ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Syrup [YAOI ทะเลทราย]

    ลำดับตอนที่ #10 : Syrup 9 100%

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 58


     

    ยามนี้เฟรทริสกำลังวางแผน

    วางแผนกำจัดแมว....

    มิใช่ว่าเขาเป็นคนใจไม้ไส้ระกำที่ชอบรังแกสัตว์หรอก ด้วยอันที่จริงขนาดที่ใหญ่โตถึง 5 เมตรของท่านเลวิเลี่ยน ณ หม่าวหม่าว ตัวขาวฟูนั้นไม่อาจจะรังแกใดใดท่านได้เลย หากแต่ปัญหาชีวิจของเทพหนุ่มผมแดงในยามนี้นั่นคือ เมื่อหลังจากวันก่อน(ซึ่งสำหรับโลกมนุษย์นั้นคือหลายเดือน) หลังจากที่เขาได้ทำลายข้าวของอย่างคลุ้มคลั่งเพราะไม่อาจรับได้ที่โรเรเนสนั้นต้องลงไปเป็นมนุษย์แล้ว เจ้าแมวยักษ์หูพับตัวนี้ก็ตามติดเขาแจ จู่ๆก็ย้ายออกมาจากวิมาณขององค์เทพแห่งพืชพันธุ์ที่ตนครอบครองมาอยู่ประดิษฐานที่วิมาณของเทพแห่งนักรบผู้นี้เอง

    และแน่นอนตามนิสัยแมว......

    ท่านถือว่าท่านเป็นเจ้าของทุกสิ่ง วิมาณทุกหลังที่ท่านเยื้องย่างไปเหยียบถือเป็นสิทธิ์ขาดแล้วว่าเป็นของท่าน องค์เทพเทวา นางอัปสร หรือแม้กระทั่งเทพชั้นสูงองค์ไหนๆ ก็มิอาจยิ่งใหญ่ไปกว่าองค์ท่านหม่าวหม่าวผู้นี้ ดังนั้นในสายตาของท่าน เทพทั้งหลายเหล่านั้นก็คือบริวาณเท่านั้น

    จะนั่งทับ นอนทับก็ย่อมได้ ด้วยจู่ๆเจ้าทาสผมยาวคนเก่าก็ลงไปเป็นมนุษย์เสียงั้น พวกนางอัปสรก็เอาใจไม่ถูกจริต นึกออกก็แต่เจ้าหัวแดงที่พอจะใช้งานได้ ท่านจึงตัดสินใจมายึดวิมาณเฟรทริสเสีย เช่นอย่างวันก่อนขณะที่องค์เฟรทริสนั้นกำลังบรรทมอยู่หลังจากอาละวาดบ้านแทบพัง ท่านเลวิเลี่ยนก็เดินไปนอนทับเสียอย่างนั้นแล้วจากนั้นก็ไม่ยอมไปไหนเลย

     ที่สำคัญท่านหม่าวหม่าวยังชอบนอนพิงลูกแก้วใสที่เอาไว้สอดส่องความเป็นไปของโลกมนุษย์อยู่ตลอด ทั้งนอนพิงนั่งพิง เวลาที่เฟรทริสพยายามจะดูว่าเทพผู้น้องที่อยู่บนโลกเป็นอย่างไรบ้าง เทพแมวตัวฟูก็จะขยับกายบังไม่ยอมให้เห็น ด้วยไม่อยากให้เฟรทริสอาละวาดอีก ด้วยเหตุนี้ล่ะเทพนักรบจึงไม่ได้รู้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมาว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างที่โลกมนุษย์

    หากแต่เขายังไม่ยอมแพ้หรอก เจ้าลูกแก้วกลมใสนั่นคือเป้าหมายเขาจักต้องฝ่าพุงเจ้าแมวยักษ์ตัวนั้นเข้าไปดูลูกแก้วให้จงได้ เขาต้องการจะรู้ว่า ณ โลกเบื้องล่างขณะนี้เป็นเช่นไรบ้างและเขาควรจะทำอะไรบ้าง เทพหนุ่มยังเฝ้ารอ เขาแอบรอยู่หลังเสาต้นหนึ่งลอบมองเจ้าแมวสีขาวนั่งหันหลังพิงลูกโลกอย่างสบายใจ พร้อมทั้งยืดเหยียดขาหลังให้แผ่ออกไปเหมือนท่าเดียวกับคนเวลานั่งพิงกำแพงอยู่บนพื้น ส่วนลิ้นสากๆของมันก็กำลังเลียอุ้งเท้าหน้าอยู่อย่างตั้งใจ ดูท่าจะไม่ได้ระวังตัวมากนักเพราะไม่ได้เหลือบตาขึ้นมามองรอบตัวเลยแม้นแต่น้อย พวงหาก็กระดิกน้อยๆเหมือนกำลังผ่อนคลาย

    ตอนนี้ล่ะที่จะเหมาะสม ตอนนี้ที่เจ้าซาลาเปานั้นมีช่วงโหว่ ด้วยกำลังของเทพนักรบเขาจะพุ่งเข้าไปอย่างเร็วแล้วไม่ให้เจ้าแมวทันตั้งตัวแล้วตรงเข้าแตะลูกแก้วใสใบนั้นทันทีเท่านั้นก็เรียบร้อย เพียงเสี้ยงวินาทีที่เขาสัมผัสดวงแก้วนั่นได้เข้าก็จะสามารถรู้เรื่องราวทุกอย่างบนโลกได้

    ว่าแล้วเขาก็ทำตามแผนทันทีพุ่งตรงเข้าไปที่แมวไม่ได้ตั้งตัวตัวนั้น! แล้วก็!

    ผัวะ! ขาหน้าขาวฟูพุ่งตบอย่างรวดเร็วจนเทพหนุ่มหัวขมำ

     “โอ๊ย!ไอ้แมวบ้า!

    ผัวะ! ผัวะ! จัดไปสองดอกข้อหาปากเสีย

     “โอ๊ย!ไอ้ ไอ้อ้วน!

    ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! จะเอาใช่ไหม!

    “เจ็บนะเว่ย ไอ้ ไอ้แมวปัญญาอ่อนตัวอ้วนจนเลียไข่ตัวเองไม่ถึงงงงงงง”

    ……………..

    .......อย่าได้มีชีวิตอยู่เลยเอ็ง

    “หม่าววววววววววว!!!!” ท่านซาลาเปากระโจนเข้าใส่เทพหนุ่มเกศแดง งับหัวแล้วกระหน่ำตบ ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมแพ้ดิ้นหลุดแล้วกระโดนขี่หลังแมวก่อนจะตะกุยขนย้อนศรให้ทั่วตัว

    นี่แหนะๆ ตบข้าใช่ไหม!อย่าได้ขนเรียบเลยแก! จะขยี้ให้ขนยุ่งทั้งตัวไปเลย!” การไปลูบขนแมวย้อนศรนอกจากแมวจะไม่ชอบเพราะรู้สึกไม่สบายตัวแล้วนั้น มันยังไม่ชอบเพราะต้องมานั่งเลียให้เรียบใหม่ตั้งแต่ต้นอีกด้วย ท่านซาลาเปาจึงดิ้นพล่านๆก่อนจะพลิกกลับได้ให้คู่ต่อสู้อยู่ข้างใต้แล้วใช้อุ้งเท้าหน้าล๊อคคอไว้ก่อนจะนอนตะแคงแล้วตะกุยร่างนั้นด้วยขาหลังอย่างเร็วๆ เฟรทริสผู้แข็งแกร่งก็พยายามหลบหลีกเท่าที่ทำได้ เมื่อหนีไม่ได้ก็ตอบโต้ด้วยการจกพุงรัวๆให้แมวหงุดหงิดเล่น

