ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาหงส์ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #35 : บทที่ ๓๓ : ตัดไม่ขาด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 443
      23
      6 ก.ย. 63

    บทที่ ๓๓

    ตัดไม่ขาด

                   

    จะตัดอื่นหมื่นแสนถึงเหนียวแน่นคงมั่น

    ยังฟาดฟันให้ขาดได้

    แต่ตัดสวาทให้ขาดจากใจ สุดตัดทอนถอนไป

    แม้เพียรเพียงใดไม่ขาดบรรเทา

     

    จะตัดใจห้ามรัก เหลือจะหักใจห้าม

    รักยิ่งตามมาเหมือนเงา*

     

     

                    เลอมานรวบรวมกำลังทะลึ่งตัวขึ้นสูดอากาศเหนือน้ำ กลับถูกมือแข็งแรงกดศีรษะลงไปใต้น้ำอีก

                    เด็กหนุ่มสำลัก ในหูที่อื้ออึงไปด้วยเสียงคลื่นน้ำและเสียงแขนขาตัวเองตะเกียกตะกายครืนโครม เขาได้ยินเสียงแหบห้าวอำมหิตกระซิบเลือดเย็น

    “ไงไอ้ผู้ดี เข้าใจความรู้สึกคนจะจมน้ำตายหรือยัง”

    เนิ่นนาน.. กับความทรมานที่ไหลบ่ามากับกระแสน้ำที่หนุนเนื่องเข้าคอและจมูก ความดันใต้น้ำบีบรัดจนหน้าอกเหมือนถูกหินหนักๆ มากดทับไว้ เนิ่นนาน.. ฝ่ามือข้างนั้นคลายออก เลอมานรีบผุดขึ้นเหนือน้ำโกยอากาศเข้าปอดทั้งสำลักจนหูตาแดงก่ำ  เรือน้อยลอยหายไปไกลแล้ว สิ่งใกล้มือที่เขาพอจะไขว่คว้าไว้ได้ก็คือ.. มัน!

    ไอ้ลอยมองมานิ่งงัน มุมปากกระตุกยิ้ม แต่ดวงตาไม่ไหวติง

     

                “เล็ก!!

     

                    ในหูตาที่อื้อพร่าไปด้วยความหวาดกลัวล้นหัวใจ เลอมานได้ยินเสียงห้าวๆ ตะโกนเรียกชื่อเขาก้องคุ้งน้ำ ตามมาด้วยเสียงคลื่นน้ำแตกกระสานซ่านเซ็น กว่าจะรู้ตัวอีกที มือแข็งแรงก็คว้าเอวเขาเข้าไปแนบกับแผงอกอุ่นแน่น สายน้ำยามโพล้เพล้เย็นเยียบ แต่กระแสไออุ่นจากเลือดเนื้อที่ถ่ายทอดมาค่อยคลายความหวาดกลัวที่กร่อนใจลงทีละนิด

                    หัวใจคนเรานี่ก็แปลก กับคนหนึ่ง.. หวาดกลัวชิงชังราวกับเห็นปีศาจนรก หากกับอีกคนหนึ่ง.. แค่เรียกชื่อ  ก็แทบพลีหัวใจลงวางแทบเท้าเขา  จะเหยียบย่ำหรือเอาไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็ยอม  เช่นตอนนี้  หม่อมราชวงศ์หนุ่มเกาะอาจารย์ไว้แน่นเหมือนลูกค่างตกน้ำ เขื่อนน้ำตาทลายพลั่กๆ อย่างไม่อาย ร้องโฮเหมือนเด็กขวัญหนี

                    เขาไม่เคยเปิดเผยหมดจิตหมดใจแบบนี้กับใคร ยกเว้นอาจารย์.. แค่อาจารย์คนเดียว

                    เสียงทุ้มห้าวกระซิบที่ข้างหูเบาๆ คำที่เลอมานไม่ได้ยินจากปากอาจารย์มาแสนนานแล้ว “ขวัญเอ๋ยขวัญมา..”

    ไอ้ตัวการยังลอยคออยู่กลางน้ำ มันยิ้มเผล่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แค่ล้อเล่นน่ะ”

     

                    คนึงกัดฟันกรอดจนข้างแก้มขึ้นเป็นสัน  กระชับร่างในอ้อมแขนแน่นเข้าดั่งคำสัญญากว่าเลอมานจะปลอดภัยตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้ โชคดีที่มาทันเห็นไอ้นักเลงชั้นต่ำกำลังกดหัวเลอมานลงใต้น้ำ  วินาทีนั้นยอมรับว่าหัวใจราวกับถูกปลิดออกจากขั้ว

                    อาจารย์หนุ่มแหวกว่ายสายน้ำเข้าไปหาไอ้คนที่ยังลอยหน้าลอยตา ซัดกำปั้นลงคางมันจนหน้าสะบัดกลางน้ำ

                    “อย่ามาแตะต้องคุณชายอีก!” เขาชี้หน้าอาฆาต ก่อนพาศิษย์รักขึ้นฝั่งไปไม่เหลียวหลัง  ร้องเรียกผ้าผวยจากยายช้อยลั่น ประคองร่างที่สั่นสะท้านเป็นลูกนกลงนั่งกับตีนท่า เลอมานเปียกทั่วทั้งหัวหูหน้าตาแดงก่ำ มือใหญ่ถอดเสื้อโปโลเนื้อดีออกทางหัว คุณชายยิ่งกอดตัวเองแน่นเข้าด้วยความหนาว คนึงรีบคว้าผ้าผวยจากยายที่ยังหน้าตาตื่นไม่หายคลุมลงไหล่เล็ก ออกแรงเช็ดเนื้อตัวเปียกปอนให้อย่างจะเรียกความอบอุ่น

                    ยังมีเรื่องต้องสอบสวนกันอีกเยอะ!

     

    กลางคลองสีน้ำตาลใส  ไอ้ลอยมองตามทั้งคู่ไปด้วยแววตามาดร้าย มือใหญ่ลูบปลายคางที่เจ็บราวกับจะบิดไปข้างหนึ่ง ถ่มรสคาวเค็มในปากทิ้งลงน้ำอย่างกักขฬะ

    ครูศิษย์กันประสาอะไร  ดูสายตาที่ไอ้คนึงมองมันสิเล่า  ราวกับจะฆ่าให้แตกป่นไปเสียกลางน้ำ มาดร้ายราวจงอางหวงไข่  ครูศิษย์ที่ไหนจะประคบประหงม ถนอมกันแบบนี้  ถ้าไม่มียายช้อยยืนเป็นก้างขวางคออยู่ตรงนั้นสักคน  เผลอๆ พ่อคงเล่นหนังสดให้ปลาดูที่ตีนท่า!

    “ไงละมึง คนดีของมึง คนที่มึงรักนักรักหนา” มันกัดฟันกรอด ดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์  เปรยกับลมกับฟ้า “ยังไม่ทันข้ามปี มันมีคนใหม่แล้ว มึงเห็นไหม!” ท่อนแขนกำยำฟาดลงน้ำคลุ้มคลั่ง  ราวจะฝากความแค้นไปกับสายน้ำให้ใครคนหนึ่งรับรู้

    สายน้ำไหลล่องเอื่อย.. สายน้ำที่ไม่หวนคืน..

     

                [ เรือน้อยลอยลำเข้าหากอบัวช้าๆ มือเล็กค่อยจับก้านดอกดึงเบาๆ ดอกบัวสีขาวมีสายยาวเป็นวาหลุดออกมา สายบัวส่วนที่อยู่ลึกสีเกือบขาวเพราะความอ่อน จินดาขดสายบัวเป็นวงเพื่อสะดวกในการเก็บอย่างคล่องแคล่ว

                นักเลงหนุ่มที่นิ่งรออยู่ใต้กอบัวทะลึ่งตัวโผล่พรวดขึ้นพ้นน้ำ คนบนเรือตกใจจนเรือโคลง เรียกเสียงหัวเราะจากคนขี้แกล้งกึกก้องคุ้งน้ำ

                หากอีกฝ่ายดูจะไม่สนุกด้วย ใบหน้าอ่อนเยาว์เรียบตึงเย็นชาเหมือนรูปปั้น

                “ทำอะไร” ไอ้ลอยถามกรุ้มกริ่ม

    ไม่มีคำตอบ เหมือนพูดกับคนหูหนวก มือขาวเปื้อนคราบโคลนจ้วงพายหนี

    “เดี๋ยว..” ร่างกำยำว่ายน้ำตามติด เท้าศอกลงกราบเรือ รอยสักเสือเผ่นประทับหราบนแผ่นอกล่ำสัน ยื่นหน้ายื่นตากระซิบกระซาบ “ผัวถามก็ตอบให้ชื่นใจหน่อยซี่”

