ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาหงส์ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่่ ๖ : ชังกันบ่แลเหลียว ตาต่อ กันนา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.52K
      45
      4 ก.พ. 55

     บทที่ ๖

     

     

     

    อันรักกันอยู่ไกลถึงสุดขอบฟ้า

    เหมือนชายคาเข้ามาเบียดดูเสียดสี

    อันชังกันนั้นใกล้สักองคุลี

    ก็เหมือนมีแนวป่ามาปิดบัง*

     

     

                เลอมานนิ่งมองเงาสะท้อนของตนในกระจก  รอยช้ำเป็นจ้ำเขียวเด่นชัดบนลำคอขาวพ้นปกเสื้อ  น่าเกลียดนัก  มือบางพยายามขัดถูเท่าไรก็ไม่ออก  ได้แต่เอาน้ำแข็งมาประคบเผื่อมันจะจางลงบ้าง   

                ตัวการที่ฝากรอยน่าชังไว้บนร่างกายเขายังหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว  เขาไม่ได้โกรธหรือขยะแขยงที่โดนลวนลาม  เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเมาไม่ได้สติถึงขั้นเพ้อเห็นเขาเป็นหญิงคนรัก  แต่นึกขึ้นมาแล้วอดขำไม่ได้  เห็นวางท่านิ่งขรึมอย่างนั้นแต่ที่แท้ก็ร้ายกาจไม่ใช่เล่น  ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างอาจารย์คนึงจะมอบหัวใจให้ใครก็เป็น  และนึกสงสารผู้หญิงชื่อจินดาขึ้นมาถนัดใจ  เจออ้อมกอดรุนแรงแบบนั้นเข้าไปคงช้ำไปทั้งตัว

     

                ร่างที่นอนเหยียดยาวบนเตียงครางอืออา ขยี้ตาไปมาก่อนค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ  แล้วจู่ๆก็เบิกตาโพลงเด้งตัวลุกขึ้น  แต่แล้วกลับต้องกุมหัวครางโอยอย่างปวดหนึบ  จนเลอมานอดขำไม่ได้  ทว่าดวงตาแดงก่ำที่จ้องเขม็งไม่ขำด้วย    

                เมื่อคืนคุณเมามากร่างโปร่งกอดอกบอกยิ้มๆ  เล่นเอาคนบนเตียงชะงัก

                จริงหรือเสียงใหญ่แหบแห้ง  แล้ว..ผม..ทำอะไร

                ไม่นี่เด็กหนุ่มยักไหล่  มุสาคำโต  แม้ผิวเนื้ออ่อนตรงรอยช้ำจะร้อนผ่าวคล้ายประท้วง แค่ละเมอ..เพ้อเรียกชื่อ.. จินดา

               

                เห็นอาจารย์หนุ่มหน้าซีดลงทันตา  หม่อมราชวงศ์หนุ่มยิ่งยิ้มยั่วล้อ  นั่งลงบนเตียงถามเซ้าซี้  นึกขำที่อีกฝ่ายเขยิบหนีถอยกรูด จินดาเป็นใคร  คนรักของคุณหรือ  สวยไหม

                ร่างสูงใหญ่ทำทีเป็นกระแอมไอ  แต่แล้วกลับสังเกตเห็นรอยช้ำที่ลำคอขาว  ดวงตาคมกริบราวชำแรกถึงเนื้อในจนเลอมานพยายามเกาคอปกปิด  แต่กลับยิ่งเพิ่มพิรุธ  

                คุณเองก็ไม่ใช่ย่อย  เมื่อคืนไปสนุกกับสาวที่ไหนมาน้ำเสียงเหยียดหยันเหลือแสน และคงสะใจมากด้วยสินะที่ฉีกหน้าผมได้ 

     

                คำพูดนั้นทำให้หัวใจคนฟังฝ่อลงไปถนัดใจ  หน้าที่ยิ้มร่าหดเหลือสองนิ้ว  เด็กหนุ่มสูงศักดิ์รู้ดีว่าเมื่อคืนเขาออกจะทำเกินไปอยู่สักหน่อย  ยิ่งด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ่งทำให้คึกคะนองจนเกินเลย  ยอมรับตรงๆเลยก็ได้ว่าเขาเองก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย

                คนึงโกรธเขามาก  เขารู้ตัว

                ปกติก็เย็นชาใส่เขาอยู่แล้ว  แต่วันนี้กลับเย็นชาแชเชือนยิ่งกว่าเก่า  ถามหรือชวนคุยอะไรก็ไม่ยอมคุยด้วย  อย่าว่าแต่พูด  แค่สายตา  ฝ่ายนั้นยังไม่เหลือบแลเขาเลยด้วยซ้ำ  ยิ่งอยู่กันสองคนยิ่งอึดอัดใจ  ดังนั้น  หลังจากสั่งอาหารเช้าส่งถึงห้องให้อีกฝ่ายแล้ว  เขาขอฝากท้องไว้กับห้องอาหารของโรงแรมดีกว่า

     

                เดินออกจากห้องได้ไม่กี่ก้าว  พนักงานโรงแรมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาหา  รายงานพร้อมหอบว่ามีโทรศัพท์ทางไกลจากอังกฤษต้องการเรียนสายกับเขา

     

              ท่านพ่อ!!       

             

                รีเซฟชั่นสาวยื่นโทรศัพท์สีดำมันเงาให้เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ที่เดินหน้าซีดมา  นัยน์ตาคู่สวยมองมันอย่างพรั่นพรึง  ตั้งสติถอนใจเฮือกก่อนรับมาแนบหู  สวัสดีครับท่านพ่อ

              ทางกระทรวงบอกพ่อว่าชายจะกลับอังกฤษ  จริงหรือเสียงท่านพ่อของเขายังทรงอำนาจไม่เปลี่ยน

                ครับท่านพ่อ

                เขาได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ จะกลับมาก็ได้  หัวใจเขาพองโตคับอกแต่กลับต้องฝ่อลงทันควันเมื่อได้ยินคำพูดถัดไป  แต่ชายต้องทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้  จำได้ไหม  ว่าถ้ากลับบ้านก่อนครบกำหนด  ชายจะต้องทำอะไร