    “ย๊ากกกกกกกกกกกก”

    “หม่าวววววววววววว”

    ต่างฝ่ายแหกปากข่มขวัญไม่หวาดหวั่นในการต่อสู้ องค์เทพทั้งสองคลุกวงในฟัดกันไปฟัดกันมาจนข้าวของกระจาย ชั่วขณะหนึ่งเฟรทริสตระหนักขึ้นมาได้ว่าในช่วงเวลาหลายพันปีที่ตนดำรงสถานะเป็นเทพนักรบมาอย่างยาวนานนั้นไม่มีศึกครั้งไหนจะรุนแรงเท่าครั้งนี้! ไม่มีศัตรูตนใดจะเอาชนะได้ยากเย็นเท่าแมวตัวนี้! การยกทัพไปรบพุ่งกับเหล่าจอมมารยังมิสู้ตีกับแมวเลยหากจะกล่าว อะเฮือก! ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก

    ข้าวของแตกกระจายเครื่องเรือนพังยับเยิน การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดรุนแรงเป็นที่สุด เมื่อยามองค์อามินอสเดินเข้ามาสภาพห้องและสภาพทั้งสองฝ่ายก็ยับเยินเต็มที

    “อ่าวเล่นอะไรกันอยู่รึ” อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เทพปีกนกหน้าหล่อเปรยขึ้นอย่างสบายอารมณ์ในชุดผ้าผ่อนน้อยชิ้นและไม่ใส่เสื้อเช่นเคย

    เล่นบ้าอะไรมันจะกินข้าแล้วววววววววววววว” องค์เฟรทริสร้องโวยวายขณะท่านซาลาเปาที่ตัวยุ่งฟูกำลังงับศีรษะเขาแล้วยกตัวเขาลอยขึ้นมาเหนือพื้น

    “โอ้ๆ โอ๋เอ๋ ไม่เอาน่าหม่าวๆปล่อยของเล่นของท่านลงเถิด”

    “แง่ววว งื่อ” ท่านซาลาเปาส่งเสียงครางขู่ในลำคออย่างไม่พอใจ ปากก็ยังงับเหยื่อของตนแน่นอยู่ไม่มีที่ท่าว่าจะปล่อย บุรุษปีกนกจึงถอนหายใจน้อยๆก่อนจะพูดอย่างปลอบโยน

    “ท่านหม่าว อภัยเจ้าตัวหัวแดงแสนสกปรกนี่เถิดท่าน”

    “เฮ่ยๆอย่ามาว่าข้านะ”

    “เจ้าตัวนี้มันโง่เขลาเบาปัญญาแถมยังเป็นเทพชั้นต่ำ ท่านทรงอย่างลดตัวลงไปคลุกคลีตีโมงกับเจ้านี้เลยจะเสียพระเกียรติเปล่าๆ”

    “ที่แมวล่ะพูดดีเชียวนะ”

    “เห็นไหมเล่าท่าน พูดยังไม่ทันขาดคำดูสิ มันรู้กาละเทศะเสียที่ไหนข้าพูดกับท่านอยู่แท้ๆ  ปล่อยเจ้านี่ลงเถิดท่านข้าสัญญาว่าจะชดใช้สิ่งที่เจ้านี่ทำทั้งหมดให้เอานะ”

    “แง่ววว”

    “จะแปรงขนให้ด้วย”

    “งื่อออ”

    “จะนวดให้ด้วย”

    “.............”

    “ข้าจะหานมมาถวายให้เยอะๆเลย เอาไหมล่ะ”

    “แง่ว แง่ว งื่อ งื่มๆ”

    “หืมจะให้เจ้าหัวแดงขอโทษก่อนงั้นหรอ”

    “เรื่องอะไรล่ะเจ้านี่มันตบข้าก่อนนะ”

    “เอาน่าเฟรทริส อย่างี่เง่าสิเจ้าก็รู้ว่าควรทำดีกับแมวให้มากๆ”

    “เชอะ”

    “ขอโทษเขาดีๆเสียแล้วข้ามีอะไรจะบอก เกี่ยวกับโรเรเนส”

    เทพนักรบหูผึ่งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อบุคคลอันเป็นที่รัก เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำขอโทษไปอย่างเบาๆ

    “ขอโทษนะหม่าว”

    “แง่ว”

    “เขาบอกว่าให้ดังๆ”

    “โว๊ะ!

    “เอาเถอะน่า ท่านไม่อยากรู้เรื่องของโรเรเนสรึ ท่านก็รู้นี่ว่าท่านซาลาเปาไม่ยอมให้ท่านเข้าใกล้ลูกแก้วนั่นได้อยู่แล้ว”

    เทพหนุ่มหัวแดงที่ตอนนี้แดงไปยันหน้าเพราะเลือดหัวไหลอาบเม้มปากลงเล็กน้อยอย่างลำบากใจก็จะค่อยๆพูดเสียงดังฟังชัด

    “อภัยข้าเถิดท่านลาวิเลี่ยนผู้ยิ่งใหญ่ข้าน้อยผู้นี้โง่เขลาเบาปัญญาจึงคิดบังอาจกับท่าน ข้าสัญญาว่าจะ...อ่า จะไม่ทำร้ายท่านและไม่พูดจาไม่ดีใส่ท่านอีก...นะจ๊ะ....เหมียว?”

    เจ้าแมวยักษ์ยืนนิ่งอยู่เล็กน้อยก่อนจะอ้าปากแล้วปล่อยให้เหยื่อของตนร่วงหล่นลงพื้นไป ก่อนจะเดินไปนั่งพิงลูกแก้วใสใบใหญ่นั้นตามเดิม แววตาโกรธเคืองยังมีให้เห็นอามินอสจึงต้องรีบพาเฟรทริสออกมาจากจุดเกิดเหตุก่อนที่ท่านแมวเหมียวจะอารมณ์เสียขึ้นมาอีกถ้าพวกเขาอยู่รกสายตานานเกินไป

    “เจ้ามีอะไรจะบอกข้าเรื่องโรเรเนส” เทพเกศแดงเอ่ยขึ้นแทบจะในทันทีที่ตนพ้นเขตของห้องโถงมาได้ อีกฝ่ายยังไม่ตอบกลับในทันทีแต่กลับเดินรี่ไปยังอีกส่วนที่เป็นสวนพฤษชาติที่มีน้ำพุอยู่กลางลาน

    “ล้างหน้าล้างตาเสียก่อนเถิดท่าน แดงเถือกไปหมดแล้ว” เขาเอ่ยด้วยใบหน้าเหยียดยิ้มคล้ายแหย่เล่น จริงๆอยากจะขำให้ดังๆแต่ก็กลัวว่าจะโกรธ คนอะไรอยู่ดีไม่ว่าดีก็ตีกับแมว

    ฝ่ายนั้นวักน้ำมาลูบลวกๆแล้วเกล้าผมเผ้าเสียใหม่ “ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไร ที่ข้าทำลงไปมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ เรื่องที่เกิดขึ้นอันที่จริงเจ้าก็มีส่วนผิดนะ”

    “หืมมม เหตุใดมาลงที่ข้าได้”

    “ก็เจ้าน่ะบังคับขืนใจ”

    “หา”

    “เอ้ย ข้าหมายถึงบังคับขัดใจข้าน่ะ”

    “อย่างไรล่ะทีนี้”

     “การที่เจ้าไม่ยอมให้ข้าออกจาวิมาณทำให้ข้าไม่อาจไปหาลูกโลกใบอื่นมาใช้ดูความเป็นไปของโลกข้างล่างได้ ซึ่งนั่นก็บีบให้ข้าต้องเสี่ยงกับเจ้าแมวนั่น เจ้าก็รู้นี่ว่าเจ้าซาลาเปานั้นไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้ลูกแก้วนั่นเลย ทั้งที่นั่นก็สมบัติข้าแท้ๆ นี่ถ้าเจ้ายอมให้ข้าออกจากบ้านเรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น....ประมาณนี้ล่ะ”

