ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วาดรัก ทะเลหวาม (โรแมนติก)

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 11 ไปด้วยกันไหม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.14K
      7
      23 ต.ค. 58




    ............

    รายการข่าวแทบจะทุกสถานีต่างเตรียมถ่ายทอดสดงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของเอมมิกา ดาราสาวที่กำลังตกเป็นจำเลยสังคมอยู่ตอนนี้ หลังจากก่อนหน้านี้ได้นำเสนอข่าวที่เจ๊มดผู้จัดการของเอมมิกาที่ให้ข่าวว่าถูกหญิงสาวทำร้ายจนอาการสาหัสนอนพักอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมกับร้องไห้น้ำตานองหน้าว่าผิดหวังเสียใจแต่ก็ไม่คิดโกรธเคืองที่หญิงสาวทำร้ายตนและโกหกหลอกลวงตน

    ตามมาติดๆด้วยข่าวของเพาวริศ ดาราหนุ่มที่อดีตเคยหวานหยดกับเอมมิกาออกมาให้สัมภาษณ์ว่าตนได้ห่างกันสักพักกับหญิงสาวตั้งแต่ข่าวยังไม่ออกมาด้วยซ้ำ และกล่าวว่าเขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมากที่หญิงสาวโกหกหลอกลวงเขา โดยที่เขาไม่เคยรังเกียจครอบครัวของหญิงสาวเลย แต่เขากับหญิงสาวตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเกินเลยนอกจากเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น

    เอมมิกาที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สุดเซอร์ทำเอานักข่าวถึงกับงุนงงจนถึงกับต้องมองซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเอมมิกาตัวจริง หญิงสาวนั่งยิ้มอยู่ต่อหน้าไมค์หลายสิบตัว ข้างหน้าเป็นบรรดากองทัพนักข่าวที่นั่งกันแน่นเอี๊ยดจนเก้าอี้ไม่พอกันเลยทีเดียว

    “กับข่าวที่ออกมาทั้งหมด เรื่องจริงเป็นยังไงคะน้องเอม” เอมมิกายิ้มเศร้าๆ ก่อนจะพนมมือขึ้นมาไหว้พร้อมกับยืดอกพูดอย่างยอมรับผิดทุกอย่าง
               “
    ฉันต้องกราบขอโทษทุกๆคนด้วยนะคะ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันโกหกหลอกลวงทุกคนมาโดยตลอด ซึ่งฉันไม่เคยอยากจะทำมันเลย แต่เพราะอำนาจเงินและการเป็นดารามันหอมหวานเชิญชวน ทำให้ฉันก้าวถลำลึกลงไปอย่างไม่อาจถอนตัวขึ้นมาได้ การหลอกลวง...ไม่ทำให้ใครมีความสุขหรอกนะคะ ที่ผ่านมาฉันโง่เองที่หลงคิดอะไรตื้นเขิน ไม่เคยคิดถึงใคร เป็นคนเห็นแก่ตัวที่คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น

    ใช่แล้วละคะ เมื่อก่อนฉันเป็นแค่เด็กสาวที่อาศัยอยู่สลัม กลิ่นน้ำครำฉันยังจำได้ไม่เคยลืม ครอบครัวของฉันมีสภาพปากกัดตีนถีบ ฉันเองก็ต้องหาเงินมาจุนเจือครอบครัวตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ ฉันเกลียดความจนของตัวเอง เกลียดสายตาดูถูก เกลียดสายตาเยาะหยัน และเมื่อฉันก้าวเข้ามาสู่วงการบันเทิง...” เอมมิกายิ้มอีกครั้งแต่เป็นยิ้มที่บอกว่าเธอปลงกับมันแล้วจริงๆ

    “วงการบันเทิงเปลี่ยนชีวิตฉัน ทำให้หลงใหลเพ้อฝันไปว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงในนิยายที่เพียบพร้อมไปหมดซะทุกอย่าง ในตอนนั้นฉันทำอะไรได้หลายๆอย่างเพื่อที่จะเฉิดฉายอยู่บนวงการมายาอย่างภาคภูมิ แล้วฉันก็หลงทำผิดอย่างไม่ควรให้อภัย มาบัดนี้ฉันได้สำนึกผิดทุกอย่างและน้อมรับความเลวทรามที่ฉันได้ทำไว้ และขอให้ฉันได้พูดอะไรสักประโยคหนึ่งได้ไหมคะ” เอมมิกากล้ำกลืนบางสิ่งบางอย่างลงไป พยายามบังคับไม่ให้น้ำตาของตนไหลออกมาเพื่อฟ้องว่าเธอนั้นแสนจะอ่อนแอ