    จินดาหันขวับ อ้อ.. ไม่ใช่รูปปั้นนี่ และไม่ได้หูหนวกด้วย ตาสวยๆ ถลึงใส่ ถอดความหมายได้เป็นคำด่าที่หยาบเอาการ แต่เขาไม่ถือสา

                “ทำงานงกๆ เลี้ยงน้องเลี้ยงยาย ไม่มีน้องสักคนมึงคงสบายกว่านี้”

                แน้.. ไม่พูดไม่จา  ไม่ใช่รูปปั้น ไม่ได้หูหนวก  แต่คงเป็นใบ้กระมังหวา

                “ไม่ไปโรงเรียนหรือ หนีเรียนแบบนี้เดี๋ยวก็โดนครูตีอีกหรอก” ไอ้ลอยไม่ลดละ “อ้อ เดี๋ยวนี้คงตีเมียไม่ลงแล้วมั้ง”

                ไม้พายฟาดเปรี้ยงลง ดีนะที่หลบทัน หาไม่คงหลังเดาะ

                “เขาให้เกียรติกู เขาจะรอกูเรียนจบ” ดอกพิกุลร่วงจากปากได้เสียที “เขาเป็นคนดี ไม่เหมือนมึง! ไอ้สัตว์นรก!

                พ่นมาคำแรกก็เจ็บแสบดีแท้  ชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่ร่วงมามันพิกุลหรือตำแยกันแน่  แสบๆ คันๆ พิลึก แต่แบบนี้แหละ.. ไอ้ลอยชอบนัก

                นี่แหละจินดา  เห็นเงียบๆ ซ่อนความแข็งกร้าวไม่ยอมใครมาแต่เล็กแต่น้อย เหมือนใบข้าวเขียวๆ เห็นปลิวสะบัดตามลมอ่อนช้อย ลองลูบดูสิ ได้เลือดติดปลายนิ้วไม่รู้ตัว ถึงจะยากจนแต่มันก็รักศักดิ์ศรี รักเกียรติ วันๆ ดีแต่ทำหน้าบึ้งตึงเย็นชา ภาระหนักที่แบกไว้บนสองบ่าทำให้มันเป็นผู้ใหญ่เกินตัวมาแต่เล็ก

    มันไม่เคยยอมอ่อนให้ใคร  จนมาเจอไอ้ครูคนึงนั่น!

    จินดาเอ๋ย.. ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายคือมึง กูจะโพนทะนาให้ทั่ว เอาให้มันอยู่สอนที่นี่ไม่ได้! แต่เพราะกูไม่อยากทำให้มึงเดือดร้อน!

                “กูมาเก็บดอกให้ป้าทรัพย์” ลอยเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ จินดาบอกสั้นๆ ว่าเดี๋ยวไปเอาให้ ก่อนพายกลับเข้าฝั่ง นักเลงหนุ่มว่ายน้ำตามติด

                ร่างเล็กบางหายเข้าไปในกระท่อม เบือนหน้าหนีร่างกำยำเปียกปอนที่ก้าวขึ้นท่าตามมา ทั่วบริเวณเงียบสงบ ยายช้อยคงไม่อยู่ มันถือวิสาสะตามไปเงียบเชียบ

                ตามไปถึงในห้องนอน!

                คนที่ก้มๆ เงยๆ หยิบเงินจากในตู้ตกใจจนตัวโยนเมื่อหันมาเห็นร่างสูงใหญ่ยืนพิงกรอบประตู

                “เข้ามาทำไม!” จินดาตวาดเสียงกร้าว หากสองขากลับถอดกรูด

                ไม่พูดพร่ำทำเพลง คนตัวโตย่างสามขุมเข้าหา รวบตัวคนปากเก่งเข้ามาในอ้อมกอด ระดมจูบซุกไซ้ย่ามใจ มิไยที่เสียงเล็กจะก่นด่าลั่นกระท่อม รัวกำปั้นทุบทั่วหลังไหล่ เรี่ยวแรงที่มากกว่ากดร่างบอบบางลงผืนเสื่อง่ายดาย หักหาญตักตวงเอาเช่นที่เคยได้

                หวังให้มาถมในอกอันกลวงเปล่า อนิจจา.. ถมเท่าไรไม่เคยเต็ม

                ฝ่ามือเล็กตบฉาดเข้าให้จนหน้าหัน อีกมือสอดเข้าใต้หมอน กระซิบเหี้ยมเกรียมผิดดวงหน้าละมุนงามจับตา

     

                “ลืมแล้วใช่ไหมว่ากูซ่อนอะไรไว้ใต้นี้” ]

     

    **********************************

     

                    ค่ำมืดแล้ว บ้านนาทะมึนเห็นวอมแวมอยู่ก็แต่ตามชานบ้านที่ผู้คนยังมิเสร็จงานที่ล่ามาแต่เย็น ทั้งทำปลาและผ่าหมากตามประสาชาวบ้านนอก แหงนมองฟ้าก็เห็นดาวพรายพราวราวอัญมณีแต้มบนผืนกำมะหยี่

                    แม่เฒ่าช้อยเข้านอนนานแล้ว หากแสงตะเกียงนวลยังส่องมะลังมะเลืองจากแคร่ไม้รวกหน้ากระท่อม สองครูศิษย์ยังมิอาจข่มตาหลับ กองไฟที่ก่อไว้ให้ความอบอุ่นคุโชน

                    “อธิบายมาซิ” อาจารย์หนุ่มสอบเสียงเครียด ร่างสูงใหญ่อยู่ในเสื้อกุยเฮงกางเกงแพร บ่งบอกให้รู้ว่าคืนนี้ค้างที่นี่ “มันเรื่องอะไรถึงไปอยู่กลางน้ำกับไอ้ลอยได้”

                    ศิษย์นิ่งเฉยเหมือนรูปสลัก คนึงทอดถอนใจ ลมหนาวพัดกรู มือใหญ่รั้งผ้าผวยที่เจ้าเด็กรั้นคลุมตัวไว้หลวมๆ ให้กระชับมิดชิด

                    “อาจารย์จะใส่ใจทำไม” เลอมานสะบัดเสียงใส่ “ห่วงผมด้วยหรือ”

                    “ไม่ห่วงไม่ได้” คำตอบทันที “มันเป็นหน้าที่” เสียงทุ้มเย็นชา หากแววตาอาทรและมือที่ไล่แตะหน้าผากเล็กและสองแก้มนั้นอุ่นจัดอย่างมิอาจซ่อนเร้น

                    เจ้าเด็กดื้อจะรู้ไหม ว่าเขารู้สึกอย่างไรตอนเห็นอีกฝ่ายทุรนทุรายอยู่กลางน้ำนั่น ใจเอ๋ยเจียนจะขาด นึกโทษตัวเองที่ผิดเวลา ถ้าเขามาช้ากว่านี้เล่าจะเป็นอย่างไร

                    อยากกระชากกลับโรงเรียนเสียเดี๋ยวนี้ กลับไปอยู่ห้องน้อยห้องเดิม อย่างน้อยก็ยังอยู่ใกล้หูใกล้ตา แล้วเขาเองจะเป็นฝ่ายหลบไปซุกหัวนอนที่อื่น

                    เลอมานจามออกมา ถูปลายจมูกแดงก่ำ แสงสว่างจากกองไฟสะท้อนแก้มแดงปลั่ง ร่างสูงใหญ่ผลุนผลันขึ้นกระท่อม ก่อนกลับออกมาพร้อมชามยาต้มฟ้าทะลายโจร บังคับเคี่ยวเข็ญให้กินยาอีกระลอก ความจริงเขาให้เลอมานกินยาลดไข้ไปแล้วสองเม็ด แต่เพื่อความสบายใจ กินมันทั้งสองขนานเลยก็แล้วกัน

                    “ผมเอาเรือมาหัดพาย” ในที่สุดเจ้าเด็กรั้นก็ยอมเฉลย “ถ้าผมพายเรือเป็น จะได้ไม่ต้องรบกวนอาจารย์มารับส่งผมอีก”

                    อาจารย์หนุ่มครางลึกในคอ คำพูดง่ายๆ นั้นบีบคั้นหัวใจเขาได้เหลือเชื่อ

    “เจอกันที่โรงเรียนก็คิดเสียว่าผมเป็นอากาศ อดทนหน่อย อีกไม่กี่เดือนผมก็กลับแล้ว ไม่ต้องอยู่รกหูรกตาใครอีก” ดวงตารื้นน้ำมองสบมา วาจาตัดรอน.. หากสายตาเล่า.. มีแต่เยื่อใย

    ตัดไม่ขาด..

