ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : The 4th Omen ดาวอังคารบังดาวพุธ
The 4th Omen ดาวอังคารบังดาวพุธ
                    อะ... อ้าว! เฮ้ย! นี่มัน!
                    ฟรานเซียอุทานในใจขณะจ้องมองป้ายยักษ์ที่ขึงไว้ได้ด้วยโครงเหล็กต่อกันหลายป้ายติดกันอยู่บนร้านค้าข้างทาง ป้ายส่วนใหญ่มีรูปคน สิ่งของแล้วก็ตัวหนังสือตัวยักษ์ และทุกป้ายหน้าของนายแบบก็คือ บุคคลผู้ซึ่งโรคจิตวิปริตใจวิปลาส ตกประวัติศาสตร์ สุขภาพจิตดี และคณิตศาสตร์
                    เธอเริ่มกวาดตามองป้ายประหลาดไม่คุ้นตาภายหน้า ป้ายใหญ่ป้ายแรก... ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นป้ายอะไร ในภาพมีชายสวมหมวกเอาผ้าคลุมปิดหน้ากำลังก้าวเท้า แต่ที่ทำให้รู้ว่าเป็นดอนก็เพราะ...ตัวหนังสือตัวยักษ์ล่ะมั้ง...
KEEP BELIEVING
DONNIE WALKER
                    ป้ายต่อมาเป็นป้ายที่ทำให้เธอแทบสลบกับท่าทางแปลกๆของนายแบบที่ดัดจริตทำผิดเพศ เป็นป้ายที่ตั้งใจจะสื่ออะไรในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจนัก ภาพดอนจับรองเท้าบู๊ทข้างขวาใส่ชุดโชว์เนื้อหนังสีเหลืองและพู่สีชมพูข้างกาย ทำให้ท่าทางดัดจริตน่ารักแบบผู้หญิงกลายเป็นภาพวิกลจริตของคนลักเพศ!
Miss Dongeniality 2
Armed,Fabulous and Believe!
                    ม่ายนะ! ม่าย!!!
                    ไอ้หมอนั่นไม่ใช่! ไม่ใช่! ไม่ใช่! คนแต่งชีวิตชั้น!!!
                    เธอรีบเดินผ่านป้ายต่างๆให้เร็วที่สุด อาจจะเรียกว่าหนีความจริง แต่คงไม่เรียกถ้าเธอไม่คิดว่ามันเป็นความจริง แต่เป็นเพียงภาพหลอน ภาพหลอนที่ดูเหมือนจริงแค่นั้น... นี่เธอคงติดโรคประสาทมาจากมันแล้วใช่มั้ย?
                    ใช่แล้ว! มันเป็นแค่ภาพหลอน
                    ไม่มีอยู่จริง
                    แค่เดินเข้าบ้าน... เข้าบ้าน... เข้าบ้าน...
                    อารามตกใจทำให้เธอแทบขาดสติ อย่าลืม...สติมาปัญญาจะเกิด... สติมาปัญญาจะเกิด... เธอท่องวนอยู่ในใจก่อนจะตัดสินใจเดินไปเส้นทางกลับบ้าน
                    หญิงสาวรีบเดินเร่งความเร็วฝีเท้าให้เร็วขึ้น เดินก้มหน้าหลบสายตานายแบบจากภาพ พยายามกลับบ้านให้เร็วที่สุด ถึงแม้บ้านหลังนั้นจะไม่มีคนรอเธอกลับแล้วก็ตาม... เธอรู้ดีว่าหลังจากเธอไปพวกซัมเปอร์จะต้องมายึดบ้านของเธอไป ไม่นานหมู่บ้านกรีนวิลล์ทั้งหมดจะกลายเป็นของพวกมัน ไม่นานเธอจะต้องออกไปอยู่ร่วมกับคนที่เธอไม่รู้จัก ทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรสักนิด รู้อยู่ว่าคนเราเกิดมาเท่าเทียมกันซะที่ไหนล่ะ
                    การชะงักของเธอตรงหน้าประตูบ้านทำให้หัวเธอแทบจะโขกเสียงดัง แต่เธอไม่อยากจะแตะประตูบ้านเท่าไรนัก เพราะมันเต็มไปด้วยราคีของแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมสีเหลืองที่เธอคิดว่าเธอรู้ว่าใครเอามาติดไว้ แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่าเป็นดอน แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าดอนบ้าแน่ๆ กระดาษสีเหลืองที่มีข้อความว่า
เชื่อผม!
ไปที่ร้านกาแฟพรุ่งนี้!
                    ไม่ไปว้อย!!!
                    ฟรานเซียยื่นคำขาดก่อนจะปิดประตูเสียงดังด้วยโทสะที่พุ่งพรวด กระทืบเท้าปึงปังด้วยสติที่คุมไม่อยู่ ตอนนี้ดาวอังคารคงบังดาวพุธได้แล้ว!
                    พอแล้ววันนี้...
                    ไม่เอาอีกแล้ว
                    เธอถอดเสื้อโค้ทออกและแขวนไว้ที่ประตูก่อนจะหยิบส้มเน่าๆผมน้อยของแอรี่มาปอกกินเข้าไป 1 กลีบ เธอตัดสินใจทะนุถนอมทานมื้อละกลีบประทังชีวิต
                    ส้มเน่าๆมันก็เน่าอยู่วันยังค่ำ...
                    แต่อย่างน้อยก็อยู่ที่คนกินว่าอยากจะท้องเสียหรืออยากจะอดตาย...
