ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาหงส์ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #21 : บทที่ ๑๙ : อกเอยมันแค้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.83K
      22
      5 ต.ค. 55

    บทที่ ๑๙

     

    อกเอยมันแค้น

     

    อกเอยผิดหวัง ผิดหวังดังหยั่งน้ำคลอง

    หยั่งจนถึงดั่งปองลึกในคลองแค่ไหน

    ฝั่งนองวารี ซ้ายและขวามีเจนใจ

    คลองลึกกว้างยาวเพียงใด หยั่งไปไม่ถึงซึ่งตม

     

    อกเอยมันแค้น มันแค้นจนแน่นคับทรวง

    ก้นคลองลึกหลอกลวง ถึงเพียงทรวงซ่านสม

    ก้นคลองมีโคลนถึงหยั่งถึงโคลนและตม

    ตมนั้นก็เป็นดั่งหล่ม ที่มีความลึกเกินหยั่ง*

     

     

                    “คืนนี้.. ไม่ไปดูหนังแล้ว” 

                   

                    จ้อยสบตาสิงห์แวบหนึ่งแล้วก็เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น  ใจหนอใจ.. เพราะอะไรจึงแปลบวาบเพียงสบสายตาคู่นั้น  ความผิดหวัง ความเสียใจ บรรจุอยู่ในประกายตาตัดพ้อนั้นเต็มเปี่ยม 

                    ทำไม..เสียงแหบห้าวไม่ดังไปกว่ากระซิบนั่นก็บาดลงใจจ้อยเช่นกัน  หนุ่มน้อยเอาแต่ก้มหน้านิ่ง  อับจนถ้อยคำ  ความรู้สึกผิดอัดแน่นอยู่เต็มอก  แต่จ้อยไม่รู้จะทำอย่างไร  คุณนายพูนทรัพย์บังคับให้เอามาคืน  บังคับให้ปฏิเสธไม่ไปดูหนัง  ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันผิดที่ผิดเวลา  แต่เดี๋ยวเขาต้องไปเข้าเรียนแล้ว  ถ้าไม่ปฏิเสธเสียแต่ตอนนี้  การปล่อยให้สิงห์รอเก้อจนเย็นจนค่ำจะไม่เป็นการทำร้ายกันยิ่งกว่าหรือ

     

                    ข้าถามว่าทำไม!” เสียงห้าวตะคอกลั่น  ร่างสูงใหญ่ปราดเข้าประชิด  มือหยาบบีบต้นแขนเล็กจนแน่นทั้งสองข้าง  สิงห์ขบฟันกรอด  นั่นละเจ้านักเรียนครูจึงเงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นตระหนก  ความผิดหวังเสียใจแปรเปลี่ยนเป็นความเดือดดาลคลุ้มคลั่งอย่างง่ายดายเหมือนน้ำเดือดบนเตาไฟ 

                    เพียงถูกน้องปฏิเสธ  มันเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนถูกไอ้พวกเจ๊กนั่นชกกลับ  เจ็บกว่าตอนถูกพ่อตบบ้องหูเสียอีก  สิงห์อยากฉีกอกขาวๆ ตรงหน้าแล้วควักหัวใจออกมาดู  อยากรู้นักว่ามันจะดำเหมือนอีกาไหม

                    ใกล้..ใกล้สอบแล้ว.. ต้องอ่านหนังสือเสียงเล็กละล่ำละลัก  มือบางพยายามแกะคีมเหล็กออก  แต่สิงห์ยิ่งเพิ่มแรงบีบแน่นจนจ้อยนิ่วหน้า   

                    “งั้น..ถ้าสอบเสร็จแล้วล่ะ  ไปกับพี่ได้ไหมพูดไปแล้วก็แสนสมเพชตนเองนัก  ถูกปฏิเสธขนาดนี้แล้วยังมีหน้าไปวิงวอนเหมือนคนโง่ 

                    “ไม่เอา  วันไหนก็ไม่ไป  ปล่อย..ไม่ ไม่ ไม่ คำว่า ไม่หล่นจากกลีบปากสีเรื่อนั่นกี่ครั้งแล้ว  เสียงห้าวแค่นหัวเราะ  เล่นยืนกรานกระต่ายสามขาแบบนี้  เหตุผลที่แท้จริงคือต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบหรือนักเรียนครูผู้แสนดีไม่อยากเดินกับอันธพาลสวะสังคมอย่างเขากันแน่  คิดถึงตรงนี้  มือหนาเค้นแรงลงโดยไม่รู้ตัว  เนื้อขาวๆ แทบทะลักตามง่ามมือแกร่ง  สิงห์ออกแรงนิดเดียวก็ตรึงร่างบอบบางไว้กับฝาเรือนได้อย่างง่ายดาย 

                    “อยากรู้น้ำใจเอ็งนัก เสียงแหบพร่าลอดไรฟัน  สายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อนั้นคลอวับด้วยหยาดน้ำใส ถ้าพี่ขาดใจตายลงต่อหน้า  เอ็งจะไปเผาผีพี่ไหม  จะเสียน้ำตาให้พี่สักหยดหรือเปล่า

                    ไม่..ไม่รู้.. ปล่อย!” จ้อยลนลานดิ้นปัดๆ  ต่อต้านสุดกำลัง  แต่ตัวบางๆ เหมือนตุ๊กตากระดาษจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาขัดขืนเขาได้  ปล่อยเดี๋ยวนี้! จะไปเรียนแล้ว ปล่อย..อุ๊บ!”