    คนึงทอดถอนใจ เลอมานยังเด็กนัก..

    เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น  ก็แค่หัวใจสองดวง ที่บังเอิญมาเจอกันในคืนวันอันว้าเหว่

    แค่ความหลง.. แค่ความเหงา.. พัดเพหัวใจมาต้องกัน  ก็แค่นั้น

                    “ก็ดี” เสียงทุ้มแผ่วหวิว จ้องดวงตาคู่นั้นไม่คลาด  ใช่.. ก็ดี.. เขาต้องการให้เป็นแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ แล้วอาการเจ็บยอกในอกนี้คืออะไร

    “ถ้าอย่างนั้นผมจะสอนคุณเอง” สิ้นคำเอ่ย ดอกฟ้าหันมองอย่างไม่เชื่อสายตา หมาวัดหมายมั่นอยู่ในใจ ต่อให้คุณชายพายเรือเป็นแล้ว คิดหรือว่าเขาจะไม่มาเฝ้าดูแล

    ใครเล่าจะกล้าปล่อยเลอมานไว้กับคนอย่างไอ้ลอย!

     

    **********************************

     

    แสงแดดกระจ่างไม่ร้อนนัก ลมชวยพัดอ่อน อากาศเย็นรื่นชื่นใจได้กลิ่นละไอแดด เรือน้อยลอยไปช้าๆ ตามลำคลอง คนึงคัดท้าย เลอมานนั่งกระทงหน้า หัวเรือแหวกกอหญ้ากอบัว ตัดผิวน้ำเป็นระลอกพลิ้วออกไปสองข้าง ปลาน้อยกระโดดโหยงลอยขึ้นมาพ้นน้ำด้วยความตกใจ เสียงปลาช่อนฮุบเหยื่อในพุ่มไม้ นกเป็ดน้ำฝูงใหญ่บินข้ามหัวไปไกลลิบๆ

                    เหนือผิวน้ำใสสะอาด บนท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆรวมตัวกันประหนึ่งความรักที่ก่อเกิดขึ้น  เพื่อจะแตกสลายไปด้วยกาลเวลา สุดลูกหูลูกตาจรดเส้นขอบฟ้านั้นคือทุ่งข้าวสีทองอร่าม ปลายเรียวของใบข้าวสะบัดพลิ้วเป็นคลื่นหยอกล้อผีเสื้อและแมลงปอสีสวย  ที่ริมบึงโสนกำลังแข่งกันอวดช่อดอกสีเหลือง กลีบที่โรยแล้วร่วงลงเป็นแพอยู่บนผิวน้ำ  นกยางขาวบินตัดทุ่งนาสีทองและท้องฟ้าสีครามใสไปฝูงแล้วฝูงเล่า

                    คนึงนิ่งมองเด็กหนุ่มที่หัวเรือ ดวงหน้าอ่อนเยาว์ดูตื่นเต้นและเพริดกับธรรมชาติรอบตัวไปเสียทุกอย่าง มือขาวยกกล้องราคาแพงที่ติดมาด้วยลั่นชัตเตอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งมองยิ่งเพลินตา

                    เหมือนครั้งที่พวกเขาเคยมาพายเรือเล่นกันแบบนี้ คล้ายความรู้สึกและหัวใจอันเมินหมางก็ถูกดึงย้อนกลับไป กำแพงหนาที่ก่อไว้ค่อยๆ พังทลายลงกอง เมื่อก่อน.. เขาเคยพาคุณชายมาดำนา ลอยเรือตามลำคลองใสเส้นนี้ ต่างกันตรงที่วันนั้นท้องนาเป็นสีโคลนรอการเพาะกล้า หากบัดนี้เป็นสีทองอร่ามด้วยข้าวเต็มรวง

     

                    เบื้องใต้ผิวน้ำพริบพลิ้ว ฝูงปลาแหวกว่ายอวดเกล็ดประกายเงินยวง พวกชาวนาต่างออกทอดแหยกยอกันเป็นกลุ่ม  หลายคนออกยิงนกตกปลา  เสียงปืนดังอยู่เป็นระยะ  นกบินหนีไปมาจากหนองโน้นไปหนองนี้  บนฟ้านั่น.. ฝูงนกยางสีขาวนับสิบบินตัดแผ่นฟ้าสีครามใส งดงามราวจิตรกรรมที่ธรรมชาติเสกสร้าง  ชะล้างความหม่นหมองในอกสิ้น หม่อมราชวงศ์หนุ่มยกกล้องขึ้นเก็บภาพนั้นไว้ด้วยใจอิ่มเอิบ

                    เลอมานเอาข้าวที่แบ่งใส่ฝาปิ่นโตโรยลงไปในน้ำนิดหนึ่ง  ฝูงปลาซิวว่ายเข้ามาแย่งกันเป็นกลุ่ม ปลาหมอตัวใหญ่ค่อยๆ ว่ายเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง  เด็กหนุ่มสูดอากาศสดชื่นเข้าปอด อดคิดถึงบ้านเมืองที่จากมาไม่ได้  คนไทยช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินนี้  มันช่างอุดมสมบูรณ์  อาหารมีให้กินอย่างเหลือเฟือ  ผัก ปลา ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องปลูก สายบัว ผักบุ้ง กุ้งหอยปูปลา หากินได้ง่ายดายดาษดื่น มันเป็นชีวิตที่ไม่ต้องดิ้นรน  ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกัน

                    หม่อมราชวงศ์หนุ่มใจหายวาบเมื่อคิดว่าอีกไม่นานเขาก็ต้องจากที่นี่ไป  และเมื่อวันนั้นมาถึง  ชีวิตของเขาคงต้องกลับไปสู่ความสับสนวุ่นวายในเมืองใหญ่ หาความสงบสุขร่มเย็นไม่ได้  และคงไม่มีโอกาสมาลอยเรือเล่นชายทุ่งแบบนี้อีกแล้ว

                    คนึงเห็นสีหน้าที่สลดลง แขนกำยำจึงวาดหัวเรือเข้าใต้ร่มจิก ดอกสายสร้อยสีแดงย้อยยาวลงจรดพื้นน้ำ ห่างออกไปทางขวา บัวกางกลีบออกรับแดด อวดความงามบริสุทธิ์ตระการตา

    “ใจลอยไปไหน  พามาหัดพายเรือนะ ไม่ได้พามาเที่ยวเล่น” เขาทำเสียงดุ แต่ดวงตาพราวระยับ เลอมานมองมาด้วยสายตาเหมือนเด็กถูกขัดใจ “ขยับมาหาครูนี่”

    เขาสั่ง เด็กหนุ่มวางกล้องในมือใส่ตะกร้าปิ่นโตที่ยายช้อยเตรียมให้ก่อนถอยหลังเขยิบมา อาจารย์ซ้อนหลัง ดึงไหล่เล็กเข้าไปชิดอก จับมือขาวให้หัดพาย เหมือนเมื่อครั้งเคยจับมือเขียนตัวอักษรไทย

    ชิดเหลือเกิน.. ใกล้เหลือเกิน.. ใกล้แค่ปลายเล็บ ใกล้จนกระแสไออุ่นจากแผ่นหลังเล็กถ่ายทอดสู่อกเขา กลิ่นแป้งเด็กหอมอ่อนเคล้ามากับกลิ่นน้ำ กลิ่นทุ่ง กลิ่นลมหนาวที่พัดกรูต้องกาย   

    คนึงหักห้ามใจเหลือเกินที่จะไม่ฝังปลายจมูกลงบนแก้มขาวที่อยู่ใกล้แค่คืบ

    “พาย.. แล้วก็งัด” ครูจับมือศิษย์หัดพาย “บิดด้ามพายให้ใบพายเป็นหางเสือควบคุมทิศทาง ทำได้ไหม” เขากำชับเมื่อเลอมานพยักหน้า “ท่องไว้ พาย..งัด..พาย..งัด”

                    คนึงถอดเสื้อออก เผยให้เห็นแผงอกล่ำสัน แว่บหนึ่งเห็นเจ้าเด็กดื้อเหลือบมองก่อนเบือนหน้าหนี ร่างสูงใหญ่โดดจากเรือลงไปลอยคอ เนื่องจากเกรงน้ำหนักตัวเขาจะทำให้เลอมานลำบาก ชายหนุ่มว่ายน้ำไปเกาะกิ่งจิกห่างจากเรือไปพอสมควร