    “ฉันไม่เคยรังเกียจพ่อกับแม่ของตัวเอง สิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมดก็เพื่อต้องการหาเงินมาให้พ่อกับแม่เท่านั้นเอง” แม้จะรู้ดีว่าพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อเธออีกแล้ว แต่อย่างน้อยเอมมิกาก็อยากจะพูดเพราะนั้นมันคือความจริงจากใจของเธอ ที่แถลงข่าววันนี้เธอไม่คิดที่จะพาดพิงไปถึงใคร ทั้งเจ๊มดหรือเพาวริศที่โกงเงินเธอไป

    ไม่ใช่ว่าเธอให้อภัยสองคนนั้นได้หรอก แต่เธอไม่อยากจะให้เรื่องมันยาวไปมากกว่านี้อีกแล้ว เธออยากจบเรื่องทั้งหมดโดยเร็วแม้ว่าเธอจะกลายเป็นคนเลวยังไงในสายตาคนอื่น

    เสียงฮือฮาเสียงถ่ายภาพเสียงคำถามที่ประดังเข้ามาไม่ทำให้เอมมิกาหวาดกลัวอีกแล้ว

    “แล้วต่อจากนี้น้องเอมคิดจะทำอะไรต่อคะ ยังจะอยู่ในวงการบันเทิงอีกรึเปล่า”

    “ไม่ค่ะ...ฉันรู้ตัวดีแล้วว่าตัวฉันเองไม่เหมาะสมกับวงการนี้อีกต่อไปแล้ว สำหรับฉันชีวิตในวันข้างหน้าก็คงจะต่อสู้ดิ้นรนต่อไปโดยไม่ยอมแพ้และคงไม่คิดที่จะหลอกลวงใครอีก สุดท้ายฉันอยากให้ทุกคนอโหสิกรรมให้ฉันด้วยนะคะสิ่งใดที่ฉันเคยล่วงเกิน สิ่งใดที่ฉันเคยทำไม่ดีด้วย ฉันได้สำนึกผิดแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ...” เป็นประโยคสุดท้ายของการปิดฉากชีวิตในวงการมายาของดาราสาวเอมมิกา ช่อประภา

    แม้จะไม่ได้เห็นฉากน้ำตานองหน้าอย่างที่หลายคนคาดว่าจะได้เห็น แต่บอกไม่ถูกเลยว่าภาพของเอมมิกาในวันนั้นติดตรึงใจทุกคนไปตราบนานเท่านาน คนที่ผิดแล้วยอมรับว่าผิดย่อมดีกว่าคนที่ผิดแล้วพยายามป้ายความผิดไปให้ผู้อื่นอย่างที่มนุษย์ในสังคมสมัยนี้ทำกัน

    เพราะคนที่กล้ายอมรับความผิด...ย่อมได้รับการให้อภัยเสมอ

    ......

    เอมมิกากำลังเก็บเสื้อผ้ามากมายลงในกระเป๋า ส่วนหนึ่งเธอตั้งใจนำไปบริจาคทั้งกระเป๋ารองเท้าทั้งเสื้อผ้าที่บางตัวเธอซื้อมันมาด้วยราคาสูงลิ่วแต่แทบจะไม่เคยได้หยิบมาใส่เลยสักครั้งก็มี หลังจากเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าหญิงสาวก็ทรุดแหมะลงกับโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดออก เงินในกระเป๋าของเธอมีเพียงเงินแค่ไม่กี่ร้อยบาท หญิงสาวเริ่มกุมขมับเพราะยังไม่มีที่อยู่ใหม่และไม่รู้ว่าจะขนของมากมายเหล่านี้ไปไว้ที่ไหนก่อนดี