                    โดยไม่ทันให้ตั้งตัว  ใบหน้าคมคร้ามโน้มลงกดจูบริมฝีปากบางอิ่มทันที  ปิดกลีบปากที่ดีแต่เอ่ยถ้อยคำตัดรอนเสียด้วยจูบหักหาญบ้าคลั่ง 

                    อื๊อ.. เสียงประท้วงถูกช่วงชิงไปเสียสิ้น  นัยน์ตาคู่สวยเบิกโพลง  ร่างเล็กดิ้นพราดเหมือนจะขาดใจ  แขนขากระแทกฝาเรือนดังตึงๆ ด้วยแรงพยศ  เสียงดังจนน่าจะได้ยินไปทั้งเรือน  แต่สิงห์กลับไม่สนใจสักนิด  คุกคามตะโบมจูบอย่างเอาแต่ใจ  เสียงลมหายใจร้อนผ่าวรุนแรงเหมือนสัตว์ป่า  ยิ่งใบหน้าเล็กพยายามส่ายหนี  ริมฝีปากรุมร้อนยิ่งตามติด  ลิ้นแข็งราวกระเบื้องสอดแทรกเข้าไป  ดูดกลืนหนักหน่วง  ไม่สนใจร่างในอ้อมกอดที่สั่นสะท้านอย่างตื่นกลัว  ฟันคมขบเม้มจนได้รสเลือดเค็มปร่าในปาก  เขารู้ว่ามันกลัว รู้ว่ามันเจ็บ  แต่ช่วยไม่ได้  มันอยากมาทำให้เขาเจ็บก่อนทำไม  ยิ่งมันดิ้นรนขัดขืน  เขายิ่งกระหน่ำความรุนแรงประเคนให้อย่างถึงอกถึงใจ 

                    ไอ้งูเห่าเลี้ยงไม่เชื่อง  แผลที่หน้าก็ได้มาเพราะอุตส่าห์ปกป้องมัน  สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเขาปกป้องมันเพื่อให้มันมาเอามีดแทงใจเขาภายหลัง  มันเจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บ  ความจริงมันโดนแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ!

                   

                    เสียงทุบประตูดังรัวอยู่ภายนอก  ตามมาด้วยเสียงน้าแป้นตะโกนเรียกชื่อพวกเขาโหวกเหวก  สิงห์ยังไม่มีทีท่าจะปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระ  หนุ่มน้อยยิ่งออกแรงขัดขืนสุดใจ  หัวใจเต้นรัวจนกลัวว่าจะทะลุออกมานอกอก  กลัวเหลือเกินว่าน้าแป้นจะเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพบัดสี  จนกระทั่งได้ยินเสียงบานประตูลั่นออด  น้าแป้นกำลังเปิดประตูเข้ามาแล้วทำอย่างไรดี!

                    เมื่อนั้น  ลูกชายกำนันยอมผละออกอย่างง่ายดาย  น้ำลายอ่อนใสทิ้งสายเป็นทางตามเรียวลิ้นที่ถอดถอน  น้าแป้นกับหนูน้ำฝนเข้ามาทันเห็นเพียงจ้อยทรุดกายฮวบลงกับพื้น  สองมือเล็กปาดป้ายริมฝีปากเจ่อช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า  ตัวสั่นสะท้านเหมือนลูกนก

                    สิงห์ทำอะไรครูน่ะ!” สองแม่ลูกปราดเข้ามาหา  ก่อนน้าแป้นหันไปถามคนที่ยืนหอบอย่างคาดโทษ มันเรื่องอะไร ทำไมถึงต้องตีกันล่ะพ่อ

                    หนูน้ำฝนหิ้วล่วมยาเข้ามาด้วย  สองแม่ลูกคงตั้งใจมาทำแผลให้ลูกชายกำนัน  หากดวงตาคมปลาบนั้นกลับจ้องมองจ้อยไม่วางตา  ร่างเล็กสั่นสะท้านด้วยแรงชิงชังเมื่อเห็นอีกฝ่ายแลบลิ้นเลียริมฝีปากเอร็ดอร่อย  ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มหยันก่อนเดินออกไปไม่สนใจไยดี  หากพอน้าแป้นเรียกให้มาทำแผลก่อนก็ตะคอกใส่อย่างก้าวร้าว

                    “ช่างมัน! ปล่อยให้ตายโหงตายห่าไปซะ!”