    “น้ำลึกนะตรงนี้” เขาไม่ได้ตั้งใจขู่ นึกเอ็นดูเมื่อเห็นคนบนเรือหน้าเสีย “เอาล่ะ พายมาหาครูเร็ว”

    เลอมานดูตั้งใจมาก มือเล็กกระชับด้ามพายมั่น ออกแรงจ้วงพายอย่างที่เขาสอน ท่าทีเก้กัง ปากสีเรื่อพึมพำ..พาย..งัด..พาย..งัด.. คนึงยิ่งให้เอ็นดู

    เรือไม่เดินหน้าสักนิด มันเบนหัวไปทางซ้าย ยิ่งคนพายออกแรงจ้วง เรือยิ่งหมุนเป็นวงอยู่ที่เดิม

    เสียงห้าวหัวเราะก้องคุ้งน้ำ ฝีพายมองมาอย่างขัดใจ คงอายและนึกว่าเขาเยาะเย้ย เขาพยายามกลั้นหัวเราะ ตะโกนสั่งให้คัดซ้าย คัดขวา เลอมานตั้งใจพายแทบตาย แต่เรือก็ยังหมุนเป็นวงเหมือนเดิม

    คุณชายคงท้อแล้ว หยุดพายเอาเสียดื้อๆ ใจคงนึกอยากเขวี้ยงไม้พายลงน้ำเต็มที ดูซิพายจนเหนื่อย แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลง เม็ดเหงื่อเกาะพราวเต็มหน้า เหมือนหยดน้ำค้างบนใบบัวนวล

    “โอ๊ย!” จู่ๆ เสียงห้าวก็ร้องเจ็บปวด คนบนเรือชะงักมอง ตาเบิกกว้าง “เล็กช่วยด้วย! ครูเป็นตะคริว!

    ร่างสูงใหญ่ตีน้ำโครมคราม หัวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ใต้กิ่งจิก ทำท่าเหมือนจะจมอยู่รอมร่อ ร้องโหยหวนไม่ขาดปากนัยว่าทรมานสุดแสน

    “อาจารย์!” เลอมานร้องเสียงหลง เท่านั้นละเหตุมหัศจรรย์ก็บังเกิด มือเล็กคว้าไม้พายจ้วงเอาๆ เรืองี้แล่นปรู๊ดยังกะติดเครื่องยนต์

    ความเร็วขนาดนี้ แซงเรือหางยาวที่แล่นรับส่งคนจากบ้านแพนมาเกาะเมืองได้เลย

    “อาจารย์!” เรือมาประชิดตัว เสียงเล็กสั่นพร่า แขนขาวยื่นมาไขว่คว้า ลนลานดึงตัวเขาขึ้นจากน้ำ คนโดนตะคริวจับตะกายขึ้นเรือได้ไม่ทันไร มือสั่นระริกไล่แตะตามเนื้อตัว ท่อนขากำยำ แผงอกเปลือย คงพอรู้มาบ้างว่าคนเป็นตะคริวนั้นไม่พ้นที่ขาและท้อง “อาจารย์เจ็บไหม เจ็บตรงไหนครับ” เสียงเล็กสั่นพร่าตื่นตระหนก น้ำตาจะหยดมิหยดแหล่

    แต่ภาพเรือน้อยแล่นฉิวเมื่อครู่ยังติดตา คนึงฝืนแสดงละครไม่ไหวอีกต่อไป เขาระเบิดเสียงหัวเราะกึกก้อง ทั้งขำทั้งเอ็นดู

    “อาจารย์!” เลอมานรู้ตัวแล้วว่าโดนแกล้ง “เล่นอะไรแบบนี้!

    เจ้าเด็กดื้อทำปั้นปึ่ง หนีออกไปนั่งหันหลังให้ที่ท้ายเรือ อาจารย์หนุ่มพยายามกลั้นขำตามไปสวมกอดไว้หลวมๆ จากด้านหลัง

    “ครูขอโทษ ๆ” เขาพร่ำบอกเสียงแผ่วริมใบหู “ไม่เอาน่า หนูเล็กไม่โกรธครูนะ”

    “ไม่ต้องมากอดเล็ก!” เลอมานหันมา ซัดเพียะลงหัวไหล่ล่ำสัน หากคนตีกลับเป็นฝ่ายร้อง อาจารย์คว้ามือเล็กขึ้นมาดู รอยแดงเป็นปื้นทั่วมือขาว คืนนี้คงไม่แคล้วเป็นตุ่มน้ำให้ยายช้อยใช้เข็มบ่งออกให้แน่ๆ เขากุมมือน้อยขึ้นจรดริมฝีปาก เป่าเพี้ยงหายแผ่วเบา

    “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก” หม่อมราชวงศ์หนุ่มพ้อ โธ่.. เขาผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่แกล้งอีก มือใหญ่ประคองใบหน้าอ่อนเยาว์ไว้ หัวแม่มือเกลี่ยไล้แก้มขาวแผ่วเบา “รู้ไหมเล็กตกใจแทบตาย!” เขาเชื่อ ดวงตาสวยๆ รื้นน้ำแทบเรี่ยหยดแบบนี้ เขาเชื่อหมดใจ

     

                    ไม่ดีเลย.. เป็นแบบนี้ไม่ดีเลย..

                    เขาพยายามตีตัวออกห่างแทบตาย สุดท้าย.. กลับมาเป็นแบบนี้อีกจนได้

                    แค่คนหัวใจเว้าแหว่งสองคน บังเอิญมาเจอกันในคืนวันอันเหว่ว้า

                    แค่อ้อมแขนโอบอุ่น ในคืนที่อ้างว้างเดียวดาย

                    ไม่ใช่ความรัก..

     

    แต่เหตุใด ดวงตาทั้งคู่กลับนิ่งมองกันลึกล้ำ ณ ป่าโสนร่มครึ้ม ดอกโสนลอยน้ำเกลื่อนไปตามลมเหมือนมีสีเหลืองแต้มอยู่บนผิวน้ำใส กอไผ่ริมคลองโยกตัวไปมาเป็นเสียงดนตรี ณ ที่แห่งนี้ คนสองคนบนเรือน้อย ริมฝีปากทั้งสองดึงดูดเข้าหากัน แตะกันแผ่วเบาเหมือนกลีบโสนร่วงลงผืนน้ำใส

     

                ปัง! ปัง!

     

                    เสียงปืนดังซ้อนกันขึ้นสองนัด นกยางสีขาวหล่นผล็อยลงลอยกลางน้ำขนกระจายต่อหน้าเลอมาน เด็กหนุ่มร้องด้วยความตกใจ ทั้งครูศิษย์รีบผละออกจากกัน มีเสียงโวยวายด้วยความดีใจของคนยิงนก ตะโดนบอกกันลั่นอย่างแสนสมใจ เจ้าของเสียงปืนรีบจ้ำเรือเข้ามา

                    “ไอ้ลอย” คนึงพึมพำ ใจหายวูบ เหมือนพบปีศาจร้ายกลางวันแสกๆ ดวงตาคู่นั้นมองมาวับวามยามเห็นเขากับเลอมานออกมาด้วยกันตามลำพัง

                    บนเรือของมันยังมีคนอื่นอีก นางทองใบเจ้าของเรือนโคมเขียว

                    “เห็นไหม ข้าบอกแล้ว แถวนี้มีนกให้ยิงเยอะ” นักเลงหนุ่มหันไปบอก.. เรืออีกลำ.. แล่นตามมาติดๆ ตาสุ่มขี้เมากับเฮียเส็งเจ้าของร้านเหล้าใหญ่ในตลาด..

                    หัวใจอาจารย์หนุ่มเต้นถะถี่ จูบเมื่อครู่.. สี่คนนี้เห็นเข้าแล้วหรือเปล่า

                    “อ้าว! นึกว่าใคร” ไอ้ลอยทำตกใจ ทำเหมือนเพิ่งมองเห็นพวกเขา “คุณชายกับครูมาจู๋จี๋กันอยู่นี่เอง พวกผมมาขัดจังหวะหรือเปล่า”

    คนึงไม่ตอบคำ กระทั่งเรือสองลำแล่นผ่านไป มีเสียงหัวเราะ เสียงซุบซิบไล่หลัง

    อาจารย์เหงื่อผุดซึมขมับ กุมมือศิษย์รักไว้แน่น

     

    เค้าลางหายนะคืบคลานมาแล้ว..

