ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : The 6th Omen ไอ้ตำรวจเล่นลูกบิด
The 6th Omen ไอ้ตำรวจเล่นลูกบิด
                    “นี่มัน.... หมายความว่า...”
                    “ช่าย ชั้นโกหกให้ตำรวจฟัง” เอมิลี่ ซัมเปอร์เจ้าของรอยยิ้มร้อยเล่ห์ส่งเข้าให้หลังจากที่เข้าไปกระซิบกับพี่ชายของเธอที่มีท่าทีไม่พอใจ ผมบลอนด์หยิกๆตอนนี้ของเจเรมี่ ดูเหมือนคิ้วที่มุ่นเป็นวงยิ่งกว่าอื่นใด
                    “ทำอย่างงี้ทำไม?” เจเรมี่ตะคอกกระซิบเข้าที่หูตัวดีระลอกใหญ่ ขนาดที่เอมิลี่แทบจะทำกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จหกรดทั้งคู่
...นายตำรวจเลียน ซาแพค...
                    แสงจากไฟประดับฉายสีเหลืองอย่างที่พวกไฮโซมักจะใช้กันเป็นส่วนใหญ่สาดส่องไปทั่วห้อง แสงที่มักจะทำให้คนที่อยู่ภายใต้ดูหน้าเนียนผิวผุดผ่องขึ้น เพราะรู้ๆอยู่ว่าผู้ดีไม่ได้หน้าตาดีอะไรนักหนา ความมั่นใจในตัวเองก็หาไม่ค่อยได้จึงต้องติดไปเสริมความงาม เฟอร์นอเจอร์สีอ่อนจัดวางไว้อย่างหรูหราเพียงแต่พวกที่ชอบของหรูหรานั้นรสนิยมมักไม่ค่อยน่าชื่นชมนัก
                    บุรุษผู้ซึ่งนั่งเล่นลูกบิดหลิกไปมาอยู่ภายหลัง ไม่ได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของคนคู่หน้าเลยซักนิด แววตาอ่านไม่ออกก็ยังคงจ้องอยู่ที่ทั้งสองที่ไม่ได้สนใจว่าจะมีใครมองพี่น้องทะเลาะกันแล้วเอาไปคิดอะไรใหญ่โต แม้เจเรมี่จะคว้าตัวเอมิลี่ดึงออกไปนอกห้อง นายตำรวจคนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจสักนิด
                    เจเรมี่ผู้เดือดดาลฉุดกระชากลากถูเอมิลี่น้องสาวตัวแสบทะลุห้องที่ 1 แห่ง คฤหาสน์ที่สวยที่สุด... ห้องที่ 2 แห่งคฤหาสน์ที่สวยงามที่สุด... ห้องที่ 3 แห่งคฤหาสน์ที่ราคาแพงที่สุด... ห้องที่ 4 แห่งคฤหาสน์ที่พวกซัมเปอร์นับว่าเป็นคฤหาสน์ที่สวยที่สุด... ห้องที่ 5 แห่งคฤหาสน์ซัมเปอร์...
                    ‘คฤหาสน์ซัมเปอร์’ บ้านที่เจ้าของคฤหาสน์จงใจตั้งชื่อให้มันใหญ่ขึ้นถ้าจะเรียกเป็นชื่อต้องจริงๆต้องเรียกว่าสิ่งก่อสร้างเน่าๆของตระกูลซัมเปอร์ด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้ทำให้ตระกูลซัมเปอร์ดูดีขึ้นซักนิด ไอ้บ้านเหมือนลูกหมูตัวที่ 13 เนี่ยน่ะ...
                    “ทำอย่างนี้ทำไม!?” ชายหนุ่มระเบิดเสียงอย่างไม่เกรงใจน้องสาว ที่ทำหน้าหงิกงอ เบ้ปาก ส่งประกายตากึ่งชังกึ่งสะใจมาให้
                    “ถามได้ ก็แก้แค้นน่ะสิพี่”
                    “แก้แค้น? แกจะแก้แค้นให้ใคร? ในเมื่อแกก็รู้ว่าเค้าไม่ได้ฆ่าพ่อของเรา!” เจเรมี่ถามเสียงกร้าวส้รางความขบขันเล็กๆให้คนที่ปรายตาส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้
                    “อย่าบอกนะว่าพี่จำไม่ได้ที่ตอน 5 ขวบฟรานเซียมันได้ช็อกโกแลตร้อนมากกว่าชั้น 17 มิลลิลิตรน่ะ”
                    พี่ชายได้ยินเหตุผลก็กุมขมับ ปวดหัวเหลือทนกับน้องสาวตัวแสบคนนี้ ทั้งที่เจ้าตัวมีสมองไปเจ้าเล่ห์... แต่ดันไม่มีสมองคิดว่าจะโดนอะไร... ถ้าโดนจับได้... คุกนะคุก!