                    “พัสดุคร้าบ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากประตูหน้าบ้านฟรานเซียรู้ได้ทันทีว่าใครที่ยืนอยู่หน้าประตู รู้ดีด้วย... ฟรานเซียตัดสืนใจได้ทันทีว่า เธอไม่ยอมให้ราคีจากดอนมาเปื้อนเปรอะบ้านของลุงเธอแน่ๆ ไม่มีทาง! ถึงแม้ว่า... ตอนนี้มันจะไม่ใช่ของๆลุงแล้วก็ตาม...
                    ผมรู้ดีว่าผู้หญิงอยู่ประชดชีวิต ประชันสังคม อีโก้สูง ทิฐิมาก ขี้รำคาญคนนี้ไม่ปล่อยให้ผมเข้าไปง่ายๆแน่ ผมเริ่มร้องเพลง ’มั่ว’ ซึ่งหมายความว่ามั่วทั้งเนื้อร้องและทำนองเพลง อาจรวมทั้งมั่วจังหวะ มั่วคีย์ ซึ่งตามหลักทฤษฎีของดนตรีสากลนานาชาติแห่งมนุษยโลกเรียกว่า... ไม่เป็นเพลง...
                    “พัสดุคร้าบ พัวดุมาแล้ว มาแล้ว เย้ เย เย พัสดุ พัสดุมาแล้วค้าบ คนส่ง หล่อ ล้อ หล่อ คนส่ง เท่ห์ เท้ เท่ห์”
                    เพล้ง!!!
                    ไม่ใช่เสียงฟรานเซียโยนของกระเด็นก ร ะ ด อนมาโดนผมหรอกครับ ผมเป็นคนทำให้แก้วไวน์แตกเผื่อว่าเธอจะคิดว่าเสียงผมดีเหมือนนักร้องโอเปร่าที่สามารถร้องเพลงทำให้แก้วแตกได้ หรือเธออาจจะคิดว่าผมร้องเสียงเห่ยจนคุณแก้วไวน์น้อยทนไม่ได้ต้องระเบิดตัวเอง
                    เสียงเพลงที่ผมคิดว่าไพเราะยังคงบรรเลงต่อไป เพื่อนผมก็เคยนำคำว่า ’ไม่’ มาร้องไม่เป็นเพลงไปมา จนทำให้เขาอดทานเค้กก้อนโต โต้ โต... ผมรู้ดีว่าความขี้รำคาญของฟรานเซียใกล้ระเบิดเต็มทน แต่ผมก็ยังกล้ำกลืนฝืนทนร้องเพลงที่ตัวเองยังทนไม่ได้ต่อไปแม้ว่าภายในส่วนที่ลึกประมาณขั้วโลกใต้ของผมมันพอใจที่จะเรียกว่าเพลงอันแสนไพเราะก็ตาม
                    ฟรานเซียเปิดประตูออกมาซึ่งทำให้ผมตกใจกับใบหน้าและท่าทางของเธออยู่นิดหน่อยก่อนที่เธอจะมายึดของในมือผมอย่างไม่เกรงใจเอาซะเลย หรือตามภาษาไฮโซของตระกูลซัมเปอร์จะเรียกมันว่าไร้มารยาท และภาษาต่ำต้อยของครอบครัวดิสก์ก็เรียกว่าไร้มารยาทเหมือนกัน เพียงแต่ภาษาไฮโซจะมีสะบัดเสียงเน้นคำว่าไร้ และ ยาทให้ดูเป็นผู้ดีขึ้นมานิด ถ้าผมไม่ใช่คนหล่อผมคงทนมารยาทที่แทบไม่มีของเธอไม่ได้ อยากรู้นักว่าเธอทำกับผมอย่างนี้คนเดียวรึเปล่า
                    “ขอบใจ!” เธอพูดห้วนๆอย่างรวดเร็วและเดินกลับเข้าไปในบ้านก่อนที่ผมจะเริ่มร้องเพลงอีกครั้งโดยพยายามไม่สนใจกับปฏิกิริยาไร้มารยาทที่ตอบรับผมมา
                    “เซ็นชื่อค้าบ เซ็นชื่อรับของ เซ็นชื้อ เซ็นชื่อ”
                    เธอเปิดประตูออกมาอีกครั้งแล้วเซ็นชื้อ เซ็นชื่ออย่างรำคาญจนคนขี้ตื๊ออย่างผมสังเกตได้ชัดจากสีหน้าและดวงตาที่จงใจให้คนมองรับรู้ถึงความรู้สึกของเจ้าของ นัยน์ตาคู่สวยที่ดูขวางโลกเหลือบมองผมด้วยสายตาดุดันอีกทั้งแววตาเรียบเฉียบที่เปรียบเสมือนคมมีดที่จะเฉือนคอผมทิ้งทันตา
                    “มีอะไรอีกมั้ย?”
                    “ครับ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไมโครเวฟ ใส่ผงทำเค้กถ้วยลงไปในถ้วย ตอกไข่ 1 ฟอง แล้วคนให้เข้ากัน ใส่ส้มลงไป ใส่ไมโครเวฟแล้วหมุนลูกบิดไปที่เลข 2 พอมีเสียงนกหวีดก็เอาออกมาแล้วกินซะ” ผมรายงานวิธีใช้ยาวเหยียด ทีรู้ว่าเธอคงไม่เข้าใจนัก แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่มนุษย์ยุคหินที่มีขนทั่วตัว แววตาที่เคลือบแคลงด้วยความดุดันของเธอเริ่มคลายออกเป็นแววตาที่แสดงความฉงนกับคิ้วที่ขมวดขึ้น
                    อย่างที่มีคนเคยบอกว่า... คุยกะใครต้องใช้ภาษาเดียวกัน... คุยกับหมาต้องบ๊อกๆ คุยกับแมวต้องเหมียวๆ คุยกับคนใบ้ต้องแบ๊ะๆ ถ้าคุยกับมนุษย์ยุคหินล่ะก็...