    เขาพูดออกไปแบบเร็วๆดั่งกลัวว่าจะไม่ได้พูด พูดจบก็หันหนีไปมองอย่างอื่นแล้วกล่าวเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเสียดื้อๆ

    “นี่ข้าขี้เกียจถามซ้ำแล้วนะว่าเจ้าจะบอกอะไรข้า”

    เทพพาหนะผู้มีผมสีทองสว่างดั่งเส้นไหมมิได้สนใจคำถามนั้นซักเท่าใดหรอก ด้วยกิริยาของอีกฝ่ายทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาถึงเรื่องหนึ่ง ที่เขาเคยคิดก่อนหน้านี้แต่ยังไม่แน่ใจ สิ่งนั้นก็คือเขาสังเกตุว่าหลังจากเขาโอบเฟรทริสด้วยปีกเงินเมื่อครั้งก่อนเฟรทริสก็ดูจะหนีห่างเขาบ่อยๆ เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าแปลกเพราะทั้งสองมีปากเสียงกันอยู่บ่อยๆการจะหนีหน้ากันบ้างมันก็มี หากแต่พวกเขาไม่ได้มีปากเสียงกันอันที่จริงเฟสทริสหนีเขาบ่อยๆจนไม่มีโอกาสได้ทะเลาะนัก ที่สำคัญไปกว่านั้นเขาสังเกตุเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมสบตาเขาเลยในยามที่พูดกัน ไม่ใช่แค่ครั้งนี้แต่หลายครั้งมาแล้วนับจากวันนั้น

    อาการนี้ละม้ายคล้ายยามเมื่อเทพนักรบแพ้ปีกเงินของเขา อาการเขินปนคลั่งไคล้ตอนที่ได้เห็นปีกอันสวยงามที่สะท้อนแสงเรืองรอง ตอนนี้กลับเกิดขึ้นบ่อยครั้งแม้นเขาไม่ได้กางปีกถึงแม้เฟรทริสจะไม่ออกอาการมากมายเหมือนตอนที่เห็นปีกแต่ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเหมือนว่ากำลังเขิน เขาอยู่ เขินน้อยๆไม่ได้มากมายแค่ไม่กล้ามองหน้าตรงๆเท่านั้น

    อามินอสยิ้มขันอย่างเอ็นดูแล้วแสร้งเอ่ยถามกลับไป

     “เจ้าว่าอย่างไรนะ”

    “ก็ถามว่าเรื่องที่จะบอกน่ะอะไร”

    “หันมาคุยกันดีๆสิ จะหันหลังคุยกันทำไม”

    “เออ แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยเล่า”

    “เดี๋ยวนี้ไม่ยอมมองหน้ากันเลยนะ”

    “ก็ข้าเบื่อขี้หน้าเจ้าไง ถ้าไม่ติดว่าไปไหนมาไหนเองไม่สะดวกเจ้าไม่ได้อยู่บ้านนี้หรอก”

    “แหน่ะ นี่ก็เลยต้องไม่มองหน้าผู้สนทนาสินะ”

    “ใช้ปากคุยไม่ได้ใช้ตาคุย จะมองหน้าไปทำไม”

    “ทนความหล่อไม่ได้อะดิ๊”

    ครานี้ได้ผลเฟรทริสหันควับมาทันที

    ไอ้บ้า!

    เทพหนุ่มนักรบรูปงามเม้มปากแน่นขณะจ้องเขม็งไปในดวงตาอีกฝ่าย

     ไม่เขาไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น มันเป็นแค่อุปาทาน ใช่!แค่คิดไปเอง! ก็จะอะไรเสียอีกเล่า ก็หลังจากเจ้านกบ้าบังอาจมาโอบเขาเมื่อตอนที่ไม่มีสร้อยป้องกันอาการแพ้ของเขา เขาก็รู้สึกอยู่บ่อยๆว่าความรู้สึกนั้นมันยังวนเวียนและคั่งค้างอยู่ภายในกาย ด้วยแม้นเทพพาหนะผู้นี้จะไม่ได้กางปีกออกมาความรู้สึกดั่งเช่นตอนโดนโอบกอดก็ยังอยู่ ซึ่งเขาไม่อาจเข้าใจและไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เลือดลมพลัยฉีดพล่านเมื่อต้องจ้องหน้าคมสันนั้นตรงๆไหนจะหัวใจที่เริ่มระส่ำอย่างไม่เคยนั่นอีกเล่า

    จนล่าสุดเขาคิดว่าตนเองคงมีปัญหาที่อาการเช่นนี้ไม่หายไปทั้งที่ไม่ได้เห็นปีกเงินอีกแล้วเขาจึงไปหาองค์มหาเทวีผู้ที่เคยประทานสร้อยวิเศษที่ช่วยบรรเทาอาการคลั่งปีกของเขาเมื่อครั้งก่อนให้พระนางทรงช่วยเหลืออีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้มาเป็นสร้อย แต่ได้มาเป็นรอยสักรูปดาบที่สลักแน่นอยู่บนอกตรงต่ำแหน่งเหนือหัวใจ เช่นนี้เขาก็มั่นใจได้ว่าไม่ว่าอามินอสจะกางปีกใส่เขาอีกกี่ครั้งเขาก็ไม่มีทางจะเกิดอาการแพ้อย่างเช่นที่ผ่านมาได้

    หากแต่เขาก็ยังไม่เคยลองว่ารอยสักได้ผลมากแค่ไหน เพราะเขาเริ่มไม่แน่ใจและไม่เข้าใจทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้กางปีก ทั้งที่เขามีรอยสักอันทรงฤทธิ์ เหตุใดหัวใจยังคงเต้นรัวผิดจังหวะจากเดิมเมื่อยามต้องอยู่ใกล้ชายคนนี้ด้วย

    เขาไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจ จึงพยายามไม่คิดถึงเรื่องนี้และวกกลับเข้าหาสิ่งอื่นที่ควรจะใส่ใจ เฟสทริสเบื้อนหน้าหนีไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปรกติและดูจริงจังเคร่งขรึมมากที่สุด

    “หากสิ่งที่เจ้าจะบอกเกี่ยวกับโรเรเนสนั้นไม่ใช่ข่าวดีก็จงรีบบอกในตอนที่ข้ายังพอทำใจได้ตอนนี้”

    “ข่าวร้ายแน่นอน สั้นๆนะ โรเรเนสถูกกษัตริย์หนุ่มองค์นั้นปลุกปล้ำขืนใจไปเสียแล้ว”

    …….

    อะไรนะ

    แรกนั้นเขาชาไปทั้งตัวและเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง แต่แล้วทั้งหมดก็พลันพวยพุ่งขึ้นมาในบัดดล!

    โครม!!!

