ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาหงส์ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #23 : บทที่ ๒๑ : คนใจมาร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.56K
      22
      8 ธ.ค. 55

    บทที่ ๒๑

     

    คนใจมาร

     

    พอเสียทีรักนี้มันเศร้า  ทำเอาปวดร้าววิญญาณ
    มีแต่ประหัตประหาร
    แสนทรมานจะทนรักกันเพื่อสิ่งใด

    ต่อให้เธอมาคุกเข่าเฝ้าขอคืนดี
    ฉันไม่มีให้อภัย
    เธอทำฉันแค้นแสนปวดใจ หมดสิ้นเยื่อใย 

    ขอไกลพ้นคนใจมาร*

     

     

                ตะวันแทบส่องตรงหัวแล้วตอนที่สิงห์เริ่มรู้สึกตัว  แสงแดดจ้าส่องลอดช่องว่างผนังไม้ขัดแตะเป็นริ้ววงกระจัดกระจาย  ในอนุสติลางเลือน  ชายหนุ่มรู้สึกร้อนอ้าวดั่งกอดกองไฟ  แต่ไม่รู้เหตุใด  อ้อมแขนแกร่งจึงไม่ยอมคลายออกจากกองไฟนั้น

                    เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก  หวังพบต้นเหตุแห่งความร้อนรุ่มที่แผดเผาแผ่นอกเขาแทบไหม้ 

     

                    ใบหน้าคมสันซบอยู่กับกลุ่มผมชื้น  ชายหนุ่มถึงกับผงะ  ความง่วงงุนด้วยฤทธิ์สุราตกค้างหายวับไปเป็นปลิดทิ้ง  ร่างกำยำกอดรัดน้องน้อยจากด้านหลังไว้แน่นแนบอก  แทบคร่อมทับทั้งตัว  ใบหน้าซีดเซียวแนบกับผืนเสื่อ  ไรผมเปียกชื้นระต้นคอชุ่มเหงื่อ  เปลือกตาบอบบางปิดสนิท  ทิ้งรอยน้ำตาเป็นคราบบนแก้มขาว 

                    เนื้อตัวร้อนผ่าวดั่งไฟ! 

     

                    จ้อย.. เสียงสั่นพร่าเปล่งออกมาจากลำคอแห้งผาก  กลิ่นคาวแปลกประหลาดอวลซ่านกระทบจมูก  ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ  ค่อยๆ ขยับกายออกจากร่างปวกเปียก  พลันนั้นหัวใจก็หล่นวูบ      

     

                    บางส่วนยังเชื่อมต่อกัน..

     

                    เสียงต่ำครางแหบเครือยามค่อยๆ ถอดถอนกายออก  ร่างในอ้อมกอดกระตุกเฮือกทั้งที่ไม่รู้สึกตัว  ของเหลวขาวขุ่นหยาดไหลตามลงมาเป็นทาง  ปนเปด้วยเลือดแดงฉาน 

                    เลือด.. เลือดเต็มไปหมด  เกรอะกรังเต็มหว่างขาขาว  แม้กระทั่งหน้าขาของเขา.. ก็มีแต่คราบเลือด..     

     

                    ใครทำน้อง?!

     

                    เลือดฉีดพุ่งจากเท้าถึงศีรษะ  หากฉับพลันก็หมดแรงตกวูบ

     

                    กูเอง..

     

                    ชายหนุ่มระลึกถึงเสียงกรีดร้องลางเลือนในกระท่อมคับแคบ  กระทั่งโรยลงเป็นเสียงสะอื้นไห้  ความทรงจำย้อนกลับสู่ค่ำคืนอัปยศ

                    สารภาพจากหัวใจมืดบอด  เมื่อคืนเขาโกรธน้องมาก  ทั้งโกรธทั้งเสียใจจนอยากขยี้ให้แหลกเหลวคามือ  อยากทำลายให้ย่อยยับคาอก  อยากยัดเยียดความเป็นเจ้าของ  ตีตราจองทั่วเรือนกาย    

                    เวลาคนเราโกรธ เสียใจ ความก้าวร้าวหยาบกระด้างผุดขึ้นได้เหมือนเปลวไฟแลบเลีย  เหมือนน้ำไหลบ่า  ซัดมา สาดมา จนไร้สติสำนึกใดๆ  ยิ่งได้ไอ้ลอยยุยง  ได้เหล้ากี่หมื่นกี่แสนหยดสาดเทลงหัวใจลุกไหม้  ก่อเกิดเป็นกองไฟร้ายแรง  แผดเผาความรักเพียงหนึ่งเดียวมอดไหม้เป็นกองเถ้าถ่าน

     

                    สิงห์ไม่คิดเลยว่าเขาจะลงมือกับน้องรุนแรงขนาดนี้

     

                    “จ้อย.. เสียงแหบพร่ายังพร่ำเรียกน้อง  แต่เจ้าตัวน้อยนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง  มีเพียงลมหายใจร้อนผ่าวและแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ เท่านั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าร่างนี้ยังมีลมหายใจ 

                    น้ำตาเดรัจฉานเอ่อท้นล้นขอบตา  หัวใจแทบแหลกสลายลงราวกับถูกใครจับแช่ในน้ำกรด  มือหยาบเทอะทะลูบไล้ไปตามใบหน้าซีดเผือด  ริมฝีปากแห้งผากไร้สีเลือด 

                    จ้อย.. จ้อยของพี่..จ้อย..คนใจชั่วยังพึมพำซ้ำๆ อย่างไร้สติ  สองแขนแกร่งตระกองกอดน้องแนบอก  นี่ใช่ฝีมือมนุษย์ทำต่อกันจริงหรือ  หรือผีห่าซาตานจากนรกขุมไหนมาสิงสู่ใจเขากันแน่  ร่างอ่อนเปลี้ยบอบช้ำไปทั้งตัว  รอยจูบแดงช้ำ  รอยฟันขบกัด  รอยมือเขียวคล้ำกระจัดกระจายทั่วเรือนร่าง  คราบเลือด.. คราบของเหลวขาวขุ่นแห้งกรังอยู่เต็มหน้าขา  หัวศอกหัวเข่าน้องถลอกปอกเปิก  โต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่เขานั่งกินเหล้าอยู่เมื่อคืนพังพาบลงไปกองกับพื้น  ส่วนเสื่อที่รองรับร่างจ้อยอยู่ก็ขาดวิ่น  จ้อยคงดิ้นแรงจนตาเสื่อครากออกจากกัน 

