ เลย”
“ให้ตายสิ! เรื่องในบ้านก็กลับไปคุยกันที่บ้านสิจะเอาออกมาคุยข้างนอกทำไม”
“แล้วอยู่ในบ้านเราได้เจอหน้ากันซะเมื่อไร่เล่า ท่านก็หนีหน้าข้าตลอด ไปไหนมาไหนก็ไม่เรียกทั้งที่ข้าเป็นพาหนะของท่านแท้ๆ นี่ถ้าข้าไม่มาที่นี่อีกกี่แสนกัปกัลป์เราถึงจะได้คุยกันฮะ!”
เทพนักรบเม้มปากแน่นด้วยความหงุดหงิด รอบตัวพวกเขาเกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ส่งมาเป็นระยะจากเทพองค์อื่น ส่วนเพื่อนฝูงของเขาเดินหนีไปแล้วตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มเปิดปากเถียงกัน เหลือแต่เพียงโรเรเนส น้องเลี้ยงที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยเหตุใดก็มิทราบ
“น่าขันนักหรือไงน้องพี่” เฟรทริสหันไปดุน้องตน ฝ่ายนั้นจึงก้มหน้าลงเพื่อสำรวมกิริยาแล้วเอ่ยขอโทษด้วยเสียงใส
“อภัยข้าเถิดท่านพี่ ที่ข้านึกขันเพราะเห็นว่าท่านพี่ชอบทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อย เถียงบ้าง โวยวายบ้างนี่ยังไม่นับกิริยารุ่มร่ามที่ท่านชอบทำกับข้านะ ท่านนี่ไม่พัฒนาเอาเสียเลยทำไมไม่ยอมคุยกับท่านอามินอสเสียดีๆ เล่า”
“รุ่มร่าม!” อามินอสเบิกตามองโรเรเนสก่อนจะหันไปทางคู่กรณีตน
“อะไรกัน นี่แค่เมียทิ้งไปไม่นานถึงกับไปทำรุ่มร่ามกับคนอื่นเชียวรึ”
“หุบปากท่านไม่มีสิทธิ์มาพูดถึงพวกนางนะ ข้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า คนที่ถูกตำหนิควรเป็นท่านต่างหากที่เป็นต้นเหตุให้พวกนางหนีไปน่ะ!”
“เสียใจรึ? ถ้าเสียใจแล้วจะไปทำรุ่มร่ามกับคนอื่นทำไม แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายอีกตะหาก”
“หญิงหรือชายข้าก็มิสนหรอก”
“จริงรึ?”
“แน่นอน”
“เป็นเทพตรัสแล้วห้ามคืนคำนะ”
อามินอสเอ่ยพร้อมกับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จนอีกฝ่ายขนลุก เฟรทริสเกิดรู้สึกอึดอัดอย่างบอกมิถูกจึงหลบสายตาเทพหน้าหล่อแล้วมองไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยปดเสียงเรียบไร้ความสมจริงใส่น้องชายตนโดยไม่หันมามอง
“บังเอิญจังเลยเจอคนรู้จัก พี่ไปทักเขาก่อนนะน้องพี่” แล้วเขาก็เดินกระแทกไหล่ร่างสูงที่ยืนขวางหน้าอย่างไม่ยี่หระใดๆออกไป ฝ่ายถูกกระแทกมิได้โกรธแม้แต่น้อย แต่กลับยิ้มอย่างระอาก่อนจะขอลาเทพโรเรเนสเพื่อจะหันเดินตามอริร่วมบ้านของตนไป
โรเรเนสปล่อยขำออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินเรื่อยไปตามทางเดินโดยมิได้หยุดคุยกับผู้ใด
เขาเดินไปจนถึงแอ่งน้ำใหญ่ที่ใจกลางห้องแล้วย่อตัวลงนั่งที่ขอบสระเพื่อเหม่อมองภาพมากมายของโลกเบื้องล่างที่ถูกฉายขึ้น
ภาพที่เกิดมีคละเคล้ากันไปแต่ล้วนเป็นเหตุเกิดในเมืองมนุษย์ ซึ่งหากเป็นก่อนหน้าคงพูดได้ว่าไม่คุ้นตาเทพองค์นี้สักเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เริ่มเฝ้ามองชีวิตมนุษย์มาระยะหนึ่งความตื่นตาตื่นใจกับอาณาจักรที่สิ่งมีชีวิตนี้สร้างขึ้นก็เริ่มลดน้อยลง
เขามองภาพตรงหน้าอย่างเฉยเมยก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อภาพบุรุษผู้หนึ่งฉายขึ้นมา
นั่นฟารันนี่นา...