     

                    เสียงฝีเท้าตึงตังทิ้งระยะห่างออกไปแล้ว  เสียงก่นด่าของลุงกำนัน และเสียงร่ำเรียกหาของคุณนายพูนทรัพย์อึงอลอยู่ข้างนอก  ชั่วอึดใจเดียว  จ้อยก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไทร์อัมพ์ดังกระหึ่มจากใต้ถุนเรือน   

                    เสียงเร่งเครื่องห้อตะบึงไปไกลจนหายไปจากโสตประสาท  แต่จ้อยก็ยังกอดตัวเองตัวสั่นงันงก  ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะพยุงกายลุกขึ้น  ต้นแขนขาวขึ้นรอยแดงเป็นรูปห้านิ้วจนเห็นได้ชัด 

                    “ตายจริง! ครูปากแตกด้วย! โดนตาสิงห์ชกเอาสิเนี่ยน้าแป้นร้องขึ้นเมื่อเห็นรอยช้ำบนริมฝีปาก  มือขาวรีบปาดเช็ดลนลาน  หนูน้ำฝนเดินไปหยิบห่อขนมและถุงเสื้อที่กระจัดกระจายขึ้นมาแกะดูอย่างสนอกสนใจ

                    น้ำฝนเอาไปกินสิจ้อยเสเปลี่ยนเรื่อง  พยายามหันเหความสนใจน้าแป้นออกจากริมฝีปากเขาสักที  แต่แม่หนูน้อยกลับเบ้หน้า  ส่งห่อขนมคืนหน้าตาเฉย

                    หนูกินไม่ได้  มีแต่ขนมแข็งๆ ไม่มีฟันเคี้ยวว่าแล้วก็ยิ้มกว้างอวดฟันหลอ  เล่นเอาใจคนฟังกระตุกวูบ

     

                    คุณนายพูนทรัพย์พูดถูก  สิงห์ตั้งใจซื้อของพวกนี้มาให้เขา

     

                    ใบหน้าขาวซีดก้มมองพื้นนิ่ง  ความรู้สึกผิดถาโถมกัดกินใจ  ครั้นยกมือขึ้นแตะปากเจ่อช้ำของตนก็ถึงกับสะดุ้ง  คล้ายริมฝีปากผ่าวร้อนของใครคนนั้นยังติดตรึงอยู่ไม่วางวาย 

     

    ******************************

     

                    วันนี้จ้อยเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องทั้งวัน  ทั้งที่คาบภาษาอังกฤษของหม่อมราชวงศ์เลอมานออกจะสนุกสนานครึกครื้น  คุณชายสูงศักดิ์หิ้วกระเป๋าเครื่องเล่นแผ่นเสียงมาที่ห้องเรียนแต่เช้า  ใครๆ ก็ต่างรอคอยคาบสอนของคุณชายเล็กของจ้อยกันทั้งนั้น  ค่าที่นอกจากจะได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ จากเพลงแล้ว  ยังได้ฟังเพลงฝรั่งพร้อมคำแปลที่ครูฝึกสอนรูปสวยสรรหามาใช้เป็นสื่อการสอนด้วย

                    คุณชายจะแจกกระดาษโรเนียวให้นักเรียนทุกคน  ในนั้นมีเนื้อเพลงที่ใช้สอนประจำวัน  แต่บางช่วงของเนื้อขาดหายไปเป็นช่องว่าง  รอให้นักเรียนครูทั้งหลายเขียนคำศัพท์ลงไป

                   

                When the moon hits your eye like a big a pizza pie, That’s amore

     

                    ทันทีที่เข็มจรดแผ่นไวนิล ๑๒ นิ้ว ทำนองเพลงคุ้นหูดังขึ้น  สง่าก็หัวเราะก๊ากอย่างห้ามไม่อยู่

                    คุณชาย นี่มันเพลงเด๊ดสะมอเร่นี่นักเรียนจอมทะเล้นยังหัวเราะกึกๆ ไม่หาย

                    หือหม่อมราชวงศ์เลอมานขมวดคิ้วมุ่น  ดูท่าจะงงกับคำศัพท์ใหม่อยู่ไม่น้อย เด๊ดสะมอเร่? แปลว่าอะไร

                    เด๊ดสะมอเร่ เก๊าะตายแหงแก๋น่ะซี สง่าลอยหน้าลอยตาตอบ  ซ้ำสงเคราะห์ให้ด้วยการร้องเพลงยียวน รักคนผิด คิดจนกลุ้ม หัวชมตุ่ม ขนชี้เด่..เด๊ดสะมอเร่.. เรียกเสียงหัวเราะได้ฮาครืน  ก็สง่าเล่นแปลงเขามาอีกที  บางคนมีการปรบมือให้จังหวะเสียด้วย น้ำใจเธอ ช่างแปรปรวน ล้วนโกหก พกลมยิ่ง รักจึงรวนเร

                    อาจารย์ฝึกสอนผู้สูงศักดิ์ยิ้มมุมปาก  นิ่งมองนักเรียนตัวแสบวาดมืออวดลีลาร้องเพลง  มือขาวเท้าแขนลงกับโต๊ะ  เคาะชอล์กในมือก๊อกๆ  ทำหน้าเหมือนสะกดอารมณ์บางอย่างไว้สุดกลั้น  เริ่มเข้าใจแล้วว่าคนเป็นครูบาอาจารย์นั้นเหนื่อยยากเพียงใด  นี่อาจเป็นกรรมที่เขาเคยทำไว้กับเหล่ามาสเซอร์ที่โรงเรียนย้อนกลับมาสนองก็เป็นได้ 

                    นึกแปลกใจตัวเองที่อารมณ์เย็นลงกว่าตอนเพิ่งมาที่นี่วันแรกๆ ลิบลับ  ถ้าเป็นเมื่อก่อน  โดนหัวเราะขนาดนี้เขาคงตวาดลั่นห้องไปแล้ว

                    มือเรียวกำชอล์กแน่น  หรี่ตากะระยะและองศาเป็นมั่นเหมาะ  เงื้อง่าขึ้นเล็ง..