    อัสนีบาตใหญ่ฟาดลงที่กลางสวนประกายไฟสีฟ้าแล่นแปรบปราบอยู่รอบกายเทพเกศแดง มือทั้งสองกำแน่นจนสั่นระริกเช่นเดียวกับริมฝีปากที่ถูกขบจนเลือดซึม เปลือกตาปิดลงอย่างสนิทแน่นด้วยข่มอารมณ์ แม้นกายสั่นเทิ้มและลมหายใจจะถี่เร็ว โกรธแสนโกรธ ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ แต่ก็เพียงเท่านั้น เขาเตรียมใจไว้แล้วอันที่จริงก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในตอนที่เขาไม่อาจมองเห็นเหตุการณ์นั้นได้ ซึ่งดีแล้วที่เขาไม่เห็นมันกับตาแต่จะดีกว่าถ้ามันไม่เกิดขึ้น

    ความโกรธทรมาณสงสารและเจ็บแค้นแล่นพล่านไปทั่วตัวดั่งเห็นได้จากกระแสไฟที่สถิตอยู่รอบตัวเขา จนเมื่อมันค่อยๆจางลงเล็กน้อยด้วยการพยายามควบคุมจังหวะลมหายใจของเขา

    “ข้าอยากฆ่ามันใจจะขาด หากมันไม่ตายข้าก็คงตายด้วยเจ็บแค้น”

    “ท่านมีอำนาจจะทำเช่นนั้นได้ แต่ไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรมใดใดเลยที่จะกระทำได้ที่สำคัญอีกเรื่องที่ข้าจะบอก ข้าไปหาท่านเทพพยากรณ์และได้ถามท่านถึงเรื่องนี้แล้ว”

    เฟรทริสลืมตาขึ้นมาช้าๆแล้วเหลือบมองคนข้างๆอย่างใคร่รู้

    “ท่านเอ่ยว่าสิ่งทั้งหมดนั้นมิใช่อุบัติเหตุ แต่มีเขียนกำหนดไว้แล้วในกระดานพยากรณ์”

    ครานี้เทพหนุ่มหันมามองผู้พูดอย่างเต็มตาด้วยความไม่เชื่อ

    “จะบอกว่าทั้งหมดนั้นถูกำหนดไว้แล้วงั้นรึ!ไร้สาระ ที่โรเรเนสโดนทำร้ายนี่ก็ถูกกำหนดงั้นรึ!เอาที่ไหนมาพูด”

    “ข้าก็ไม่รู้แน่นนักหรอก แต่ท่านบอกว่าให้พาเจ้าไปเรื่องนี้ถ้าจะคุยต้องคุยซึ่งๆหน้าแล้วก็....”

    “อะไร”

    “เรื่องพวกนี้อันที่จริงเทพไม่มีสิทธิ์รู้ ไม่ว่าจะเป็นเทพองค์ไหนแม้นแต่บางเรื่องบนกระดานพยากรณ์ที่ปรากฏขึ้นท่านเทพพยากรณ์ก็ไม่อาจอ่านมันได้ แต่ว่าเรื่องของโรเรเนสนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญบางอย่างในภายภาคหน้าที่มันสำคัญกว่าแค่เรื่องการลงไปเป็นมนุษย์ไม่กี่วันของเขา ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแต่มันกวนใจข้านัก ทางที่ดีเราควรจะไปหาท่านเทพพยากรณ์เสียแต่ตอนนี้”

    เรื่องอะไรกัน เหตุใดมันถึงกลับกลายเป็นจริงจังใหญ่หลวงขึ้นมาได้

    เฟรทริสนิ่งคิดอย่างอึดอัดใจครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นสัญญาณว่าจะออกเดินทาง เทพพหนะจึงกางปีกออกทันทีเพื่อตอบรับคำสั่งนั้น แสงจ้าเงาวับจากปีกเงินเจิดจรัสงดงามดั่งเช่นที่มันเคยเป็น รัศมีเรืองรองทำให้เทพหนุ่มผู้หลงไหลนั้นใจสั่น แม้นจะไม่ได้มีอาการหนักดั่งก่อนๆด้วยมีรอยสักกันไว้แล้ว แต่เข้าก็ยังลังเลอยู่นานกว่าจะยอมขึ้นขี่หลังอีกฝ่ายให้เหมือนปรกติแต่ก่อนมานั้นได้

    เขาต้องนึกถึงแต่เพียงน้องรักที่น่าสงสารเมื่อยามที่ทั้งสองโผขึ้นสู้ฟากฟ้า ต้องไม่สนใจอาการแปลกๆที่เกิดขึ้นด้วยเรื่องอื่นนั้นสำคัญยิ่งกว่า

    -----------------------------
    ต้องขออภัยที่ลงช้านะคะ พยายามจะเร็วที่สุดเท่าที่รูปแบบการดำเนินชีวิตจะเื้ออำนวยแล้ว ยังไงก็ขอบคุณผู้อ่านทุกคนมากๆนะคะที่อุตส่าห์มาอ่านกัน LOVE LOVE

    อ่อ พอดีไปเจอโฆษณาของญี่ปุ่นมาเห็นแล้วนึกถึงหม่าวๆเลยน่ารักมากๆ><


    https://www.youtube.com/watch?v=2LoTdQqMwLk คลิ๊กดูได้เลยจ้า


    ่อน๊ะจ๊ะ


             
    พวกเขาลงตรงตำแหน่งด้านหน้าของอาคารสูงใหญ่นั้นพอดี วิมาณของเทพพยากรณ์นั้นต่างไปมากจากวิมาณแห่งอื่นๆ ด้วยสถานที่ของท่านนั้นอยู่บนเทือกเขาบาวาอัน อันเป็นป่าดงดิบที่มีทุกสรรพสิ่งที่ถือกำเนิดเองได้โดยมิได้ถูกมหาเทพสรรค์สร้างก่อกำเนิดขึ้นมาที่นี่ และลักษณะอาคารเปิดโล่งใหญ่โตพร้อมที่จะให้ทุกคนเข้าไปโดยมิมีการปิดกั้นด้วยท่านเทพพยากรณ์นั้นถือว่าเป็นเทพแห่งความรู้ด้วยในอีกร่างหนึ่ง วิมาณของท่านจึงมากด้วยความรู้ทั้งอดีตกาลและอนาคต คำภีร์ทั้งหลายของเหล่าเทพเท่าที่เคยมีนั้นรวมกันอยู่ที่นี่ มีเหล่าเทวาและเทวีมากมายเดิกกันขวั่กไขว่เอ่ยสนทนากันแต่เรื่องยากๆ หากจะเทียบให้เข้าใจโดยงานวิมาณของท่านเทพพยากรณ์ก็เปรียบเสมือนดั่งมหาวิทยาลัยที่รวมความรู้ทั้งมวลของจักรวาลไว้ ณ ที่แห่งนี้

    สำคัญกว่านั้นบนเขาลูกเดียวกันนี้เป็นที่ที่อามินอสถูกพบอยู่ในไข่เงินก่อนจะฟักออกมาแลถูกเลี้ยงดูโดยท่านเทพพยากรณ์ผู้นี้ กล่าวโดยง่ายชายชราผู้เป็นเจ้าของวิมาณเป็นดั่งอาจารย์และบิดาของอามินอสนั่นเอง

    แต่เรื่องความหลังและความเป็นไปของบุรุษปีกเงินนั้นยังมิใช่สิ่งที่จะต้องเล่าสู่กันฟังในยามนี้ ด้วยเรื่องเดือดร้อนแห่งสวรรค์เรื่องหนึ่งยังไม่ได้รับการคลี่คลายไขให้กระจ่าง นั่นเป็นเหตุให้เทพนักรบเร่งรีบเดินรี่เข้าสู่ตัวอาคารโดยทันทีที่มาถึง

    “เฟรทริสเดี๋ยว” ข้อมือของเขาถูกยึดไว้อย่างกระทันหันจากผู้ที่ตามมา แววตากลุ้มกังวลตวัดกลับมามองอีกฝ่ายที่รังเขาไว้อย่างน่ารำคาญ

    “ข้าอยากจะบอกเจ้าไว้ ว่าอะไรที่มันถูกขีดไว้แล้วเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้”

    “คิดว่าข้าไม่รู้งั้นรึ”

    “เทพนั้นเติบโตและเรียนรู้ผ่านการเฝ้ามองมนุษย์ มีโอกาสน้อยมากที่เราจะได้ประสบพบเจออารมณ์มากมายนั้นด้วยตนเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะโหดร้ายและหนักหนาเพียงไร ข้าอยากให้เจ้าระลึกไว้ว่าในฐานะเทพโรเรเนสนั้นถือเป็นผู้ที่โชคดีที่สุด ที่ได้สร้างบุญและเติบโตขึ้นด้วยการเป็นมนุษย์ เทพหลายองค์ต้องอวตารและสะสมบารมีอย่างมากมายเพียงเพื่อลงไปเป็นมนุษย์ซักครั้ง เฟรทริส อานาคตของน้องเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าที่คิดทั้งหมดที่เขาต้องเจอเป็นแค่การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตเท่านั้น เทพที่ยิ่งใหญ่นั้นต้องประสพมามากกว่ารอบรู้มากกว่า....และเข้าใจมนุษย์มากกว่า เข้าใจใช่ไหม?”