     

    **********************************

     

    วิถีบ้านนายังดำเนินไปตามปกติ พระอาทิตย์ยังทอแสงเรื่อเรืองสะท้อนหยาดน้ำค้างที่เกาะตามใบหญ้า ข้าวในนายังทองอร่าม ชาวบ้านยังเก็บผักหักฟืนหาปูปลาริมหนองและท้องทุ่ง เรือหางยาวแล่นฉิวไปตามคลองเมือง ชุมชนตลาดยังคึกคัก ในความปกตินั้น.. มีบางอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ในสภากาแฟยามเช้า ในวงน้ำเมายามเย็น ในวงไพ่ที่แม่บ้านว่างงานนัดกันสุมหัว ในวงพนันไก่และไฮโลท้ายตลาด ในสายตาที่ชาวบ้านจับจ้อง ในถ้อยวาจาที่หลายคนหันไปซุบซิบกัน

    ทว่าคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนายังมิได้ระแคะระคายเลยสักนิดเดียว

     

    หม่อมราชวงศ์สูงศักดิ์มาเดินองอาจอยู่ในตลาดขวักไขว่ โดดเด่นเหมือนหงส์ในฝูงกา ใครต่อใครล้วนหันมอง เลอมานเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติที่เขาจะถูกจับตาเมื่อไปไหนมาไหน แต่เจ้าตัวหาเอะใจสักนิดไม่ ว่ามีการหันไปกระซิบกระซาบกันหลังจากนั้นด้วย

    เด็กหนุ่มขยับนาฬิกาพกในมือไปมาดั่งจะบอกลากันเป็นรั้งสุดท้าย ตัวเรือนทำจากทองคำแท้สลักลวดลายวิจิตร นาฬิกาเรือนนี้หม่อมย่ามอบให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อเขาอายุครบ ๑๕ ปี.. เอ..หรือ ๑๖ ปีก็ไม่ทราบได้ ทรัพย์ศฤงคารของเลอมานมากมีจนมิอาจจดจำที่มาได้หวาดไหว

    ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เขาจะลดตัวลงมาเหยียบสถานที่แบบนี้

    สถานธนาภิบาล!

    หรือไอ้ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าโรงรับจำนำนั่นแหละ

    เหตุผลที่เขาเอานาฬิการาคาเรือนหมื่นมาที่นี่น่ะหรือ ตัวการมันจะเป็นใครไปได้หากไม่ใช่ไอ้ลอย!

    ความพยายามฝึกพายเรือเพื่อกำจัดอาจารย์ออกไปจากชีวิตล้มเหลวไม่เป็นท่า หนำซ้ำกุญแจใจที่พยายามลั่นดาลลงกลอนไม่ให้อดีตรักกล้ำกรายเข้ามาอีกก็ดูท่าจะถูกสะเดาะเอาโดยง่าย แค่ได้ใกล้ชิดกัน ถูกเขากอดนิด จูบหน่อย ก็เผลอถลำใจ.. ใจที่พร้อมถลำ ไม่หวั่นหล่มรักเหวลึก

    เลอมานปลงใจ หากอาจารย์อยากจะมาก็มา เขาไม่ฝืนห้าม แต่กับไอ้ลอยมันผิดกัน ไอ้หมอนี่เหมือนเหลือบไรในชีวิต หากเป็นไปได้ก็อยากบี้ให้ตายจะได้ไม่มาไต่ตอมกันอีก

    ในเมื่อมันขยันมาทวงหนี้ทวงดอกเบี้ยนัก คุณชายอยากรู้จริง หนนี้ถ้าจ้อยกับยายมีเงินไปใช้คืนให้ ทีนี้มันจะหาข้ออ้างอะไรเสนอหน้ามายุ่งกับเขาอีก!

     

    ร่างโปร่งบางก้าวเข้าไปในโรงรับจำนำอย่างหมายมั่น หารู้ไม่ ทุกอิริยาบถอยู่ในสายตาชาวบ้านร้านตลาดเป็นตาเดียว

    จากนี้อีกวันสองวัน ในสภากาแฟ ในวงน้ำเมา ในวงไพ่ วงพนันไก่และไฮโล คงไม่แคล้วมีหัวข้อสนทนาใหม่กันอีกแล้ว

    **********************************

     

                    ระยะนี้อดีตอันธพาลบ้านนามีความสุขนัก คนเราพอตกอยู่ในห้วงรัก กระท่อมน้อยก็กลายเป็นเวียงวังทอง กระสอบข้าวสารที่แบกขึ้นหลังเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าก็คล้ายจะเบาดุจปุยนุ่น มันปรีเปรมเสียนี่กระไร มันวาบหวิวเหมือนเดินตีนไม่ติดดิน เนื้อตัวมันเบาโหวงเหมือนร่างกายทะลุเป็นปล้องอ้อปล้องแขม และหัวใจนั้นโบยบินอย่างว่าวติดลมบนเทียมเมฆโน้น

                    แค่คิดถึงเมื่อคืน เลือดหนุ่มก็ฉีดขึ้นหน้ากำซาบซ่าน

                “ทำไมพี่ถึงกอดจ้อยแรงนักนะ กระดูกกระเดี้ยวจะหักหมดแล้ว”

                    เสียงหวานกระซิบที่ริมหู ร่างบอบบางโยกโยนเหมือนเรือกลางทะเล ใต้ร่างกำยำที่เคลื่อนไหวด้วยพลังคลุ้มคลั่ง

                    จ้อยมันเกิดธาตุไหนกันแน่น้อ ตะก่อนเคยเข้าใจว่าธาตุดิน มันถึงได้เย็นชาบึ้งตึงใส่เขาได้ทั้งวัน หนนี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ธาตุไฟเสียละมากกว่า แตะมือแตะปากตรงไหนก็เหมือนละลายพี่ได้หมด แผดเผาพี่แทบไหม้กระเจิดกระเจิง

                    ในสายตากุลีทั้งโรงสีเห็นแล้วก็ชื่นชมแกมอิจฉา ไอ้สิงห์มีหนุ่มน้อยหน้ามนมาปรนนิบัติพัดวี หาข้าวหาปลาให้กินไม่ขาด หากไม่มีใครมองเห็นไปเกินกว่าพี่ชายและน้องชายที่รักใคร่กลมเกลียว

                    “มีน้องมาอยู่เป็นเพื่อนก็ดี ชีวิตเอ็งจะหายเหงาเหมือนข่าน้ำสลัดใบ” ขนาดไอ้ทิดปลั่งยังว่าไว้อย่างนั้น

                    จำนวนกระสอบที่ไอ้สิงห์แบกได้ต่อวันลดลงอย่างเห็นได้ชัด ตามช่วงเวลาที่เหม่อลอยมองฟ้าอมยิ้มคนเดียวอยู่ได้นั่นแล

                    นี่ละหนา.. สายใยที่ผูกพันกันไว้ในกระแสใจอันล้ำลึก

                    ฝั่งจ้อยจึงไม่น้อยหน้า นักเรียนครูคนดีนั่งตาเยิ้มตาลอยอยู่ที่ท่าน้ำหลังโรงเรียน แก้มนวลใส เลือดฝาดเปล่งปลั่ง ได้เนื้อได้น้ำจนใครต่อใครพากันทัก

                    ตั้งแต่พี่สิงห์ยอมให้จ้อยสอนหนังสือให้ ช่วงเวลาหลังกินข้าวเย็นก็เป็นเวลาที่จ้อยเริ่มงานสอน งานที่ไม่ได้ค่าจ้างอื่นใด นอกไปจากความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นในกะโหลกอันหนาทึบของพี่ ตกย่ำค่ำเย็น อาศัยเพียงแสงตะเกียงนวล ครูตัวเล็กกับศิษย์ตัวโตจดจ่ออยู่หน้าตำราและแบบฝึกหัดเด็กประถม เคี่ยวเข็ญแทบหืดขึ้นคอ ไม้บรรทัดพลาสติกหักไปหลายด้ามเพราะเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ครูก็ซัดเพี้ยะเข้าให้บนหลังไหล่ล่ำสัน

                    ผลของความพยายาม ในที่สุดพี่สิงห์ของจ้อยก็อ่านหนังสือออกแล้ว คิดเลขบวกลบคูณหารได้ แถมภาษาอังกฤษที่ไม่เคยกระดิกหู อย่างน้อยตอนนี้ก็ท่องเอบีซีกับเขาได้เหมือนกันละ

    อยู่นอกมุ้ง จ้อยเป็นครู พี่เป็นศิษย์ แต่พอเข้ามุ้งแล้วพี่กลับกลายเป็นครูจ้อย สอนบทนั้นบทนี้ให้มากมายเต็มไปหมด นึกขึ้นมาแล้วก็..

    “จ้อย!