     

                    “เมื่อยามรัก ปากก็บอกว่าจริง ว่าจะแอบจะอิง ไม่ทอดทิ้ง ฉันให้ว้า.. อุ๊บ!” ปากที่อ้ากว้างมีอันต้องหุบฉับ  สง่าโก่งคอถุยๆๆ จนหน้าแดงก่ำ  เพื่อนนักเรียนพากันหัวเราะขำ   

                    จะอะไรเสียอีก  คุณชายเล่นปาชอล์กเข้าปาก  ปาแม่นเสียด้วย 

                    เลอมานปัดมือสาสมใจ  มือแม่นอย่างนี้เขาหันไปเอาดีทางโปโลน้ำท่าจะเหมาะ 

                    อ้อ ลืมไป.. เขาว่ายน้ำไม่เป็นนี่  แต่ไม่เป็นไร  เดี๋ยวให้อาจารย์คนึงสอนให้ก็ได้  ง่ายจะตาย

     

                    โธ่คุณเล็ก! เล่นอะไรนี่!” สง่าเช็ดปากป้อยๆ  สำลักไอจนหน้าแดงก่ำ  เด็กหนุ่มสูงศักดิ์เดินตรงเข้าหา  ก้มหน้ากระซิบให้พอได้ยินกันสองคน

                    กล้าหือกลับฉันหรือสง่า  ระวังคืนนี้จะชวดดูหนังเสียหรอกเล่นเอาคนฟังคอหด  นั่นแน่  รู้จักคำว่า หือกับ ชวดเสียด้วย  สง่าเดาว่าคุณชายคงไปได้ยินมาจากใครสักคนแล้วเอาไปถามอาจารย์ร่วมห้องเป็นแน่  เจอขู่เข้าไปแบบนั้นจอมป่วนประจำห้องก็เงียบกริบ     

                    ดวงตาสีน้ำตาลใสกวาดมองรอบห้อง  พบภาพขัดหูขัดตาอีกภาพ 

                    นักเรียนครูร่างเล็กที่นั่งอยู่หน้าห้อง  นักเรียนที่ตั้งใจเรียนที่สุดในห้อง  วันนี้กลับดูเหม่อลอยซึมเซา  ดวงตาที่เคยสดใสกระตือรือร้นอยู่เป็นนิจมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง  มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากอยู่นั่น  

                    จ้อย!” เลอมานย่องไปตบโต๊ะดังตึงเรียกเสียงดังเล่นเอาคนใจลอยสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นพรวดพราด

                    คะ-ครับ!”

                    “มัวเหม่ออะไรอยู่  อยากโดนชอล์กอีกคนหรือไงเสียงใสตวัดขุ่นมัว  นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า  ทันทีที่เจอหน้ากันจ้อยก็เล่นบอกว่าไปดูหนังด้วยไม่ได้แล้ว  ทั้งที่เขาตั้งใจว่าจะพาไปเที่ยวให้สนุกกันแท้ๆ  ยิ่งคิดยิ่งไม่สบอารมณ์    

                    “เปล่าครับหนุ่มน้อยก้มหน้าตอบอุบอิบ  ยิ่งทำให้คุณชายขวางหูขวางตานัก  เห็นอยู่ว่าเหม่อแล้วยังจะเถียงข้างๆ คูๆ  

                    “ว่าแต่จ้อย  วันนั้นคุณเล็กก็เหม่อสง่าเจ้าเก่าขัดขึ้น  เลอมานรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบกลางแสกหน้า

                    “อะไร เมื่อไร เขาเลิ่กลั่กอย่างซ่อนไม่มิด ฉันเปล่าเหม่อนะ

                    “ช่วงนี้เลือกแต่เพลงรักมาสอน  เอ.. กำลังมีความรักหรือเปล่าคุณเล็กนักเรียนครูตัวแสบถามเข้าเป้าไม่เกรงใจใคร เมื่อวานก็เพลง One night with you”

                    นั่นสิ  คืนหนึ่งกับใครหรือสันติถามขึ้นมาเป็นลูกคู่  เลอมานอับจนคำตอบ  รู้สึกเหมือนถูกต้อนจนมุม  เจ้าพวกที่เหลือก็พากันเป่าปากเฮฮา  มีแต่จ้อยที่กลับไปนั่งเหม่อเหมือนเดิม 

                    นั่นแน่.. ถามแค่นี้ทำไมต้องหน้าแดงด้วยสง่าแซวขึ้นมาอีก  คุณชายสะดุ้งโหยง  ยกสองมือปิดแก้มร้อนผะผ่าว  คราบชอล์กบนฝ่ามือทิ้งรอยขาวเปื้อนแก้มเป็นปื้น 

     

                    ไม่รู้ตัวสักนิดว่าตกหลุมพรางเข้าแล้ว 

     

                    ห้องนี้ครึกครื้นดีนะ  ขอเรียนด้วยคนสิเสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยดังขึ้น  เด็กหนุ่มสูงศักดิ์หันมองตาม  ร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกอมยิ้มอยู่หน้าประตู  มายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ 

                    เลอมานยิ่งออกอาการเลิ่กลั่ก  สองแก้มร้อนวาบ  ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันคงแดงซ่านไปถึงใบหู  ทั้งที่เมื่อคืนนี้นอนหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดกันและกันแท้ๆ  หากพอมามองตากันต่อหน้านักเรียนทั้งห้องแบบนี้ 