    ตากร้าวของเทพหนุ่มแปรเป็นอ่อนไปแล้วหลุบลงอย่างช้าๆ ผู้พูดยังพูดต่อไปเมื่อรู้ว่าฝ่ายนั้นเริ่มสงบใจพอจะรับฟังขึ้นมาแล้ว

    “อีกอย่าง ยิ่งทุกข์ยิ่งพบเจอยิ่งเติบโตท้ายแล้วก็ได้กับตัวเราเองนะ”

    ผู้ฟังนิ่งไตร่ตรองอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อย่างสงบใจ

    “ขอบใจเจ้ามาก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีสาระกับเขาเหมือนกัน”

     “เริ่มหลงแล้วล่ะสิ”

    “ไอ้บ้า”

    “อืม แบบนี้ดีกว่าเยอะ”

    จบคำเขาก็เดินนำอีกฝ่ายไปยังส่วนในของวิมาณ เมื่อล่วงเข้าไปผ่านส่วนต่างๆทั้งห้องหับแลโถงและเขตสวน ผ่านทั้งเหล่าคนรู้จักและไม่รู้จัก เข้าไปยันส่วนสุดท้ายก็พบกับกระท่อมหลังเล็กๆตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางสวน

    แรกเฟรทริสก็ไม่เข้าใจ ว่ามาทำอะไรกันในส่วนนี้เหตุใดเทพที่เป็นเจ้าของวิมาณอันใหญ่โตงดงามถึงได้มาอยู่ในกระท่อมเล็กๆในบ้านตัวเองด้วย แต่เมื่อเดินเข้าไปภายในกระท่อมก็พบกลับห้องโถงวงกลมขนาดใหญ่ที่ไม่น่าเป็นไปได้เมื่อมองจากภายนอก โถงนั้นสีดำมืดเหมือนกลางคืน แต่ทุกสิ่งในห้องกลับเห็นได้ชัดด้วยมันมีแสงในตัวเอง ทั้งกองม้วนกระดาษตำราและของแปลกๆรกๆที่หมกไปทั่วห้อง บนเพดานนั้นเป็นภาพย่อของจักรวาลที่มีดวงดาวเคลื่อนหมุนอยู่เป็นวง ที่ผนังรอบๆมีตัวหนักสือที่อ่านลำบากวิ่งสลับกันไปมาไม่อาจจับความได้ทัน

    แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือตรงจุดใจกลางของห้องมีสมุดเล่มเขื่องใหญ่ประมาณครึ่งตัวคนวางกางอยู่บนโต๊ะทรงสูง บนกระดาษสีเหลืองอ่อนของมันนั้นปรากฎเป็นตัวอักษรเรียงบรรทัดกันไล่ลงมาเหมือนถูกเขียน ตัวอักษรเหล่านั้นปรากฏขึ้นทีละตัวจนจบคำ จบประโยค จบบรรทัด สุดท้ายเมื่อถูกเขียนจนหมดหน้ากระดาษอักษรทั้งหมดก็หายไป พลันก็เริ่มเขียนใหม่อีกครั้งตั้งแต่แรกที่มุมบน ความเร็วของการปรากฏของตัวอักษรแต่ละตัวนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียยิ่งกว่าการกวาดตา

    นี่กระมังสมุดพยากรณ์ที่เขียนเรื่องราวโชคชะตาทั้งหมดของมวลมนุษย์และเหล่าเทพ

    เทวาเกศแดงคิดขึ้นกับตนเอง เหล่ามนุษย์นั้นไม่เคยรู้เลยพวกเขามักคิดวาองค์เทพเป็นผู้กำหนดชีวิตมนุษย์ แต่อันที่จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ด้วยสมุดเล่มนี้นี่ล่ะเป็นผู้กระทำโดยไม่มีใครกำหนดหรือบงการอะไรได้ ไม่ได้เพียงชะตามนุษย์ชะตาเทพก็ถูกสิ่งนี้ขีดเขียนขึ้นมาเช่นกัน

    “แปลกใช่ไหม?” เสียงของชายชราดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระพรวนที่ไม่รู้ว่ามาจากตรงไหน เมื่อหันมองตามเสียงก็พบชายชราผมสีดอกเลาและหนวดเคราที่ยาวครือกันไปจนเกือนถึงหัวเข่า เขาสวมชุดสีเทาที่ทอจากเนื้อผ้าหยาบ ไม่มีเครื่องทรงใดๆประดับตัวให้สมฐานะเทพเช่นเทพองค์อื่นๆ ชายชราเดินเข้ามาใกล้เทพหนุ่มทั้งสองอย่างช้าๆก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าสมุดเล่มนั้น ก่อนจะก้มมองตัวหนังสือที่วิ่งไปด้วยตาหรี่เล็ก

    “อืม....เหมือนเดิมทุกกัปล์กัล”

    เขายืนอ่านข้อความเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้อง จนองค์นักรบเริ่มทนไม่ไหวจะส่งเสียงกระแอมขึ้นมาเบาๆ แต่ผู้เฒ่าก็ยังนิ่งเฉยจนเสียงกระแอมนั้นต้องดังขึ้นเรื่อยๆเขาถึงจะหันมามองอย่างประหลาดใจ

    “อ่อ...โอ้...อภัยข้าด้วยท่านองค์เทพ ข้าชรามากแล้วความจำก็ไม่ดีหูก็ไม่ดี”

    “มิเป็นไรหรอกท่าน หากข้าเพียงแต่อยากแสดงความคำรพและทักทายเจ้าของบ้านก่อนเท่านั้น ข้าเฟรทริสเทพแห่งนักรบน่าแปลกเหลือเกินที่ท่านอามินอสเป็นเทพพาหนะของข้าแต่ข้ากลับไม่เคยเจอท่านผู้ชุบเลี้ยงเขามาเลย”

    “โฮ่ ไม่แปลกหรอก ปรกติเขาจะเจอพ่อแม่อีกฝ่ายก็ตอนตกลงจะแต่งกันนั่นแหละ”

    เฟรทริสเบิ่งตาด้วยตกใจต่างกับคนข้างๆที่กลับต้องกลั้นขำ

    “ช่างเถอะๆ ก็ถือว่าได้เจอกันแล้ว อื้ม”  เขาเดินถอยออกมาจากสมุดเล่มหนาแล้วเหมือนจะความหาอะไรบางอย่าง

    “ท่านสงสัยในเรื่องของ...เทพแห่งพืชพันธ์คนนั้นใช่ไหม”

    “ใช่ ใช่ครับ” เฟรทริสกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีแล้วเข้าประเด็นอย่างตื่นเต้น“ข้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้และข้าจะทำอะไรได้บ้างให้เขากลับมาเป็นเทพโดยเร็ว”

    “ปรกติชีวิตมนุษย์นั้นสั้น อีกไม่นานเขาก็ต้องกลับมาเป็นเทพอยู่แล้วไม่ใช่รึ”