                จะ..จำได้ครับมือที่กำหูโทรศัพท์เย็นเฉียบ  ข้อตกลงสำคัญเช่นนั้น  ไม่ใช่ว่าเขาจำไม่ได้  เพียงแต่เขาไม่คิดว่าท่านพ่อจะเอาจริง 

                นึกแล้วโมโหตัวเองนัก  ท่านพ่อของเขาเฉียบขาดและจริงจังทุกเรื่องไม่ว่าเล็กหรือใหญ่  แล้วทำไมเขาถึงโง่  หลงคิดว่าท่านพ่อจะปล่อยผ่านเรื่องนี้

                ตกลงว่าจะกลับมาใช่ไหม  พ่อจะได้จัดการทางนี้ให้เรียบร้อย  รอชายกลับมา

                ท่านพ่อ..เขากลืนก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบาก  ชายไม่กลับไปแล้วครับ

                หือม์.. ไม่กลับไปไหน  อังกฤษหรืออยุธยา  เป็นลูกผู้ชายพูดจาให้เด็ดขาดหน่อยเสียงดุดันตำหนิมาทางสายโทรศัพท์  แค่ได้ยินเสียงเลอมานก็นึกออกว่าบิดาทำหน้าแบบไหนอยู่  เขาพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น  ก่อนเอ่ยหนักแน่น

     

                ชายไม่กลับอังกฤษแล้วครับ 

     

    ************************

     

                เรื่องราวมันกลับตาลปัตรกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?  ความจริงวันนี้เขาควรจะได้นั่งเครื่องบินกลับอังกฤษไปแล้วแท้ๆ  แต่เหตุใดกลับมานั่งโต้ลมอยู่ริมหน้าต่างรถไฟกลับไปอยุธยาแบบนี้ละหนอ

                นึกแล้วอยากเขกกะโหลกตัวเองสักร้อยครั้ง  เขาไม่น่าเดินทางมากรุงเทพให้เสียแรงเปล่า  และไม่น่าวางแผนโง่เง่าแกล้งอาจารย์คนึงด้วย  แล้วเป็นอย่างไรเล่า  เรื่องกลายมาเป็นแบบนี้เขาจะมองหน้าฝ่ายนั้นได้อย่างไร

                ยังจำสีหน้ามึนตึง  ดวงตาเย็นชาคู่นั้นได้ดียามเขากลับห้องหลังคุยโทรศัพท์  แล้วบอกกับคนึงว่าเขาเปลี่ยนใจจะกลับไปที่โรงเรียนอีกครั้ง 

                จะกลับไปหรือ  คนอย่างคุณจะยอมลดตัวไปเป็นศิษย์ผู้ชายที่แต่งงานกับควายตัวเมียหรือวาจาเชือดเฉือนนั้นเล่นเอาเขาสะอึก  ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลสูง  ไม่ได้ช่วยให้จิตใจคุณสูงไปด้วยเลย  เห็นทีผมคงสั่งสอนคนอย่างคุณไม่ได้ 

     

                นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่คนึงพูดกับเขา  จากนั้นก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จากับเขาสักคำจนกระทั่งรถไฟแล่นถึงอยุธยา 

     

                ในที่สุด หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ ก็ต้องกลับมาที่โรงเรียนฝึกหัดครูอีกครั้งจนได้  ท่ามกลางใบหน้าตื่นตะลึงของหลายๆคน  โดยเฉพาะอาจารย์วิรัชที่ตาโตเท่าไข่ห่าน  ก่อนจะรีบฉีกยิ้มจนปากแทบถึงรูหู  พร่ำบอกซ้ำๆว่าดีใจหนักหนาที่เขากลับมา  แต่ลับหลังนั้นเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้

                เวลาผ่านไปหนึ่งวัน..สองวัน..อาจารย์หนุ่มร่วมห้องก็ยังคงไม่พูดกับเขา  ซ้ำร้ายยังเอาใบประเมินการฝึกสอนมาวางคืนให้ที่โต๊ะของเขาอีก  เป็นการประกาศทางอ้อมชัดๆว่าไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์ 

                เลอมานทนอยู่กับความอึดอัดใจอยู่ได้ไม่กี่วันก็อกแทบแตก  เขาทนความเย็นชาเฉยเมยเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว

     

                ที่ชมรมกสิกรรมหลังโรงเรียน  หม่อมราชวงศ์หนุ่มมานั่งคุยกับพวกจ้อยที่นี่ทุกเช้าก่อนเข้าแถว  ได้มานั่งมองพวกนักเรียนรดน้ำพรวนดิน ก็เพลินตาดี  แต่วันนี้เขาแบกปัญหาหนักใจมาปรึกษาอย่างสิ้นท่า 

                จะทำยังไงดีล่ะจ้อย  ท่าทางเขาคงโกรธฉันน่าดูใบหน้าหวานดูกลัดกลุ้ม  ขณะนั่งมองพวกจ้อยหิ้วบัวรดน้ำให้แปลงผักกาด 

                มันก็น่าโกรธอยู่หรอก  ทำให้เขาเป็นตัวตลกอย่างนั้น สง่าออกความเห็น  มองอาจารย์ฝึกสอนที่นั่งไกวเท้าเล่นบนแคร่พลางส่ายหน้า  แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อโดนบัวรดน้ำกระแทกหลัง 

                สงสัยต้องขอขมาเสียแล้วล่ะครับ จ้อยวางบัวรดน้ำสังกะสีลงแล้วเดินมานั่งเคียงข้าง 

                อะไรนะ คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ขอ..ขะมำ

                ขอขมา สันติแก้ให้  พวกเขาเริ่มชินแล้วกับอาการพูดผิดของอีกฝ่าย  เด็กหนุ่มยกมือดันแว่นตรงหว่างคิ้วท่าทางทรงภูมิ ขอขมาคือการขอให้เขายกโทษให้  ส่วนใหญ่จะเป็นความผิดหนักๆ  แค่ขอโทษมันไม่พอ

                จ้อยอธิบายขั้นตอนการขอขมาให้ฟังคร่าวๆ  แค่นั้นคนฟังก็ทำหน้าแหยง ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรือ

                เขาเป็นผู้ใหญ  อายุมากกว่าคุณชายตั้งรอบ  แถมเขายังเป็นอาจารย์ด้วย  เราเป็นเด็ก  เมื่อทำผิดก็ต้องขอขมาหนุ่มน้อยอธิบายท่าทางจริงจัง  เลอมานได้แต่ถอนใจตีหน้าบอกบุญไม่รับ  แค่นึกภาพตามก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีเหลือเกินแล้ว  กำลังหัวเสียได้ที่ก็พอดีสายตาไปปะเข้ากับรองเท้าแตะเก่าๆที่อีกฝ่ายใส่อยู่เข้าเสียก่อน

                ยังใส่คู่เก่าอยู่อีก  คู่ใหม่ที่ฉันซื้อให้ไปไหนเสียล่ะ

                ใบหน้าอ่อนใสก้มงุดเขินอายจนเพื่อนตัวสูงต้องตอบแทนให้ โอ๊ย..จ้อยมันรักมันหวงเสียยิ่งกว่าอะไร  แทบเอาไปนอนกอดด้วยทุกคืน

                ที่ไม่เอามาใส่ก็เพราะกลัวจะเก่าเร็วสันติเสริมให้อีกคน 

                ซื้อมาให้แล้วก็ไม่ใส่  เดี๋ยวก็ยึดคืนเสียหรอกตำหนิอย่างไม่จริงจังนักพลางหัวเราะร่วน  เขายังจำได้ดีว่ากว่าจะยัดเยียดรองเท้าและเสื้อผ้าที่ซื้อมาจากห้างวังบูรพาให้จ้อยได้นั้นยากเย็นแค่ไหน  ฝ่ายนั้นเกรงใจจนตัวลีบ ตั้งท่าไม่รับลูกเดียว  ต้องขู่เข็ญแกมบังคับกันจนเหนื่อยถึงจะยอมรับ  ตรงข้ามกับสง่าและสันติที่รับขนมของฝากจากเขาไปแกะกินกันสบายใจเฉิบ   

                ใบหน้าคมสันของใครคนหนึ่งลอยวูบเข้ามาในความคิด  ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายผิดจริง อีกฝ่ายก็เป็นถึงอาจารย์  แถมยังต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตั้ง ๑ ปีอย่างไม่มีทางเลือก  ถึงแม้จะเสียหน้า  เขาก็จะยอมลดศักดิ์ศรีขอโทษก่อน

                แต่อีกเหตุผลที่สำคัญสุด  นั่นคือข้อตกลงที่ท่านพ่อเรียกร้อง  มีค่ามากกว่าศักดิ์ศรีของเขาหลายเท่านัก 

     

    *************************

     

                เช้านี้เลอมานตื่นนอนตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่  อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งที่โต๊ะ  ในมือมีโพยกระดาษจดถ้อยคำขอขมาที่จ้อยจดให้  ตอนแรกจ้อยเขียนเป็นภาษาไทยแต่เพราะเขาอ่านภาษาไทยไม่ออกจึงต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษแทน  ปากแดงขมุบขมิบท่องจำอย่างตั้งอกตั้งใจ  คิ้วเรียวขมวดมุ่น 

                จ้อยเปิดประตูเข้ามาพร้อมช่อดอกมหาหงส์หอมชื่น  อาจารย์คนึงจะขึ้นมาแล้ว  คุณชายจำได้หมดหรือยัง

                เอ่อ อืมโอรสท่านทูตกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น 

                ต่อไปนี้อย่าเรียกอาจารย์คนึงว่าคุณๆอีกนะครับ  เรียกเขาว่าอาจารย์ รู้ไหม

                อืมรับคำได้แค่นั้นก็ต้องเงียบกริบเพราะคนที่กำลังพูดถึงเปิดประตูห้องเข้ามา  ส่งสายตาว่างเปล่ามายังพวกเขาแว่บหนึ่ง  ก่อนเดินไปยังฝั่งตัวเอง 

                คุณชายตื่นเต้นจนแสดงออกทางสีหน้า  มือเย็นเฉียบเปิดโพยขึ้นท่องเป็นครั้งสุดท้าย  ในขณะที่จ้อยลอบส่องช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือกั้นอาณาเขต  คุณชาย  อาจารย์แต่งตัวเสร็จแล้ว  ไปเลย

                พานน้อยวางช่อดอกมหาหงส์ถูกยัดใส่มือ  เลอมานยังละล้าละลังยามถูกคนตัวเล็กกว่ารุนหลังให้เดินไปอีกฝั่งห้อง  มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนยืนอยู่ในเขตของอาจารย์หนุ่มเสียแล้ว  สายตาเย็นชาจากร่างสูงใหญ่ที่โต๊ะทำงานยิ่งทำให้เขาเกร็งไปหมด 

                เด็กหนุ่มกลั้นใจย่อตัวลงคุกเข่า ก่อนเดินเข่าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างที่ซ้อมกันไว้กับพวกจ้อย  ท่าทีเก้กังกระโดกกระเดก  แถมไปได้แค่สองสามก้าวก็สะดุดล้มหน้าทิ่ม  พานไปทางดอกไม้ไปทางจนต้องตะลีตะลานเก็บให้วุ่น  เงยหน้าขึ้นมาเห็นดวงตาเรียบนิ่งยิ่งพาใจฝ่อ  แต่เลอมานก็กัดฟันพาใบหน้าหวานบิดเบี้ยวเหยเกด้วยปวดหัวเข่า   มาอยู่ตรงหน้าอาจารย์ได้อย่างทุลักทุเล 

                สายตาคู่นั้นยังจ้องเขาไม่ลดละ  เอาน่า.. ก็ยังดี.. ยังดีที่ฝ่ายนั้นยอมมองหน้าเขา

                ผม หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ ประคับประคองเสียงไว้ไม่ให้สั่น  ขอ..ขอขมา..ต่ออาจารย์คนึงครับ  ผมไม่ได้มีเจตนาจะล้วง..ล้วง..

                ล่วงเกินครับล่วงเกินจ้อยป้องปากกระซิบแก้ให้จากข้างชั้นหนังสือ 

                อ้อ เอ่อ..ผมไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินอาจารย์  ผม..ผม..ดวงตาคมเข้มที่จ้องเขม็ง  กวาดล้างถ้อยคำที่อยู่ในสมองจนพร่าเลือนไปหมด  ทั้งที่พยายามท่องมาอย่างดีแล้วเชียว  ผม..ผม..