                    อาจารย์คนึงไม่รอคำอนุญาต  เล่นเดินอาดๆ เข้ามานั่งลงตรงโต๊ะนักเรียนที่ว่างอยู่หน้าตาเฉย  อาจารย์ผู้เข้มงวดมาปรากฏตัวแบบนี้  ทำให้บรรยากาศการสอนดูจริงจังขึ้นมา.. นิดหน่อย

                    ใครแกล้งคุณชายเล็กครูจะหักคะแนนให้หมดเสียงห้าวประกาศไม่จริงจังนัก  แต่ก็เล่นเอาสง่ากับสันติหัวหด  เสียงโอดครวญดังขึ้นเซ็งแซ่ทั่วทิศ 

                    เลอมานกระแอมแก้เก้อ  เดินไปปรับเข็มเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้เริ่มเล่นเพลงใหม่  หลบสายตาคนึงที่มองตามเขาทุกอิริยาบถด้วยดวงตาเป็นประกาย  เมื่อเหล่านักเรียนก้มหน้าก้มตาเขียนคำศัพท์ลงในเนื้อเพลง  ครูฝึกสอนร่างเล็กเดินตรวจตรารอบห้อง  ทันทีที่ผ่านหน้าคนึง  มือแข็งแรงก็คว้าแขนเขาหมับ 

                    เด็กหนุ่มชะงักงัน  ยิ่งใจสั่นเมื่อมืออบอุ่นยื่นมาเช็ดรอยเปื้อนที่แก้มออกให้อย่างอ่อนโยน  ดวงตาคู่ใสเหลียวมองรอบห้องเลิ่กลั่ก  นึกโล่งใจที่เหล่านักเรียนพากันก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรยุกยิก 

     

                    การสอนดำเนินไปตามปกติ  เลอมานก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ  แม้หัวใจจะเต้นโครมครามทุกครั้งที่หันไปเห็นดวงตาสีเข้มทอดมองมาอย่างชื่นชม  เขาเฉลยคำศัพท์และแปลความหมายเนื้อเพลงไปตามที่เคยทำ  เหล่านักเรียนก็เฮฮากันไปอย่างเคย 

     

                    มาไม่เหมือนเคยก็ตอนที่..

     

                    มือขาวจรดตัวอักษรลงบนกระดานดำเสร็จสิ้น  ก่อนหันมาถามนักเรียนในห้อง มีใครไม่เข้าใจคำไหนอีกบ้างไหมดวงตาคู่สวยกวาดมองไปทั่ว  คนที่มักยกมือขึ้นถามอยู่เสมออย่างจ้อย  ตอนนี้ก็ยังคงเหม่อลอย.. อืม.. ปล่อยไป  ส่วนคนอื่นเอาแต่นั่งเงียบ  เด็กไทยก็อย่างนี้  ไม่ค่อยกล้ายกมือถามอาจารย์ในชั้นเรียน 

                    หากใครคนหนึ่งกลับยกมือขึ้น  เลอมานตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าเป็นอาจารย์คนึง      

                    “That’s amore แปลว่าอะไรหรือเสียงทุ้มถามพร้อมรอยยิ้ม  ดูไม่ออกว่าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งเขากันแน่ 

                    ริมฝีปากเรื่อเม้มแน่น  เขาละเลยคำนั้นไปเพราะเห็นว่ามันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ  รู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดขึ้นมาหล่อเลี้ยงจนร้อนผ่าวทั้งสองแก้ม  ความหมายที่รู้อยู่แก่ใจพาความหวานจากไหนไม่รู้มาอวลซ่านอยู่เต็มอก 

                    เป็นภาษาอิตาลี  แปลว่า..เลอมานสบสายตาคนถาม  ภายใต้สีหน้าที่ดูปกตินั้นคือหัวใจที่เต้นรัวจนน่ากลัวว่าจะทะลุออกมาจากอก  เผลอมองริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้ม  ริมฝีปากนี้ไม่ใช่หรือที่เมื่อคืนเพิ่งฝากรอยจุมพิตไว้บนปากเขา  คิดถึงตรงนี้แล้วใจก็สั่นหวิว  ยามเอื้อนเอ่ยความหมาย.. ความนัย..

     

                    “นี่แหละความรัก

     

    **********************************

     

                    ตกเย็นย่ำค่ำ  เรือนไทยไม้สักหลังงามของกำนันเสริมแสนเงียบเหงา  อาหารมื้อค่ำผ่านไปอย่างอ้างว้างเนื่องจากเหลือเพียงคุณนายพูนทรัพย์นั่งกินอยู่ลำพังอย่างเดียวดาย  ตัวกำนันนั้นออกไปตั้งแต่บ่ายยังไม่กลับ  แกบ่นว่ารำคาญลูกเมียเหลือทน  แล้วก็ให้น้าเวกขับเรือยนต์พาออกไป  ไปไหนก็สุดที่จะรู้ได้  ส่วนไอ้สิงห์ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณนายยิ่งแล้วใหญ่  นักเลงหนุ่มบิดรถเครื่องออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้า  ดูท่าหนนี้เตลิดไปไกลกว่าทุกที  ป่านฉะนี้ยังไม่เห็นแม้เงา 