                    “นี่คือกล่อง และนี่คือใบชาป่น ใส่ใบชาป่นลงไปในถ้วย ตอกไข่ใส่ลงไปแล้วเอาช้อนมาหมุนๆๆในถ้วย หย่อนส้มลงไป เปิดฝากล่อง และเอาถ้วยใส่เข้าไป หมุนลูกบอลไปที่เบอร์ 2 ปิดฝากล่อง แล้วนำถ้วยออกมาหลังได้ยินเสียงปี๊ด”
                    ผมอธิบายให้เธอฟังใหม่อีกรอบ ถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่ประสบผลสำเร็จจากการคุยกับมนุษย์ยุคหินนัก แต่ขอให้เธอพอจะรู้เรื่องก็พอ...
                    การจะทำอะไรสำเร็จไม่จำเป็นต้องทำแค่ครั้งเดียว เค้าว่ากันว่า อัจฉริยะ กับ คนบ้า ต่างกันแค่การประสบความสำเร็จ งั้นคนบ้าก็อัจฉริยะได้ที่ประสบความสำเร็จในการทำให้ตัวเองบ้า ถ้ายึดถือกฎนี้ ผมก็ประสบความสำเร็จในการค้นพบหนึ่งวิธีที่คุยกับมนุษย์ยุคหินไม่รู้เรื่อง
                    “พรุ่งนี้เจอกันนะคร้าบ” พูดจบผมก็รีบเดินออกจากบ้านหลังนั้นทันทีด้วยความกลัวว่าบ้านของเธอจะระเบิดในนาทีนั้น
                    ไอ้แก่ขี้ตื๊อ!
                    เธอตะโกนในใจเสียงดังด้วยความรู้สึกโมโหโกรธาโกรธเกรี้ยวและรำคาญสุดขีด มองวัตถุรูปกล่องในมือที่อยากจะปามันทิ้งในทันที แต่อย่างน้อยเก็บไว้คงดีกว่า เพราะยังไงมันก็ของฟรี
                    ฟรานเซียยกไมโครเวฟกลับเข้าไปในบ้านวางมันลงอย่างทะนุถนอม ของแปลกตาที่ดูตัดกับบ้านลูกหมูของเธออย่างเห็นได้ชัด เธอตัดสินใจจะใช้มัน อย่งน้อยก็ยังเป็นของที่มีคนตั้งใจจะให้จริงๆ กลัวเสียฟอร์ม... แต่ถ้าไอ้ขี้ตื๊อนั่นไม่รู้ก็ไม่เห็นเป็นไร
                    ฟรานเซียนั่งทานอาหารจากไมโครเวฟอย่างสบายอารมณ์ บนเก้าอี้ตัวน้อยที่เย็บเยียบ บรรยากาศทุกที่ทุกเวลามักจะวังเวงอยู่เสมอเมื่อยามี่อยู่โดดเดี่ยว ความเหงาเป็นเพื่อนกับเธอมาตั้งแต่เด็กเพียงแต่เธอไม่แคร์มัน... ไม่แคร์ความเหงา... จนบัดนี้เธอโดดเดี่ยวโดยสิ้นเชิง ปราศจากความเหงาเป็นเพื่อน วันนี้เธอรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด ถึงแม้ภายในส่วนลึกจะรู้สึกผิด... ที่เธอผิดนัด... ผิดนัดกับดอนเข้าแล้ว...
                    เธอผิดนัดกับดอนด้วยความจงใจ...
                    และเธอมั่นใจว่าการผิดนัดครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกดีอย่างที่สุด
                    เพียงแต่...เธอไม่นึกเลยว่าการผิดนัดของเธอจะทำให้เกิดเสียงเคาะประตูที่หน้าบ้านรัวยิบราวกับไม่ใช่คนเคาะ และก็ไม่มีทางใช่พระเจ้าด้วย
                    ว้อย! ไอ้ขี้ตื้อ!
                    รำคาญแล้วนะเฟ้ย!
                    ผมเห็นว่าเธอไม่มาเปิดประตู ผมจึงตัดสินใจดันประตูอย่างแรงเพื่อจะเข้าไปอย่างที่เค้าเรียกว่า ‘พังประตู’ ผมไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่ามารยาทอีกต่อไป ในเมื่อเธอประพฤติตนไร้มารยาทกับผมก่อน จนผมทนไม่ได้ซะแล้ว
                    “คุณไม่รู้หรือว่าสิ่งที่ผมจะบอกคุณสำคัญกับตัวคุณแค่ไหน”
                    แน่นอน... ผมสาบานได้ว่าเธอไม่รู้ ผมจึงรีบถือวิสาสะเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ อารมณ์ผมเย็นขึ้นนิดหน่อยหลังจากได้พังประตูเข้ามาในบ้านเธอ แต่มันทำให้ร่างกายผมหนาวเพราะประตูหายไป มันยากที่จะอธิบายอะไรยาวๆอัดใส่สมองให้คนฟังทีเดียวอย่างที่เรียกว่า ‘ยัด’  ผมจึงชวนเธอไปร้านกาแฟเพื่อจะคุยกันอย่างสบายๆ ผมน่าจะรู้ก่อนว่าเธอคุยไม่รู้เรื่อง ผมจึงพยายามจะย่อสิ่งที่ผมจะบอกเธอให้สั้นที่สุด
                    “ฟังนะ! หนังสือที่ผมซื้อมาน่ะ มีคนเขียนกลอนบ้าๆใส่ไว้” ผมรู้สึกอยากขอโทษมาเธอร์กูสอย่างแรง “และมันเขียนว่าคุณตายเพราะ ‘หกล้ม 3 ครั้งตาย’ จึงรีบเขียนต่อไปว่า ’ซะเมื่อไหร่ เธอเดินพลาดตกบันได 2 ครั้งแล้วรอด’ เข้าใจมั้ย?”