                ให้ตายสิ  เขานึกถ้อยคำต่อไปไม่ออก  ทุกอย่างขาวโพลนเหมือนกระดาษเปล่า

                กระดาษ..

                ใช่.. เขากำโพยมาด้วยนี่นา.. แอบคลี่ดูเสียหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกน่า..

     

                ว่าแล้วมือบางก็คลี่โพยกระดาษที่กำไว้ออก.. ต่อหน้าอาจารย์หนุ่ม

                เห็นแบบนั้นแล้วจ้อยถึงกับกุมขมับ  พลางคิดในใจว่าเขาจะเก็บซากคุณชายเล็กไปจากห้องนี้อย่างไร

                ถ้าไม่มีความจริงใจที่จะขอโทษก็กลับไปเสียร่างสูงตัดบทก่อนลุกขึ้นพรวด  ก้าวฉับๆผ่านร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่

                เดี๋ยวก่อน!” เลอมานเรียกไว้ทันควัน  ลุกขึ้นยืนบ้าง  โพล่งออกไปไม่ออมเสียง  คำพูดที่ออกมาจากใจ  ไม่มีโพย  ไม่มีสคริปต์ใดใดกำหนด  ผมขอโทษ  ผมเสียใจที่ทำกับอาจารย์แบบนั้น    

                อีกฝ่ายยอมหยุด  แต่ยังไม่ยอมหันมาเผชิญหน้า  ไม่ยอมหันมาสบดวงตาตัดพ้อ ผมรู้ตัวว่าผมเองไม่ใช่คนดี  แต่คนเราเกิดมาจะเป็นคนดีโดยสมบูรณ์ได้ยังไงถ้าไม่มีครูอบรมสั่งสอน  คืนนั้นผมทำผิดพลาดไปเพราะขาดสติ  แต่ผมก็รู้สึกผิดและสำนึกที่จะขอโทษแล้วไงเล่า 

     

              อ่อนชะอ้อนเหมือนจะวอนให้ประวิง**

               

                ท้ายเสียงสั่นเครือเรียกความสนใจอาจารย์หนุ่มให้หันมอง  ประสานสายตากับดวงตาสวยใสแวววาม   

                อาจารย์คุณชายทอดเสียงระโหย  ร่างสูงใหญ่ตะลึงไปอย่างคาดไม่ถึงเมื่อคนแสนหยิ่ง แสนจองหองเดินตรงเข้าหา  มือเรียวกระพุ่มพนมเก้ๆกังๆ  ราวกับไม่รู้จะไหว้ตรงไหน  ก่อนตัดสินใจไหว้ลงไหล่เขา  ก่อนเงยใบหน้าหมดจดขึ้นวิงวอน 

                ได้โปรด..ยกโทษให้ผมเถอะ

     

                เขาใจเต้น..

                มีใครเคยบอกไหม  ดวงตาของเด็กหนุ่มคนนี้สวย.. สวยเหลือเกิน  เหมือนมีเพชรนิลจินดาเต้นระยับอยู่ในนั้น  แข่งกันวาววาม  ราวกับมีแสงแดดซ่อนด้านในด้วยซ้ำ  ขนตาสั้นๆแต่เป็นแพเหมือนปีกผีเสื้อ..

                ใกล้.. จนเหมือนได้ยินเสียงลมหายใจ 

                หอม.. กลิ่นช่อมหาหงส์ในมือน้อยนั้นนัก

     

              หอมผกาเกสรขจรขจาย   มิได้วายภุมรินถวิลปอง***

     

                คนึงกระแอมขับไล่ความคิดฟุ้งซ่าน  รับช่อมหาหงส์มาแล้วเสเดินเอาไปวางไว้บนโต๊ะ  แสร้งเขียนอะไรยุกยิก  พูดไม่สบตา ต่อไปพอเลิกสอนตอนเย็นก็มาเรียนพิเศษที่ห้องนี้  ถ้ามาสายครูจะหักคะแนนเรา

                คำพูดที่พูดด้วย  สรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปทำให้เลอมานยิ้มออก  หันไปส่งยิ้มให้จ้อย  ก่อนหันมามองหน้าอาจารย์ด้วยความปรีดา

                ขอบคุณครับอาจารย์เสียงใสเหมือนแก้ว  ยิ้มร่าเหมือนดอกไม้บาน  อาจารย์หนุ่มมองแวบหนึ่งแล้วรีบเบือนหลบ 

     

                หลบทำไมเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน       

     

    *************************

                เช้าตรู่..

                เสียงฝีเท้าวิ่งทั่กๆๆๆ ขึ้นบันไดจนเรือนไหว

                เสียงไม้เรียวกระทบน่องดังเผียะ

                เสียงเลอมานร้องโอ๊ย  โวยวาย จะตีอะไรนักหนา  บอกกันดีๆก็ได้

                เสียงอาจารย์คนึงเอ็ด สอนไม่เคยจำ  อยู่บนเรือนให้เดินเบาๆและอีกสารพัดจะสรรหามาเอ็ด 

     

                อาจารย์ทุกคนที่อยู่ในเรือนไม้ได้ยินเสียงเหล่านี้เสียจนชาชิน

     

                ในห้องน้อยริมสุด  อาจารย์หนุ่มกับลูกศิษย์ก่อสงครามย่อยๆกันไม่เว้นแต่ละวัน  ฝ่ายลูกศิษย์พกกิริยาแบบฝรั่งมาเต็มตัว  เดินเหินปราดเปรียวว่องไว  หลังแข็งก้มลำบาก  มือแข็งไหว้ใครยาก  ปากกระด้างพูดจาไม่มีหางเสียง  จนฝ่ายอาจารย์ผู้เข้มงวดเจ้าระเบียบต้องตั้งต้นสอนใหม่หมด

                ไหว้ผู้ใหญ่ให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก  สูงไปๆ นั่นเอาไว้ไหว้พระ

                เวลาเดินผ่านผู้ใหญ่ให้ก้มหลังด้วย

                เวลาคนเขากำลังพูดกันอย่าพูดสอดเข้ามา

                อย่าเดินข้ามสิ่งของ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าเดินข้ามคนเป็นอันขาด

     

                ตกเย็น..