                    กับข้าวกับปลาที่จ้อยทำค่ำนี้ดูจะจืดชืดไปเสียสิ้น  เจ้าแม่เงินกู้ดั่งกินข้าวคลุกน้ำตา  จ้อยเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดสงสารไม่ได้  หัวอกคนเป็นแม่  หลงดีใจที่ระยะนี้ลูกชายกลับมากินข้าวบ้านทุกวัน  ผ่านไปไม่ทันไรก็เกิดเรื่องให้ลูกชายเตลิดหายไปอีก  คุณนายแตะข้าวแค่แมวดมก็รามือ  ปลีกตัวกลับเข้าห้อง  จ้อยเก็บสำรับกับข้าวเห็นเหลือบานเบอะแล้วให้รู้สึกสะท้อนใจนัก 

     

                    “น้ารึหลงดีใจ  เห็นหมู่นี้ตาสิงห์อยู่ติดบ้าน  ไม่ทันไรก็ดีแตกเสียแล้ว  เฮ่อน้าแป้นถอนใจเฮือก  ใบหน้าโศกสลด  จ้อยได้แต่ก้มหน้าเจียนใบตองไม่พูดจา  ดูเถอะ  ขนาดคนอื่นอย่างน้าแป้นยังสลด  แล้วผู้เป็นแม่อย่างคุณนายจะยิ่งเสียใจสักแค่ไหน  ไม่แน่.. ในห้องนอนใหญ่ที่มีปิดไฟมืดนั่น  คุณนายอาจนอนน้ำตาเปียกหมอนอยู่ก็เป็นได้

                    สิงห์โชคดีกว่าเขาตั้งเยอะที่เกิดมามีพ่อแม่สมบูรณ์พร้อม  แทนที่จะเคารพบูชาดั่งพระในเรือน  แทนที่จะถนอมใจห่วงใยความรู้สึกผู้ให้กำเนิดสักนิด  กลับทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป  ระวังเถิด  ตายไปจะต้องไปแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรน้ำตาแม่ 

     

                    น้าแป้นยังถอนใจเฮือกๆ ราวกับไม่มีวันหมด  สองคนช่วยกันเจียนใบตองไว้ห่อข้าวต้มผัดใต้แสงตะเกียงเรืองรอง  รายการของหวานเปลี่ยนแปลงกะทันหัน  คืนนี้บ้านเงียบเหงา  ทำกล้วยบวชชีไปก็ไม่มีคนกิน  จึงตั้งใจว่าจะรอให้กล้วยงอมจัดแล้วเอามาทำข้าวต้มผัดแทน 

                    คิดไปก็เข้าที.. อย่างน้อย.. สิงห์ก็ชอบกินข้าวต้มผัด

                    ใจหนอใจ  แปลกจริง  ทั้งที่เกลียดแสนเกลียด  แล้วไยกลับจำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ได้ขึ้นใจ

     

                    ตาสิงห์จะไปไหนด๊ายน้าแป้นว่าเสียงสูง หายไปทั้งวันอย่างนี้  คงไม่แคล้วไปขลุกอยู่กับพวกไอ้ลอย  เพื่อนพาเลวแท้ๆ”  

                    จ้อยเห็นด้วยอยู่ในใจ  มงคลชีวิตข้อที่หนึ่งยังว่าไว้ อย่าคบคนพาลหากสิงห์ไม่หลงระเริงไปตามเพื่อนเลวๆ เสียก่อน  ป่านนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็คงยังสวยงามเหมือนตอนเด็กๆ

                    แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปอย่างใจนึก  เขาไม่ชอบนินทาคนอื่น  ทว่าเหมือนน้าแป้นจะจัดอยู่ในจำพวกตรงข้าม

                    คนอย่างไอ้ลอยน่ะนะ มันไม่กินแต่ขี้ไม่ปี้แต่หมา ถ้อยผรุสวาทแสนเผ็ดร้อนมีอันต้องสะดุด  เมื่อคนฟังชะงัก  เงยหน้าจ้องเขม็งคล้ายจะปราม  นักเรียนครูเหลียวซ้ายแลขวา  เห็นแม่ผ้าขาวผืนน้อยนั่งเล่นเม็ดน้อยหน่าอยู่ไกลออกไปก็โล่งใจ 

                    จ้อยไม่ชอบคำหยาบ  โดยเฉพาะคำหยาบที่พูดต่อหน้าเด็ก

     

                    ขอโทษทีนะครู  น้ามันไม่มีการศึกษา คำพูดคำจาก็เป็นอย่างนี้ละสาวใหญ่หดคอกระซิบกระซาบ  ก่อนเล่าต่อด้วยแววตาจงเกลียดจงชัง แต่จริงๆนะ  ไม่รู้มันจะเกิดมาทำไม ไอ้เคาะกะลามาเกิด  สันดานหมาแท้ๆ  ครูเชื่อไหม  กับน้า..หน้างอกออกฝี แถมแก่เป็นแม่มันได้ มันยังไม่เว้นเล้ย  วันก่อนที่ตลาด  มันหลอกจับมือถือแขนน้าด้วย

                    หนุ่มน้อยเกือบพลาดเฉือนนิ้วตัวเอง  อย่าว่าแต่น้าแป้น  เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังเคยถูกมัน..