     

                    ความจริง.. เมื่อคืนนี้.. มันเป็นคืนที่เราตกลงกันไว้ว่าจะไปดูหนังด้วยกันไม่ใช่หรือ  พี่วาดฝันไว้.. ไม่ว่าหนังจะสนุกแค่ไหน.. พี่ก็จะไม่จ้องให้เสียเวลา.. พี่จะจ้องแต่หน้าน้อง  จะลอบเฝ้ามองหน่วยตากลมโตที่เบิกกว้างขึ้นเมื่อตื่นเต้น  มองกลีบปากสีเรื่อที่คลี่ยิ้มสดใส  มองแก้มขาวที่เมื่อสะท้อนกับแสงจากจอผ้าใบ  มันคงนวลเปล่งปลั่งน่ามอง.. น่าหอม.. แล้วพี่จะลอบจับมือน้องในความมืด  ต่อให้น้องพยายามแกะอย่างไรพี่ก็จะไม่ปล่อย  หนังเลิกแล้วพี่จะพาน้องออกมากินข้าว  น้องชอบน้ำแดง ชอบข้าวหมูแดง พี่จะพาไปกิน  ริมฝีปากน้องคงแดงเรื่อเพียงดื่มน้ำแดงรสซ่าเข้าไปแค่ไม่กี่อึก  แล้วพี่จะพาน้องกลับบ้าน  จอดแวะชวนน้องดูดาวที่ริมบึงพระราม  ก่อนนอน.. พี่ก็จะฝากจมูกไว้เป็นเกลอแก้มน้องสักที 

       

                    แล้วเหตุการณ์มาจบลงแบบนี้ได้ยังไงกัน  มาจบลงที่กระท่อมโสมมนี้ได้ยังไง  ทำไมถึงเป็นแบบนี้

     

                    ใจคอฟ้าดินจะกลั่นแกล้งเราสองคนไปถึงไหนจึงจะพอใจ

     

                    อย่าเลย..อย่าโทษฟ้าดิน..

     

                    กูทำเอง  กูทำเองทั้งนั้น!

     

     

                    ตื่นแล้วเรอะพี่เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง  สิงห์หันขวับ  เห็นไอ้เลิศยืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้ากระท่อม  ลูกพี่รีบเช็ดขอบตาร้อนผ่าวด้วยท่อนแขน 

                    มืออ้วนอูมยื่นซากเสื้อผ้าส่งให้  ดวงตาขลาดเขลาหลุบลงต่ำ  มันไม่เจริญหูเจริญตานักหรอกไอ้ภาพผู้ชายล่อนจ้อนสองคนกอดกันนี่  ยิ่งคนหนึ่งบอบช้ำไปทั้งตัวอย่างกับถูกรุมโทรมด้วยแล้ว..

                   

                    ลูกพี่รับเสื้อเชิ้ตตาสก็อตที่กระดุมขาดทั้งแถบไปคลี่คลุมท่อนล่างให้ร่างในอ้อมกอด  ก่อนรีบร้อนสวมกางเกงลวกๆ ให้ตัวเองบ้าง 

                    “เมื่อคืน..สิงห์หันถามลูกน้องตัวอ้วน  ดวงตาแดงก่ำจ้องหน้าเขม็ง มีใครแตะมันบ้าง

     

                    ถามเองแล้วก็เจ็บเอง  คำพูดตนดั่งคมมีดเฉือนลงเนื้อใจ  แต่อดคิดไปไม่ได้  ในเมื่อสภาพจ้อย.. ย่อยยับขนาดนี้..

     

                    “แตะหรือ?” คนตัวอ้วนกลอกตาคิด  แต่ละวินาทีบีบเค้นหัวใจคนรอคำตอบจนเหลือไม่ถึงเสี้ยว ก็ทุกคนแหละ..

                   

                    มันตอบประสาซื่อ  หารู้ไม่  หัวใจคนฟังแทบป่นลงตรงนั้น 

                    ลูกพี่ตัวชาวาบจากปลายเท้าขึ้นมาถึงเส้นผม  กำหมัดเกร็งแน่นสั่นสะท้าน  ดวงตาแดงก่ำไหวระริก 

     

                    “พี่สิงห์.. พี่ลอย.. มันยกนิ้วขึ้นนับไปเรื่อย  ปากก็พูดเจื้อย ไอ้หมาน ฉันด้วย  แตะกันหมด..โอ๊ย!”

     

                    กำปั้นแข็งโกกกระแทกเข้ามุมปาก  แรงจนก้อนเนื้อเผละผละกระเด็นล้มคว่ำ  ไม่พูดพร่ำทำเพลง  ไม่ทันได้แก้ตัว  ร่างบึกบึนก็โถมเข้าใส่  รัวกำปั้นใส่หน้าไม่ยั้ง  แววตาดั่งหมาบ้ากระหายเลือด 

                    พี่สิงห์ โอ๊ย! อย่าพี่!” ไอ้เลิศปัดป้องพัลวัน  ลูกพี่คล้ายคนบ้าคลั่ง  ในแววตาดั่งหมาบ้านั้นเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำใส 

                    มึงทำมันทำไม!” เสียงห้าวตะคอกสุดเสียง  มือแกร่งกระชากคอเสื้อเบี้ยล่างขึ้นเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน  พอเงื้อง่ากำปั้นอีกที  คนใจเสาะก็ยกมือป้องหัวหด 

                    ฉะ..ฉันแค่แตะเท้ามัน..แป๊บเดียวมันปากคอสั่นพั่บ พี่ลอยจับแขน  ไอ้หมานจับขา  ให้พี่เอามัน..

                    สิงห์ชะงักหมัด  ไอ้เลิศยังปิดตาละล่ำละลัก คนอื่นแค่แตะ  มีพี่เอามันคนเดียว  ฉัน..ฉันแทบไม่ได้แตะด้วยซ้ำ

                   

                    ชายหนุ่มไม่เคยนึกชังความโง่ของลูกน้องตัวอ้วนเท่าครั้งนี้  ขืนมันอธิบายช้ากว่านี้อีกหน่อย  ได้ตายคาตีนเขาแน่  แล้วรายต่อไปก็คือไอ้ลอย ไอ้หมาน!