                    ไม่เข้าใจ ว่าทำไมมันต้องเขียนให้ชั้นตกบันไดอีก 2 รอบ...
                    อ๋อ... ที่แท้มันนี่เองต้นเหตุที่ทำให้ชั้นหกล้ม 3 ครั้ง ตกบันได 2 ครั้งเมื่อวันก่อน...
                    ผมได้ยินเสียงในใจเธอแต่ผมไม่สนใจ ยังคงปล่อยให้มันดังต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่เธอไม่สนใจผมนั่นแหละ
                    “แต่ที่น่าตกใจคือมีตัวหนังสือผุดขึ้นมาว่า ‘ฟรานเซียเกิดวันพุธจึงถูกมาเธอร์กูสสาปให้โชคร้ายตลอดไป’” ผมเริ่มพูดเสียงเรียบลงเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าคำพูดของผมเริ่มดึงความสนใจจากเธอได้บ้างแล้ว
                    อ้าว... แล้วไหงมันมาเกี่ยวกะชั้นเนี่ย?
                    ”เท่าที่ผมรู้ตอนนี้คนที่เขียนประโยคบ้าๆนี่ อยู่ในนี้ ในโลกเดียวกับคุณ! อยู่ในสมุดผม! และเป็นคนฆ่าลุงบุณธรรมคุณ! ผมไม่รู้หรอกว่าคนๆนั้นต้องการอะไร”
                    “นายรู้ได้ไงว่า ’ไอ้หมอนั่น’ เป็นคนฆ่าลุงชั้น” ฟรานเซียหรี่ตาลงตั้งชื่อให้คนๆนั้นเป็นชื่อใหม่เสร็จสรรพ
                    “ดูนี่สิครับ”
                    ผมชูกระดาษโพสต์อิทสีเหลืองที่ผมเจอมันแปะอยู่ข้างๆหนังสือราวจงใจ ในกระดาษมีรายชื่อคนนับสิบ หนึ่งในนั้นคือ ‘เจ.ซี.วอลตัน’ ชื่อลุงของเธอ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าตัวตาย ที่ฟรานเซียมั่นใจว่าเธอฆ่ากับมือ
                    “ผมตรวจสอบดูแล้วในหนังสือพิมพ์เดอะนิวส์ รายชื่อในนี้ถูกฆ่าตายหมด โดยฆาตกรส่วนหนึ่งที่ถูกจับด้ไม่ยอมให้ปากคำอะไรนอกจากชี้นิ้วชี้ขึ้นข้างบน”
                    ผมอยากจะเตือนเธอเหลือเกินว่าผมน่ะเป็นคนที่รู้จักแยกแยะ เล่นเป็นเล่น จริงเป็นจริง หล่อเป็นหล่อ เท่ห์เป็นเท่ห์ แต่ตอนนี้ผมว่าเธอคงตระหนักได้แล้วล่ะ ก็ผมวิ่งนั่งเดินตื๊อเธอตั้งนานกว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ ผมสังเกตว่าเธอเริ่มจะเดือด ความเครียกและสติเริ่มกลับมาเพราะความเงียบ
                    ไอ้คนที่ฆ่าลุงเธอ... ไอ้หมอนั่น...
                    ไอ้คนที่ทำให้เธอต้องโชคร้ายโดนนักแต่งกวีคนนั้นสาปเข้า... ไอ้หมอนั่น...
                    ไอ้คนที่ทำให้เธอเกิดวันพุธ... ไอ้ดอน เดลิโออีกคน!
                    นี่เธอควรจะเชื่อดีมั้ย?
                    ควรเชื่อมั้ยว่า... เธอถูกนักกวีสาป...
                    ควรเชื่อมั้ยว่า... ลุงเธอถูก ’ไอ้หมอนั่น’ ฆ่าตาย...
                    ทั้งที่เธอเชื่อจริงๆว่าคนที่ฆ่าลุงเธอคือตัวเธอเอง แต่ฟรานเซียก็มั่นใจที่สุดว่า... เธอไม่ใช่ ‘ไอ้หมอนั่น’
@@@
Don Delio\'s Message
มาไกลถึงตอนที่ 4 แล้วนะครับ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ ตอนหน้าก็จะออกจากกรีนวิลล์โดยสมบูรณ์แล้ว
ขอโทษที่แยกความคิดไม่ได้นะครับ เพราะว่าถ้าฟรานเซียไม่คิดอะไรเลย
กริยาอาการของเธอจะเป็นอย่างงี้ ฟรานเซียหรี่ตา เธออ้าปาก เธอกระพริบตา
เพราะมันไม่ค่อยพูดน่ะสิ จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็เค้าเป็นคนไม่พูด
ส่วนเรื่องจะทำให้ผมหุบปากน่ะหยุดเลยครับ เพาะถ้าผมไม่คิดล่ะก็ฟรานเซียจะชมผมมั้ย?
ถ้าไม่มีคนชมผมผมไม่ยอมด้วย เพราะฉะนั้นผมจะพยายามมองว่าเธอคิดว่าผมหล่อ ผมเท่ห์ต่อไป
ช่วยไม่ได้นี่ครับ มันหล่อมาแต่เกิด หุหุ
@@@
อ้อ ใครรู้บ้างว่าเพลงคลาสสิคเพลงไหนน่ากลัวที่สุด ขอถามหน่อยครับ
@@@
                    อะ... อ้าว! เฮ้ย! นี่มัน!