    แต่ก็ยังดีที่เธอมีเงินสองหมื่นเหลือในบัญชีระหว่างที่ค้นหาเมื่อคืนนี้ โชคดีเพียงน้อยนิดของเธอนั้นแหละเพราะเงินจำนวนนั้นเธอเกือบลืมมันไปแล้วเพราะมันเป็นเงินเก่าเก็บ

    หญิงสาวตัดสินใจนำเสื้อผ้ามากมายไปบริจาคในโครงการที่เขารับบริจาคเสื้อผ้าให้ผู้ประสบภัย ก่อนจะตัดสินใจว่ากระเป๋าแบรนเนมหลายใบ ใบล่ะเกือบแสนก็มี เธอจะนำไปประกาศขายทางอินเทอร์เนต ถ้าโชคดีมีคนซื้อเธอก็จะได้เงินทุนมาคิดหาทำอะไรต่อ

    ใช้เวลาเกือบครึ่งวันเอมมิกาก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อย หลังจากจ่ายเงินให้รถขนย้ายของและขนของขึ้นมาไว้บนห้องพักเล็กๆในย่านชานเมืองที่เมื่อเอาของขึ้นมาไว้หมดก็เหลือแค่ให้เธอนอนเหยียดขาได้แค่ไม่กี่เซนเท่านั้น ห้องพักสภาพทรุดโทรมตามค่าเช่าเดือนล่ะไม่กี่พัน แต่ก็ยังดีที่มีตู้เย็นกับพื้นที่ทำครัวนิดหน่อยตรงระเบียงห้อง แต่ถึงแม้อย่างนั้นเอมมิกาก็ได้จ่ายเงินค่าเช่าห้องล่วงหน้ารวมค่าประกันเป็นเงินก้อนสุดท้ายของเธอจนเกือบหมด

    ร่างกายของหญิงสาวก็เริ่มอ่อนล้าเพราะขนของมากมายขึ้นมาไว้บนห้องคนเดียวและพึ่งจะนึกได้ว่าเธอยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า หญิงสาวคว้ากระเป๋าสตางค์ขึ้นมาถือเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปซื้อกับข้าวพวกผักพวกปลามาใส่ตู้เย็นเอาไว้ที่ตลาด ที่เธอเห็นตอนนั่งรถผ่าน

    ผมเผ้าของหญิงสาวที่กระจัดกระจายหลุดลุ่ยเพราะพึ่งทำงานหนักขนของจนล้าแทบไม่มีเวลาสนใจกับความสวยความงามเหมือนเมื่อก่อน กับเสื้อยืดสีตุ่นกางเกงขากล้วยและรองเท้าแตะ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าจะเป็นคนเดียวกับเอมมิกา ดาราสาวที่จะต้องใช้ของแบรนเนมทั้งตัว ถ้าไม่ได้แต่งหน้าเธอก็จะไม่มีเยี่ยมหน้าออกมาเดินแบบนี้เป็นอันขาด เอมมิกาคิดถึงตนเองสมัยเป็นดาราด้วยรอยยิ้มบางๆ เธอในตอนนั้นช่างน่าสมเพชดีเหลือเกิน ความจริงสภาพที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้ทำให้เอมมิกาเดือดร้อนอะไรนักหรอก

    จะต่างอะไรกันล่ะ...ทำอย่างกับว่าเธอไม่เคยจน!! แค่จนอีกครั้งเธอก็คงไม่ตายหรอก

    “นั่นเอมมิกาหรือเปล่าหน่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งสะกิดให้เพื่อนดูระหว่างที่มาจับจ่ายซื้อของไปทำกับข้าว จนคนถูกสะกิดรีบหันไปมองก่อนจะเบิกตากว้างก่อนจะแปรเปลี่ยนยิ้มอย่างสมใจ หญิงสาวที่ถูกเพื่อนสะกิดรีบเดินตรงเข้าไปหาเอมมิกาโดยการแกล้งเดินกระแทกไหล่แรงๆจนร่างของเอมมิกาเซไปทันที