     

                    “ไอ้ควายเอ๊ย!” ทำกูใจหายหมด  ลูกพี่ยันโครมเข้าไปทีจนมันหงายหลังอีกรอบ  ถอนใจโล่งอก  หากบางอย่างแล่นวาบเข้าเสียดใจ     

     

                    โล่งหรือโล่งอกหาเหี้ยอะไรไอ้สิงห์

                    ในเมื่อสิ่งที่มึงทำ  ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์นรก  ยังมีหน้ามาโล่งใจที่น้องตกเป็นของมึง  เพราะถูกมึงบังคับขืนใจทำลายเสียย่อยยับคามือแบบนี้อีกหรือ?! 

     

                    คนตัวโตปรูดไปหาร่างที่นอนนิ่ง  มือใหญ่วางบนหน้าผาก  ใจหายเมื่อพบว่ามันร้อนเป็นไฟ  นักเลงโตผู้กล้าแกร่งถึงกับเงอะงะทำอะไรไม่ถูก  กลัวว่าแตะเพียงนิด  ร่างน้อยนี้จะแหลกสลายลงต่อหน้า  เดือดร้อนไอ้เลิศต้องเอาเสื้อลูกพี่ไปชุบน้ำคลองก่อนบิดหมาดมายื่นส่งให้  สิงห์รับมาเช็ดไปตามเนื้อตัวบอบบางมอมแมมอย่างถนอมสุดหัวใจ

                    ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อคืน

     

                    คราบเลือดที่หน้าขามากมายจนคนตุ๊ต๊ะต้องวิ่งไปกลับกระท่อม-ท่าน้ำ ๔-๕ รอบ  คราบเลือด คราบคาว คราบดินแปดเปื้อนถูกเช็ดออกไปหมด  เหลือเพียงรอยช้ำเป็นจ้ำเกลื่อนผิวขาวซีด

                    เพียง ๓-๔ วัน  ร่องรอยพวกนั้นก็จางหาย  แต่รอยแผลที่ใจน้องเล่า  กี่เดือน..กี่ปี..จะเลือนลบ

     

                    เช็ดตัวก็แล้ว  แต่ความร้อนไม่ได้บรรเทาลงเลย  ไม่แม้แต่จะรู้สึกตัวตื่นด้วยซ้ำ  สิงห์ยิ่งใจสั่น  ใส่เสื้อผ้าให้น้องอย่างเบามือ  ชุดเดิมที่น้องใส่มาตามเขาที่โรงเหล้าเมื่อคืน  ชุดเดียวกับที่เขาฉีกกระชากจนขาดควากออก  กางเกงขาสั้นสีกากีมีรอยขาดแถวเอว  ส่วนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวใหม่.. สภาพไม่ต่างอะไรกับผ้าขี้ริ้ว  หากเป็นผ้าขี้ริ้วเปื้อนเลือด

                    สิงห์กอดร่างย่อยยับไว้แนบอก  โยกโคลงไปมา  ขอบตาร้อนผ่าว  กดจูบย้ำซ้ำๆ บนหน้าผากร้อนจัด  พร่ำพูดคำเดิมเวียนวน   

                    พี่ขอโทษ.. พี่ขอโทษ..

     

                    ไอ้เลิศหน้าสลด  นั่งซึมเป็นหมูหงอย  มันไม่ได้ญาติดีกับนักเรียนครูจอมอวดเก่งนักหรอก  ออกจะเป็นอริกันด้วยซ้ำ  เวลาพี่ลอยแซวแล้วถูกตอกกลับจนหน้าม้าน  มันเคยนึกอยากโดดชกปากไอ้จ้อยแทนลูกพี่ด้วยซ้ำ  แต่พอเห็นเด็กหนุ่มตัวเท่าลูกหมา ผอมบางกล้องแกล้งมาตกอยู่ในสภาพนี้  มันอดสะท้อนใจไม่ได้ 

                    อย่างน้อย.. ก็คนเคยเห็นกันตั้งแต่เด็ก..

     

                    “กูจะพามันไปหาหมอเสียงห้าวดังขึ้นปลุกไอ้เลิศสะดุ้งจากภวังค์  เงยหน้าขึ้นเห็นหัวหน้าอันธพาลช้อนร่างปวกเปียกขึ้นอุ้มทะนุถนอม 

                    “พี่..พี่สิงห์..มันว่าละล่ำละลัก  หน้าซีดเป็นหมูต้ม จะดีเรอะพี่

                    มึงไปเอาเรือมาสิงห์ไม่ฟังคำทัดทานใด  อุ้มคนเจ็บเดินอาดออกนอกกระท่อม  ตะวันลงตรงหัว  แดดจัดจนต้องหยีตา 

                    “เกิดหมอสาวมาถึงเรา  จะซวยกันหมดนะพี่ไอ้เลิศวิ่งตามตุบตับ  ตีหน้าเลิ่กลั่กร้อนรนปนขลาดเขลา  หากลูกพี่ไม่แยแส  สายตาจดจ่ออยู่แต่กับร่างในอ้อมแขน  เฝ้าประคับประคองให้พ้นไอแดดจ้า  ก้าวยาวๆ ไปยังตีนท่าไม่รอช้า    

                    พี่สิงห์ถ้ามันแจ้งตำรวจเอาพี่เข้าคุกล่ะ!” สมุนตัวอ้วนยังไม่ละความพยายาม  ปรูดมาขวางไว้ทั้งตัว  นักเลงโตรำคาญเต็มที  มือไม่ว่างจึงยกเท้ายันโครมเข้าให้  สองแขนยังกอดร่างร้อนผ่าวกระชับแนบอก  นัยน์ตาขุ่นขวางจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง  ก่อนเอ่ยวาจาประกาศิต    

     

                    “มันเป็นเมียกู!” สิงห์พูดไม่กะพริบตา  เพราะหากกะพริบเพียงครั้งเดียว  หยาดน้ำที่เอ่อท้นคงร่วงหล่นประจานความอ่อนแอต่อหน้าลูกน้อง กูจะปล่อยให้เมียตายต่อหน้าไม่ได้!”  