                เสียงเพลงบทเรียนภาษาไทยจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงดังแว่วมาจากห้องน้อย  หากมองผ่านเข้าไปในบานประตูที่เปิดกว้างรับลม  จะเห็นครูศิษย์นั่งเรียนภาษาไทยกันอย่างขะมักเขม้น.. ว่อกแว่กบ้างในบางที

                ผ้าม่านลูกไม้พัดพลิ้ว  ลมเย็นโบยโบกกลิ่นดอกไม้หอมอวล  หม่อมราชวงศ์หนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะ  ในมือจรดดินสอลงบนสมุด  คัดตัวอักษรโย้หน้าโย้หลัง  หูก็ฟังเสียงเพลงจากแผ่นเสียงคลอ  เพลงที่ใครได้ฟังก็ต้องอมยิ้ม

     

              หนูจ๋า..หนูคนดี..หนูฟังเพลงนี้แล้วจงจำให้ขึ้นใจ..

              เพลงนี้พี่จะร้องน้องจำไว้..บทเรียนภาษาไทย..พี่จะร้องให้เจ้าฟัง..

     

    เพลงสำหรับเด็กอนุบาลมาดังแว่วอยู่ในโรงเรียนฝึกหัดครู  ใครผ่านไปผ่านมาก็ชะโงกมองหน้า หนูจ๋ากันเป็นทิวแถว  แต่หนูจ๋าไม่ตลกด้วย

    ต้องเริ่มตั้งแต่กอไก่เลยหรือใบหน้างามเงยขึ้นประท้วงอาจารย์ผู้นั่งคุมที่อีกฝั่งโต๊ะ

    คัดก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกให้ได้เสียก่อนเถอะว่าแล้วก็ใช้ไม้บรรทัดเคาะข้อนิ้วลูกศิษย์จนมือดีด  ก่อนดุ แล้วนั่นอะไร  ซ.โซ่โย้เป็นซ.เซ่อแล้วนั่น

    ร่างสูงถอนใจก่อนลุกขึ้นเดินอ้อมไปด้านหลังนักเรียนตัวดี  โน้มใบหน้าลงไปจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนผมนุ่ม  มือใหญ่กุมมือเรียวไว้มั่น  จับลากเส้นให้เป็นตัวหนังสือช้าๆ ทีละตัวๆ  

     

    เพลงจากแผ่นเสียงยังคงดำเนินต่อไป

     

    น.หนูดูยุ่ง  ม่านมุ้ง บ.ใบไม้  ป.ปลาขี้หึง  ผ.ผึ้งร้องไห้.. ***

     

    ทันทีที่ได้ยิน  เลอมานหัวเราะคิก  หันหน้ามาถามทันควัน อาจารย์  

    จมูกเฉียดแก้มไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปด

    แต่แค่นั้นก็เล่นเอาร้อนวาบ  อาจารย์ผงะ  รีบปล่อยมือ  รีบถอยออกห่าง 

    ป.ปลากับผ.ผึ้งเป็นคนรักกันหรือเสียงใสถามกลั้วหัวเราะไม่รู้เรื่องรู้ราว  อาจารย์ดูสิ  ปลาอยู่ในน้ำ จะคบกับผึ้งได้ยังไง  ฮ่าๆๆ ผึ้งก็ขี้น้อยใจซะด้วย

     

    ปล่อยให้นักเรียนหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างสุดขำ  คนึงเดินอ้อมชั้นหนังสือใหญ่มาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง  ซ่อนอาการของตนจากอีกฝ่าย  มือใหญ่วางลงที่อกซ้าย  ประหลาดใจนักที่มันเต้นรัวเร็วผิดปกติ  

     

    ปลอกแขนทุกข์ยังคงวางอยู่บนโต๊ะทำงาน  อาจารย์หนุ่มเอื้อมไปหยิบมาถือไว้แน่น  เพ่งมองราวกับต้องการตอกย้ำความอาลัยลงสู่ก้นบึ้งของหัวใจ  เพ่งมองราวกับเตือนใจตน

     

    **********************

     

    เลอมานไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ  ว่าตั้งแต่วันนั้นอาจารย์คนึงกลับมามีท่าทีเย็นชาใส่เขาอีกแล้ว 

    ฝ่ายนั้นยังคงพูดกับเขา  เพียงแต่เปลี่ยนไป  ถามคำตอบคำ  และไม่ค่อยสบตาเวลาพูด  แถมยังชอบทำหน้าบึ้งใส่  ทั้งๆที่เขายังไม่ทันทำอะไรผิดสักนิด

    ไม่อยากนึกภาพเลยว่าถ้าวันใดเขาทำผิดขึ้นมาจริงๆคนึงจะโกรธเขาขนาดไหน 

     

    ดั่งโบราณว่าไว้  เวลาวารีไม่คอยใคร  วันนั้นจึงเดินทางมาถึงรวดเร็วราวกระพริบตา

     

    หม่อมราชวงศ์หนุ่มเดินเล่นแถวชมรมกสิกรรมเช่นทุกเช้า  นอกจากจะมีการปลูกผักเป็นแปลงเขียวละลานตา  ยังจัดสรรพื้นที่กั้นตาข่ายทำเล้าไก่ขนาดย่อมไว้ด้วย  ดวงตาคู่สวยมองลูกเจี๊ยบขนเหลืองฟูเดินตามแม่ไก่อย่างเพลิดเพลิน  คันไม้คันมืออยากโยนอะไรให้มันกินนัก

                แถวนั้นไม่มีใครอยู่ให้ถามสักคน  พวกจ้อยก็กำลังพากันไปตักน้ำจากท่าขึ้นมาใส่โอ่งเตรียมไว้รดผัก  หันไปหันมาก็พบชามตราไก่บรรจุข้าวสารอยู่เต็ม 

                ใครมันจะไปรู้เล่าว่าข้าวนั่นเป็นข้าวสารที่สมาชิกในชมรมแบ่งสันปันส่วนเอามาจากบ้านเพื่อรวมกันให้จ้อย  เอามาวางไว้ตรงนั้น เขาก็คิดว่าเป็นอาหารไก่น่ะซี  จ้อยและพรรคพวกมาเห็นชามเปล่าถึงกับหน้าซีด  ในขณะที่พวกแม่ไก่และลูกเจี๊ยบอิ่มหมีพีมัน      