                    ฟรานเซียอุทานในใจขณะจ้องมองป้ายยักษ์ที่ขึงไว้ได้ด้วยโครงเหล็กต่อกันหลายป้ายติดกันอยู่บนร้านค้าข้างทาง ป้ายส่วนใหญ่มีรูปคน สิ่งของแล้วก็ตัวหนังสือตัวยักษ์ และทุกป้ายหน้าของนายแบบก็คือ บุคคลผู้ซึ่งโรคจิตวิปริตใจวิปลาส ตกประวัติศาสตร์ สุขภาพจิตดี และคณิตศาสตร์
                    เธอเริ่มกวาดตามองป้ายประหลาดไม่คุ้นตาภายหน้า ป้ายใหญ่ป้ายแรก... ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นป้ายอะไร ในภาพมีชายสวมหมวกเอาผ้าคลุมปิดหน้ากำลังก้าวเท้า แต่ที่ทำให้รู้ว่าเป็นดอนก็เพราะ...ตัวหนังสือตัวยักษ์ล่ะมั้ง...
KEEP BELIEVING
DONNIE WALKER
                    ป้ายต่อมาเป็นป้ายที่ทำให้เธอแทบสลบกับท่าทางแปลกๆของนายแบบที่ดัดจริตทำผิดเพศ เป็นป้ายที่ตั้งใจจะสื่ออะไรในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจนัก ภาพดอนจับรองเท้าบู๊ทข้างขวาใส่ชุดโชว์เนื้อหนังสีเหลืองและพู่สีชมพูข้างกาย ทำให้ท่าทางดัดจริตน่ารักแบบผู้หญิงกลายเป็นภาพวิกลจริตของคนลักเพศ!
Miss Dongeniality 2
Armed,Fabulous and Believe!
                    ม่ายนะ! ม่าย!!!
                    ไอ้หมอนั่นไม่ใช่! ไม่ใช่! ไม่ใช่! คนแต่งชีวิตชั้น!!!
                    เธอรีบเดินผ่านป้ายต่างๆให้เร็วที่สุด อาจจะเรียกว่าหนีความจริง แต่คงไม่เรียกถ้าเธอไม่คิดว่ามันเป็นความจริง แต่เป็นเพียงภาพหลอน ภาพหลอนที่ดูเหมือนจริงแค่นั้น... นี่เธอคงติดโรคประสาทมาจากมันแล้วใช่มั้ย?
                    ใช่แล้ว! มันเป็นแค่ภาพหลอน
                    ไม่มีอยู่จริง
                    แค่เดินเข้าบ้าน... เข้าบ้าน... เข้าบ้าน...
                    อารามตกใจทำให้เธอแทบขาดสติ อย่าลืม...สติมาปัญญาจะเกิด... สติมาปัญญาจะเกิด... เธอท่องวนอยู่ในใจก่อนจะตัดสินใจเดินไปเส้นทางกลับบ้าน
                    หญิงสาวรีบเดินเร่งความเร็วฝีเท้าให้เร็วขึ้น เดินก้มหน้าหลบสายตานายแบบจากภาพ พยายามกลับบ้านให้เร็วที่สุด ถึงแม้บ้านหลังนั้นจะไม่มีคนรอเธอกลับแล้วก็ตาม... เธอรู้ดีว่าหลังจากเธอไปพวกซัมเปอร์จะต้องมายึดบ้านของเธอไป ไม่นานหมู่บ้านกรีนวิลล์ทั้งหมดจะกลายเป็นของพวกมัน ไม่นานเธอจะต้องออกไปอยู่ร่วมกับคนที่เธอไม่รู้จัก ทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรสักนิด รู้อยู่ว่าคนเราเกิดมาเท่าเทียมกันซะที่ไหนล่ะ
                    การชะงักของเธอตรงหน้าประตูบ้านทำให้หัวเธอแทบจะโขกเสียงดัง แต่เธอไม่อยากจะแตะประตูบ้านเท่าไรนัก เพราะมันเต็มไปด้วยราคีของแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมสีเหลืองที่เธอคิดว่าเธอรู้ว่าใครเอามาติดไว้ แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่าเป็นดอน แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าดอนบ้าแน่ๆ กระดาษสีเหลืองที่มีข้อความว่า
เชื่อผม!
ไปที่ร้านกาแฟพรุ่งนี้!
                    ไม่ไปว้อย!!!
                    ฟรานเซียยื่นคำขาดก่อนจะปิดประตูเสียงดังด้วยโทสะที่พุ่งพรวด กระทืบเท้าปึงปังด้วยสติที่คุมไม่อยู่ ตอนนี้ดาวอังคารคงบังดาวพุธได้แล้ว!
                    พอแล้ววันนี้...
                    ไม่เอาอีกแล้ว
                    เธอถอดเสื้อโค้ทออกและแขวนไว้ที่ประตูก่อนจะหยิบส้มเน่าๆผมน้อยของแอรี่มาปอกกินเข้าไป 1 กลีบ เธอตัดสินใจทะนุถนอมทานมื้อละกลีบประทังชีวิต
                    ส้มเน่าๆมันก็เน่าอยู่วันยังค่ำ...
                    แต่อย่างน้อยก็อยู่ที่คนกินว่าอยากจะท้องเสียหรืออยากจะอดตาย...