    ร่างเล็กสะดุ้งโหยง ห้วงฝันหวามไหวมลายหายไปสิ้น หันหลังไปเห็นเลอมานกระหืดกระหอบมา “ตามหาตั้งนาน มานั่งเหม่ออยู่นี่เอง”

    คุณชายนั่งลงเคียงข้างทันใด “ยายกับจ้อยติดหนี้คุณนายพูนทรัพย์อยู่เท่าไร” แถมยังเข้าประเด็นทันทีไม่อ้อมค้อม เล่นเอาจ้อยตั้งตัวไม่ทัน

    “เอ่อ.. ประมาณสองหมื่นเห็นจะได้”

    มือขาวสะอาดควักธนบัตรเป็นฟ่อนมาจากกระเป๋ากางเกง ความหนาของมันทำจ้อยถึงกับตกตะลึง กะด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะมีมูลค่าสูงกว่าหนี้ของจ้อยเสียอีก

    และที่ทำให้ตกใจกว่านั้นคือคำประกาศหนักแน่นจากเพื่อนสูงศักดิ์

    “ฉันจะใช้หนี้ให้จ้อยเอง!

     

    หะแรกนั้นคุณชายออกปากจะใช้คืนให้ทั้งต้นทั้งดอก ชนิดถอนรากถอนโคน แต่คนอย่างจ้อยหรือจะยอม แล้วคนอย่างเลอมานหรือจะยอมเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างรั้น แต่ความรั้นของจ้อยเทียบกับเลอมานแล้วยังห่างไกลนัก

    โดนตอกหน้าว่าหนี้ของจ้อยทำให้คุณชายโดนไอ้ลอยรังควาญอย่างไร นักเรียนคนยากก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายก็แบ่งรับแบ่งสู้ พบกันครึ่งทาง สรุปความได้ว่าจ้อยยินดีรับแค่ดอกเบี้ยหลักพันเท่านั้น ส่วนไอ้เงินต้นหลักหมื่นน่ะคุณชายเก็บเอาไว้เถิด

    “จ้อยยืมเท่านั้นนะ เรียนจบสอบบรรจุเป็นครูได้เมื่อไรจ้อยจะหามาคืน”

     

    **********************************

     

                    หม่อมราชวงศ์เลอมานเดินออกจากโรงรับจำนำพร้อมเงินเป็นฟ่อนได้ไม่ทันไร ชาวบ้านร้านตลาดก็มีประเด็นใหม่เป็นหัวข้อสนทนาสนุกปากกันอีกหน

                    เมื่อคนึง วนาสัย อาจารย์หนุ่มหล่อแห่งโรงเรียนฝึกหัดครูผู้ไม่มีทีท่าจะว่าออกเรือนสักทีทั้งที่อายุปาเข้าเลขสามไปแล้ว อาจารย์ที่เคร่งครัด เคร่งขรึมน่าเคารพ ซ้ำยังขึ้นชื่อเรื่องมัธยัสถ์ยิ่ง ไม่เคยเถลไถล ไม่เคยเอาเงินไปถลุงในร้านเหล้าหรือโรงบิลเลียดอย่างอาจารย์คนอื่น

                    จู่ๆ อาจารย์คนึงก็ควักเงินสั่งซื้อไม้มะยมหอมจากโรงเลื่อยมาจำนวนหนึ่ง สำหรับต่อเรือหัวแหลมลำเล็กติดเครื่องหางยาว ยี่ห้อวิสคอนซินตัวละหลายร้อย ใครถามก็ตอบเรียบๆ ว่าต่อเรือไว้ให้เป็นสมบัติของโรงเรียน

                    ชาวบ้านโพนทะนากันไป ต่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อาจารย์คนึงอยู่มานมนานแล้ว อยู่ดีๆ นึกอย่างไรมาสั่งต่อเรือเอาป่านนี้ ซ้ำค่าไม้ ค่าต่อเรือ ค่าเครื่องยนต์นั้นเล่า ลำพังเงินเดือนครูจะหามาได้หรือ

                    “คนนึงมาขายนาฬิกาปุ๊บ อีกคนก็มีเงินซื้อเรือปั๊บ” บ้างก็จับสังเกตอย่างนั้น

                    สังคมชนบท ไม่ว่าใครทำอะไรก็รู้กันทั่วทุกหัวระแหง ตาบุญมานอนผวาตกเตียงที่บ้านแก อีกสองวันให้หลังก็รู้กันทั้งบาง ซ้ำยังใส่สีตีไข่ว่าแกถูกเมียถีบกระเด็นโทษฐานมีเมียน้อยเสียฉิบ

                    โบราณถึงว่าปากคนยาวกว่าปากกา

     

    **********************************

     

                    และแล้ว.. วันปลดหนี้ก็มาถึง

                    คุณชายเล็กมาในชุดเต็มยศ เต็มยศเสียยิ่งกว่าวันที่เดินทางมาเหยียบที่โรงเรียนชนบทนี่เสียอีก ร่างโปร่งบางอยู่ในสูทสีครีมนวล เนื้อผ้าเรียบกริบ รีดกลีบโง้ง งามสง่าผึ่งผายเสียยิ่งกว่าพระเอกหนัง รองเท้าหนังมันปลาบแทบส่องหน้าได้ เหน็บปากกาด้ามทองที่อกเสื้อเสียด้วย กลิ่นน้ำหอมราคาแพงฟุ้งกำจาย ใส่น้ำมันผมจนเรียบแปล้ชนิดแมงวันเกาะยังลื่น

                    นี่.. แค่ไปบ้านกำนัน ทำท่าเสียอย่างกับจะเดินทางกลับอังกฤษ

                    เพราะไม่ได้นัดล่วงหน้า คุณนายพูนทรัพย์จึงตกใจอย่างกับเห็นผีเมื่อเห็นพวกเขาสองคนไปเยือนถึงตีนบันได กับจ้อยน่ะไม่เท่าไร แต่กับคุณชายเล็กนี่สิ

                    “ทะ..ท่านชาย!” เมียกำนันเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เลอมานเสียฉิบ ตาลีตาเหลือกร้องเรียกน้าแป้นให้รีบตระเตรียมต้อนรับ

                    แขกสูงศักดิ์เดินนำหน้าเจ้าของบ้านขึ้นบันไดโดยไม่รอให้เชื้อเชิญ สองมือไพล่หลัง เชิดหน้าจองหองเหลือหลาย หญิงกลางคนกุลีกุจอตามไป เงอะงะทำตัวไม่ถูก แกคงไม่คิดว่าจู่ๆ จะมี เจ้ามาเยือนถึงบ้าน

                    จ้อยไม่คิดจะมาเหยียบที่นี่อีกแท้ๆ แต่คุณชายเล็กบังคับให้มาจ้อยจะขัดใจเธออย่างไรได้

                    คุณนายโรงสีลนลานปัดๆ ตั่งไม้สักด้วยมือเปล่าก่อนผายมือเชื้อเชิญ เจ้าประทับนั่ง ดูท่าการมาเยือนของหม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชกับหม่อมดาราจะส่งผลกระทบต่อความเกรงฟ้าสูงแผ่นดินต่ำของนางพูนทรัพย์มากโข จ้อยอดสำรวจหญิงคราวแม่ที่เคยรังแกจ้อยไว้สารพัดไม่ได้ ร่างที่เคยอ้วนท้วม วันนี้ดูซูบลงไป ปกติคุณนายแต่งหน้าจัด ปากแดงคิ้วโก่งแม้ตอนอยู่บ้าน หากวันนี้กลับดูซีดเซียวไปถนัดตา

                    เมียกำนันเงอะงะไม่รู้จะวางตัวเองลงตรงไหนจึงจะถูกจะควร หันไปหันมาแกก็นั่งแปะลงกะพื้นแทบเท้าเลอมาน

                    โอ๊ย! จ้อยอยากจะตบหน้าผากตัวเองสักป้าบ! ไอ้ เจ้าก็นั่งเฉย ไม่ทัดทานให้แกขึ้นมานั่งระดับเดียวกันสักคำ จ้อยถอนใจเฮือก พลางย่อตัวลงนั่งกับพื้นอีกด้าน

                    น้าแป้นประคองขันลอยน้ำดอกมะลิมา แกเห็นเจ้านายนั่งพื้น ส่วนหนุ่มสำรวยที่นั่งบนตั่งนั่น รัศมีเจ้าอ่าองค์ทรงเดชไปหมด โอ้โห..แกเลยเล่นคลานเข่าเสียตั้งแต่หัวกระไดเข้ามา คุณนายหันไปเห็นเข้าก็ตวาดแว้ด ไล่ให้น้าแป้นไปชงกาแฟใส่แก้ว พร้อมนำน้ำเปล่าทั้งร้อนเย็นมาถวาย

                    โธ่! ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์กับหมอนี่ก็ได้ป้าทรัพย์

                    ชักไม่แน่ใจแล้วว่า คนที่นั่งวางเขื่องอยู่บนตั่งไม้สักทองนั่นมันหม่อมราชวงศ์เลอมานหรือท้าวสามล พ่อเจ้าประคุณเต๊ะท่าจนน่าถีบให้ตกตั่ง!