                    “โธ่! ชั้นก็ไม่น่าบอกพี่เล้ย”
                    “อะไรนะ! แกก็น่าจะรู้นี่ว่าถ้าโดนจับได้แกจะโดนอะไร” เจเรมีตะคอกน้องสาวด้วยความเป็นห่วงเพียงแต่เจ้าตัวคนถูกเป็นห่วงไม่ได้สนอะไรสักนิด
                    “เราเป็นใครกันพี่ ตำรวจที่ไหนจะกล้าจับทายาทตระกูลซัมเปอร์ไปขังคุก”
                    เจเรมี่คิดแล้วก็ปลงตก จะใช่มันก็ใช่ เพียงแต่จะถูกมันก็ผิดเนี่ยสิ เว้นแต่ว่านายตำรวจเลียน ซาแพคจะรักความยุติธรรมจนลืมกลัวตายขึ้นมา แต่สำหรับเจเรมี่ ทั้งการลืมกลัวตายกับโกหกตำรวจเป็นสิ่งต้นๆที่เขาไม่ต้องการจะทำหรือแม้แต่จะคิด
                    “พี่ก็เลิกซะทีเหอะ ไอ้อาการห่วงยัยนั่นน่ะ เห็นแล้วปวดกบาล คนอย่างมันดีตรงไหนก็ม่ายรุ” เจ้าของเสียงพูดพลางยักไหล่ก่อนจะหันตัวเดินผ่านห้องห้องที่ 1 แห่ง แห่งคฤหาสน์ซัมเปอร์...ห้องที่ 2 แห่งคฤหาสน์ที่พวกซัมเปอร์นับว่าเป็นคฤหาสน์ที่สวยที่สุด... ห้องที่ 3 แห่งคฤหาสน์ที่ราคาแพงที่สุด... ห้องที่ 4 แห่งคฤหาสน์ที่สวยงามที่สุด... ห้องที่ 5 คฤหาสน์ที่สวยที่สุด... เพื่อไปหานายตำรวจ
...ก็ดีตรงที่ไม่เหมือนแกน่ะแหละ...
                    ชายหนุ่มคิดในใจ เค้าชอบตาของฟรานเซีย ตาคู่สวยคู่นั้น มันเป็นตาของเธอคนเดียว ตาคู่สวยที่มิอาจหาใครเทียบ เจเรมี่รู้ตัวดีว่าทันทีที่เค้ามองตาคู่นั้น เค้าก็หลงสเน่ห์เด็กสาวอายุห่างจากเค้าราว 2 ปีเข้าซะแล้ว เวลาที่เค้าบรรยายถึงเธอเค้าสามารถเขียนร้อยกรองรักเน่าๆได้เป็นโหล หรืออาจเขียนซ้ำไปซ้ำมาว่าตาคู่สวยก็ได้ แต่ที่แย่ก็คือ... เค้ารู้ตัวว่าไม่ใช่พระเอกน่ะสิ... ไม่ใช่พระเอกในหัวใจเธอ... น่าน ไม่ทันไรเค้าก็เผลอแต่งบทความเน่าๆอีกแล้ว...
                    สถานีรถไฟของหมู่บ้านฮอฟฟาเรลล์แน่นขนัดไปด้วยผู้คน รางรถไฟที่ขนาบสองข้าง แตกต่างกับกรีนวิลล์ที่รถไฟน้อยพาดผ่านไปข้างเดียว พื้นกับที่บังฝนไม่ได้ดีไปกว่าที่หมู่บ้านกรีนวิลล์คงเป็นเพราะไม่มีใครสนใจจะทำความสะอาด ป้ายชื่อหมู่บ้านก็ไม่ได้ดูดีคงเพราะไม่มีใครดูดำมัน คงเพราะไม่มีประโยชน์จะทำป้ายด้วยซ้ำ ในเมื่อคนนั่งรู้ๆอยู่ว่าตนจะมาที่ไหน
                    “หมู่บ้านฮอฟฟาเรลล์...? มาทำแป๊ะอะไรที่นี่ล่ะฮึ?” เสียงน่ารักผสมวาจากวนบาทาลอยเข้าหูซึ่งเธอรู้สึกอยากตบกบาลมันสักทีหนึ่ง
                    “มาหา’ญาติคนสุดท้าย’”
                    คำตอบที่ได้กำกวมตามภาษาคนพูด ไอ้หนูน้อยหน้ามุ่ย ทำแก้มป่อง ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง
                    “ญาติคนสุดท้าย? ใครล่ะฟรานซ์?”
                    นั่นสิ... ชั้นก็อยากรู้เหมือนกัน...
                    ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะรู้ว่ามีญาติกะเค้าด้วยนะเนี่ย...
                    “ไหนดูซิ” เจ้าตัวน้อยพูดพลางหยิบกระดาษพับสี่ส่วนที่เขียนที่อยู่ของญาติคนสุดท้ายออกมาดูด้วยสีหน้าฉงนระคนสงสัย
บ้านเลขที่ 17 หมู่บ้านฮอฟฟาเรลล์
                    บ้านเลขที่ 17...