                    “พัสดุคร้าบ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากประตูหน้าบ้านฟรานเซียรู้ได้ทันทีว่าใครที่ยืนอยู่หน้าประตู รู้ดีด้วย... ฟรานเซียตัดสืนใจได้ทันทีว่า เธอไม่ยอมให้ราคีจากดอนมาเปื้อนเปรอะบ้านของลุงเธอแน่ๆ ไม่มีทาง! ถึงแม้ว่า... ตอนนี้มันจะไม่ใช่ของๆลุงแล้วก็ตาม...
                    ผมรู้ดีว่าผู้หญิงอยู่ประชดชีวิต ประชันสังคม อีโก้สูง ทิฐิมาก ขี้รำคาญคนนี้ไม่ปล่อยให้ผมเข้าไปง่ายๆแน่ ผมเริ่มร้องเพลง ’มั่ว’ ซึ่งหมายความว่ามั่วทั้งเนื้อร้องและทำนองเพลง อาจรวมทั้งมั่วจังหวะ มั่วคีย์ ซึ่งตามหลักทฤษฎีของดนตรีสากลนานาชาติแห่งมนุษยโลกเรียกว่า... ไม่เป็นเพลง...
                    “พัสดุคร้าบ พัวดุมาแล้ว มาแล้ว เย้ เย เย พัสดุ พัสดุมาแล้วค้าบ คนส่ง หล่อ ล้อ หล่อ คนส่ง เท่ห์ เท้ เท่ห์”
                    เพล้ง!!!
                    ไม่ใช่เสียงฟรานเซียโยนของกระเด็นก ร ะ ด อนมาโดนผมหรอกครับ ผมเป็นคนทำให้แก้วไวน์แตกเผื่อว่าเธอจะคิดว่าเสียงผมดีเหมือนนักร้องโอเปร่าที่สามารถร้องเพลงทำให้แก้วแตกได้ หรือเธออาจจะคิดว่าผมร้องเสียงเห่ยจนคุณแก้วไวน์น้อยทนไม่ได้ต้องระเบิดตัวเอง
                    เสียงเพลงที่ผมคิดว่าไพเราะยังคงบรรเลงต่อไป เพื่อนผมก็เคยนำคำว่า ’ไม่’ มาร้องไม่เป็นเพลงไปมา จนทำให้เขาอดทานเค้กก้อนโต โต้ โต... ผมรู้ดีว่าความขี้รำคาญของฟรานเซียใกล้ระเบิดเต็มทน แต่ผมก็ยังกล้ำกลืนฝืนทนร้องเพลงที่ตัวเองยังทนไม่ได้ต่อไปแม้ว่าภายในส่วนที่ลึกประมาณขั้วโลกใต้ของผมมันพอใจที่จะเรียกว่าเพลงอันแสนไพเราะก็ตาม
                    ฟรานเซียเปิดประตูออกมาซึ่งทำให้ผมตกใจกับใบหน้าและท่าทางของเธออยู่นิดหน่อยก่อนที่เธอจะมายึดของในมือผมอย่างไม่เกรงใจเอาซะเลย หรือตามภาษาไฮโซของตระกูลซัมเปอร์จะเรียกมันว่าไร้มารยาท และภาษาต่ำต้อยของครอบครัวดิสก์ก็เรียกว่าไร้มารยาทเหมือนกัน เพียงแต่ภาษาไฮโซจะมีสะบัดเสียงเน้นคำว่าไร้ และ ยาทให้ดูเป็นผู้ดีขึ้นมานิด ถ้าผมไม่ใช่คนหล่อผมคงทนมารยาทที่แทบไม่มีของเธอไม่ได้ อยากรู้นักว่าเธอทำกับผมอย่างนี้คนเดียวรึเปล่า
                    “ขอบใจ!” เธอพูดห้วนๆอย่างรวดเร็วและเดินกลับเข้าไปในบ้านก่อนที่ผมจะเริ่มร้องเพลงอีกครั้งโดยพยายามไม่สนใจกับปฏิกิริยาไร้มารยาทที่ตอบรับผมมา
                    “เซ็นชื่อค้าบ เซ็นชื่อรับของ เซ็นชื้อ เซ็นชื่อ”
                    เธอเปิดประตูออกมาอีกครั้งแล้วเซ็นชื้อ เซ็นชื่ออย่างรำคาญจนคนขี้ตื๊ออย่างผมสังเกตได้ชัดจากสีหน้าและดวงตาที่จงใจให้คนมองรับรู้ถึงความรู้สึกของเจ้าของ นัยน์ตาคู่สวยที่ดูขวางโลกเหลือบมองผมด้วยสายตาดุดันอีกทั้งแววตาเรียบเฉียบที่เปรียบเสมือนคมมีดที่จะเฉือนคอผมทิ้งทันตา
                    “มีอะไรอีกมั้ย?”
                    “ครับ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไมโครเวฟ ใส่ผงทำเค้กถ้วยลงไปในถ้วย ตอกไข่ 1 ฟอง แล้วคนให้เข้ากัน ใส่ส้มลงไป ใส่ไมโครเวฟแล้วหมุนลูกบิดไปที่เลข 2 พอมีเสียงนกหวีดก็เอาออกมาแล้วกินซะ” ผมรายงานวิธีใช้ยาวเหยียด ทีรู้ว่าเธอคงไม่เข้าใจนัก แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่มนุษย์ยุคหินที่มีขนทั่วตัว แววตาที่เคลือบแคลงด้วยความดุดันของเธอเริ่มคลายออกเป็นแววตาที่แสดงความฉงนกับคิ้วที่ขมวดขึ้น
                    อย่างที่มีคนเคยบอกว่า... คุยกะใครต้องใช้ภาษาเดียวกัน... คุยกับหมาต้องบ๊อกๆ คุยกับแมวต้องเหมียวๆ คุยกับคนใบ้ต้องแบ๊ะๆ ถ้าคุยกับมนุษย์ยุคหินล่ะก็...