    แล้วขาน่ะจะถ่างไปไหน หุบลงหน่อยเถอะ!

    “ท่านชายเสด็จมามีเรื่องอะไรเรอะเพคะ” คุณนายถามนอบน้อมแทบหมอบกราบ จ้อยได้แต่นั่งอึดอัด เลอมานนะเลอมาน ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเป็นแบบนี้ ไม่พามาก็ดีหรอก!

    “ได้ข่าวว่าจ้อยติดหนี้คุณนายพูนทรัพย์มากอยู่” คุณชายตรัส.. เอ๊ย พูดด้วยสำเนียงแบบพระราชาตามวิกยี่เก “จ้อยเป็นเพื่อนของเรา ไม่สิ.. ที่ถูกควรเรียก..” ดวงตาสีน้ำตาลใสหันมองจ้อย

    “..พระสหาย”

    จ้อยแทบสำลักน้ำฝนลอยดอกมะลิ!

    คุณชายยิ้มละไม ดึงแขนจ้อยให้ขึ้นมานั่งระดับเดียวกัน จ้อยขืนไว้สุดชีวิต เป็นตายอย่างไรจ้อยก็ไม่นั่งค้ำหัวผู้ใหญ่

    ที่สำคัญ! นั่นน่ะ.. แม่ผัวจ้อยนะ!

    “เล็ก! จ้อยปรามไม่ออกเสียง พอมีมะโหขึ้นมายศศักดิ์ก็กระเด็นกระดอน แต่ท้าวเธอสนที่ไหน จ้อยต้องแอบหยิกแขนไปทีเล่นเอาครางซี้ดนั่นแหละ

    คนถูกสถาปนาเป็นพระสหายหมาดๆ ทำตาพองใส่ เล่นพิเรนทร์อะไรแบบนี้!

    “อะแฮ่ม” เลอมานกระแอมกลบเกลื่อน “หนี้ของพระสหายก็เท่ากับหนี้ของเราด้วย”

    คุณนายทำตาปริบ ครั้นพอเลอมานยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลให้ มือสั่นเทายื่นไปรับมาเหมือนคนไม่รู้ตัว แกเปิดดูเห็นแบงค์สีแดงเป็นฟ่อนก็เริ่มเบะปาก

                    “ไม่เอาแล้ว อิฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้น..” จู่ๆ น้ำตาคนเป็นแม่ก็พรั่งพรูอย่างน่าสงสาร “อิฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น ขอแค่ให้ลูกชายอิฉันกลับบ้าน..”

                    เล่นเอาผู้มาเยือนทั้งสองมองหน้ากันเงียบงัน

     

                    วันเอาคืน(แทนเพื่อน)ของเลอมานล้มเหลวไม่เป็นท่า เจอน้ำตาคนแก่เรี่ยรายแบบนี้ ใครจะใจไม้ไส้ระกำรังแกกันลง ยิ่งเห็นแกร่ำไห้ถึงลูกชายอย่างน่าเวทนา คนไกลบ้านก็ชักคิดถึงแม่ขึ้นมาตงิดๆ

                    สุดท้ายคุณนายพูนทรัพย์ก็ไม่เอาอะไรสักอย่าง เงินต้นก็ไม่เอา ดอกเบี้ยก็ไม่เอา เอาแต่ฟูมฟายน้ำตานองหน้า รำพันพิลาปว่าเมื่อไรลูกสิงห์ของแม่จะกลับบ้าน

                    เลอมานได้แต่เก็บเงินคืนกระเป๋ากางเกงเงียบๆ

                    แต่มีอยู่เรื่องต้องย้ำหัวตะปูกันหน่อย “แล้วคุณนายก็อย่าสั่งให้ไอ้..” เขายั้งปากไว้แทบไม่ทัน “..อย่าสั่งให้นายลอยไปรีดทานาเร้นกับยายช้อยที่บ้านอีก”

                    “รีดนาทาเร้นครับ” จ้อยแก้ให้หน่ายๆ

    นางพูนทรัพย์พยักหน้ารับคำทั้งน้ำตา

     

    “แล้วนี่.. มากันอย่างไรรึเพคะ” เจ้าบ้านถามเมื่อพาสังขารกระย่องกระแย่งมาส่งถึงตีนบันได แกเหลียวซ้ายแลขวา ไม่ยักกะเห็นเรือหรือรถสักคัน

    “รถพระที่นั่ง” เลอมานตอบฉะฉาน เล่นเอาจ้อยแทบสะดุดขั้นบันไดหัวทิ่ม “จอดอยู่ตรงโน้นแน่ะ ไม่ต้องส่งหรอก” มือขาวชี้ไปทางตะวันออกลิบๆ คุณนายมองตามทำหน้างง

    สองสหายลัดเลาะมาตามป่าไผ่ นั่นไง! ‘รถพระที่นั่งนอนเค้เก้อยู่ใต้กอไผ่สีสุก จอดดีๆ ไม่ได้เพราะขาตั้งหักน่ะซี!

     

                    ข้าวระเนนเอนพลิ้วลิ่วลมลู่

                    เฉกคลื่นตรูสมุทรทองรังรองแสง

    เดือนอ้ายแรม  ทุ่งนาก็กลายเป็นสีทอง  ข้าวเหลืองอร่ามไปตลอดทุ่ง  ลมหนาวโชยมาอ่อนๆ  เสียงกังหันครางแผ่วๆ อยู่บนยอดไม้  เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่าถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้ว  ครอบครัวชาวนากำลังจะมีข้าวใหม่กลิ่นหอมอ่อนนุ่มกินกัน

    จักรยานคันเก่าโขยกออดแอดไปตามทางเกวียน พระสหายจ้อยเป็นคนขี่ มีคุณชายเลอมานซ้อนท้าย

                    “คุณชายไม่น่ารักเลย” จ้อยเสียงดังแข่งกับสายลมกรูเกรียว “รู้ตัวไหมว่าที่ทำลงไปวันนี้มันไม่ดี ถึงอย่างไรแกก็เป็นผู้ใหญ่” ถึงอย่างไร.. แกก็เป็นแม่.. ของคนที่จ้อยรัก..

                    มิหนำซ้ำ ใบหน้าอิดโรย ท่าทีอ่อนล้าดั่งคนเจ็บไข้ของเมียกำนันติดอยู่ในหัวจ้อย สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด

                    เลอมานทำไขหู กางแขนระต้นหญ้าข้างทางเรื่อยเปื่อย เล่นเอาจ้อยกลอกตาระอา

                    “พระสหายจ้อยงั้นเรอะ” จ้อยฉิวขึ้นจมูก “เฮอะ เดี๋ยวเหาก็ได้ขึ้นหัวจ้อยกันพอดี”

                    “เหา!” คนซ้อนร้องเสียงหลง “จ้อยเป็นเหาเรอะ! ไปไกลๆ เลยนะ!” ไม่พูดเปล่า สองมือผลักจ้อยจนหัวซุน ก่อนโดดออกจากอานรถด้วยความรังเกียจเสียเต็มประดา

                    ผลจากการดีดตัวไม่มีปี่มีขลุ่ย รถถีบเสียหลักทันที จ้อยแหกปากลั่น ประคองจักรยานตุปัดตุเป๋จนขากาง ใช้สองเท้าแทนเบรคหยุดรถได้ทันจนฝุ่นตลบก่อนที่มันจะไถลตกถนน

    คนที่เกือบลงไปนอนแช่ปลักควาย หลับตาข่มกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะระเบิด “มันเป็นสำนวน!” จ้อยหันมาตะโกนใส่คุณชายที่นอนแอ้งแม้งคลุกฝุ่นหมดสภาพ “อิเดี้ยมน่ะอิเดี้ยม ยูโน๊ว์!?