                    ไม่สิ.. ไม่ใช่แค่ไอ้ลอย  สิงห์ก็เคยทำกับเขาแบบนั้นเหมือนกัน

     

                    แต่.. ทำไม.. จ้อยกลับรู้สึกว่ามันต่างกัน..

                     

                    เฮ้อ.. ไม่รู้ตาสิงห์ไปคบมันได้ยังไงน้าแป้นยังคงจ้อไปเรื่อย  ขณะที่จ้อยปล่อยความคิดล่องลอยไปไกลแสนไกล  มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปาก.. ซ้ำๆ..

     

    ****************************

                   

                    คืนวันศุกร์  นักเรียนชายเดินกันเป็นกลุ่มๆ หน้าโรงหนังเปรมประชา  โรงหนังทำด้วยไม้ หลังคาสังกะสี ข้างหน้าโรงติดไฟสว่างจ้า  ข้างในมีม้านั่งไม้แข็งๆ นั่งไม่สบายนักแต่ก็เหมาะสมกับการดูหนังคาวบอยอันเป็นหนังประเภทที่นิยมกันมากดี 

                    ส่วนการประกาศหนังนั้น  เขาใช้รถบรรทุกคันเล็กๆ ปิดป้ายสองข้าง ตีกลองและฉาบแล่นช้าๆ ไปทั่วเกาะเมือง  วันนี้ขณะกำลังตรวจการบ้านนักเรียนในห้องพักครู  เลอมานยังได้ยินเสียงรถประกาศแว่วมา 

                    การแปลชื่อหนังเป็นภาษาไทย  มีความมุ่งหมายที่จะเรียกร้องเร้าใจให้อยากดู  ‘The Magnificent Seven’ ก็กลายเป็น

    เจ็ดเสือแดนสิงห์  เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ยืนอ่านโปสเตอร์อีกใบที่แปะอยู่ติดกัน อืม.. ‘The Frogman’ ยังกลายเป็น เสือใต้น้ำ เลยแฮะ  คำว่า เสือปรากฏอยู่ในชื่อหนังหลายเรื่อง  จนเขาคิดว่าถ้าไม่มีคำนี้อยู่ในภาษาไทย  คนแปลคงลำบากไม่ใช่น้อย

     

                    ค่าตั๋วดูหนังตกราคาใบละ ๑๐ บาท ทีแรกเลอมานจะเป็นคนออกให้เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะเลี้ยงทั้งสง่า, สันติและอาจารย์คนึง แต่อาจารย์กลับไม่ยอมท่าเดียว  ดึงดันจะจ่ายให้ทุกคนเอง  เถียงกันอยู่นาน  จนสง่าต้องแอบกระซิบว่าการปฏิเสธน้ำใจผู้ใหญ่นั้นเสียมารยาท  เล่นเอาคุณชายหน้าเจื่อน

                    เขาแค่เกรงใจ เพราะรู้มาว่าเงินเดือนข้าราชการครูนั้นไม่ได้มากมายอะไร  ทุกวันนี้ก็เห็นคนรักจับจ่ายใช้สอยอย่างมัธยัสถ์  ไม่เคยมีสักครั้งที่จะเห็นคนึงฟุ่มเฟือย คนึงไม่เคยเที่ยวเตร่ตามสโมสรหรือโรงบิลเลียดอย่างอาจารย์คนอื่น ซ้ำยังต้องแบ่งเงินเดือนส่งฝากธนาณัติไปให้พ่อแม่ผู้ชราภาพเป็นประจำทุกเดือน

                    ไม่ต้องห่วง  แค่นี้ครูขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกเขาทำสีหน้าแบบไหนออกไป  เสียงทุ้มอ่อนโยนจึงหล่นจากริมฝีปากได้รูป ประกายอ่อนเอื้อจึงฉายชัดจากดวงตาสีเข้ม ความอ่อนละมุนใดคลี่พันหัวใจไว้จนอุ่นซ่าน

                    เอาไว้เล็กค่อยตอบแทนครูวันหลัง..ใบหน้าคมสันโน้มลงกระซิบให้พอได้ยินกันแค่สองคน ..ด้วยอย่างอื่น

     

                    คุณชายอมยิ้มแก้มแดงเรื่อ  ความอุ่นทวีเป็นความร้อนเสียแล้วซี

     

                    จวนได้เวลาฉายหนัง  สง่ากับสันติพาคุณชายเข้าไปหาที่นั่งด้านใน  จัดแจงกันเองเสร็จสรรพไม่ปรึกษาใคร  กว่าเลอมานจะรู้ตัวอีกที  ก็ถูกจับให้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองสหายแล้ว 

                    อาจารย์คนึงที่นั่งติดกับสง่ากระแอมขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง  สง่า  สลับที่เดี๋ยวนี้  ให้คุณชายนั่งข้างครู

                    อะไรเล่าอาจารย์  เด็กๆ เขาจะคุยกันเด็กขี้เถียงอย่างสง่าพูดแบบนี้  เล่นเอา ผู้ใหญ่เม้มปากเป็นเส้นตรง