    เรื่องถึงหูอาจารย์คนึงเร็วราวกับไฟลามทุ่ง  ที่พอมาถึงก็เปิดฉากบริภาษเขาทันที          

    เราเกิดและเติบโตที่เมืองนอก  อยู่สุขสบายมาตลอด  คงไม่รู้จักความยากลำบากของคนไม่มีจะกินสินะ

    กะอีแค่ข้าวชามเดียว  ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย

    แค่ข้าวชามเดียวหรือ ความโกรธระยิบในดวงตาคมดำ  รู้ไหมว่าตอนครูเด็กๆ  ประเทศไทยประสบวิกฤติหนัก  เศรษฐกิจย่ำแย่  นักการเมืองแย่งชิงอำนาจ  ประชาชนขาดแคลนข้าว  ต้องเข้าคิวใช้บัตรแย่งกันซื้อข้าวกิน  ทั้งที่ประเทศไทยปลูกข้าวเองจนเหลือใช้

    ไปกันใหญ่แล้วเอย.. จากเรื่องข้าวสารชามเดียว  ลุกลามบานปลายเป็นปัญหาระดับชาติเทียวนั่น

     

    ข้าวสารแค่หยิบมืออาจไม่มีค่าเลยในสายตาเรา  แต่สำหรับคนที่เขาไม่มี  มันมีค่ามหาศาล  ต่อไปอย่าพูดแบบนี้อีก  และที่สำคัญขอโทษจ้อยและทุกคนซะ!”

    มะ..ไม่เป็นไรครับอาจารย์จ้อยละล่ำละลัก ผมผิดเองครับที่เอามาวางไว้ตรงนี้  ทำให้คุณชายเข้าใจผิด  ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ

    เจ้าตัวเขายังไม่ว่าอะไรเลย  อาจารย์จะเดือดร้อนแทนทำไม  พูดกันดีๆก็ได้  ทำไมต้องดุ  ทำไมโกรธผมมากขนาดนี้จำเลยขึ้นเสียงใส่บ้างอย่างไม่กลัวเกรง  ความน้อยใจแล่นพรูเป็นริ้วๆ 

    ขอโทษจ้อยซะ!” เสียงทุ้มตะคอกลั่น  ต่อหน้านักเรียนในชมรมนับสิบ  เลอมานทั้งโกรธทั้งเสียหน้าจนตัวสั่น  เขาเกลียดการถูกทำให้เสียศักดิ์ศรีต่อหน้าผู้คนที่สุด  ดังนั้น..คำตอบที่โทสะบงการให้พ่นออกไปก็คือ..

    ไม่!”

     

    อย่าให้บรรยายเลยว่าสายตาที่อาจารย์คนึงมองเขานั้นดุดันน่ากลัวเพียงใด

     

    ใช่ว่าไม่รู้สึกผิด  ใช่ว่าไม่อยากขอโทษ  เลอมานรู้สึกผิดเต็มอกและอยากขอโทษจ้อยเต็มแก่  เพียงแต่เขาไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งบังคับ  โดยเฉพาะต่อหน้าคนเป็นฝูง 

                เขายังจำสายตาจ้อยตอนกลับมาเห็นชามว่างเปล่าได้ดี  ดวงตาที่ปกติก็เศร้าอยู่แล้วยิ่งโศกสลดกว่าเดิมเป็นสิบเท่า  โดยเฉพาะเมื่อเขารู้ว่าข้าวสารนั่นมาจากน้ำใจของเพื่อนๆที่ปันจากบ้านคนละนิดหน่อยมารวมกัน  ความสำนึกผิดและเวทนาสงสารยิ่งกัดกินใจ  จ้อยกับยายแร้นแค้นถึงขั้นไม่มีแม้ข้าวสารจะกรอกหม้อเชียวหรือ 

                เขาเอาข้าวของจ้อยไปให้ไก่หมดแล้ว  ตัวจ้อยนั้นยังมีอาหารกลางวันของโรงเรียนที่กินฟรีได้  แต่ยายของจ้อยเล่า

     

                ช่วงเช้าเขาวิ่งไปที่โรงอาหาร  ถามหานางนกแก้วแม่ครัวใหญ่  ตั้งใจจะขอแบ่งซื้อข้าวสาร  แต่เพราะปริมาณข้าวสารในครัวก็มีไม่มากนัก  หล่อนแบ่งให้เขาได้แค่กิโลสองกิโลเท่านั้น  น้อยนิดขนาดนั้นจะกินได้สักกี่มื้อ

                คุณชายลองไปซื้อที่โรงสีสิแม่ครัวร่างใหญ่แนะ โรงสีของเมียกำนัน  อยู่ไม่ไกลนักหรอก  แต่ระวังเมียกำนันล่ะ  หน้าเลือดอย่าบอกใคร

                ไวเท่าความคิด  เด็กหนุ่มสูงศักดิ์รีบฝากคาบสอนตอนบ่ายของเขาให้วิรัชสอนแทน  และขอยืมจักรยานของประพนธ์ปั่นไปยังโรงสีของคุณนายพูนทรัพย์ทันควัน 

     

                ไม่ทันฉุกคิดว่าคำว่าไม่ไกลนักของนางนกแก้ว  หมายถึงเมื่อมาทางเรือต่างหาก   

                ดังนั้น.. กว่าคุณชายจะถีบจักรยานมาถึงโรงสีได้ก็เล่นเอาหอบแฮ่ก  เหงื่อโซมกายจนหลังเปียก  สุภาพสตรีวัยกลางคนร่างท้วม  ผิวขาวผ่อง  แต่งหน้าจัดจ้านที่กำลังดีดลูกคิดเป็นระวิงถึงกับชะงักเมื่อเห็นเขาไสจักรยานเข้าไป  ท่ามกลางคนงานวัยฉกรรจ์ทำงานกลางแดดจนตัวมันเลื่อมนับสิบ 

                ต๊ายตาย!! คุณชาย!!” คุณนายพูนทรัพย์ถลาออกมาต้อนรับ  ทองหยองเต็มตัว  เสื้อผ้าลายดอกฉูดฉาดจนเขาต้องหยีตา  ลมอะไรหอบมาคะนี่

                คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นกับคำถาม  ก่อนตอบซื่อ ลมไม่ได้หอบมา  ขี่จักรยานมา