                    บ้านเลขที่ 17 อีกแล้ว...
                    เลขถูกชะตาที่ตามหลอกหลอนเธอมาราว 17 ปี
                    สอ + อิ + บอ + จอ + เอะ + ดอ = สิบเจ็ด เลขนี้คงเป็นเลขประจำตัวเธอ เลข 17... ทั้งๆที่ปกติมันมักจะเป็นเลข 13 หรือบางประเทศเป็นเลข 4 เพราะอ่านออกเสียงคล้านคำว่าตาย แต่ที่แตกต่างคือ เธอไม่รู้ว่าเลข 17 ของเธอมันนำโชคร้ายหรือโชคดีมาให้
                    ทั้งคู่เดินออกจากสถานีรถไฟที่เต็มไปด้วยผู้คน ฮอฟฟาเรลล์ไม่ได้เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่เท่าไรนัก แต่ก็ใหญ่และประชากรหนาแน่นกว่าหมู่บ้านกรีนวิลล์ นั่นคงเป็นปัจจัยให้ประชากรยิ่งเสื่อม... เสื่อมจิตสำนึก มีแต่สันดานบางอย่างที่แสดงออกมาให้เห็นบ้างหรือบางทีก็ลับๆเหมือนพวกแอบจิต ยิ่งคนเยอะเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนสังคมมันจะเละเทะมะรุมตุ้มเป๊ะเข้าไปทุกที... และนี่ก็เป็นสาเหตุที่คนในหมู่บ้านต่างพากันมาที่สถานีรถไฟ
                    กล่าวกันว่าการฆาตกรรมของฆาตกรที่เธอตั้งชื่อให้ว่า ’จอห์นนี่’ เกิดขึ้นเป็นระยะๆ หรือเรียกชื่ออย่างเป็นทางการและชื่อที่เธอรู้สึกว่างี่เง่า... คดีนิ้วชี้... สาเหตุมาจากเหล่าตำรวจงี่เง่าเดากันเองว่าไอ้นิ้วชี้มือที่ชี้ขึ้นฟ้าของฆาตกรที่ถูกจับได้มักจะทำเสมอเวลาถามถึงผู้สมรู้ร่วมคิด เท่าที่จำได้พวกที่ถูกจับพวกนี้ทำเหมือนกันหมดมา 4 5 รายแล้ว
                    ตำรวจก็งี่เง่าเดากันเอาว่าไอ้มือที่ชี้ขึ้นฟ้าอาจจะเป็น  ‘คดีขั้วโลกเหนือ’ หรือ ’คดีมนุษย์ต่างดาว’ แต่ทั้งหมดไม่มีสิ่งยืนยันแน่ชัด ก็แน่ล่ะ... ใครจะคิดล่ะว่าพระเจ้าลงมาจากสวรรค์เพื่อฆ่าคนในโลกที่พระเจ้าสร้าง... แต่จอห์นนี่คงไม่ใช่พระเจ้าคงจะเป็นซาตานซะมากกว่า...
                    ที่ตำรวจต้องตั้งชื่อคดีให้เข้ากับความจริงก็เพราะคนเรามักปักใจกับสิ่งที่บ่งบอกลักษณะเป็นส่วนใหญ่ จนบางทีอาจจะเจอเรื่องจริงแต่กลับปฎิเสธไม่รับรู้ด้วยอคติหรือลางสังหรณ์ผิดๆที่ตำรวจโง่ๆส่วนใหญ่ชอบยึดติด
                    “ฮัดเช้ย!” นายตำรวจเลียน ซาแพคจามเสียงเบามือหยุดจากการเล่นลูกบิดมาปิดจมูกตามมารยาทก่อนจะเริ่มเล่นลูกบิดต่อ
                    “อย่างที่เล่ามาแหละค่ะ ฟรานเซียเป็นคนฆ่าทั้งคู่ค่ะ ใช่มั้ย เจเรมี่?” เอมิลี่เน้นประโยคหลังเสียงเขียวก่อนจะยกบาทาฟ้าประทานประทับบนเท้าของเจเรมี่ ที่หันมามองน้องสาวด้วยตาเบิกก้าง ยิงฟันเป็นประกายแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแหยๆเมื่อเลียนมองมา
                    ถ้าปฏิเสธตายแน่...! ตายทั้งตัวเองทั้งน้องสาว
                    แต่ถ้ายอมรับฟรานเซียก็ซวย...