บุคคลเบื้องหน้ากำลังอ่านเอกสารที่ทูลเกล้าขึ้นมาอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าครุ่นคิด
โรเรเนสโน้มตัวลงไปใกล้สระน้ำเพื่อจ้องให้ชัดถนัดตาแล้วอมยิ้มอย่างพึงใจเล็กน้อยกับภาพตรงหน้า
“น่าทึ่งใช่ไหมเล่า”
เสียงนุ่มนวลจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้นที่ข้างตัว เทพหนุ่มละสายตามามองตามเสียงแล้วจึงยืนขึ้นน้อมศีรษะให้อีกฝ่าย
“เทวีมีเรีย บังเอิญเสียจริง” เทวีองค์ที่ว่ามิใช่ใครที่ไหนไกลนอกเสียจากเป็นเทพแห่งฤดูกาลผู้ซึ่งทำงานร่วมกับโรเรเนสมาตั้งแต่เริ่มแรก พระนางมีใบหน้างดงามหวานล้ำชวนมอง เกศสีน้ำตาลอ่อนบิดเป็นเกลียวน้อยๆ อย่างธรรมชาติเครื่องทรงเป็นผ้าลินินสีขาวสะอาดตายาวจรดไปยังพื้น ที่คอสวมอัญมณีทรงรีสีท้องฟ้าซึ่งมีปุยเมฆขาวลอยล่องไปมาในเม็ดอัญมณี ด้วยนี่คือสร้อยท้องฟ้าที่จะสะท้อนภาพตามฤดูกาลที่นางควบคุมอยู่ในขณะนั้น
นางหลุบตาลงมองไปยังภาพบุรุษที่สะท้อนอยู่ในสระน้ำ
“ฟารันนั้นถือเป็นมนุษย์ที่ฉลาดและน่าทึ่งยิ่งนัก ท่านว่าไหม?”
“ใช่ สปันเทียถือว่ามีกษัตริย์ที่ดี ทั้งที่อาณาจักรตั้งอยู่ในดินแดนร้อนระอุ ดินก็ยังเป็นดินปนทรายแต่กลับทำให้อุดมสมบูรณ์จนสร้างผลผลิตได้มาก ในฐานะเทพถือว่าไม่เสียแรงเลยที่ประทานพรลงไป”
“จริงด้วยท่าน ข้าล่ะอยากจะกระหน่ำฝนลงไปเสียจริงชาวเมืองจะได้เก็บไว้ใช้กันนานๆ น่าเสียดายท้องฟ้า ณ แดนนี้มิเอื้อให้มีฝนซักเท่าใดนัก”
“หาจำเป็นไม่ มีน้ำเท่านี้ก็เหลือเฟือแล้ว ก็ขุดคลองกันเสียทั่วแผ่นดินเท่านี้น้ำจากแม่น้ำสองสายใหญ่ที่ขนาบประเทศอยู่ก็ไหลเวียนไปเสียทั่วแล้ว”
“นั่นสินะ หึ...เก่งหรือก็เก่งรูปก็งามยิ่งนัก บางทีเห็นแล้วก็ใจละลายอยากจะจำแลงกายลงไปอยู่ด้วยเสียจริงๆ ดีไหมท่านโรเรเนส”
ผู้ฟังยิ้มเจื่อน แต่องค์เทวีคู่สนทนาก็มิได้สังเกตด้วยว่ากำลังจดจ้องมนุษย์รูปงามผู้นั้นอยู่อย่างเคลิบเคลิ้ม
“ก็ไม่ลองดูล่ะท่าน เทพองค์อื่นยามถูกใจมนุษย์ก็ทำเช่นนั้นกันอยู่ถมไป” มีเรียได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงใสก่อนจะแสร้งทำท่ากระเง้ากระงอดเหมือนขัดใจ
“ก็ทำได้เสียที่ไหนเล่า คนเขามีเจ้าของอยู่แถมยังเป็นเทพเหมือนกันเสียอีก” แล้วนางก็พยักพเยิดไปทางด้านหลังอีกฝ่าย โรเรเนสมองตามสายตานางด้วยความฉงน แลเห็นเป็นองค์เทวีอนามอเฟีย เทพเจ้าแห่งความงามกำลังหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับเหล่าเทวีองค์อื่นๆ ที่เป็นสหาย
“อีกมินานองค์เทวีอนามอเฟียจะลงไปเป็นมเหสีของฟารันแล้ว ท่านมิทราบข่าวเลยหรือไร”
“อย่างไรกัน? นางจะจำแลงกายลงไปรึ?”