    “อุ๊ย...ขอโทษค่ะ ต๊ายย!! นี่มัน...เอมมิกานิเธอ” หญิงสาวคนนั้นแกล้งร้องตะโกนออกมาเสียงดังจนพวกแม่ค้าแม่ขายคนมาจับจ่ายซื้อของมองตรงมาที่เอมมิกาอย่างสนอกสนใจก่อนที่จะเริ่มมีคนจำได้ เสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาทันทีจนเอมมิกาก้มหน้างุด

    “เมื่อวันก่อนยังเห็นอยู่หน้าทีวีอยู่เลย ฉันเสียใจด้วนนะคะ ไม่น่าเลยน๊า...จริงไหมตุ่น” หญิงสาวนางนั้นหันไปพยักพเยิดกับเพื่อนที่ยิ้มแหยๆ ไม่คิดว่าการสะกิดให้เพื่อนดูจะทำให้เรื่องบานปลายขนาดนี้

    “จำฉันไม่ได้เหรอคะ คนที่คุณเคยจิกหัวใช้ฉันสารพัด หึ...ไม่น่าเชื่อเลยเนาะ จากที่คิดว่าตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่นมาวันนี้กลับต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนฉันยังอดเวทนาคุณไม่ได้” คำพูดของเธอทำให้เอมมิกามองหน้าอย่างพยายามจำให้ได้ว่าใครแต่เธอก็นึกไม่ออก สมัยที่เธอเป็นดาราเธอก็ทำตัวแย่ๆใส่คนตั้งมากมายนี่นะ

    “ขอโทษนะคะ ที่เคยทำไม่ดีกับคุณ” เอมมิกาพึมพำออกมาแต่คนฟังไม่ได้รู้สึกชื่นชมดีอกดีใจกับคำขอโทษนั้นเลยสักนิดเพราะมีความแค้นอยู่ในใจ

    “อุ๊ยตาย...กล้ามาเดินตลาดนะยะ เสียแรงที่ฉันเคยเชียเคยชอบ ไม่ขงไม่ขายแล้วโว้ย...ไม่ต้องมาเหยียบหน้าร้านฉันด้วยนะ ยัยนางเอกตอแหล” แม่ค้าขายผักที่เอมมิกากำลังเลือกอยู่ไล่ตะเพิดพร้อมกับด่าเปิดเปิงจนหญิงสาวหน้าเสีย และตอนนี้หลายคนก็เริ่มเดินเข้ามามุงดูด้วยสายตาที่แสดงชัดว่าไม่ชอบใจที่เห็นเอมมิกา จนหญิงสาวได้แต่ก้มหน้าก้มตาออกเดิน

    แต่หญิงสาวที่ก่อเรื่องแอบยิ้มหยันกับตนเองอย่างสะใจ เธอก็คือทีมงานที่เอมมิกาสั่งให้ทำนู้นทำนี่จิกหัวใช้สารพัดอย่างกับเธอเป็นทาส ไม่คิดเลยว่าคำพูดเล่นๆของเธอในวันนั้น บัดนี้จะส่งผลเร็วทันใจ เธอรีบเข้าไปขวางไม่ให้เอมมิกาเดินหนี

    เสียงด่าทออย่างหยาบคาย เสียงตะโกนด่าตะเพิดดังขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนปลุกระดม

    “เอ้าพวกเราช่วยกันไล่นังนางเอกตอแหลนี่ไปให้พ้นๆตลาดพวกเราหน่อยเร็ว ที่นี้จะได้ไม่เป็นเสนียดจัญไร” แม่ค้าอีกคนตะโกนขึ้นเสียงดัง

    เอมมิกาหน้าซีดเผือดพูดไม่ออกตั้งแต่ถูกทักแล้ว เธอเคยคิดว่าจะต้องมีอะไรทำนองนี้แต่พอมันเกิดขึ้นมาจริงๆ เธอกลับกลัวจนก้าวขาไม่ออก

    ทีมงานคนนั้นเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกแม่ค้าก็ยิ่งยิ้มเยาะอย่างชอบอกชอบใจที่ตนจะได้เห็นสภาพน่าทุเรศลูกตาของอดีตดาราสาว เธอรีบหลบทันทีเมื่อเห็นแม่ค้าหลายคนกระเหี้ยนกระหือใส่เอมมิกา