                    “ครับ” เจเรมี่ตัดสินใจช่วยน้องสาวที่เพิ่งหยุดขยี้เท้าเขาไปเมื่อครู่ หันไปมองเอมิลี่ตาขวางด้วยความรำคาญระคนโกรธแค้น แต่เค้าไม่ได้โกรธแค้นอะไรเธอขนาดที่ต้องไปปรักปรำว่าเธอทำอะไรผิด... อย่างที่รู้ๆ คนแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน เค้าจะโกรธน้องสาวแท้ๆไปทำไมล่ะ... เพียงแต่เดือดแค่นั้นเอง เจเรมี่กระทืบเท้าเสียงดังออกไปจากห้อง
                    “อย่าไปสนใจเลยค่ะ! ตอนนี้ฟรานเซียเดินทางไปหมู้บ้านฮอฟฟาเรลล์ อีก 7 วันเราถึงจะตามเธอไปได้น่ะค่ะ” เอมิลี่ตอแหลต่อไป ขณะที่เลียนเล่นลูกบิดไปมองหน้าเธอไปแล้วไม่พูดอะไร หรือตั้งแต่ที่เธอเจอเขา เขาแทบจะไม่พูดอะไรออกมาเลยนอกจาก ’ฮัดเช้ย’
                    คนอะไรเนี่ย!
                    เป็นใบ้รึไง...
                    พูดอะไรเป็นมะ ไอ้ตำรวจเล่นลูกบิด!!!
                    เลียนยังคงมองหน้าเอมิลี่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ยิ้มก่อนจะเริ่มเผยอปากราวคิดอะไรออก ยกมือซ้ายขึ้นถูคาง ท่าทีที่ไม่น่าพิลาสของตำรวจไม่น่าพิศวาสทำเอาเอมิลี่ที่เทคแคร์คนไม่เก่งเท่าตอแหลรู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด
                    โธ่เอ๊ย!
                    ไอ้ตำรวจอยู่ไม่สุข!!!
                    เค้าตัดสินใจไปแล้ว... เค้าตัดสินใจไปแล้ว... ตอนนี้เค้าเป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิด... แต่ที่เค้าทำคือส่งฟรานเซียไปซวย... ฟรานเซีย... จะว่าไปแล้วเธอเป็นผู้มีพระคุณต่อเค้า... อย่างยิ่ง...
                    สิ่งที่เค้าทำได้ตอนนี้คือ... ไม่มี
                    สิ่งที่เค้ารู้อยู่ตอนนี้คือ... ไม่มี
                    สมองเค้าตอนนี้... ว่างเปล่า
                    ภาพความทรงจำน่าอดสูสมัยเด็กของเค้าเริ่มกลับมาหลอกหลอน... ความทรงจำทุเ ร ศทุรังที่เธอช่วยทำลายมันทิ้งไป
                    เจเรมี่เอามือกุมหัวที่เต็มไปด้วยผมสีทองสวย... จะทำยังไงดี... พูดตามตรงเจเรมี่เป็นคนดีในรอบหลายร้อยปีที่จะมีครั้งหนึ่งในตระกูบซัมเปอร์ และฟรานเซียคือคนที่ทำให้เค้าหลุดจากวังวนนั้นก็ว่าได้แต่ตัวเธอกลับประชดชีวิตตัวเองเอาซะเอง ซึ่งเค้าก็มีส่วนในการทำให้เธอเป็นอย่างนั้น...
                    ไอ้เนรคุณ!
                    เจเรมี่ด่าตัวเองเสียงดังในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นสูงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเดินก้าวเข้าไปใกล้ห้องที่เอมิลี่นั่งทานกาแฟกันอยู่ และแน่นอนเอมิลี่คงกำลังตอแหลและด่าเลียนในใจอยู่แน่ๆ ประตูถูกเปิดเสียงดังด้วยโทโสเล็กๆ คำที่เค้าจะกล่าวต่อไปคงจะทำให้เอมิลี่ส่งหน้าเหยเกมาให้เขาแน่
                    “ผมจะไปด้วย”
                    ใช่แล้ว!... ถ้าเค้าไปด้วยเค้าจะได้เจอ ฟรานเซีย...
                    ใช่แล้ว!...  ถ้าเค้าไปด้วยเค้าจะช่วยฟรานเซียได้!
@@@
Don Delio\'s Message
ง่าส์ หายไปนานเลยนะครับ ช่วงนี้อย่างที่หลายคนเป็นคืองานท่วมหัว ไหนผมจะต้องตามหาจอห์นนี่อีก
ความซวยทับถม... นี่ผมคงโดนคำสาปโชคร้ายเหมือนเธอแล้วใช่ม้ายเนี่ย... โอววว
อยากให้ทุกคนที่อ่านเม้นท์ด้วยนะครับ จะดีใจเป็นอย่างยิ่ง และก้อขอยาวๆนะ (เรื่องมาก)
แต่ที่ถูกต้องตามความเชื่อคนไทยคนเกิดวันศุกร์มักจะโชคร้าย เวลาทำบุญเราต้องทำมากกว่าคนอื่นเป็น 21 บาท
แล้วผมดันเกิดวันศุกร์ซะนี่... จะเรียกว่าซวยที่เกิดวันศุกร์หรือซวยที่ต้องทำบุญเยอะ อุ๊บ ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรพูดนะเนี่ย...
อย่าถือนะ อย่าถือ...