     

    ********************

     

                    สถานีอนามัยคลองสระบัวแทบแตกตื่นเมื่ออยู่ๆ ก็มีนักเลงโตอุ้มคนเจ็บวิ่งขึ้นบันไดมาจนอาคารไม้แทบสะเทือน  ในสภาพดูไม่ได้ทั้งคู่ 

                    ช่วยทีหมอคนพามายืนหอบหนักจนแผ่นอกเปลือยกระเพื่อมถี่  เม็ดเหงื่อผุดเต็มใบหน้าคมสันที่ดูอิดโรย  ผมเผ้ายุ่งกระเซิง  รอยเล็บข่วนเต็มหน้า  กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่โชยหึ่งจนบางคนต้องลอบอุดจมูก 

                    พยาบาลวิชาชีพแต่ชาวบ้านมักเรียกกันว่าหมออนามัยยืนนิ่ง  ดวงตาคู่สวยมองคนเจ็บอย่างตะลึงไป  หนุ่มน้อยตัวบางนอนระทดระทวยอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง  ถูกห่อร่างไว้ด้วยผ้าผวยสีหม่น  หน้าซีดแทบไร้สีเลือด  แขนอ่อนเปลี้ยตกห้อยอยู่ข้างตัว  มองปราดเดียวก็รู้ว่าอันธพาลตัวเขื่องประจำตำบลไปก่อเรื่องทำร้ายร่างกายใครมาอีก 

                    แต่มันน่าแปลกตรงที่ผู้ร้ายที่ไหนจะอุ้มเหยื่อกระชับแนบอกอย่างหวงแหนปานนี้ 

     

                    การรักษาพยาบาลเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว  สิงห์วางร่างน้อยลงบนเตียงคนไข้อย่างทะนุถนอม  ทันทีที่หญิงสาวแกะห่อผ้าผวยออก  สภาพคนเจ็บทำให้หล่อนครางในคออย่างหดหู่ใจ

                    ไปโดนอะไรมานี่หมออนามัยถามลูกชายกำนัน  ก่อนค่อยๆ เหน็บปรอทกับซอกรักแร้คนสิ้นสติอย่างเบามือ 

     

                    เงียบ.. คนตัวโตเอาแต่ยืนทื่อเหมือนโดนเย็บปาก  ดวงตาสีเข้มจับจ้องแต่วงหน้าซีดเผือดบนหมอน 

     

                    ไข้สูงมากหญิงสาวว่าหลังเพ่งสายตาดูปรอทในมือ จะฉีดยาลดไข้ให้นะคะ

                    สิงห์พยักหน้ารับ  กุลีกุจอถลกแขนเสื้อสีฟ้าอ่อนขึ้นจนถึงหัวไหล่  รอยแดงช้ำเป็นรูปห้านิ้วเด่นชัดบนผิวเนื้อขาวจัด  ยิ่งเห็นสายตาคาดโทษมองมา  ชายหนุ่มได้แต่หลบสายตานั้น  ลำคอแห้งผากจนแม้แต่กลืนน้ำลายยังฝืดเคือง

                    “ฉีดที่สะโพกค่ะเสียงหวานห้วนกริบ  ช่วยจับเขานอนคว่ำที

                   

                    นักเลงโตรับคำเงอะงะ  ค่อยๆ พลิกร่างปวกเปียกให้นอนคว่ำอย่างเบามือ เผยให้เห็นรอยเลือดแดงซึมผ่านเนื้อกางเกงด้านหลังเป็นวง 

                    หมออนามัยชะงัก  แทบทำเข็มฉีดยาหลุดมือ  บรรยากาศในห้องหัตถการที่อึมครึมอยู่แล้วยิ่งทวีความอึดอัดเจียนระเบิด หล่อนจ้องหน้าชายใจโฉดด้วยสายตาเหมือนมองสวะชิ้นหนึ่ง 

                    แต่แล้วต้องแปลกใจ  ในแววตาเข้มลึกคู่นั้น ไม่มีความร้อนรน ไม่มีความเลิ่กลั่กกลัวความผิด

                    มีเพียงความระทมหม่นเศร้า มีความห่วงหาเจียนขาดใจ จับจ้องอยู่แต่คนเจ็บไม่วางตา

     

                    มือสั่นเทาดึงขอบกางเกงขาดวิ่นลง เนื้อสะโพกขาวเป็นรอยเขียวช้ำไม่ทำให้ประหลาดใจอีกแล้ว มีเพียงความสงสาร ความเห็นใจกดทับห้วงอารมณ์จนหนักอึ้ง

                    จะให้ดูแผลให้ไหมหล่อนถามเสียงสั่นหลังฉีดยาเสร็จ  หางเสียงหายไปแล้ว 

     

                    สิงห์ชั่งใจชั่วขณะ ก่อนพยักหน้าเชื่องช้า แล้วผ้าม่านสีฟ้าก่อนก็ถูกรูดปิด กางกั้นเขาออกมา สิงห์ไม่เห็นแผลน้อง แต่ถุงมือและสำลีเปื้อนเลือดที่ถูกทิ้งลงถังขยะเป็นเครื่องยืนยันได้ดี 

                    ว่าเขาระยำยิ่งกว่าสัตว์นรก

     

    ********************

                   

                    หนูน้ำฝนนั่งเล่นอยู่ที่ซุ้มดอกเข็มแดงตีนท่า  มือน้อยบรรจงเด็ดดอกเข็มดอกน้อย  ดึงเกสรออก  ปากแดงดูดน้ำหวานจุ๊บ  แล้วเอาก้านดอกร้อยต่อกันเป็นสายสร้อยยาว  ร้อยรอบข้อมือตัวเองได้แล้วเส้นหนึ่ง  ตั้งใจจะร้อยเป็นสร้อยคอให้พี่จ้อยอีกเส้น 

                    พี่จ้อยหายไป คุณนายบ่นใหญ่ น้ำฝนก็เลยมานั่งรอ

     

                    เรือแจวลำหนึ่งพายมาเทียบเงียบๆ  หน้ากลมเหมือนวงพระจันทร์เงยขึ้นมอง  ทันใดนั้นดวงตากลมใสก็เบิกกว้าง  ปล่อยสร้อยดอกเข็มในมือร่วงลงพื้น

