Demon story : บันทึกของจอมมารแห่งปราสาทลำดับที่ 11
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ แฟนตาซี Tags : ไร้สาระ
ผู้แต่ง : นกฮูกสีเทา
My.iD :
https://my.dek-d.com/domino-mine/writer/
ตอนที่ 11 : บทที่ 10 : กิลด์นักผจญภัย
บทที่ 10
เราใช้เวลาที่เมืองหน้าด่านนี้อีกหนึ่งวันในการซื้อของอย่างอื่น เช่นเสบียงอีกเล็กน้อย และข้าวของใช้ต่างๆ
สำหรับข้าแล้วเสียค่าใช้จ่ายไปไม่มากนัก เมืองในถิ่นห่างไกลเมืองหลวงนี้ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พวกข้าวของขึ้นราคาอีกนิดหน่อย ตอนที่เป็นจอมมารอยู่ในปราสาทข้าเองไม่ค่อยสนเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ จนกระทั่งมาออกเดินทางนี่แหละ
เอาจริงๆข้ามองว่าชีวิตแบบมนุษย์เองนี่ก็ลำบากพอดูเหมือนกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้
ข้าเคยออกเดินทางอยู่หลายครั้ง แต่เรื่องมันก็นานมากแล้ว จนสุดท้ายเลยมาลงหลักปักฐานที่แคว้นลาเซียแห่งนี้
ข้าแกว่งไม้คทาเวทในมือขณะเดินดูรอบๆเมือง ไอริสอยู่ในชุดหนังนั่งบนไหล่ข้ามองผิวเผินเหมือนสัตว์ที่มนุษย์ใช้เลี้ยง เหมือนพวกมนุษย์จะเรียกมันว่ากิ้งก่า เอาเถอะไม่ว่าพวกนั้นจะมองนางประหลาดขนาดไหนอย่างไรก็ตามนางก็ไม่ต้องอุดอู้ในกระเป๋าเสียที
ส่วนเจ้าเด็กเอเดนนั่นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่หลังจากอยู่ในสภาพจรจัดเสียนาน และเอาแต่ขอบคุณไม่หยุดจนข้าต้องสั่งให้มันหุบปาก
ข้าเหลือบมองทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองอย่างสนใจ ยังพอมีเวลาที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงต่อในวันพรุ่งนี้ สายตาข้ามาหยุดอยู่ที่อาคารหนึ่งที่ดูจะมีคนแน่นขนัด ก่อนที่จะเบียดเข้าไปด้วยความสนใจ พร้อมกับเจ้าเด็กเอเดนที่วิ่งตาม
ป้ายอาคารเขียนเอาไว้ว่ากิลด์นักผจญภัย
อืม เผาทิ้งเล่นสักหน่อยดีไหม ไหนๆก็มาถึงนี่ทั้งที ข้าคิดในใจ
ไอริสเหลือบมองข้าเหมือนข้ากำลังเตรียมกระทำการฆาตกรรมคนด้านในอาคารทั้งหมดยังไงเสียกระนั้น เพราะข้าเอาแต่หัวเราะหึๆและทำหน้าเหี้ยมเกรียมตลอดทางขณะที่เดินเข้าไปในอาคาร
ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว ขอเจอคนที่มีฝีมือหน่อยสิ
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามายังกิลด์นักผจญภัย เข้าเหลือบมองไปรอบๆ
ผู้คนแน่นขนัดมาจากทุกพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นนักดาบกัน แต่ไม่มีใครสักคนรู้เลยว่าจอมมารหนึ่งตนยืนหัวโด่อยู่ที่นี่
ดูท่ายุคทองของผู้กล้าจบลงเสียแล้วกระมัง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องมีใครสักคนมองทะลุเวทของข้าออกแล้วโพล่งออกมาว่านี่มันจอมมาร เจ้านั่นใช้เวทพรางเราอยู่ แต่ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ที่นี่มีฝีมือไม่มากพอที่จะมองข้าออกเช่นนั้น เพราะไม่มีนักเวทชั้นสูงมากหรือนักดาบที่จับออร่าแนวๆนั้นได้ น่าเสียดายจริงๆ
ข้าลอบมอง ยืนแกว่งคทาเล่น เหลือบมองนักดาบในห้อง อย่างมากพวกนั้นมีดีแค่กล้าม แต่ฝีมือดูจะไม่ได้เรื่องแม้แต่น้อย