    เมื่อเห็นเอมมิกาไม่ขยับแม่ค้าขายผักก็อดรนทนไม่ไหวเกลียดขี้หน้าจริงจังถึงกับหันไปคว้าลังผักที่กำลังเตรียมทิ้งหันมาคว้างใส่เอมมิกา

    “ไป๊!! ออกไปเลยนะ เดี๋ยวร้านฉันจะไม่มีคนเข้า” เสียงคนหัวเราะกันยกใหญ่ เอมมิกาไม่รู้ตัวแล้วว่าอะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้างเพราะเธอได้แต่ตัวแข็งทื่อ มีคนบางคนพยายามที่จะเข้ามาผลักเธอให้ออกไปจากตลาด เมื่อไม่ได้ผลก็ยังอุตส่าห์ช่วยกันรุมลากหญิงสาวออกมานอกตลาดพร้อมด้วยเสียงด่าระงม เอมมิกาเห็นสีหน้าโกรธแค้นของมหาชนที่ก่นด่าเธอ เอาพวกเศษผักมาปาใส่เธออย่างเกลียดชัง เอมมิกาไม่คิดสู้เพราะเธอคิดว่าเธอควรจะได้รับมันแล้ว เพราะนี่คือโทษของเธอ โทษที่เธอควรจะได้รับ ไม่มีใครทำผิดโดยไม่ได้รับโทษหรอก

    “พอเถอะๆ...อย่าทำเป็นพวกแม่ค้าในละครอยู่เลยหน่า นี่มันเรื่องจริงนะยะ เดี๋ยวก็โดนจับเข้าคุกกันหมดหรอก” เสียงแม่ค้าคนหนึ่งดังขึ้นปลุกสติของทุกคนเพราะรู้สึกสงสารหญิงสาวที่ยืนก้มหน้านิ่งไม่ตอบโต้ด้วยสภาพเนื้อตัวผมเผ้ามีแต่เศษผักเศษผลไม้ที่เหล่าแม่ค้าพากันเอามากรวดส่งไล่เธอ

    “ทำมาเป็นตีหน้าสงสาร เล่นละครอีกล่ะสิ ตอแหลเก่งซะไม่มี” หลายคนยังไม่ลดสายตาของความเกลียดชังแต่ก็บอกไม่ถูกว่าภายในใจเริ่มจะอ่อนลงแล้วเหมือนกันถึงได้เลิกลาหันไปทำมาค้าขายต่อ

    เมื่อไม่มีใครคิดจะสนใจกับเอมมิกา หญิงสาวถึงได้เริ่มขยับเท้าอย่างช้าๆ แม้เธอจะรู้สึกว่าเท้ามันไม่ยอมขยับแต่เอมมิกาก็ฝืนใจเดินออกมาจากตลาดจนได้ หญิงสาวใช้มือหยิบเศษผักเศษเปลือกผลไม้ออกจากเสื้อผ้า ผมเผ้า พร้อมกับออกเดินไปตามฟุตบาทอย่างคนเลื่อนลอย

    มันยาก...ยากกว่าที่เธอคิดเสียอีก เท้าที่คิดว่ามั่นคงของเธอจะยืนหยัดไปได้อีกไกลสักแค่ไหนกันนะ เมื่อเธอเป็นแค่มนุษย์อ่อนแอบนโลกกว้างใบนี้เท่านั้น เธอไม่ได้เก่งกล้าสามารถขนาดนั้นหรอกนะ เอมมิกาแสยะยิ้มอย่างสมเพชตัวเองก่อนจะทรุดนั่งลงที่ม้านั่งริมทางใกล้ป้ายรถเมล์

    อดคิดถึงเขาคนนั้นไม่ได้ผู้ชายตาสีฟ้าลึกลับ เมอร์ริอัส... คราวนี้เธอจำชื่อได้ไม่ลืมเลยล่ะ เธอเริ่มรู้สึกโกรธเขาที่เขาเป็นคนทำให้เธอคิดจะต่อสู้ดิ้นรนในโลกใบนี้ ทั้งๆที่โลกใบนี้มันไม่น่าอยู่เอาเสียเลย เอมมิกาเริ่มต้นหัวเราะ ก่อนจะร้องไห้แบบไม่มีเสียง ทั้งๆที่ไม่อยากร้องแต่เธอก็ต่อสู่กับน้ำตามากมายที่มันทะลักออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าเวลาได้เคลื่อนคล้อยลอยผ่านไปนานสักเท่าไหร่ เอมมิกายังคงนั่งก้มหน้านิ่งๆปล่อยให้น้ำตาไหลทะลักออกมาอย่างไม่พยายามจะเช็ด