                    เลอมานกะพริบตาปริบ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาก่อน และแล้วจ้อยที่โมโหจนหอบหนักอยู่สองสามทีก็หัวเราะตามขึ้นมา พลางลงจากจักรยานมาช่วยดึงเพื่อนให้ลุกขึ้น

                    กระดึงคอวัวส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง เกวียนเล่มหนึ่งโขยกเขยกมาตามทาง บรรทุกคนงานลงแขกเกี่ยวข้าวมาเต็ม

                    “อ้าวคุณชาย” ชายขับเกวียนร้องทัก “ครูคนึงเขาต่อเรือให้ สวยอย่าบอกใคร ทำไมไม่ไปนั่งเรือ มาลำบากลำบนปั่นรถถีบเก่าๆ กันอยู่ทำม้าย”

                    เลอมานกับจ้อยมองหน้ากันด้วยความสงสัย ไม่ทันสังเกตสายตาคนบนเกวียนที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป

                    จับจ้องมาราวจะยิ้มเยาะ..

     

    **********************************

     

    เรือหางยาวที่คนึงสั่งให้คนต่อขึ้นนั้นเป็นเรือหัวแหลมท้ายตัดขนาดเล็ก จุคนได้ ๒-๓ คน ในส่วนเครื่องต่อเพลาติดใบจักร มีแปลกเพิ่มเติมไปจากลำอื่นคือมีหางเสือใบเล็กที่ทำด้วยไม้ติดไว้ช่วงท้าย ใต้ท้องเรือในน้ำเจาะกระดานฝังกระบอกแป๊บเหล็ก โยงด้วยลวดสลิงจากหางเสือถึงพวงมาลัยที่ติดตั้งอยู่หน้าม้านั่งคนขับเรือ แค่ติดเครื่องแล้วนั่งมองตรงไปข้างหน้า ไม่ต้องตะแคงข้าง ไม่ต้องคอยระวังมือจับของเครื่อง เพียงหมุนพวงมาลัยก็บังคับซ้ายขวาได้สะดวก

    คนึงลองขับเรือที่ท่าหลังโรงเรียน ของใหม่ดึงดูดความสนใจทั้งเหล่าอาจารย์และนักเรียน กลิ่นสี กลิ่นเชลแล็กยังเตะจมูก

     

                    อาจารย์หนุ่มบอกว่าเรือลำนี้เป็นสมบัติของโรงเรียน แต่เอาเข้าจริงเมื่อมีกิจต้องเดินทางไปไหน พาหนะก็ไม่พ้นรถแลนโรเวอร์คันเก่าอยู่ดี

    ส่วนเรือใหม่นั้นหรือ..

     

    เสียงเครื่องยนต์วิสคอนซินแหวกสายน้ำมุ่งไปบ้านยายช้อยแต่รุ่งสาง เด็กหนุ่มสูงศักดิ์มองเรือใหม่ตาเป็นประกายเหมือนเด็กเห็นของเล่นใหม่ คนึงยังไม่ได้เอ่ยคำใดสักคำ หากเพียงสบสายตาที่มองมาลึกล้ำ เลอมานรู้ได้ทันใด

    อาจารย์ต่อเรือลำนี้เพื่อเขา!

    รอยอุ่นที่ริมฝีปากในวันนั้นดังจะร้อนวาบขึ้นมา

    ด้วยความเป็นคนซุกซน อยู่นิ่งไม่เป็น อยากรู้อยากลองไปทุกสิ่ง ดังนั้นเมื่ออาจารย์บอกว่าจะสอนขับ ศิษย์ก็แทบโดดลงเรือทันทีไม่รีรอ

                    ก่อนอื่นดึงเครื่องให้ติดแล้วเบาเครื่องก่อน ปลดห่วงคล้องมือจับ วางเพลาติดใบจักรลงน้ำ เลอมานทำตามอย่างว่าง่าย เขาเคยลองขับรถยนต์ของท่านพ่อมาแล้ว แค่เรือติดเครื่องจึงไม่น่าเกินความสามารถ

    หนแรกนั้นเรือวิ่งช้าๆในคลอง เลอมานบิดมือไปข้างหลังเร่งคันเร่งนิดเดียว หัวเรือยกเชิดขึ้นพ้นน้ำเกือบครึ่งลำเรือ วิ่งฉิวขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มใจพองอยู่ในอก นึกขอบคุณคนที่ต่อเรือลำนี้ให้

                    พอคล่องดีแล้ว อาจารย์พาลัดเลาะจากคลองออกแม่น้ำ มุ่งหน้าไปตลาด การแล่นเรือไปตามลำคลองยามเช้าจะตกอยู่ในสายตาผู้คนสองฝั่งคลองมากเป็นพิเศษ เพราะยังไม่ทันออกไปไร่ไปนา มีกิจกรรมต้องหันหน้าลงคลอง เช่น ตักบาตรพระที่พายเรือมาเป็นสายสีเหลือง ล้างถ้วยชาม ล้างผัก ล้างปลาที่สะพานท่าน้ำ ตลอดจนล้างหน้าอาบน้ำ หรือรอซื้อกาแฟเจ้าประจำที่มากับเรือสำปั้นลำใหญ่

    ดังนั้น.. เสียงหัวเราะ รอยยิ้มเบิกบานแจ่มจ้าจากเรือยนต์คันน้อยของครูศิษย์จึงมีประจักษ์พยานความสุขเป็นชาวบ้านแทบทั้งบาง

    เลอมานสุขใจเสียจนไม่สนสายตาสองฝั่งคลอง ส่วนคนึง.. เพียงอยากทำทุกอย่างให้ดูเป็น ปกติคนไม่มีความลับ ทำสิ่งใดย่อมเปิดเผยมิใช่หรือ พวกลักกินขโมยกินต่างหากที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ

    แต่ใครเลยจะคาดคิด..

    ถึงตลาดยอด การจราจรเริ่มคับคั่ง มีเรือหางยาวลำใหญ่กว่า เสียงดังกว่าแล่นตามหลังมาแล้วแซงไปอย่างรวดเร็ว คลื่นน้ำหนุนจนเรือโคลงเคลง เลอมานรีบหมุนพวงมาลัยกลับขวาเมื่อเห็นหัวเรือพุ่งไปทางซ้าย!

    ซึ่งทางซ้าย.. มีเรือสำปั้นพายเฉียงแม่น้ำมุ่งตรงมาจะจอดเทียบท่า เด็กหนุ่มควบคุมพวงมาลัยไม่ทัน!

                    “เล็ก! ดับเครื่องเร็ว!” คนึงร้องบอก รีบคว้าพายงัดเรือไว้ไม่ให้ชนกัน ศิษย์รีบร้อนดับเครื่องจนหางเรือปัด ท้ายชนโครมเข้ากลางเรือสำปั้น อาจารย์ตกใจโดดเข้ามาดึงศิษย์รักไปไว้แนบอก!

                    เรือสิ้นฤทธิ์หยุดสนิทเมื่อได้เกยกราบเรือสำปั้นกลางลำ น้ำไหลอู้เข้าไปในเรือที่เอียงกะเท่เร่

                    เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็ว เสียงโครมครามดึงความสนใจชาวบ้านและพ่อค้าแม่ขายสองฝั่งคลอง หลายคนวี้ดว้ายเซ็งแซ่

                    “อั๊วซี้เลี้ยวว้า!” อาแปะนายท้ายเรือสำปั้นร้องลั่น สองคนที่กอดกันตกตะลึงดั่งได้สติ ช่วยกันผลักเรือสองลำให้ลอยหลุดจากกัน

                    ลงท้ายทั้งครูศิษย์ต่างช่วยกันวิดน้ำในเรือสำปั้นให้เรียบร้อย พร่ำขอโทษไม่ขาดปาก ชาวบ้านเห็นกันทั่ว  แม้แค่ชั่วเสี้ยววินาที ที่อาจารย์กับศิษย์รักกอดกันกลมกลางลำคลอง

    อะไรหลายอย่างช่างประกอบกันเหมาะเหม็งยิ่งกว่าสลักเดือย

    ที่ไอ้ลอยว่าไว้ไม่มีผิดเลย

    วันนั้นอีทองใบเห็นกะตาว่าเขาจูบกัน

    ไอ้สุ่มบอกว่าเขากอดกันกลางคลอง

    ฯลฯ

    ชาวบ้านโพนทะนาเป็นเสียงเดียวกันว่า.. อาจารย์คนึงต่อเรือไว้ลอยลำจู๋จี๋กับศิษย์รัก ซ้ำเงินที่ใช้ก็คงไม่แคล้วเงินจากหม่อมราชวงศ์เลอมาน!

                    ระยำสิ้นดี อัปรีย์จัญไร!

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

     

    *ตัดไม่ขาด, นคร ถนอมทรัพย์ คำร้อง, สุเทพ วงศ์กำแหง ขับร้อง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×