“ใช่เสียที่ไหน ท่านนี่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาหน่อยก็ดีมิใช่จมอยู่แต่กับต้นไม้ อีกไม่นานที่สปันเทียจะมีพิธีอันเชิญเทพ ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่ามันคือพิธีอะไร”
บุรุษเทพนัยตาเศร้ายิ้มก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจ
“พิธีอันเชิญเทพ เป็นพิธีที่ใช้อัญมณีที่กำหนดไว้ โดยผู้อันเชิญจะต้องมีเทวรูปองค์ปฐมที่สวรรค์ประทานแก่มนุษย์อยู่ในครอบครอง หลังจากทำพิธีสำเร็จเทวรูปองค์นั้นจะมีชีวิตขึ้นมา อิฐหินจะแปรเป็นเลือดเนื้อแล้วองค์เทพก็จะกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มิเหลือซึ่งพลังอำนาจใดๆ กลายเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วท่าน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความถือดีของฟารันนั่นแหละ ด้วยเจ้าตัวขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วก็มิยอมมีมเหสีเสียที กล่าวว่าไม่มีใครดีพอ ดูพูดเข้าสิท่าน แถมยังบอกอีกว่าถ้าจะยอมแต่งงานด้วยอีกฝ่ายต้องมีคุณสมบัติให้ครบที่ตัวเองต้องการ 3 ข้อ คือ 1.ต้องมีชาติกำเนิดสูงกว่าตน 2.ร่างกายต้องงามไร้ตำหนิ และข้อสุดท้ายคือต้องรู้จักโลกได้กว้างไกลกว่าตน คุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดมีแต่เทพเท่านั้นที่ทำได้ ดูอย่างข้อแรกสิท่าน ต้องมีชาติกำเนิดสูงกว่า ตัวเป็นกษัตริย์ใครมันจะไปมีชาติกำเนิดสูงกว่าได้นอกจากเทพ พูดจาแบบนี้จงใจจะเอาเทพทำเมียแท้ๆ บังอาจดีมิเล่า”
“แต่จะว่าไป ท่านอนามอเฟียจะต้องการเช่นนี้รึ เทพส่วนใหญ่ก็แค่จำแลงกายลงไปยังแดนมนุษย์ชั่วครู่ชั่วยามไม่มีใครอยากลงไปเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ หรอก เป็นมนุษย์นั้นแสนลำบาก กายหยาบแลสังขารก็ไม่เที่ยงไม่เหมือนกายทิพย์อย่างชาวเทพอีกทั้งยังไร้พลังไร้อำนาจ สำหรับองค์เทวีองค์นี้น่าจะเป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดีนะท่านมีเรีย”
“องค์เทวีคงมิคิดเช่นนั้นกระมัง ออกจะดีอกดีใจจนออกนอกหน้า”
เทพมีเรียหลิ่วตาเป็นเชิงบอกให้หันไปดู ก่อนตัวเองจะเมินหน้าหนีด้วยความหมั่นไส้ปล่อยให้อีกฝ่ายพิศพินิจกริยาเทวีแห่งความงามแต่เพียงผู้เดียว องค์เทวีนั้นดูสดใสร่าเริงเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ ด้วยนางคงอยากลงไปเป็นมนุษย์เต็มที่แล้วกระมัง ก็ฟารันรูปงามถึงเพียงนั้น เป็นธรรมดาอย่างที่สุดที่สตรีทั้งแดนเทพแดนมนุษย์จะหลงเสน่ห์เขา……
เทพแห่งความอุดมจ้องมองเทวีนางนั้นโดยไม่หลบเลี่ยง ฝ่ายผู้ถูกมองนั้นเหลือบตามองตอบอยู่ชั่วแว่บก่อนจะหันไปสนทนากับเพื่อนต่อโดยมิได้สนใจ
เทวีที่ถูกกล่าวว่างามที่สุดบนสวรรค์คงเคยชินเสียแล้วกับการถูกผู้ชายจ้องมอง จึงไม่มีแม้แต่มารยาทในการจะพยักหน้าทักทายผู้ที่มองตนอยู่เลยสักนิด