    “ใช่เพียงแต่....ข้าไม่ต้องการให้เขาทรมาณอีก ข้าต้องการให้เขากลับมาเสียเดี๋ยวนี้ หากมีสิทธิ์สังหารเขาได้หรือไม่เพื่อเขาจะได้กลับมาหรือมีวิธีใดบ้างที่จะยุติเรื่องทั้งหมดนี้”

    ชายชราคุ้ยหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ขนาดมันไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือ เขาเปิดมันออกแล้วไล่ดูอักขระที่เรียงกันอยู่บนนั้น

    “ทุกอย่างมีกฎของมันสวรรค์ก็มี หากเท่าที่ข้าอ่านนี้ข้าบอกได้ว่ามีบางอย่างที่พวกท่านไม่มีสิทธิ์รู้เพราะมันยังไม่ถึงเวลาเกิด อันที่จริงอนาคตเป็นสิ่งต้องห้าม หากรู้เห็นได้ก็เพียงบางส่วนฉะนั้น” เขาหุบหนังสือแล้ววางลงบนยอดของกองหนังสือข้างๆตัว

    “ถึงแม้ข้าจะรู้ทุกอย่างแต่ก็สามารถบอกท่านได้แค่บางอย่าง”

    “เช่นอะไรท่าน”

    “เช่นว่าท่านไม่ควรทำอะไรเลยนอกจากเฝ้าดูอยู่เฉยๆและอวยพร”

    “บ้าไปแล้ว!ไม่มีทาง!

    “เฟรทริส!” บุรุษปีกเงินที่นั่งข้างกันส่งเสียงปรามขึ้น เขาจึงสงบสติลงด้วยฉุกคิดได้ว่ามิควรพูดเช่นนั้นกับผู้อวุโส

    “อภัยข้าด้วย ข้าทนไม่ได้หรอกนะเหตุอันใดโรเรเนสต้องลงไปตกระกำลำบากเช่นนั้นด้วย จิตของเขาบริสุทธิ์มากไม่เคยทำชั่วอันใด เรื่องทั้งหมดนี้ไม่สมควรจะเกิดอย่างยิ่ง ข้ามองไม่เห็นเหตุสมควรใดๆเลย”

    “อืม....ถ้ามองในมุมว่าสมควรไม่สมควรท่านก็ถูก เพราะเขาไม่เคยกระทำการใดอันเป็นสิ่งผิดเลย หากแต่ข้าคงต้องบอกท่านว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เป็นผลมาจากอดีตแต่เป็นเพราะอนาคตต่างหาก”

    ครานี้เทพหนุ่มเกิดฉงนขึ้นเมื่อได้ยิน ผู้เฒ่าโบกมือครั้งหนึ่งห้องที่รกรุงรังก็พลันหายกลายเป็นห้องโล่งที่มีเก้าอี้ให้นั่งสำหรับทั้งสาม เขาทรุดนั่งลงไปบนเบาะนุ่มแล้วผายมือเป็นการเชิยให้แขกทั้งสองลงนั่งเช่นเดียวกัน

    “ท่านอามินอสก็ได้พูดกับท่านไปแล้วก่อนจะเข้ามาว่านี่เป็นการเตรียมการบางอย่างสำหรับอนาคตของเทพแห่งพืชพันธุ์คนนั้นใช่หรือไม่”

    เฟรทริสมีสีหน้าประหลาดใจแลก็หันไปมองคนข้างๆเหมือนอยากจะได้คำตอบบางอย่าง  ฝ่ายเทพพาหนะก็ยิ้มให้ก่อนจะยักคิ้วเป็นอันว่าคิดตรงกัน ใช่เทพพยากรณ์รู้ไปเสียทุกสิ่ง

    “ข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง” ช่ายชราเอ่ยขึ้นให้ทั้งสองหันมาตั้งใจฟังต่อ

    “ครั้งหนึ่งมีชาวประมง ผู้ที่เป็นที่รักของทุกคนในหมู่บ้านด้วยเขานั้นเป็นคนดีและมีน้ำใจให้ทุกคนเสมอหากแต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องร้าย ทำให้เรือเขานั้นอับปางลง” เขาหยุดอึดใจหนึ่งแล้วพลันถ้วยน้ำชาใบจิ๋วก็โผล่ขึ้นมา ชายชราจิบมันเล็กน้อยให้พอชุ่มคอ

    “โชคยังดีเขาถูกช่วยไว้ แต่ในโชคดีนั้นก็มีโชคร้ายด้วยเรือที่มาช่วยเขาขณะลอยกลางทะเลนั้นเป็นเรือของโจรสลัด แต่โอ้ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด โจรสลัดน่ะดีกับเขามากๆแต่ที่ไม่ดีคือเหล่ากองทัพเรือของอาณาจักรที่โจรสลัดเพิ่งไปปล้นมานั่นแหละเป็นปัญหา พวกโจรสลัดนั้นมีคดีติดตัวจึงทำให้ถูกตามล่าเมื่อเหล่าโจรสลัดถูกจับ ชายชาวประมงก็ติดร่างแหไปด้วยเพราะทหารไม่เชื่อว่าเขาไม่ใช่โจรสลัด...ถึงตรงนี้เราคงจะพูดได้ว่าเขาโชคร้ายใช่ไหม?”

    องค์เทพเกศแดงพยักหน้าน้อยๆและยังใคร่ครวญ

    “เขามิได้ทำอะไรผิดพลาดเลย เขาไม่ได้เป็นโจรสลัดนั้นอย่างหนึ่ง เขาไม่ได้จงใจเข้าไปยุ่งกับโจรสลัด เขาไม่ได้จงใจจะให้ตนเรือล่ม สิ่งเดียวที่เขาจงใจนั่นก็คือเขาจงใจจะไปหาปลาซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อเลี้ยงชีพ อันที่จริงเขาไม่ได้ตัดสินใจอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย และเรื่องเลวร้ายทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยความโชคร้ายของเขาโดยแท้”

    “ทีนี้ เมื่อเขาถูกจับเข้าคุก มันก็เป็นเหตุบังเอิญที่เขาได้อยู่ร่วมคุกกับนักปราชญ์ คนหนึ่งปราชญ์คนนี้ถือเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดของยุคสมัยเพราะเขาเป็นคนที่ใช้ความรู้ที่ตนวิเคราะห์ขึ้นมาและได้บอกแก่มนุษย์ผู้อื่นๆว่าโลกนั้นเป็นทรงกลม”

    ชายชราเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพึมพำ สำหรับข้านั่นน่าประทับใจมาก

    “แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่รับได้นักปราชญ์ผู้นั้นถึงต้องถูกจับขังคุก แต่สิ่งที่สำคัญนั้นคือชายชาวประมงได้มีเพื่อนเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดและสอนทุกอย่างให้แก่เขาโดยผ่านการพูดคุยผ่านห้องขัง จนเมื่อหลายปีผ่านไปเขาก็อาจเรียกได้ว่าเป็นชาวประมงที่ฉลาดที่สุดเลยก็ว่าได้....ท่านเริ่มเห็นความโชคดีของเขาขึ้นมาบ้างหรือยัง”

    “แต่เขาจะฉลาดขึ้นไปทำไมเล่าท่านในเมื่อเขาต้องอยู่ในคุกไปชั่วชีวิต”

    “นั่นก็จริง หากแต่เขาไม่ได้อยู่ในนั้นไปชั่วชีวิตหรอกนะท่าน ด้วยเขาเมื่อเขาฉลาดขึ้นเขาก็สามารถวางแผนหลบหนีออกมาจากคุกนั่นได้ หากแต่น่าเศร้าที่เขาไม่อาจพาเพื่อนนักปราชญ์ผู้ชราหนีออกมาได้ ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ของเขาเสียชีวิตลงเพราะอ่อนล้าจากการหลบหนี แต่นั่นก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนด้วยก่อนตายเขาได้ขอให้ลูกศิษย์ของเขาที่มีอยู่หนึ่งเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งก็คือชาวประมงคนเดิมของเรานั่นเอง สืบสานเจนารมณ์ของเขาต่อไป ทำให้หลังจากนั้นชายชาวประมงได้ศึกษาหาความรู้ตามแนวทางที่อาจารย์ได้สิน ตนเขาเองได้กลายเป็นนักปราชญ์สั่งสอนผู้คนไปทั่ว แม้ท้ายแล้วเขาจะยังถูกประหารด้วยสั่งสอนสิ่งที่ขัดกับหลักศาสนาแต่ชื่อของเขาก็ยังถูกจดจำไปอีกนานกลายเป็นบิดาแห่งศาสตร์ความรู้ของมวลมนุษย์"

    “สุดท้ายเขาก็กลายเป็นบุคคลสำคัญ?”