                    ลูกชายกำนันอุ้มพี่จ้อยของน้ำฝนขึ้นจากเรือ  ตาสวยๆ ที่มองน้ำฝนอย่างอาทรปิดสนิท  ปากแดงๆ ที่ชอบยิ้มหวานให้ตอนนี้กลับขาวซีดเหมือนกระดาษ  มือขาวที่ลูบผมน้ำฝนอย่างอ่อนโยนเสมอตกเปลี้ยลงข้างตัว 

                    แม่หนูน้อยนิ่งมองพี่จ้อยในอ้อมแขนพี่สิงห์ด้วยขอบตาร้อนผ่าว

     

                    พ่อกับแม่พี่อยู่ไหมเสียงแหบห้าวถามมาพร้อมสายตาหม่นเศร้า  น้ำฝนส่ายหน้ารัว  จนน่ากลัวน้ำตาจะพลัดกระเด็น  และแล้ว  พอลูกชายกำนันอุ้มนักเรียนครูตัวเล็กผ่านหน้าไป  เด็กหญิงตัวน้อยก็ปล่อยโฮ 

                    สิงห์ค่อยๆ วางร่างไร้สติลงบนเตียง ทะนุถนอมดั่งแก้วใส มือใหญ่เกลี่ยปอยผมชื้นที่ปรกหน้าผากให้ เนื้อตัวนุ่มนิ่มทุเลาความร้อนลงเพียงนิด ชายหนุ่มตั้งใจจะเช็ดตัวให้น้อง แต่ทันใดนั้นน้าเวก น้าแป้นและลูกสาวตัวน้อยก็กรูกันเข้าห้องมา

                    สองผัวเมียชะงักเมื่อเห็นสภาพนักเรียนครูคนดี น้าแป้นยกมือทาบอก ส่วนน้าเวกมองหน้าคนเจ็บบนเตียงสลับกับลูกชายกำนันไปมา

                    ร่องรอยฟกช้ำตามเนื้อตัวบ่งบอกให้รู้ว่านี่ไม่ใช่คนป่วยไข้ธรรมดา  แต่เป็นเหยื่อที่ผ่านการถูกทำร้ายมาเป็นแน่แท้ 

     

                    แล้วสารพัดคำถามก็ระดมยิงเข้าใส่

     

                    ครูเป็นอะไร

                    “ไปโดนอะไรมา  มีเรื่องกันมาหรือ

                    “ใครนะมันทำได้ลง  ใจร้ายเหมือนยักษ์มาร

                    “สิงห์ไปเจอครูที่ไหนหรือ

     

                    ชายหนุ่มไม่เคยนึกรำคาญสองผัวเมียเท่านี้มาก่อน

     

                    เลิกถามเสียทีได้ไหม!” เลิกตอกย้ำความบัดซบของเขากันเสียที! เสียงห้าวตะคอกลั่น มือใหญ่ตบหัวเตียงดังเปรี้ยง นัยน์ตาขุ่นขวางจ้องทั้งคู่เขม็ง

                    น้าเวกน้าแป้นเงียบกริบ หนูน้ำฝนยืนสะอึกสะอื้นอยู่ไม่ห่างกัน สิงห์ขบกรามกรอด ดวงตาแดงก่ำเสมองออกนอกหน้าต่าง ละอาย? อดสู? มองหน้าใครไม่ติด

     

                    ฆาตกรที่มีชนักติดหลังมันรู้สึกแบบนี้กันทุกคนไหม?

     

                รู้ตัวคนทำไหม 

                “แจ้งตำรวจจับได้นะ”  

                “ทำกับคนไม่มีทางสู้ได้ลงคอ  ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ

                “ระวังเถอะ กรรมจะตามสนองสักวัน”  

     

                    อะไรอีกนะ ที่หมออนามัยคนนั้นจงใจพูดเข้าหู วิปริต.. อำมหิต.. ใจทมิฬหินชาติ.. แม้ไม่ได้เอ่ยถึงโดยตรง แต่สิงห์ก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่เข้าใจว่าหมายถึงใคร

                                   

                    “ให้น้าช่วยไหมสิงห์ น้าแป้นเสนอตัวเข้ามา  กุลีกุจอจะหาเสื้อผ้าใหม่ให้จ้อยเปลี่ยน  แกไม่คิดว่านักเลงที่ถนัดแต่เรื่องท้าตีท้าต่อยจะดูแลคนเจ็บเป็น

                    “ไม่เป็นไร  ผมทำเอง สิงห์กลับปฏิเสธสิ้นทุกความหวังดี "พวกน้ามีงานอะไรก็ไปทำเถอะ"

        

                    เปล่าหรอก.. เขาไม่ได้กลัวร่องรอยบนเนื้อตัวน้องจะเป็นหลักฐานยืนยันความอำมหิตของตน แค่.. ห่วง..หวง..ไม่อยากให้ใครแตะต้อง

                    โดนไล่ทางอ้อมแบบนี้ สองผัวเมียได้แต่มองหน้ากัน ก่อนจูงมือลูกสาวตัวน้อยออกจากห้องไป

                   

                    ทันทีที่อยู่กันตามลำพัง ชายหนุ่มกระวีกระวาดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้อง กางเกงที่ทั้งเก่าทั้งเปื่อยนั่นถูกโยนทิ้งลงถังผงไม่ไยดี ส่วนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่เพิ่งใส่ครั้งแรก ถ้าได้ซักเอาคราบเลือดตรงชายเสื้อออก  ได้เย็บกระดุมที่ถูกฉีกขาดกระเด็นกลับเข้าไปใหม่ก็คงใส่ได้เหมือนเก่า เอาผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดบรรจงเช็ดไปตามเนื้อตัวชอกช้ำอย่างเบามือเพื่อให้ความร้อนบรรเทาลง น้าแป้นสงเคราะห์ต้มฟ้าทะลายโจรใส่ชามกระเบื้องมาให้ แกบอกว่าไล่ไข้ได้ชะงัดนัก  

                    ยาต้มสีเขียวจางทิ้งควันพออุ่นๆ แค่ดมดูก็รู้ว่าความขมคงไม่ทิ้งกันกับบอระเพ็ดเท่าไร สิงห์จับน้องนอนหนุนตัก มือเทอะทะที่เคยจับแต่ไม้หน้าสามต่อยตีคนอื่น บรรจงตักยาขึ้นเป่าเบาๆ ก่อนค่อยๆ ป้อนลงริมฝีปากแตกแห้ง คนไม่รู้สึกตัวไม่กลืนยาสักนิด ได้แต่ปล่อยของเหลวไหลออกมุมปากให้เลอะเทอะ