                พลางหรี่ตามองคนตรงหน้า  ก็หน้าธรรมดานี่  ไม่เห็นจะมีเลือดอย่างที่นางนกแก้วบอกตรงไหน

                มืออูมสะบัดพัดพรึ่บ ปิดปากหัวเราะคิก  ก่อนเชื้อเชิญเขาเข้าไปในออฟฟิศ 

     

                ออฟฟิศของคุณนายช่างแสนโอ่อ่า  ข้างนอกร้อนแทบไหม้แต่ข้างในเย็นสบายด้วยพัดลมทองเหลืองส่งเสียงหึ่งๆ  โต๊ะทำงานไม้สักทอง  ชุดรับแขกไม้ชิงชันฝังมุก  มีน้ำเย็นๆจากตู้เย็นมาเสิร์ฟเขาอย่างดี  หรูหรายิ่งกว่าบ้านอาจารย์ใหญ่เสียอีก

                ๔๐ บาทค่ะคุณนายพูนทรัพย์บอกราคาข้าวสาร ๑ ถังที่เขาต้องการซื้อ  รับเงินไปนับกรีดกรายแล้วถาม เดี๋ยวอิฉันให้เด็กไปส่งให้ไหมคะ

                เลอมานปฏิเสธ  แค่สั่งให้เอาถุงข้าวสารขึ้นท้ายจักรยาน  และมัดให้แน่นหนาเท่านั้น  โดยไม่ลืมถามก่อนออกมา

                รู้จักบ้านจ้อยหลานยายช้อยไหม  อยู่ไหนหรือ

     

                บ้านจ้อยอยู่เลียบคลองท่อ  ถัดจากโรงเรียนไปไม่ไกล  แต่กว่าจะไปถึงได้เลอมานต้องผ่านอุปสรรคเหลือแสน  ไหนจะน้ำหนักข้าวสาร ๑๕ กิโลกรัมข้างหลังพาให้รถไถลลงข้างทางไปนอนเค้เก้  ไหนจะจักรยานโซ่หลุดกลางทางอีก  กว่าจะใส่กลับคืนได้ก็เล่นเอาหน้าตามือไม้มอมแมม  ไหนจะแดดเปรี้ยงที่ลงมาตรงหัว 

                เขาสะโหลสะเหลหมดสภาพเต็มทีตอนเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านจ้อย..

     

                เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนในอก  กล้ามเนื้อเหมือนมีเพลิงมาสุม  ริมฝีปากแห้ง  หอบหนักเหน็ดเหนื่อย  สายตาพร่ามัว  เห็นแค่ต้นมะขามใหญ่กลางลานดินกว้าง  เห็นหญิงชรานั่งตำหมากอยู่ที่แคร่  เห็นได้เพียงเท่านั้นโลกก็พลันหมุนคว้าง  แล้วทุกอย่างก็ดับมืดลง.. 

     

    *********************

               

                คนึงแปลกใจนักเมื่อเห็นว่าคาบวิชาที่เลอมานรับผิดชอบมีอาจารย์วิรัชเป็นคนสอนแทน  ซ้ำเจ้าตัวก็หายไปไม่บอกกล่าว  ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน 

                จองหอง  เอาแต่ใจ  แล้วยังไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

                กลับมาเมื่อไรล่ะน่าดู!

     

      *********************

     

                เป็นยังไงบ้างหนู..

                เสียงอ่อนอุ่นกระซิบริมหู  เลอมานกระพริบตาสองสามครั้ง  โลกยังหมุนรอบตัวเขา  ปิดเปลือกตา  ลืมขึ้นใหม่  เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นก้มต่ำ  ในดวงตาฝ้าฟางนั้นเปี่ยมด้วยเมตตา

                ยาย..เด็กหนุ่มครางเสียงเบา  รู้สึกได้ถึงความเย็นจากผ้าชุบน้ำค่อยๆลูบซับตามใบหน้า 

                ไปยังไงมายังไง  มาเป็นลมเป็นแล้งต่อหน้าต่อตายาย  คนแก่ใจหายหมด

                ดวงตาคู่สวยหันมองรอบกาย  จักรยานกับถุงข้าวสารนอนนิ่งอยู่ที่พื้น  ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้ม

                ไปนอนพักต่อข้างบนเถอะ  ตรงนี้แดดไล่แล้ว  ลุกไหวไหมลูกร่างผอมบางหากแข็งแรงค่อยๆประคองเขานุ่มนวล  เลอมานเปลี้ยไปทั้งกาย  ไม่อยากเชื่อว่าหมดสติไปนานเพียงนั้น 

     

                บ้านจ้อย.. ไม่สิ  เรียกว่ากระท่อมจะเหมาะกว่า 

                กระท่อมของจ้อยอยู่ริมคลอง  มีท่าเล็กๆยื่นลงไปในน้ำ  มียอขนาดใหญ่เอาไว้ดักปลา  กลางลานดินมีต้นมะขามใหญ่ทะมึนคล้ายเป็นประธานของไม้อื่นๆ  มะม่วง ลำไย กระถิน โกสน ซุ้มพลู ฯลฯ พืชพรรณเรียงรายถี่ห่างดูร่มรื่น  ถัดไปไม่ไกลมีกระท่อมเล็กๆหลังหนึ่ง  พื้นปูไม้ไผ่ ผนังเช่นกัน หลังคามุงใบจากสีคล้ำจัด  หม้อดินเผาเคียงกระบวยกะลามะพร้าว จัดวางใต้ซุ้มกล้วยไม้ป่า 

                หน้าขอนไม้ที่ใช้แทนบันไดมีกอมหาหงส์ขึ้นหนาแน่น  กอนี้กระมังที่จ้อยแบ่งไปปลูกให้เขา

     

                เลอมานนอนเหยียดยาวบนระเบียง  ลมเย็นพัดใบมะขามแก่ปลิวฟ่อง  หอมดอกมหาหงส์โชยมา

                กลิ่นยาหอมคลุ้งในอากาศ  มือเหี่ยวย่นประคองศีรษะเขาขึ้นป้อน  ละลายความพะอืดพะอมดีทีเดียว  ทั้งยังค้นในครัวได้มะนาวมาสองซีก  ฝานเป็นเสี้ยวบางๆ คลุกเกลือกับน้ำตาล ป้อนเขาทีละคำ ให้หวานเค็มเปรี้ยวกำซาบลงคอ