@@@
Johny\'s Message
ไม่ปรากฏ
@@@
                    “นี่มัน.... หมายความว่า...”
                    “ช่าย ชั้นโกหกให้ตำรวจฟัง” เอมิลี่ ซัมเปอร์เจ้าของรอยยิ้มร้อยเล่ห์ส่งเข้าให้หลังจากที่เข้าไปกระซิบกับพี่ชายของเธอที่มีท่าทีไม่พอใจ ผมบลอนด์หยิกๆตอนนี้ของเจเรมี่ ดูเหมือนคิ้วที่มุ่นเป็นวงยิ่งกว่าอื่นใด
                    “ทำอย่างงี้ทำไม?” เจเรมี่ตะคอกกระซิบเข้าที่หูตัวดีระลอกใหญ่ ขนาดที่เอมิลี่แทบจะทำกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จหกรดทั้งคู่
...นายตำรวจเลียน ซาแพค...
                    แสงจากไฟประดับฉายสีเหลืองอย่างที่พวกไฮโซมักจะใช้กันเป็นส่วนใหญ่สาดส่องไปทั่วห้อง แสงที่มักจะทำให้คนที่อยู่ภายใต้ดูหน้าเนียนผิวผุดผ่องขึ้น เพราะรู้ๆอยู่ว่าผู้ดีไม่ได้หน้าตาดีอะไรนักหนา ความมั่นใจในตัวเองก็หาไม่ค่อยได้จึงต้องติดไปเสริมความงาม เฟอร์นอเจอร์สีอ่อนจัดวางไว้อย่างหรูหราเพียงแต่พวกที่ชอบของหรูหรานั้นรสนิยมมักไม่ค่อยน่าชื่นชมนัก
                    บุรุษผู้ซึ่งนั่งเล่นลูกบิดหลิกไปมาอยู่ภายหลัง ไม่ได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของคนคู่หน้าเลยซักนิด แววตาอ่านไม่ออกก็ยังคงจ้องอยู่ที่ทั้งสองที่ไม่ได้สนใจว่าจะมีใครมองพี่น้องทะเลาะกันแล้วเอาไปคิดอะไรใหญ่โต แม้เจเรมี่จะคว้าตัวเอมิลี่ดึงออกไปนอกห้อง นายตำรวจคนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจสักนิด
                    เจเรมี่ผู้เดือดดาลฉุดกระชากลากถูเอมิลี่น้องสาวตัวแสบทะลุห้องที่ 1 แห่ง คฤหาสน์ที่สวยที่สุด... ห้องที่ 2 แห่งคฤหาสน์ที่สวยงามที่สุด... ห้องที่ 3 แห่งคฤหาสน์ที่ราคาแพงที่สุด... ห้องที่ 4 แห่งคฤหาสน์ที่พวกซัมเปอร์นับว่าเป็นคฤหาสน์ที่สวยที่สุด... ห้องที่ 5 แห่งคฤหาสน์ซัมเปอร์...
                    ‘คฤหาสน์ซัมเปอร์’ บ้านที่เจ้าของคฤหาสน์จงใจตั้งชื่อให้มันใหญ่ขึ้นถ้าจะเรียกเป็นชื่อต้องจริงๆต้องเรียกว่าสิ่งก่อสร้างเน่าๆของตระกูลซัมเปอร์ด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้ทำให้ตระกูลซัมเปอร์ดูดีขึ้นซักนิด ไอ้บ้านเหมือนลูกหมูตัวที่ 13 เนี่ยน่ะ...
                    “ทำอย่างนี้ทำไม!?” ชายหนุ่มระเบิดเสียงอย่างไม่เกรงใจน้องสาว ที่ทำหน้าหงิกงอ เบ้ปาก ส่งประกายตากึ่งชังกึ่งสะใจมาให้
                    “ถามได้ ก็แก้แค้นน่ะสิพี่”
                    “แก้แค้น? แกจะแก้แค้นให้ใคร? ในเมื่อแกก็รู้ว่าเค้าไม่ได้ฆ่าพ่อของเรา!” เจเรมี่ถามเสียงกร้าวส้รางความขบขันเล็กๆให้คนที่ปรายตาส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้
                    “อย่าบอกนะว่าพี่จำไม่ได้ที่ตอน 5 ขวบฟรานเซียมันได้ช็อกโกแลตร้อนมากกว่าชั้น 17 มิลลิลิตรน่ะ”
                    พี่ชายได้ยินเหตุผลก็กุมขมับ ปวดหัวเหลือทนกับน้องสาวตัวแสบคนนี้ ทั้งที่เจ้าตัวมีสมองไปเจ้าเล่ห์... แต่ดันไม่มีสมองคิดว่าจะโดนอะไร... ถ้าโดนจับได้... คุกนะคุก!