                    ให้น้าทำเถอะสิงห์น้าแป้นเสียงอ่อน สีหน้าเหมือนทนดูไม่ได้ แกมองสภาพนักเลงโตอย่างเวทนาเต็มที เราก็ไปอาบน้ำอาบท่าเสียเถอะ เหม็นเหล้าหึ่งไปหมดทั้งตัว เดี๋ยวคุณนายกลับมาได้โดนเรียกไปซักให้วุ่น

                    สาวใหญ่คว้าร่างบอบบางคืนหมอน  คนตัวโตจำใจต้องลุกออกไป

                    “ใส่ยาที่หน้าซะด้วยนะแกหมายถึงรอยข่วนลายพร้อยบนใบหน้าคมสัน  บุ้ยปากไปยังตลับยาหม่องที่วางไว้ให้บนโต๊ะ ถ้าดูแลตัวเองยังไม่ได้ ก็อย่าริไปคิดดูแลคนอื่น

                    ประโยคสุดท้ายแกพูดไม่มองหน้า  ไม่ทันได้เห็นแววตาสลดวูบของลูกชายกำนัน

     

                    เมื่อสิงห์กลับเข้าห้องอีกทีหลังอาบน้ำเสร็จ  น้าแป้นยังนั่งอยู่ข้างเตียง  แกลุกออกจากห้องไปคล้ายส่งต่อหน้าที่ให้เขา  น้ำต้มฟ้าทะลายโจรพร่องลงไปเพียงนิด

                    ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงเคียงข้างคนเจ็บ  วงหน้าขาวจัดของคนป่วยวางบนหมอนราวกับจะเทียบเคียงความซีดเซียวให้เด่นชัดยิ่งขึ้น  นิ้วแข็งแรงเอื้อมแตะไล้แก้มนุ่มผะแผ่ว  ความรู้สึกบางอย่างเอ่อท้นขึ้นจากส่วนลึกจนร้อนผ่าวสองตา  มือใหญ่คว้ามือน้อยกุมแนบแก้มสาก  กดจูบลงไป  มือที่จับปากกาอยู่เป็นนิตย์ถึงแม้จะกรำงานหนักมาบ้างแต่ก็ยังนุ่มนิ่ม  ผิดเหลือเกินกับมือหนาเทอะทะที่ดีแต่สวมสนับมือตีรันฟันแทงไปวันๆ   

                    ความสุขของเขา ความสุขที่แท้จริงของเขา อยู่ที่เจ้าของหัวใจก้อนเท่ากำปั้นเล็กๆ ก้อนนี้ อยู่ที่เจ้าของดวงตาคู่ใสเหมือนลูกแก้วที่ยังปิดสนิทคู่นี้  ถ้าดวงตาคู่นี้ไม่แลเหลียวเขาอีก ถ้าหัวใจดวงนี้ชิงชังเขาเสียแล้ว นับจากนี้.. เขาจะมีวันได้สัมผัสกับ ความสุขอีกไหม

                    เขาประคองมือบอบบางไว้อย่างหวงแหน  แนบหน้าจูบหลังมือซ้ำๆ  ขอเก็บกักเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  เพราะไม่รู้ว่าเมื่อน้องลืมตาขึ้นมาแล้ว  เขาจะมีโอกาสได้ทำแบบนี้อีกไหม 

                    สะท้อนใจเมื่อเห็นปลายเล็บที่ตัดสั้นปอกเปิกไปหมด  บางเล็บฉีกออกจนเลือดซิบ  เศษไม้ยังติดอยู่ในซอกเล็บด้วยซ้ำ  สิงห์กระวีกระวาดหากรรไกรตัดเล็บ  ขลิบเล็มปลายเล็บบอบช้ำให้อย่างเบามือ           

                    เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วเปิดออก  น้าแป้นกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมแก้วใสขึ้นควันกรุ่น  แกเบิกตากว้างให้กับภาพที่เห็น

                    สิงห์ทำอะไรน่ะ!” สาวใหญ่ร้องเสียงหลง  รีบร้อนวางแก้วในมือลง  สิงห์ทำหน้าเหลอหลา  เขาแค่ตัดเล็บให้  แต่น้าแป้นเล่นโวยวายเสียยังกับเขาตัดนิ้วหรือตัดคอน้อง 

                    โบราณเขาถือแกว่าเสียงต่ำ  ดึงมือน้องออกจากมือเขา ห้ามตัดเล็บคนหลับ  ไม่งั้นขวัญจะกลับเข้าตัวไม่ถูก รู้ไหม

                    ใบหน้าคมคร้ามหดเหลือสองนิ้ว  ละล่ำละลักสิ้นมาดนักเลง จริงหรือน้า  แค่.. แค่ตัดเล็บเอง จ้อยจะกลับมาไม่ถูกเลยหรือ

                    ก็ใช่น่ะซี ห้ามแต่งหน้าทาแป้ง ห้ามตัดผมตัดเล็บย้ำหัวตะปูแล้วแกก็ยัดเยียดหอมแดงทุบต้มใส่มือชายหนุ่ม  กลิ่นฉุนแรงพวยพุ่ง  สิงห์แทบเบ้หน้าหนี  แต่ก็ถูกบ่าวรุ่นน้าบังคับให้กลืนให้หมด  แกว่าจะได้สร่างเมา  หายตาหูแดงเสียที

                    สิงห์อยากบอกแกเหลือเกิน  เขาสร่างเมาตั้งแต่ตื่นมาเห็นสภาพน้องแล้ว  ส่วนไอ้ตาที่ยังแดงๆ อยู่นี่  มันก็ไม่ใช่เพราะอาการเมาค้างหรอก    

     

                    .....................................