    “นั่นคือที่ข้าจะบอก ทุกชีวิตมักถูกกำหนดไว้แล้วชายคนนั้นไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นชาวประมง แต่เขาถูกขีดไว้ให้เป็นบุคคลสำคัญ ฉันใดฉันนั้นองค์เทพแห่งพืชพันธุ์ก็ไม่ได้ถูกกำหนดมาให้เป็นเพียงแค่เทพแห่งพืชพันธุ์แต่ชะตาของเขาถูกขีดให้มาเป็นสิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้น...มันก็เลยต้องลำบากซับซ้อนเช่นชีวิตของชาวประมงนั่นแหละ”

    เฟรทริสเม้มปากสนิท แม้ลึกๆเขาจะเข้าใจแต่นั่นมันมนุษย์แต่โรเรเนสเป็นเทพมันจำเป็นต้องยุ่งยากเช่นมนุษย์ด้วยหรือ

    “นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลยท่าน ชีวิตมนุษย์และเทพนั้นไม่เหมือนกัน ท่านมิควรยกมาเปรียบกันเทพทุกองค์ก่อนกำเนิดก็มักถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นอะไร เช่นท่าน เช่นข้า ทุกคนมีตำแหน่งหน้าที่เป็นของตนเองข้าไม่เคยได้ยินว่าเทพแห่งสายลมจะกลับกลายเป็นเป็นเทพแห่งเพลิงบ้างเลย เช่นนี้โรเรเนสจะกลายเป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์ได้เยี่ยงไรท่าน”

    ชายชรานิ่งฟังและพยักหน้าน้อยๆเหมือนคิดตาม แต่เมื่อฟังฝ่ายนั้นพูดจบไปไม่กี่ชั่วอึดใจเขาก็พลันยกยิ้มขึ้นแล้วมองเทพแห่งนักรบอย่างอ่อนโยนเอ็นดูเหมือนมองเด็กเล็กๆ

    “เช่นที่ท่านพูดนั้นก็ถูก หากแต่ข้าต้องขอเห็นต่างในคำของท่านในบางข้อ” เขาสูดหายใจช้าแล้วเริ่มอธิบาย

    “ข้อแรก มิใช่ทุกผู้ทุกองค์ในแดนสรวงนี้ที่จะถูกกำหนดมาชัดเจน ดั่งเช่นอามินอส ...ข้ายืนยันว่าสถานะและความเป็นมาของเขานั้นไม่ชัดเจนแม่นมหาเทพก็ไม่อาจบอกได้อย่างถูกต้อง ข้อนี้ท่านอลงไปตรองดู

    ข้อสอง จริงอยู่ว่าไม่เคยมีเทพที่แปรสถานะ หากแต่ที่มีสถานะเพิ่มเติมก็มีมากไม่ใช่น้อย เช่นองค์เทวีแห่งงานศิลป์แต่เก่าก่อนพระองค์ก็ดูแลแต่ส่วนงานศิลป์ แต่เมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่แดนมนุษย์พระองค์ก็ลงไปช่วยปราบทุกข์เข็ญจนภายหลังได้รับการแต่งตั้งจากเหล่ามหาเทพให้ทรงกลายเป็นเทพแห่งการปกป้องควบคู่ไปกับการดูแลงานศิลป์ของท่าน หรืออย่างองค์เทพแห่งเสียงเพลงผู้ชอบทรงพิณก็ทรงเคยช่วยเหลือเหล่าเทวดาจากการโจมตีของพญามารเมื่อนานมาแล้วจนองค์ท่านเสียแขนไปข้างหนึ่งทรงพิณไม่ได้แต่ก็ยังได้ตำแหน่งเทพแห่งเสียงเพลงอยู่แถมพ่วงด้วยต่ำแหน่งเทพแห่งการเสียสละ

    นี่คือสิ่งที่ข้าจะบอกท่าน ท่านเฟสทริส องค์โรเรเนสยังคงเป็ฯเทพแห่งพืชพันธุ์อย่างแน่นอนแต่หลังจากนี้เขาจะมีสถานะมากขึ้นโดยไม่อาจบอกท่านได้ว่าคืออะไร”

    “แต่ท่าน ทั้งหมดที่ท่านเล่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นบนสวรรค์ทั้งนั้น หากโณเรเนสต้องมีอันจะเปลี่ยนแปลเช่นเทพองค์อื่นทำไหมเขาต้องไปตกระกรรมลำบากเช่นมนุษย์ด้วย เรื่องชาวประมงนั้นข้าเข้าใจดีด้วยเขานั้นเป็ฯมนุษย์และความเจ็บปวดและความลำบากสามารถสร้างมนุษย์ที่วิเศษและเหนือกว่าผู้อื่นได้ แต่สำหรับเทพข้าไม่เห็นว่ามันจำเป็นเลย เทพไม่ใช่มนุษย์ทำไมเราต้องพัฒนาตัวเองด้วยวิธีเดียวกับมนุษย์ด้วยล่ะท่าน”

    “เราไม่ใช่มนุษย์แต่เราก็ไม่ได้เหนือกว่ามากมายอย่างที่ท่านคิด เทพก็ลงไปเป็นมนุษย์ได้มนายืก็ไปเป็นเทพได้ ทั้งเทพละมนุษย์มีจุดเกิดและสิ้นสุด ที่สำคัญชีวิตของทุกมวลทั้งมนุษย์ สัตว์และเทพ อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์บางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้และพวกเราทั้งหมดมีชีวิตที่ถูกขีดไว้ด้วยสมุดเล่มนั้น” เขาชี้ปลายนิ้วไปที่สมุดเล่มเขื่องเล่มเดิมที่กลางห้อง

    “เราทั้งหมดไม่ต่างกันสำหรับสมุดเล่มนั้นที่ควบคุมทุกชีวิตอยู่ นั่นคือสิ่งที่ท่านควรเข้าใจ”

    เทพหนุ่มเกศแดงจ้องมองสมุดเล่มนั้นอยู่นานเหมือนจะรอให้มันตอบโต้เขาทั้งที่เป็นไปไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหนือเทพยังมีบางสิ่งที่เป็นกฏเกณฑ์บางอย่างที่ก่อให้เกิดทั้งหมดนี้ได้โดยไม่รู้ว่าอะไร เหนือการเวลาและการทำความเข้าใจ เช่นนี้เขาก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่ต้องเป็นไปแก่น้องชายของเขาได้ ไม่อาจเปลี่ยงแปลงหรือเทรกแทรงได้ ไม่อาจคาดเดาหรือวางใจได้