                    “โธ่! ชั้นก็ไม่น่าบอกพี่เล้ย”
                    “อะไรนะ! แกก็น่าจะรู้นี่ว่าถ้าโดนจับได้แกจะโดนอะไร” เจเรมีตะคอกน้องสาวด้วยความเป็นห่วงเพียงแต่เจ้าตัวคนถูกเป็นห่วงไม่ได้สนอะไรสักนิด
                    “เราเป็นใครกันพี่ ตำรวจที่ไหนจะกล้าจับทายาทตระกูลซัมเปอร์ไปขังคุก”
                    เจเรมี่คิดแล้วก็ปลงตก จะใช่มันก็ใช่ เพียงแต่จะถูกมันก็ผิดเนี่ยสิ เว้นแต่ว่านายตำรวจเลียน ซาแพคจะรักความยุติธรรมจนลืมกลัวตายขึ้นมา แต่สำหรับเจเรมี่ ทั้งการลืมกลัวตายกับโกหกตำรวจเป็นสิ่งต้นๆที่เขาไม่ต้องการจะทำหรือแม้แต่จะคิด
                    “พี่ก็เลิกซะทีเหอะ ไอ้อาการห่วงยัยนั่นน่ะ เห็นแล้วปวดกบาล คนอย่างมันดีตรงไหนก็ม่ายรุ” เจ้าของเสียงพูดพลางยักไหล่ก่อนจะหันตัวเดินผ่านห้องห้องที่ 1 แห่ง แห่งคฤหาสน์ซัมเปอร์...ห้องที่ 2 แห่งคฤหาสน์ที่พวกซัมเปอร์นับว่าเป็นคฤหาสน์ที่สวยที่สุด... ห้องที่ 3 แห่งคฤหาสน์ที่ราคาแพงที่สุด... ห้องที่ 4 แห่งคฤหาสน์ที่สวยงามที่สุด... ห้องที่ 5 คฤหาสน์ที่สวยที่สุด... เพื่อไปหานายตำรวจ
...ก็ดีตรงที่ไม่เหมือนแกน่ะแหละ...
                    ชายหนุ่มคิดในใจ เค้าชอบตาของฟรานเซีย ตาคู่สวยคู่นั้น มันเป็นตาของเธอคนเดียว ตาคู่สวยที่มิอาจหาใครเทียบ เจเรมี่รู้ตัวดีว่าทันทีที่เค้ามองตาคู่นั้น เค้าก็หลงสเน่ห์เด็กสาวอายุห่างจากเค้าราว 2 ปีเข้าซะแล้ว เวลาที่เค้าบรรยายถึงเธอเค้าสามารถเขียนร้อยกรองรักเน่าๆได้เป็นโหล หรืออาจเขียนซ้ำไปซ้ำมาว่าตาคู่สวยก็ได้ แต่ที่แย่ก็คือ... เค้ารู้ตัวว่าไม่ใช่พระเอกน่ะสิ... ไม่ใช่พระเอกในหัวใจเธอ... น่าน ไม่ทันไรเค้าก็เผลอแต่งบทความเน่าๆอีกแล้ว...
                    สถานีรถไฟของหมู่บ้านฮอฟฟาเรลล์แน่นขนัดไปด้วยผู้คน รางรถไฟที่ขนาบสองข้าง แตกต่างกับกรีนวิลล์ที่รถไฟน้อยพาดผ่านไปข้างเดียว พื้นกับที่บังฝนไม่ได้ดีไปกว่าที่หมู่บ้านกรีนวิลล์คงเป็นเพราะไม่มีใครสนใจจะทำความสะอาด ป้ายชื่อหมู่บ้านก็ไม่ได้ดูดีคงเพราะไม่มีใครดูดำมัน คงเพราะไม่มีประโยชน์จะทำป้ายด้วยซ้ำ ในเมื่อคนนั่งรู้ๆอยู่ว่าตนจะมาที่ไหน
                    “หมู่บ้านฮอฟฟาเรลล์...? มาทำแป๊ะอะไรที่นี่ล่ะฮึ?” เสียงน่ารักผสมวาจากวนบาทาลอยเข้าหูซึ่งเธอรู้สึกอยากตบกบาลมันสักทีหนึ่ง
                    “มาหา’ญาติคนสุดท้าย’”
                    คำตอบที่ได้กำกวมตามภาษาคนพูด ไอ้หนูน้อยหน้ามุ่ย ทำแก้มป่อง ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง
                    “ญาติคนสุดท้าย? ใครล่ะฟรานซ์?”
                    นั่นสิ... ชั้นก็อยากรู้เหมือนกัน...
                    ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะรู้ว่ามีญาติกะเค้าด้วยนะเนี่ย...
                    “ไหนดูซิ” เจ้าตัวน้อยพูดพลางหยิบกระดาษพับสี่ส่วนที่เขียนที่อยู่ของญาติคนสุดท้ายออกมาดูด้วยสีหน้าฉงนระคนสงสัย
บ้านเลขที่ 17 หมู่บ้านฮอฟฟาเรลล์
                    บ้านเลขที่ 17...