     

                    เวลาผ่านไปรวดเร็วกระไร  จากเช้าสู่สาย  บ่ายล่วงย่ำเย็น  แสงสุดท้ายแรงจ้าสาดส่องเข้ามาในห้อง  แม้จะปิดหน้าต่างแล้วแต่ก็ยังลอดผ่านช่องลมฉลุลาย  ตกต้องใบหน้าขาวซีดบนเตียง  สิงห์ยังคงนั่งอยู่ข้างน้องไม่หนีไปไหน  หันหลังกำบังแดดให้ด้วยใจรอคอย 

                    คุณนายพูนทรัพย์เข้ามาหาทันทีที่กลับจากโรงสี  แทบเต้นผางเมื่อเห็นบ่าวตัวดียึดเตียงไม้สักของลูกชายสุดที่รักเอาไว้คนเดียว  ร่าวอวบท้วมแทบถลาไปกระชากคนเจ็บลงมา  สิงห์เข้าขวางไว้ทั้งตัว  ให้เหตุผลทันควันว่าจ้อยไม่สบาย 

                    สำออยปากแดงเบ้บิดดูแคลน แค่ใช้ไปตามลูกฉันหน่อยเดียว  ทำเป็นดัดจริตไข้ขึ้น

     

                    คำแม่กระตุกใจเขาหล่นวูบ

     

                    อะ..อะไรนะแม่สิงห์รู้สึกเหมือนกลืนกรวดแข็ง  ตกหล่นลงถ่วงใจ เมื่อคืน.. แม่ใช้จ้อยไปตามผมหรือ  จ้อย.. ไม่ได้.. ออกไปดูหนังกับเพื่อนหรือ

                    “ลองไปสิฉันจะฉีกอกให้คุณนายพ่นลมออกจมูก  นึกอยากจิ้มหน้าผากขาวสักทีด้วยความหมั่นไส้  อย่าเพิ่งตายล่ะไอ้จ้อย  แกยังใช้หนี้ฉันไม่หมด

     

                    แม่ชักชวนออกไปกินข้าว  สิงห์ได้แต่ส่ายหน้าด้วยอาการของคนไร้วิญญาณ  ไม่แม้แต่จะมองร่างท้วมที่ถอนใจหน่ายตะบึงตะบอนออกไปสักนิด 

                    สักพักน้าแป้นเอาข้าวเย็นเข้ามาให้  พ่อก็เข้ามาดูอาการนักเรียนครูคนดีด้วย  มือใหญ่แตะลงหน้าผาก  ลูบผมอย่างอาทร  ไม่ลืมกำชับให้เขาดูแลน้องให้ดีๆ  สิงห์ได้แต่พยักหน้ารับเชื่องช้า  ก่อนเช็ดตัวให้น้องอีกหน

     

                    ดาวขึ้นสู่ฟ้า  พระจันทร์ปรากฏโฉม  ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างทุรนทุราย  สิงห์ไม่อาจข่มตาหลับลงได้  ได้แต่สอดแขนแทนหมอน  กอดเนื้อตัวผะผ่าวของน้องไว้แนบอก  ต้องใช้น้ำตาเยียบเย็นกี่หยดชโลมลง  ความร้อนบนผิวเนื้อนิ่มจึงจะบรรเทาลงได้  ต้องใช้หยาดเลือดจากหัวใจพี่สักกี่หยด  ความเลวที่พี่ทำไว้กับน้องจึงจะทุเลาลง  หรือต้องรอไปจนกว่าชีวีจะหาไม่ 

                    จนรุ่งสาง  เสียงไก่ขันเคล้าเสียงดุเหว่ากังวานแว่ว  แสงทองเรืองรองจับขอบฟ้า  เปลือกตาคู่นั้นยังคงปิดสนิท  สิงห์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง  จ้อยหมดสตินานเกินไปแล้วหรือเปล่า

                    หรือที่จ้อยยังไม่ตื่น  เพราะเขาเสนอหน้าไปตัดเล็บให้  ขวัญที่บินหายเลยยังไม่กลับเข้าร่างอย่างที่น้าแป้นบอก      

                    เขาช่างโง่นัก  ทำอะไรลงไปแต่ละอย่างมีแต่ประจานความโง่เขลา  เรียนหนังสือก็ไม่ได้เรื่อง  พ่อพูดถูก  เพื่อนของจ้อยพูดเมื่อคืนก็ถูก  เขามันพวกไม่มีดีแต่ทำเป็นอวดเก่ง โง่เหมือนบัวใต้น้ำที่ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีวันโผล่พ้นน้ำมาสัมผัสแสงตะวัน  โง่อย่างนี้ทำไมไม่ไปเกิดเป็นควายเสียให้รู้แล้วรู้รอด 

                    และที่โง่ที่สุดคือสิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืนนี้ 

     

                    มือหยาบประคองใบหน้าเล็กเอาไว้  ขอบตาร้อนผ่าว  วงหน้าซีดเซียวตรงหน้าดูพร่าเลือนลงไป จ้อยของพี่.. ไปเที่ยวอยู่ที่ไหนหืมม์.. เสียงทุ้มพร่าเค้นขึ้นจากหัวใจขื่นขม  เกลี่ยปลายนิ้วไล้ลงแก้มนิ่ม  กระซิบริมหูซ้ำๆ กลับมาได้แล้ว  กลับมาหาพี่เถอะ

     

                    ในความลางเลือน  พร่ามัวเหมือนสายหมอก  จ้อยรู้สึกได้.. มีสัมผัสละเอียด อุ่น แตะลงแผ่วเบาตรงหน้าผาก  สักพักเลื่อนไปที่แก้ม  อะไรนะผีเสื้อหรือเปล่า? หนุ่มน้อยนึกอยากปัดออกแต่ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตา  สักพัก.. มีหยดเย็นร่วงตกกระทบแก้ม  ฝนตกหรือ.. ไม่ใช่  แล้วอะไรกันนะ  อืม.. หรือว่าผีเสื้อมีน้ำตากับเขาด้วยหรือ  มีจูบแผ่วเบาวนเวียนเหมือนสายลมพัดผ่าน  มีกระไออุ่นเอื้อเคลื่อนวงล้อมเหมือนถูกกอดรัดครั้งแล้วครั้งเล่า

     

                    ใครจ้อยอยากร้องถาม  แต่ไม่มีเสียงออกจากลำคอสักนิด  มันแห้งผากดั่งกลืนผงทราย  ที่นี่ที่ไหนกัน  ร้อนเหลือเกิน.. ร้อน.. หิวน้ำ.. ยายจ๋า.. ยายอยู่ไหน..