    แต่แม้นจะเข้าใจแต่ก็ไม่อาจทำใจ เขาไม่อาจทนดูผู้เป็นที่รักทนทุกข์ทรมาณเช่นนี้ได้หรอก

    “มันจะเลวร้ายไปกว่านี้ไหมแล้วข้าจะทำอะไรได้บ้าง” แววตาปวดร้าวส่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้นเขาจะเป็นเทพชั้นสูงที่แยกเรื่องหน้าที่และเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้(บ้างเล็กน้อย) แต่เมื่อเกิดเหตุกับผู้ใกล้ชิดก็ไม่อาจยินยอมต่อโชคชะตาได้โดยง่าย

    “โอ้ ไม่เลวร้ายหรอกท่านชีวิตขององค์โณเรเนสเมื่อเทียบกับเรื่องของชาวประมงนับว่าองค์ท่านโชคดีอยู่มาก ที่สำคัญอีกหน่อยอะไรๆมันจะดีขึ้นอย่างแน่นนอน อย่าทำหน้าเช่นนั้นสิท่านข้ามิได้พูดปด ยามนี้เป็นช่วงที่เลวร้ายแต่เมื่อผ่านพ้นไปแล้วอะไรๆจะค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับอาจไม่ดีเลิศเลออาจมีตกระกำลำบากหรือมีให้ช้ำใจบ้างแต่ก็ไม่แต่ไปกว่าที่เป็นนี้อยางแน่นอนข้ารับรองได้ องคืโรเรเนสไม่ได้อ่อนแอเหมือนภายนอกเขาหรอกนะท่าน เขาก็เป็นบุรุษเช่นเดียวกับท่านและเขาจะรับมือทุกอย่างได้ข้าบอกไว้ก่อนเลย”

    “เอิ่ม...สมุดชะตาเขียนไว้เช่นนั้นหรือ มันจะดีกว่านี้ใช่ไหม?”

    “แน่นอนท่าน หากแต่ถ้าท่านไม่สบายใจก็โปรดทำพิธีโปรยพรคุ้มป้องกันภัยให้เขาเสียวันนี้ ยามนี้เขาเป็นมนุษย์พรจากเทพเขาสามารถรับได้อยู่แล้ว ความรักและหวังดีของท่านจะเป็นเครื่องป้องกันเขาเอง โปรดใจเย็นอย่าวู่วามทำอะไรเหนืออำนาจของท่านเลยท่านเฟรทริส ยามนี้เขาไม่ใช่น้องชายของท่านแล้วเขาถือได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งแล้วสิ่งที่เทพพึ่งกระทำเมื่อหวังดีในตัวมนุษย์คือการให้พร จงกลับวิมาณแล้วไปให้พรองค์โรเรเนสเสียเถิดท่านนั่นเป็นทางเดียวที่ดีที่สุด”

    เขาพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะตัดสินใจขอลาในที่สุดด้วยรู้ว่าทั้งหมดที่ตนมีสิทธิ์จะรู้นั้นคงมีเพียงเท่านี้ ถามอะไรมากไปกวานี้ก็คงไม่ได้ เจ้าบ้านผู้แสนดีก็เดินไปส่งถึงหน้าวิมาณแล้วร่ำลาอย่างเป็นกันเองทั้งยังกำชับว่าคราวหน้าคราวหลังมีอะไรคาใจก็มาหาได้จะช่วยเหลือตามสมควร

    หลังจากนั้นเฟรทริสกลับอามินอสก็บินกลับวิมาณ หากแต่แม้นขณะเดินทางสิ่งมากมายที่คาใจก็ยังผุดขึ้นมาอยู่เนืองๆ จนแล้วเฟรทริสก็จำต้องเอ่ยคำถามหนึ่งในสิ่งที่ค้างคาอยู่นั้นออกมา นั่นคือบางอย่างเกี่ยวกับเทพชราเมื่อครู่

    “นี่เจ้านกบ้า ท่านเทพพยากรณ์เป็นเทพไม่มีแก่ไม่มีเสื่อมทำไมท่านถึงยังอยู่ในร่างชราเช่นนั้นไม่ยอมจำแลงร่างที่สวยงามเหมือนควรจะเป็น”

    “เขาเคยบอกข้าว่าอยากเก็บภาพสุดท้ายของตนเองไว้ก่อนจะได้เป็นเทพพยากรณ์น่ะ”

    “หา เขาเคยเป็นอะไรน่ะ เคยเป็นเทพแห่งความชรามาก่อนหรือไงถึงอยากคงความแก่ไว้น่ะ” เทพพาหนะเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดแก้เสียให้ถูก

    “ใช่ซะที่ไหนเล่า! พิเรนทร์จริงร่างที่เจ้าเห็นนั้นเป็นร่างก่อนตายยามเมื่อท่านเป็นมนุษย์น่ะ”

    “ห่ะ?”

    “อืม....ท่านเคยเป็นชาวประมงมาก่อน”

    “..........”

    ความทึ่งตะลึกยังค้างคาอยู่ในใจเทพนักรบไปอีกนานแม้นกระทั่งตอนที่ถึงวิมาณ

    --------

    ลูกโลกใบใสใหญ่เรืองแสงจ้ากว่าที่เคยเมื่อองค์เทพแห่งนักรบแตะฝ่ามือลงบนผิวหยุ่นๆของมันพลางร่ายเวทย์ปกปักษ์ลงไปยังแดนมนุษย์ ในการจับจ้องของบุรุษปีกเงินและแมวยักษ์ตัวขาวที่ตกลงคืนดีกันเรียบร้อย 

    เฟรทริสร่ายมนต์หลายบทยาวเหยียดที่จำเพาะเจาะจงให้ลงไปถึงบุรุษรูปงามเพียงผู้เดียวที่ขณะนี้นอนขดตัวโดดเดี่ยวอยู่ในห้องกว้าง แม้นจะเจ็บปวดที่ต้องเห็นสภาพทุกข์ทนของผู้เป็นที่รัก แต่เขาก็ทำได้เพียงส่งความรู้สึกอันห่วงหาและพรเท่าที่จะถึงไปได้เพียงเท่านั้น

    เพียงขอ ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ แม้นจะไม่ด้วยดี แต่ก็ขอให้เป็นอย่างที่ควรเป็นและไม่เลวร้ายมากเกินไป....

    เทพหนุ่มเกศแดงยังคงพึมพำบทเวทย์อย่างตั้งใจอยู่เช่นนั้น ยามเมื่อองค์แมวตัวขาวฟูย่างเขามาสบทบเขาก็ยังไม่ทันสังเกตุ จนเมื่อเจ้าแมวยักษืยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งจรดแตะไปบนผิวโลกใสนั่นแหละถึงได้รู้ว่าองค์หม่าว ก็กำลังพยายามช่วยทาสของตนอยู่เหมือนกัน....

    ใช่ ทั้งหมดนั้นส่งลงไปถึงหน้างามราวรูปสลักนั่น

    แล้วโรเรเนสก็รู้สึกตน อย่างน้อยๆ ถึงกระแสความอบอุ่นและเปี่ยมสุขบางอย่าง จนในห้วงฝันเขาเริ่มคิดแล้วว่าตนได้กลับมาส่าวรรค์เรียบร้อยแล้ว หากแต่ก็มิใช่หรอก...

    เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ......

    ใช่ห้องนี้ ห้องเดิมนั่นแหละ ห้องที่เขาถูกขังอยู่ในนี้มาเกือบสัปดาห์แล้ว...

     

    ---------------------------------------
     

    เป็นคนทำงานช้า เขียนช้า คิดช้าค่ะ แต่กำลังพยายามต่อสู้กับตัวเองอยู่และจะลงเรื่องนี้ไปเรื่อยๆให้สุดกำลัง ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านนะคะ 

    @SQWEEZ



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×