                    บ้านเลขที่ 17 อีกแล้ว...
                    เลขถูกชะตาที่ตามหลอกหลอนเธอมาราว 17 ปี
                    สอ + อิ + บอ + จอ + เอะ + ดอ = สิบเจ็ด เลขนี้คงเป็นเลขประจำตัวเธอ เลข 17... ทั้งๆที่ปกติมันมักจะเป็นเลข 13 หรือบางประเทศเป็นเลข 4 เพราะอ่านออกเสียงคล้านคำว่าตาย แต่ที่แตกต่างคือ เธอไม่รู้ว่าเลข 17 ของเธอมันนำโชคร้ายหรือโชคดีมาให้
                    ทั้งคู่เดินออกจากสถานีรถไฟที่เต็มไปด้วยผู้คน ฮอฟฟาเรลล์ไม่ได้เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่เท่าไรนัก แต่ก็ใหญ่และประชากรหนาแน่นกว่าหมู่บ้านกรีนวิลล์ นั่นคงเป็นปัจจัยให้ประชากรยิ่งเสื่อม... เสื่อมจิตสำนึก มีแต่สันดานบางอย่างที่แสดงออกมาให้เห็นบ้างหรือบางทีก็ลับๆเหมือนพวกแอบจิต ยิ่งคนเยอะเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนสังคมมันจะเละเทะมะรุมตุ้มเป๊ะเข้าไปทุกที... และนี่ก็เป็นสาเหตุที่คนในหมู่บ้านต่างพากันมาที่สถานีรถไฟ
                    กล่าวกันว่าการฆาตกรรมของฆาตกรที่เธอตั้งชื่อให้ว่า ’จอห์นนี่’ เกิดขึ้นเป็นระยะๆ หรือเรียกชื่ออย่างเป็นทางการและชื่อที่เธอรู้สึกว่างี่เง่า... คดีนิ้วชี้... สาเหตุมาจากเหล่าตำรวจงี่เง่าเดากันเองว่าไอ้นิ้วชี้มือที่ชี้ขึ้นฟ้าของฆาตกรที่ถูกจับได้มักจะทำเสมอเวลาถามถึงผู้สมรู้ร่วมคิด เท่าที่จำได้พวกที่ถูกจับพวกนี้ทำเหมือนกันหมดมา 4 5 รายแล้ว
                    ตำรวจก็งี่เง่าเดากันเอาว่าไอ้มือที่ชี้ขึ้นฟ้าอาจจะเป็น  ‘คดีขั้วโลกเหนือ’ หรือ ’คดีมนุษย์ต่างดาว’ แต่ทั้งหมดไม่มีสิ่งยืนยันแน่ชัด ก็แน่ล่ะ... ใครจะคิดล่ะว่าพระเจ้าลงมาจากสวรรค์เพื่อฆ่าคนในโลกที่พระเจ้าสร้าง... แต่จอห์นนี่คงไม่ใช่พระเจ้าคงจะเป็นซาตานซะมากกว่า...
                    ที่ตำรวจต้องตั้งชื่อคดีให้เข้ากับความจริงก็เพราะคนเรามักปักใจกับสิ่งที่บ่งบอกลักษณะเป็นส่วนใหญ่ จนบางทีอาจจะเจอเรื่องจริงแต่กลับปฎิเสธไม่รับรู้ด้วยอคติหรือลางสังหรณ์ผิดๆที่ตำรวจโง่ๆส่วนใหญ่ชอบยึดติด
                    “ฮัดเช้ย!” นายตำรวจเลียน ซาแพคจามเสียงเบามือหยุดจากการเล่นลูกบิดมาปิดจมูกตามมารยาทก่อนจะเริ่มเล่นลูกบิดต่อ
                    “อย่างที่เล่ามาแหละค่ะ ฟรานเซียเป็นคนฆ่าทั้งคู่ค่ะ ใช่มั้ย เจเรมี่?” เอมิลี่เน้นประโยคหลังเสียงเขียวก่อนจะยกบาทาฟ้าประทานประทับบนเท้าของเจเรมี่ ที่หันมามองน้องสาวด้วยตาเบิกก้าง ยิงฟันเป็นประกายแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแหยๆเมื่อเลียนมองมา
                    ถ้าปฏิเสธตายแน่...! ตายทั้งตัวเองทั้งน้องสาว
                    แต่ถ้ายอมรับฟรานเซียก็ซวย...