“เอ๊ะ! แต่ว่า...ท่านโรเรเนส”
“มีอะไรรึ”
“นอกจากเทวรูปองค์ปฐมของเทวีอนามอเฟียแล้วสปันเทียยังมีเทวรูปองค์ปฐมของท่านอยู่ด้วยนี่”
“แล้วอย่างไรเล่า”
“ก็แหม ข้าพูดตามตรงนะ ในฐานะสหายกันข้าล่ะอยากให้ท่านลงไปแทนอนามอเฟียเสียจริง”
“ไม่เอาด้วยหรอก ข้าไม่อยากเป็นมนุษย์เสียหน่อย ว่าแต่พิธีจะมีเมื่อใดล่ะ”
“สำหรับโลกมนุษย์คงอีก3-4วัน แต่เทียบกับเวลาบนสวรรค์ก็...เย็นนี้ล่ะ”
“งั้นรึ”
“ถามทำไมหรือท่าน”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยเฉยๆ เพราะจนแล้วจนรอดมันก็ไม่เกี่ยวกับข้าอยู่ดี”
--------------------------------------
หลายชั่วโมงนับจากนั้น เมื่อเขากลับไปยังวิมานตน โลกแก้วใบกลมก็ฉายภาพพิธีอันเชิญเทพอยู่พอดี พิธีนี้ถือว่าเป็นพิธีเก่าแก่ที่ในประวัติศาสตร์มนุษย์มีเพียงครั้งเดียวที่เคยเกิดขึ้น แถมในครั้งนั้นเทพที่ถูกอันเชิญลงไปก็ล้มป่วยถึงแก่ความตายเพียงไม่กี่สัปดาห์ ด้วยร่างกายมนุษย์รองรับบารมีของดวงจิตเทพไม่ไหว
ครั้งนี้จึงเป็นเหตุการณ์ที่ถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นพิธีเล็กๆ ที่ถือเป็นความลับวงในของราชสำนักที่สปันเทีย หากแต่บนสวรรค์กลับมีเทพหลายองค์เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจดจ่อ
แต่โรเรเนสมิใคร่จะสนใจนัก เขาแค่ปรายตามองเหล่านักบวชที่เริ่มสวดทำพิธีแค่ชั่วประเดี๋ยวก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องเก็บพันธุ์พืชที่อยู่ข้างๆ แล้วทำงานต่อ ปล่อยให้เสียงจากพิธีกรรมดังแว่วอยู่ด้านหลัง
เขาร่ายเวทย์ใส่ต้นโอ๊คยักษ์ต้นหนึ่งอยู่ ต้นโอ๊คนี้เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่มานานหลายร้อยปีมันเป็นที่สักการะบูชาสำหรับมนุษย์ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ณ ดินแดนเขตอบอุ่นที่อยู่เหนือสปันเทียขึ้นไปอีกไกลนั
ก
เสียงสวดอันเชิญของเหล่านักบวชดังก้องห้องวิหารตามด้วยเสียงสวดรับของนักบวชรูปอื่นดังระงม
ถัดมาก็เป็นพืชคลุมดินแถบทุ่งทุนดร้าอันหนาวเหน็บ ส่วนนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษเพราะพืชพันธุ์ขึ้นได้ยาก หากแต่ก็ยังมีหมู่สัตว์จำนวนไม่น้อยที่ต้องพึ่งพิงพืชเหล่านี้เป็นอาหาร
ห่าฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหาได้ยากสำหรับภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าทะเลทราย ปรากฏแสงอสนีบาตอยู่หลายคราคล้ายฟ้าจะถล่ม เหล่านักบวชยังตะเบ็งท่องมนต์อย่างแข็งขัน
เวทมนตร์โปรยปรายไปทั่วป่าฝนเขตร้อนในฤดูใบไม้ผลิ ส่งให้กล้วยไม้ป่าหายากหลายพันธุ์แบ่งบานอวดโฉมกันสะพรั่ง
อสนีบาตใหญ่ผ่าโครมลงกลางวิหารพิธี ผืนปฐพีลั่นสนั่นหวั่นไหวฉับพลันแสงเทียนก็ดับวูบพร้อมกันลงทันที แล้วทุกสิ่งก็ตกสู่ความมืด
------------------------------
หม่าวๆ
ความคิดเห็น