โต๊ะลงทะเบียนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับป้ายประกาศงานต่างๆในเมืองที่ใครอยากจะรับไปทำก็ได้ ตั้งแต่ขัดส้วม ส่งจดหมาย ยันไปตีกับปิศาจในป่า และข้าขอเดาว่างานส่งจดหมายนั่นต้องวิ่งวนไปวนกลับเมืองเป็นสิบๆรอบ ทำให้ตายอย่างไรก็ไม่คุ้ม เว้นเสียแต่คนรับงานจะมีพวกเวทแนววาร์ป ไม่ก็ทำตัวเป็นโจรลักค่าไถ่จับเอาคู่สนทนาทางจดหมายมาจับมัดรวมกัน ขณะที่ข้ามองผ่านพวกป้ายประกาศต่างๆ เจ้าเด็กเอเดนที่อยู่ข้างๆตาเป็นประกายเหมือนพึ่งเห็นสิ่งที่ค้นพบใหม่ และอีกครั้ง พวกนักผจญภัยจอมยุ่งก็เข้ามาคุยเหมือนทุกที ไอ้นิสัยชอบหาพรรคพวกของอาชีพนี้เนี่ย…
“เจ้าน่ะ เป็นนักเวทย์ใช่ไหม สนใจมารวมกลุ่มกับพวกเราไหมล่ะ เดี๋ยวนี้พวกเรารวมกลุ่มกันเยอะขึ้น เพราะเหมือนว่าปิศาจจะเริ่มชุกชุมเยอะขึ้นน่ะ เราจะไปปราบมันกัน”
อ่อ ก็ยืนหัวโด่อยู่หน้าเจ้านี่ไงล่ะ ข้าคิด
พอมองดูดีๆเจ้าคนพูดน่าจะเป็นนักผจญภัยที่ดูจะเป็นนักดาบ ข้างๆน่าจะเป็นพรรคพวกของมันอีกคนหนึ่ง แต่ดูท่าทีแล้วไม่น่าจะไปรอดกันนัก
ข้าส่ายหัวอย่างสุภาพ ครั้นจะบอกไปว่าไม่รวมกลุ่มกับพวกอ่อนแอก็เข้าตัว ใช่ ข้าหมายถึงเจ้าเด็กที่ยังยืนไม่รู้เรื่องราวอยู่ข้างๆ…
เจ้าพวกนั้นเดินถอยกลับไป ข้าขมวดคิ้ว ดูท่าเกิดเรื่องไม่ทันไรทางฝั่งมนุษย์ก็เริ่มบางอย่างกันแล้ว ข้าแกว่งคทาเล่นพลางครุ่นคิด
สัญญาสงบศึกนั่นควบคุมเพียงว่าจะไม่เกิดการยกทัพต่อสู้เป็นศึกใหญ่กันระหว่างสองเผ่าพันธุ์นี้ขึ้น แต่ถ้าหากเป็นกรณีเล็กน้อยเช่นนี้สามารถยอมรับได้ แต่เผ่าพันธุ์นั้นๆต้องรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง
หากปิศาจบุกรุกแดนมนุษย์ ก็ต้องยอมโดนจัดการ
ฝั่งมนุษย์ก็เช่นกัน หากบุกรุกแดนปิศาจ ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา
แต่จะไม่มีการไม่พอใจ เอาเรื่องแต่ละฝ่ายไปเป็นเรื่องใหญ่เด็ดขาด พวกจอมมารระดับสูงต้องดูแลพวกสมุนของตนให้ดี ขณะเดียวกันพระราชาก็ต้องดูแลสังกัดกองอัศวินของตน ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอันขาด
แต่ปิศาจระดับกลางและล่างซึ่งไร้สังกัดลงมา กับนักผจญภัยชาวมนุษย์นั้นเป็นข้อยกเว้น เพราะปิศาจบางตนก็ไม่ยอมตกอยู่ใต้พันธะและข้อสัญญาใดๆ พอกับมนุษย์ที่รักอิสระและทำในสิ่งที่ตนพึงพอใจและแหกกฎเกณฑ์เท่าที่จะแหกได้
'เจ้านั่น' มัวแต่ไปทำอะไรอยู่นะ
ข้าคิดในใจ นึกถึงใครบางคนที่เป็นผู้คุมกฎของเหล่ามนุษย์ในดินแดนนี้ คนๆเดียวกับที่ข้าลักพาตัวเมื่อเกือบสามสิบกว่าปีที่แล้ว
ข้าถอนหายใจออกมา ในขณะเดียวกันที่เจ้าเด็กเอเดนชี้ชวนให้เห็นว่ามีห้องฝึกซ้อมด้านใน ดูท่าระหว่างที่ข้ามัวแต่ไปคุยนั่น เด็กนั่นเอาธนูของมันมาลองใช้เรียบร้อยแล้ว
มันยิงเป้าได้แม่นยำ ทุกตำแหน่งเรียกได้ว่าโดนเป้าทั้งหมด
ก็กะไว้แล้วว่าเป็นแบบนั้น เพราะดูจากฝีมือของมันในช่วงการเดินทางที่ผ่านมา
“พอเปลี่ยนธนูแล้วยิงง่ายขึ้นเยอะเลย”
เจ้าเด็กนั่นเอ่ย ข้ามองตาม พอรู้อยู่แล้วว่ามันมีฝีมือ หากขัดเกลาสักนิด แหกปากน้อยลงกว่านี้และควบคุมสมาธิอีกสักหน่อย มันจะพัฒนาไปได้ไกลอย่างน่ากลัวเลยทีเดียว
“แล้วดาบล่ะ”
ข้าถามมัน เจ้านั่นดูจะแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็หยิบดาบของมันขึ้นมาแต่โดยดี
“อยู่นี่ ท่านอยากเห็นข้าลองดาบเหรอ เดี๋ยวข้าขอให้คนแถวนี้ช่วยเป็นคู่ต่อสู้ให้”
“ไม่ต้อง”
ข้าเอ่ย มันหันมามองอย่างแปลกใจ
“เพราะข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง”
0 ความคิดเห็น