    ก่อนที่ผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มจะยื่นมาจ่อให้เธอตรงหน้า เอมมิกามองผ้าเช็ดหน้าตรงหน้าด้วยดวงตาพร่าเลือนก่อนจะมองไล่ขึ้นไปหาชายหนุ่มที่ยืนค้ำเธออยู่

    “คุณมาเจอฉันในสภาพน่าสมเพชอีกแล้วสินะ” เอมมิกาว่าอย่างขมขื่น ไม่ยอมเอื้อมมือไปรับผ้าเช็ดหน้าของเขา ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองดีเลิศมาตลอดกลับมารู้สึกต้อยต่ำได้ถึงเพียงนี้

    “อย่าโทษชะตาชีวิตที่เลวร้ายของตัวเองเลย...คุณควรคิดว่าคุณโชคดีที่อย่างน้อยคุณก็จะได้เรียนรู้คำว่าอดทนมากกว่าคนอื่น” เอมมิกาคลี่ยิ้มจนเกือบเยาะกับคำพูดนั้น

    “คุณเป็นก็อดเหรอ...ถึงได้เที่ยวมาโปรดฉันเหลือเกิน”

    “ผมไม่ใช่ก็อดหรอก...ผมเป็นก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องของคุณมันอาจจะใหญ่โตในตอนนี้แต่เชื่อเถอะ ว่าเมื่อคุณผ่านมันไปได้มันก็แค่เรื่องเล็กๆในชีวิตคุณเท่านั้นเอง ลองมองดูชีวิตผู้คนรอบตัวคุณดูสิ คุณจะเห็นว่าแต่ล่ะคนย่อมดิ้นรนต่อสู้ไปในทางชีวิตของแต่ล่ะคน ในโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ไม่มีใครไม่เคยทำผิดหรอก มันต่างกันตรงที่ว่าคนเหล่านั้นใครจะอดทนได้เก่งกว่ากันต่างหาก” น้ำตาของเอมมิกาได้หยุดไหลไปนานแล้วตั้งแต่เขาคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมา หญิงสาวแหงนเงยจนคอตั้งมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

    “คุณพูดประโยคยาวๆได้ด้วยเหรอ”

    “ผมไม่ใช่คนใบ้” เอมมิกาขำคิกออกมาอย่างอารมณ์สดชื่นสดใสขึ้น น้ำเสียงนุ่มๆของคนตรงหน้าน่าจะไปเป็นพวกที่ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาหรืออะไรเถือกนั้นน่าจะเหมาะเพราะทำให้คนเคลิ้มตามได้ไม่ยากเลย

    ไม่น่ามาเป็นคนวาดรูป!! เอมมิกาค่อนขอดอยู่ในใจอย่างไม่จริงจัง

    “ทำไมเราถึงบังเอิญเจอกันบ่อยจัง...” เอมมิกาถามออกไปอย่างคล้ายจะรำพึงกับตัวเสียมากกว่า แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับทรุดนั่งลงข้างเธอ โดยไม่กลัวชุดสูทราคาแพงจะเปรอะ เอมมิกามองคนข้างกายที่ทอดมองดูถนนที่รถราวิ่งกันขวักไขว่ ผู้คนสัญจรไปมา หากจะเปรียบเทียบกับโลกใบนี้แล้วมีคนเป็นแสนๆล้านๆคนที่อาศัยยั้วเยี้ยราวกับมดอยู่ในดาวเคราะห์ดวงนี้

    และเขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนึ่งในมดพวกนั้น เธอเองก็ด้วยเหมือนกัน

    “บางทีอาจจะไม่มีความบังเอิญอยู่ในโลกใบนี้หรอกนะ”