                    “ครับ” เจเรมี่ตัดสินใจช่วยน้องสาวที่เพิ่งหยุดขยี้เท้าเขาไปเมื่อครู่ หันไปมองเอมิลี่ตาขวางด้วยความรำคาญระคนโกรธแค้น แต่เค้าไม่ได้โกรธแค้นอะไรเธอขนาดที่ต้องไปปรักปรำว่าเธอทำอะไรผิด... อย่างที่รู้ๆ คนแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน เค้าจะโกรธน้องสาวแท้ๆไปทำไมล่ะ... เพียงแต่เดือดแค่นั้นเอง เจเรมี่กระทืบเท้าเสียงดังออกไปจากห้อง
                    “อย่าไปสนใจเลยค่ะ! ตอนนี้ฟรานเซียเดินทางไปหมู้บ้านฮอฟฟาเรลล์ อีก 7 วันเราถึงจะตามเธอไปได้น่ะค่ะ” เอมิลี่ตอแหลต่อไป ขณะที่เลียนเล่นลูกบิดไปมองหน้าเธอไปแล้วไม่พูดอะไร หรือตั้งแต่ที่เธอเจอเขา เขาแทบจะไม่พูดอะไรออกมาเลยนอกจาก ’ฮัดเช้ย’
                    คนอะไรเนี่ย!
                    เป็นใบ้รึไง...
                    พูดอะไรเป็นมะ ไอ้ตำรวจเล่นลูกบิด!!!
                    เลียนยังคงมองหน้าเอมิลี่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ยิ้มก่อนจะเริ่มเผยอปากราวคิดอะไรออก ยกมือซ้ายขึ้นถูคาง ท่าทีที่ไม่น่าพิลาสของตำรวจไม่น่าพิศวาสทำเอาเอมิลี่ที่เทคแคร์คนไม่เก่งเท่าตอแหลรู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด
                    โธ่เอ๊ย!
                    ไอ้ตำรวจอยู่ไม่สุข!!!
                    เค้าตัดสินใจไปแล้ว... เค้าตัดสินใจไปแล้ว... ตอนนี้เค้าเป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิด... แต่ที่เค้าทำคือส่งฟรานเซียไปซวย... ฟรานเซีย... จะว่าไปแล้วเธอเป็นผู้มีพระคุณต่อเค้า... อย่างยิ่ง...
                    สิ่งที่เค้าทำได้ตอนนี้คือ... ไม่มี
                    สิ่งที่เค้ารู้อยู่ตอนนี้คือ... ไม่มี
                    สมองเค้าตอนนี้... ว่างเปล่า
                    ภาพความทรงจำน่าอดสูสมัยเด็กของเค้าเริ่มกลับมาหลอกหลอน... ความทรงจำทุเ ร ศทุรังที่เธอช่วยทำลายมันทิ้งไป
                    เจเรมี่เอามือกุมหัวที่เต็มไปด้วยผมสีทองสวย... จะทำยังไงดี... พูดตามตรงเจเรมี่เป็นคนดีในรอบหลายร้อยปีที่จะมีครั้งหนึ่งในตระกูบซัมเปอร์ และฟรานเซียคือคนที่ทำให้เค้าหลุดจากวังวนนั้นก็ว่าได้แต่ตัวเธอกลับประชดชีวิตตัวเองเอาซะเอง ซึ่งเค้าก็มีส่วนในการทำให้เธอเป็นอย่างนั้น...
                    ไอ้เนรคุณ!
                    เจเรมี่ด่าตัวเองเสียงดังในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นสูงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเดินก้าวเข้าไปใกล้ห้องที่เอมิลี่นั่งทานกาแฟกันอยู่ และแน่นอนเอมิลี่คงกำลังตอแหลและด่าเลียนในใจอยู่แน่ๆ ประตูถูกเปิดเสียงดังด้วยโทโสเล็กๆ คำที่เค้าจะกล่าวต่อไปคงจะทำให้เอมิลี่ส่งหน้าเหยเกมาให้เขาแน่
                    “ผมจะไปด้วย”
                    ใช่แล้ว!... ถ้าเค้าไปด้วยเค้าจะได้เจอ ฟรานเซีย...
                    ใช่แล้ว!...  ถ้าเค้าไปด้วยเค้าจะช่วยฟรานเซียได้!
@@@
Don Delio\'s Message
ง่าส์ หายไปนานเลยนะครับ ช่วงนี้อย่างที่หลายคนเป็นคืองานท่วมหัว ไหนผมจะต้องตามหาจอห์นนี่อีก
ความซวยทับถม... นี่ผมคงโดนคำสาปโชคร้ายเหมือนเธอแล้วใช่ม้ายเนี่ย... โอววว
อยากให้ทุกคนที่อ่านเม้นท์ด้วยนะครับ จะดีใจเป็นอย่างยิ่ง และก้อขอยาวๆนะ (เรื่องมาก)
แต่ที่ถูกต้องตามความเชื่อคนไทยคนเกิดวันศุกร์มักจะโชคร้าย เวลาทำบุญเราต้องทำมากกว่าคนอื่นเป็น 21 บาท
แล้วผมดันเกิดวันศุกร์ซะนี่... จะเรียกว่าซวยที่เกิดวันศุกร์หรือซวยที่ต้องทำบุญเยอะ อุ๊บ ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรพูดนะเนี่ย...
อย่าถือนะ อย่าถือ...
@@@
Johny\'s Message
ไม่ปรากฏ
@@@
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น