                    “นี่คือกล่อง และนี่คือใบชาป่น ใส่ใบชาป่นลงไปในถ้วย ตอกไข่ใส่ลงไปแล้วเอาช้อนมาหมุนๆๆในถ้วย หย่อนส้มลงไป เปิดฝากล่อง และเอาถ้วยใส่เข้าไป หมุนลูกบอลไปที่เบอร์ 2 ปิดฝากล่อง แล้วนำถ้วยออกมาหลังได้ยินเสียงปี๊ด”
                    ผมอธิบายให้เธอฟังใหม่อีกรอบ ถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่ประสบผลสำเร็จจากการคุยกับมนุษย์ยุคหินนัก แต่ขอให้เธอพอจะรู้เรื่องก็พอ...
                    การจะทำอะไรสำเร็จไม่จำเป็นต้องทำแค่ครั้งเดียว เค้าว่ากันว่า อัจฉริยะ กับ คนบ้า ต่างกันแค่การประสบความสำเร็จ งั้นคนบ้าก็อัจฉริยะได้ที่ประสบความสำเร็จในการทำให้ตัวเองบ้า ถ้ายึดถือกฎนี้ ผมก็ประสบความสำเร็จในการค้นพบหนึ่งวิธีที่คุยกับมนุษย์ยุคหินไม่รู้เรื่อง
                    “พรุ่งนี้เจอกันนะคร้าบ” พูดจบผมก็รีบเดินออกจากบ้านหลังนั้นทันทีด้วยความกลัวว่าบ้านของเธอจะระเบิดในนาทีนั้น
                    ไอ้แก่ขี้ตื๊อ!
                    เธอตะโกนในใจเสียงดังด้วยความรู้สึกโมโหโกรธาโกรธเกรี้ยวและรำคาญสุดขีด มองวัตถุรูปกล่องในมือที่อยากจะปามันทิ้งในทันที แต่อย่างน้อยเก็บไว้คงดีกว่า เพราะยังไงมันก็ของฟรี
                    ฟรานเซียยกไมโครเวฟกลับเข้าไปในบ้านวางมันลงอย่างทะนุถนอม ของแปลกตาที่ดูตัดกับบ้านลูกหมูของเธออย่างเห็นได้ชัด เธอตัดสินใจจะใช้มัน อย่งน้อยก็ยังเป็นของที่มีคนตั้งใจจะให้จริงๆ กลัวเสียฟอร์ม... แต่ถ้าไอ้ขี้ตื๊อนั่นไม่รู้ก็ไม่เห็นเป็นไร
                    ฟรานเซียนั่งทานอาหารจากไมโครเวฟอย่างสบายอารมณ์ บนเก้าอี้ตัวน้อยที่เย็บเยียบ บรรยากาศทุกที่ทุกเวลามักจะวังเวงอยู่เสมอเมื่อยามี่อยู่โดดเดี่ยว ความเหงาเป็นเพื่อนกับเธอมาตั้งแต่เด็กเพียงแต่เธอไม่แคร์มัน... ไม่แคร์ความเหงา... จนบัดนี้เธอโดดเดี่ยวโดยสิ้นเชิง ปราศจากความเหงาเป็นเพื่อน วันนี้เธอรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด ถึงแม้ภายในส่วนลึกจะรู้สึกผิด... ที่เธอผิดนัด... ผิดนัดกับดอนเข้าแล้ว...
                    เธอผิดนัดกับดอนด้วยความจงใจ...
                    และเธอมั่นใจว่าการผิดนัดครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกดีอย่างที่สุด
                    เพียงแต่...เธอไม่นึกเลยว่าการผิดนัดของเธอจะทำให้เกิดเสียงเคาะประตูที่หน้าบ้านรัวยิบราวกับไม่ใช่คนเคาะ และก็ไม่มีทางใช่พระเจ้าด้วย
                    ว้อย! ไอ้ขี้ตื้อ!
                    รำคาญแล้วนะเฟ้ย!
                    ผมเห็นว่าเธอไม่มาเปิดประตู ผมจึงตัดสินใจดันประตูอย่างแรงเพื่อจะเข้าไปอย่างที่เค้าเรียกว่า ‘พังประตู’ ผมไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่ามารยาทอีกต่อไป ในเมื่อเธอประพฤติตนไร้มารยาทกับผมก่อน จนผมทนไม่ได้ซะแล้ว
                    “คุณไม่รู้หรือว่าสิ่งที่ผมจะบอกคุณสำคัญกับตัวคุณแค่ไหน”
                    แน่นอน... ผมสาบานได้ว่าเธอไม่รู้ ผมจึงรีบถือวิสาสะเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ อารมณ์ผมเย็นขึ้นนิดหน่อยหลังจากได้พังประตูเข้ามาในบ้านเธอ แต่มันทำให้ร่างกายผมหนาวเพราะประตูหายไป มันยากที่จะอธิบายอะไรยาวๆอัดใส่สมองให้คนฟังทีเดียวอย่างที่เรียกว่า ‘ยัด’  ผมจึงชวนเธอไปร้านกาแฟเพื่อจะคุยกันอย่างสบายๆ ผมน่าจะรู้ก่อนว่าเธอคุยไม่รู้เรื่อง ผมจึงพยายามจะย่อสิ่งที่ผมจะบอกเธอให้สั้นที่สุด
                    “ฟังนะ! หนังสือที่ผมซื้อมาน่ะ มีคนเขียนกลอนบ้าๆใส่ไว้” ผมรู้สึกอยากขอโทษมาเธอร์กูสอย่างแรง “และมันเขียนว่าคุณตายเพราะ ‘หกล้ม 3 ครั้งตาย’ จึงรีบเขียนต่อไปว่า ’ซะเมื่อไหร่ เธอเดินพลาดตกบันได 2 ครั้งแล้วรอด’ เข้าใจมั้ย?”