    “คุณจะบอกว่าพระเจ้าได้ขีดเอาไว้ให้เราได้พบกันอย่างนั้นหรือเปล่า” เอมมิกาดวงตาพราวระยับรู้สึกสนุกที่ได้กระเซ้าคนข้างกาย

    “คุณคิดว่าอย่างนั้นเหรอ” ชายหนุ่มถามหน้าตายทำให้เอมมิกาถึงกับหุบยิ้ม

    “ฉันหมายถึงว่า...คุณคิดต่างหากเล่า แล้วนี่ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี้ล่ะคะ” เอมมิกาคร้านจะต่อความยาวก็เลยตัดบทเปลี่ยนเรื่อง

    “ขับรถผ่านมา...เห็นจุดนี้เกิดภาพทึบทึมขึ้นมาผมก็เลยสนใจลงมาดู” เมอร์ริอัสบอกพร้อมกับชี้ไปที่หญิงสาว หน้านิ่งๆของเขาทำเอาเอมมิกาขมวดคิ้วหมุ่น

    “ถ้าเรื่องจริง คุณก็เป็นก็อดจริงๆแล้ว แล้วเลขาคุณละคะ คุณลาบิโอน่ะ”

    “คอยอยู่ในรถ” คำพูดของเมอร์ริอัสทำให้เอมมิการ้องห่ะ! ก่อนจะรีบสอดส่ายสายตาก็พบกับรถเบนซ์สีดำคันที่เคยมาส่งเธอที่คอนโดเมื่อหลายวันก่อนจอดรออยู่ริมฟุตบาท ไม่ไกลจากเธอเท่าไหร่

    “คุณรีบไปเถอะ...ฉันว่าคุณคงมีธุระที่ต้องทำ อย่ามาเสียเวลากับฉันเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่คุณ...มาโปรดสัตว์โลกอย่างฉัน” เอมมิกาแกล้งแหย่เล่นแต่น้ำเสียงของเธอก็คือคำขอบคุณที่ออกมาจากใจจริงๆ สองครั้งแล้วที่เธอได้รับการเตือนสติจากเขา ปลายอุโมงค์ในชีวิตของเธอก็ไม่ได้มืดมนเสียทีเดียวหรอก...

    เมอร์ริอัสยิ้มบางๆเหมือนจะน้อมรับก่อนจะลุกขึ้นยืน บอกไม่ถูกเลยว่าเอมมิการู้สึกใจหายที่เขาจะเดินจากเธอไป เธอกลัวว่าความบังเอิญจะไม่เวียนมาอีก ถ้าเป็นอย่างนั้น...ทำไมเธอถึงรู้สึกเบาโหวงในหัวใจได้ขนาดนี้นะ

    ช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน ช่วยเวลาที่เป็นเหมือนรอยต่อในจิ๊กซอของชีวิต ที่เราไม่รู้ว่าชิ้นส่วนไหนจะดีและเหมาะกับชิ้นส่วนที่มีอยู่ เพราะถ้าไม่เหมาะ...จิ๊กซอแห่งชีวิตก็ถูกเว้นว่างเกิดเป็นช่องโหว่มากมาย

    และความจริงที่ว่าไม่เคยมีภาพจิ๊กซอแห่งชีวิตอันไหนสมบูรณ์แบบเลยสักอัน...ถ้ารู้แบบนั้นแล้วคุณก็กล้าเสี่ยงขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม?


    “...ไปด้วยกันไหม...” เอมมิกาตะลึงงันกับประโยคนั้น มองนิ้วเรียวยาวของเขาที่ยื่นมาหาเธอด้วยหัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มน้อยๆ ทำให้มีพลังแห่งความเชื่อมั่นที่ไม่รู้มาจากไหนไหลวนเข้าสู่ร่างของเธอช้าๆ ระหว่างที่หญิงสาวกำลังคิดว่าอยู่ในห้วงแห่งความฝันหรือความจริงอยู่นั้น นิ้วมือสั่นระริกของเธอก็ได้เอื้อมไปหาเขา และไม่รู้ตัวเลยว่านับตั้งแต่นั้นมาเธอก็คิดกับตัวเองเสมอว่า

    คุณคือพระเจ้าของฉันจริงๆ....



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×