                เริ่มรู้สึกหายใจสะดวกมากขึ้น  มีแรงทีละนิด  ดึงหมอนที่รองขามากอดไว้  ชวนคุย

                ผมเป็นเพื่อนจ้อยแล้วยังไงต่อดี.. จ้อยฝากให้เอาข้าวสารมาให้ยาย

                เขาตัดสินใจโกหก  เพราะเกรงว่าถ้าบอกไปตามจริง  หญิงชราจะปฏิเสธไม่ยอมรับ

                เพื่อนเรอะ?” ดวงตาเปี่ยมเมตตาสำรวจเขา  ยิ้มจนเห็นฟันดำ อ้อ ที่จ้อยเล่าให้ยายฟังว่ามาจากเมืองนอก  พ่อเล็กใช่ไหม

                เขายิ้มแทนคำตอบ  ดีใจที่จ้อยเล่าเรื่องตนให้ครอบครัวฟัง 

     

                คนสองคน  ต่างวัย  ต่างชนชั้น  นั่งสนทนากันอย่างครึกครื้น 

                เมืองนอกนี่มันเป็นยังไงนะ  ตั้งแต่เกิดมายายยังไม่เคยไปไกลเกินหัวรอสักทีหญิงชราถามพลางปาดปูนสีส้มลงกับใบพลู  มีดคมควั่นหมากแห้งท่าทางชำนาญ  นั่งฟังเขาเล่าเรื่องความเจริญศิวิไลซ์ของลอนดอน  โทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ำร้อน  แก๊ส ถนนลาดยาง   

                ลำบากไหมลูก  มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมือเหี่ยวย่นลูบแขนขาวอย่างอาทร  น่าแปลกที่เลอมานไม่รู้สึกรังเกียจสักนิด 

                ผมเริ่มชินแล้วว่าพลางเหลียวมองรอบตัว แล้วบ้านยายไม่มีไฟฟ้าหรือ 

                ยายช้อยส่ายหน้าแทนคำตอบ  คว้ากระโถนเคลือบลายดอกแดงขึ้นรองรับน้ำหมาก กำนันบอกว่าไฟยังมาไม่ถึง  ลำพังยายน่ะไม่อยากได้หรอก อยู่แบบนี้มาจนชินแล้ว  สงสารก็แต่จ้อยมัน  ต้องจุดตะเกียงอ่านหนังสือ  น้ำมันก็แพงเหลือใจ

                ดวงตาสีน้ำตาลสวยสำรวจรอบกระท่อมเก่า  อยู่ห่างกันไม่เท่าไรแท้ๆ  แต่ทำไมที่นี่ถึงมีสภาพต่างจากโรงสีของคุณนายพูนทรัพย์นัก

                พ่อเล็กว่าบ้านยายจะน้ำไหลไฟสว่าง เหมือนอย่างที่หลวงท่านบอกไหม

                แน่นอนสิริมฝีปากบางสวยคลี่ยิ้มสดใสกระจ่าง ความจริงโครงการส่งผมมาก็เพื่อให้ผมมาช่วยพัฒนา

     

                อะแฮ่ม.. ถึงพระประสงค์ที่แท้จริงของท่านพ่อ  คือเพื่อดัดสันดานเขาก็เถอะ 

               

                หญิงชราจ้องมองใบหน้างามนิ่ง  นัยน์ตาสีเทาเป็นประกายระยับอย่างประหลาด ยิ้มสวยจริงลูก

                ในน้ำเสียงนั้นแฝงความอาลัย  มือเหี่ยวย่นลูบไล้ใบหน้าของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์อย่างทนุถนอม ยิ้มสวยเหมือนจินดาหลานยายไม่มีผิด

                จินดา?!” ชื่อนั้นทำให้เขาชะงัก  ความทรงจำในค่ำคืนนั้นไหลบ่าจนอุ่นซ่านที่สองแก้ม จินดาเป็นหลานยายหรือ  เธออยู่ไหม

                ยายช้อยนิ่งมอง  ดั่งชั่งใจ 

                อยากเจอหรือลูกปากเปื้อนน้ำหมากยิ้มเศร้า  หันไปทางห้องเล็กๆในกระท่อม อยู่ในห้องโน่นแน่ะ  มาสิเดี๋ยวยายจะพาไป

                ไม้ฟากลั่นออดยามเขาเยื้องย่างฝีเท้าเบากริบต้อยตาม 

                โลกกลมดีแท้  นึกว่าเป็นคนอื่นคนไกล  หรือเป็นสาวบ้านไหน  ไม่นึกว่าที่แท้คนรักของอาจารย์จอมโหดนั่นคือพี่สาวของจ้อยนี่เอง  ขอยลโฉมหน่อยเถิด  อยากรู้นักว่าจะงามสักปานใด  ถึงขั้นทำให้คนหลงเพ้อละเมอหาได้

     

                แค่เปิดประตูเข้าไปเลอมานก็ชะงัก  ทั้งร่างชาวาบ

                ในห้องนั้นไร้วี่แววของหญิงสาวดังที่คาดไว้  แต่กรอบรูปพร้อมกระถางธูปและช่อดอกมหาหงส์บนหลังตู้นั้นแทนคำตอบได้หมดสิ้น

                ยายเขาหน้าเจื่อน ผมขอโทษ  ผมไม่รู้ว่าเธอ..

                หญิงชราโบกไม้โบกมือวุ่น  เดินนำเขาไปใกล้ๆ 

     

                ครั้นพอเห็นหน้าบุคคลที่อยู่ในรูปชัดๆ 

     

                ใบหน้าหวานคม นัยน์ตาสวยโศกแสนอ่อนโยน  เลอมานสะท้านทั้งร่างเมื่อได้รู้ความจริงชวนสับสน

     

     

                จินดา.. เป็นผู้ชาย!? 

     

     

        

    โปรดติดตามตอนต่อไป

                   

                   

     

    * ไกลบ้าน, ชาลี อินทรวิจิตร คำร้อง, ชรินทร์ นันทนาคร ขับร้อง

    ** สุนทรภู่

    *** เป็นอาขยาน ก.ไก่ ในสมัยนั้นค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×