     

                    ยาย..เสียงแหบแห้งหล่นจากริมฝีปากเผือดสี  เปลือกตายังปิดสนิท  ไม่รับรู้ว่าทำให้ใครคนหนึ่งยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจเพียงใด

                    จ้อย..สิงห์สูดจมูกฟืด  ปาดน้ำตาด้วยท่อนแขน  รั้งร่างอ่อนเปลี้ยขึ้นกอดแนบอก 

                    ยายจ๋า..หนุ่มน้อยพึมพำ  เบาหวิวเหมือนมาจากที่ไกลแสนไกล หนูหิวน้ำ..

                    คนตัวโตกุลีกุจอคว้าขันสาครใบน้อยตรงตั่งหัวเตียง  ช้อนคอน้องขึ้นเพื่อจ่อขันเย็นแนบริมฝีปาก  น้ำในขันพร่องหายทีละนิด

                    ค่อยๆ จิบนะเสียงอ่อนเอื้อกระซิบแผ่ว  คนเจ็บค่อยๆ ปรือตาหนักอึ้งขึ้นมอง  หากทันใดนั้นเองก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อรับรู้ว่าอยู่ในอ้อมกอดใคร

     

                    ฝันร้ายเหมือนไฟนรก  ลามแลบแสบอกกายสิ้น!** 

     

                    ในความป่วยไข้  สติที่กลับคืนมา  พาความทรงจำเลวร้ายระรัวทุบกระหน่ำ  ค่ำคืนอำมหิต  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันตักตวงจากร่างกายนี้  กว่ามันจะสงบลง  ทั้งกายและใจจ้อยก็บอบช้ำเหมือนผ่านการโบยตีแสนสาหัส  ในสำนึกรู้คิดสุดท้าย  มันโถมตัวลงกอดจ้อยไว้แน่น  จ้อยหลับตาลง  ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกแล้ว

                    แต่แล้วจ้อยก็ตื่น  เพื่อพบกับโลกที่เปลี่ยนไป

                    แสงแดดเช้าไม่สดสวย  เสียงนกร้องไม่ไพเราะอีกต่อไป

     

                    ร่างเล็กดิ้นรนจากอ้อมกอด  สิงห์ยอมคลายออกแต่โดยดี  ไม่รั้ง  ไม่ยื้อไว้  ได้แต่มองภาพคนตัวเล็กกระเถิบลนลานไปอีกฝั่งเตียงด้วยหัวใจร้าวราน  มือใหญ่ยื่นไปหา  น้องกลับผวาสะดุ้งเฮือก  ขดตัวเหมือนลูกแมวขวัญหนี  ทำเหมือนเขาเป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่าชิงชัง        

                    “จ้อย..ชายหนุ่มเสียงพร่า  ขอร้อง..อย่ามองพี่ด้วยสายตานั้น  สายตาที่เหมือนมองอะไรสักอย่าง  สวะ?  ไม่สิ  สวะยังดีเสียกว่า  ถึงจะน่ารังเกียจน่าขยะแขยงเพียงใด  มันก็ไม่เคยทำให้ใครเจ็บ  หมาขี้เรื้อนไม่ใช่  หมาขี้เรื้อนมันยังไม่เคยกัดคนไม่มีทางสู้  โดยเฉพาะคนคนนั้น  เป็นคนที่มันพร่ำบอกกับตัวเองว่ารักนักรักหนา

     

                    สายตานั้นมันปนเปกันระหว่าง.. โกรธ.. เกลียด.. และหวาดกลัว.. 

     

                    ใบหน้าขาวซีด  ริมฝีปากแตกแห้งเม้มแน่น  ตัวสั่นสะท้านเหมือนลูกนก  ประกายเจิดจ้าจากแสงอาทิตย์  ยังไม่เท่าสิ่งที่สะท้อนร่วงจากดวงตาน้อง  กัดกร่อนใจยิ่งกว่าน้ำกรด

                    อย่าเข้ามาเสียงห้ามแผ่ว..เบาหวิว.. เขยิบหนีไปสุดฝั่งเตียง  แค่ขยับเพียงนิดก็เจ็บร้าวไปทั้งตัวจนต้องนิ่วหน้า  คนตัวโตโผเข้ามาด้วยความห่วงหา  แม้สิงห์ไม่มีทีท่าคุกคาม  แต่ความทรงจำเลวร้ายไม่เคยปรานี  ไม่เคยผ่อนปรนต่อหัวใจดวงใด 

                    จ้อยลนลานหนีจนพลัดตกเตียงกระแทกพื้นดังตุ้บ  ไม่มีเสียงร้องสักแอะ  หรืออีกนัยหนึ่งคือเจ็บจนร้องไม่ออก  ร้าวระบมไปทั้งร่าง  สิงห์อ้อมฝั่งเตียงไปดูน้องทันควัน  อ้อมแขนแข็งแรงประคับประคองกอดไว้

                    “ออกไป..ร่างเล็กน้ำหูน้ำตานองหน้า  เนื้อตัวผะผ่าวดิ้นขลุกขลักด้วยเรี่ยวแรงน้อยนิดที่มี  ยิ่งถูกกอดแน่นยิ่งเกร็งตัวจนสั่นสะท้าน

                    จ้อย..พี่เอง..พี่ไม่ทำอะไร.. สิงห์น้ำตาร่วง  น้องจะโกรธจะเกลียดเขายังไงก็ได้  จะตบหน้าจะทุบตีอย่างไรจะยอมหมอบราบคาบแก้วให้ทำ  อยากเหยียบย่ำขยี้ให้จมดินอย่างไรจะไม่วิงวอนขอความเมตตาสักน้อย  แต่ขออย่างเดียว.. อย่าหวาดกลัวกันเหมือนพี่เป็นปีศาจนรกแบบนี้

                    “อย่า! กลัวแล้ว..เสียงพร่าร้องออกมาเป็นคำสุดท้าย  ก่อนจะหมดสติลงอีกครั้งในอ้อมแขนอสูรกายที่ยังกอดรัดแน่น     

     

                    สิงห์มองน้องแน่นิ่งในอ้อมกอดผ่านม่านน้ำตาพร่าเลือน

     

                เลือดหยดอดอยากตรากตรำ  มิช้ำอกชอกฉะนี้เลย**

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

    *คนใจมาร, ไพบูลย์ บุตรขัน คำร้อง, ดาวใจ ไพจิตร ขับร้อง

    **อุชเชนี

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×