                    ไม่เข้าใจ ว่าทำไมมันต้องเขียนให้ชั้นตกบันไดอีก 2 รอบ...
                    อ๋อ... ที่แท้มันนี่เองต้นเหตุที่ทำให้ชั้นหกล้ม 3 ครั้ง ตกบันได 2 ครั้งเมื่อวันก่อน...
                    ผมได้ยินเสียงในใจเธอแต่ผมไม่สนใจ ยังคงปล่อยให้มันดังต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่เธอไม่สนใจผมนั่นแหละ
                    “แต่ที่น่าตกใจคือมีตัวหนังสือผุดขึ้นมาว่า ‘ฟรานเซียเกิดวันพุธจึงถูกมาเธอร์กูสสาปให้โชคร้ายตลอดไป’” ผมเริ่มพูดเสียงเรียบลงเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าคำพูดของผมเริ่มดึงความสนใจจากเธอได้บ้างแล้ว
                    อ้าว... แล้วไหงมันมาเกี่ยวกะชั้นเนี่ย?
                    ”เท่าที่ผมรู้ตอนนี้คนที่เขียนประโยคบ้าๆนี่ อยู่ในนี้ ในโลกเดียวกับคุณ! อยู่ในสมุดผม! และเป็นคนฆ่าลุงบุณธรรมคุณ! ผมไม่รู้หรอกว่าคนๆนั้นต้องการอะไร”
                    “นายรู้ได้ไงว่า ’ไอ้หมอนั่น’ เป็นคนฆ่าลุงชั้น” ฟรานเซียหรี่ตาลงตั้งชื่อให้คนๆนั้นเป็นชื่อใหม่เสร็จสรรพ
                    “ดูนี่สิครับ”
                    ผมชูกระดาษโพสต์อิทสีเหลืองที่ผมเจอมันแปะอยู่ข้างๆหนังสือราวจงใจ ในกระดาษมีรายชื่อคนนับสิบ หนึ่งในนั้นคือ ‘เจ.ซี.วอลตัน’ ชื่อลุงของเธอ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าตัวตาย ที่ฟรานเซียมั่นใจว่าเธอฆ่ากับมือ
                    “ผมตรวจสอบดูแล้วในหนังสือพิมพ์เดอะนิวส์ รายชื่อในนี้ถูกฆ่าตายหมด โดยฆาตกรส่วนหนึ่งที่ถูกจับด้ไม่ยอมให้ปากคำอะไรนอกจากชี้นิ้วชี้ขึ้นข้างบน”
                    ผมอยากจะเตือนเธอเหลือเกินว่าผมน่ะเป็นคนที่รู้จักแยกแยะ เล่นเป็นเล่น จริงเป็นจริง หล่อเป็นหล่อ เท่ห์เป็นเท่ห์ แต่ตอนนี้ผมว่าเธอคงตระหนักได้แล้วล่ะ ก็ผมวิ่งนั่งเดินตื๊อเธอตั้งนานกว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ ผมสังเกตว่าเธอเริ่มจะเดือด ความเครียกและสติเริ่มกลับมาเพราะความเงียบ
                    ไอ้คนที่ฆ่าลุงเธอ... ไอ้หมอนั่น...
                    ไอ้คนที่ทำให้เธอต้องโชคร้ายโดนนักแต่งกวีคนนั้นสาปเข้า... ไอ้หมอนั่น...
                    ไอ้คนที่ทำให้เธอเกิดวันพุธ... ไอ้ดอน เดลิโออีกคน!
                    นี่เธอควรจะเชื่อดีมั้ย?
                    ควรเชื่อมั้ยว่า... เธอถูกนักกวีสาป...
                    ควรเชื่อมั้ยว่า... ลุงเธอถูก ’ไอ้หมอนั่น’ ฆ่าตาย...
                    ทั้งที่เธอเชื่อจริงๆว่าคนที่ฆ่าลุงเธอคือตัวเธอเอง แต่ฟรานเซียก็มั่นใจที่สุดว่า... เธอไม่ใช่ ‘ไอ้หมอนั่น’
@@@
Don Delio\'s Message
มาไกลถึงตอนที่ 4 แล้วนะครับ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ ตอนหน้าก็จะออกจากกรีนวิลล์โดยสมบูรณ์แล้ว
ขอโทษที่แยกความคิดไม่ได้นะครับ เพราะว่าถ้าฟรานเซียไม่คิดอะไรเลย
กริยาอาการของเธอจะเป็นอย่างงี้ ฟรานเซียหรี่ตา เธออ้าปาก เธอกระพริบตา
เพราะมันไม่ค่อยพูดน่ะสิ จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็เค้าเป็นคนไม่พูด
ส่วนเรื่องจะทำให้ผมหุบปากน่ะหยุดเลยครับ เพาะถ้าผมไม่คิดล่ะก็ฟรานเซียจะชมผมมั้ย?
ถ้าไม่มีคนชมผมผมไม่ยอมด้วย เพราะฉะนั้นผมจะพยายามมองว่าเธอคิดว่าผมหล่อ ผมเท่ห์ต่อไป
ช่วยไม่ได้นี่ครับ มันหล่อมาแต่เกิด หุหุ
@@@
อ้อ ใครรู้บ้างว่าเพลงคลาสสิคเพลงไหนน่ากลัวที่สุด ขอถามหน่อยครับ
@@@
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น