                    “เผื่อคุณชายฟังไม่ทันตรงไหน  พวกผมจะได้คอยอธิบายไง สันติเข้าข้างเพื่อนเต็มที่  เลอมานได้แต่อึกอัก  เหลือบมองคนรักที่ถูกสง่านั่งขวางกั้นไว้อย่างอึดอัดใจ

                    พูดไม่รู้ฟังนะอาจารย์เริ่มทำหน้าดุขึ้นมาแล้ว หรืออยากโดนหักคะแนน

     

                    เจอขู่แบบนี้เข้าไปคู่หูก็หัวหด  สง่าจึ๊ปากเสียดมเสียดายก่อนยอมสลับที่กับเลอมานอย่างเสียไม่ได้  ในที่สุด.. อาจารย์ก็ได้นั่งข้างศิษย์รักสาสมใจ

                    แสงไฟสว่างค่อยดับมืดลง  เหลือเพียงแสงจากจอผ้าใบตรงหน้า  เลอมานกำลังจดจ่ออย่างตื่นตาตื่นใจมีอันต้องสะดุ้งเมื่อมือที่วางไว้บนพนักถูกลูบไล้ไปมาแผ่วเบา 

                    เด็กหนุ่มสูงศักดิ์หันมองตัวการข้างกาย  คนอะไร  ทำเป็นตั้งหน้ามองตรงราวกับตั้งใจดูหนังเต็มที่  แต่มือซุกซนกลับกุมมือเขาเอาไว้จนแน่น  ค่อยๆ แทรกนิ้วกุมกระชับ  เลอมานได้แต่อมยิ้มในแสงสลัว  ใจเต้นถะถี่ขึ้นมา  มือเล็กกุมมือใหญ่นั้นไว้แน่นเหนียวเช่นเดียวกัน

     

    *****************************

                   

                    นาฬิกาลูกตุ้มที่แขวนไว้ข้างผนังตีเหง่งหง่างบอกเวลา ๓ ทุ่ม  จ้อยปิดหนังสือถอนใจเฮือกๆ  ตัวหนังสือที่อ่านไปไม่เข้าหัวเลยสักนิด 

                    ใจมันคอยพะวงอยู่แต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

                    ดึกป่านนี้แล้ว  ไอ้สิงห์จะกินข้าวหรือยัง  แผลเลือดโกรกที่ขมับจะเป็นอย่างไรบ้าง  มีใครดูแลทำแผลให้หรือยังหนอ  แล้วค่ำคืนนี้ไอ้นักเลงหัวไม้คนนั้นจะนอนที่ไหน  จะไปก่อเรื่องวิวาทกับใครอีกหรือเปล่า

     

                    เห็นไหม  เรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น  แต่จ้อยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงหยุดคิดไม่ได้ 

                   

                    ใจที่ลอยเหม่อไปไกลมีอันต้องชะงัก  ทั้งร่างสะดุ้งโหยง  เมื่อบานประตูไม้เปิดออกชนิดไม่ให้สุ้มให้เสียง  หากพอเห็นผู้มาเยือนถนัดตา  ริมฝีปากที่เตรียมแย้มยิ้มส่งให้มีอันต้องหุบฉับ

                    คุณนายพูนทรัพย์ในชุดนอนกรุยกรายยืนอยู่ตรงหน้า  หาใช่คนที่เขารอคอยอยู่ไม่ 

                    คิดถึงตรงนี้ก็ตกใจ  นี่เขากำลัง รอคอยไอ้สิงห์อยู่อย่างนั้นหรือ 

                    ตาสิงห์ยังไม่กลับมาอีกหรือเมียกำนันถามเสียงละห้อยเมื่อกวาดตามองไปรอบห้องแล้วไม่พบลูกชายสุดที่รัก 

                    “ยังเลยจ้ะฟังคำตอบแล้วคุณนายก็ถอนใจเฮือกๆ  เดินไปทรุดกายนั่งลงบนเตียงกว้าง  มือขาวลูบไล้หมอนลูกชายแผ่วเบา 

                    เฮ้อ.. ป้าข่มตาหลับไม่ลงเลยจริงๆนัยน์ตาที่กราดเกรี้ยวใส่จ้อยอยู่เสมอ บัดนี้กลับสลดลงอย่างน่าสงสาร จ้อยเอ๋ย  อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ  ไปตามตาสิงห์ให้หน่อยได้ไหม

                    หนุ่มน้อยนึกประหลาดใจที่เขาไม่รู้สึกขัดข้องสักนิด  รอยยิ้มอ่อนจางเจือบนใบหน้าละมุนกระทบแสงตะเกียงเรืองรอง  เสียงอ่อนโยนรับปากผู้ใหญ่เป็นมั่นเหมาะ  เพราะอดคิดไปไม่ได้ว่าเป็นความผิดของตนเหมือนกัน  ที่ทำให้ลูกชายกำนันเตลิดออกจากบ้านไปแบบนั้น

                    ป้าทรัพย์ไหว้วานแบบนี้ก็ดีเสียอีก  อย่างน้อยจ้อยจะได้มีข้ออ้างไปตามหา  เจ้ากุ๊ยกะโหลกกะลานั่นจะได้ไม่หลงเข้าใจว่าจ้อยเป็นห่วง

                    ห่วงหรือไม่หรอก  ไม่ได้เป็นห่วง  แค่อยากรู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่  เท่านั้นเองจริงๆ   

     

                    คล้อยหลังคุณนายพูนทรัพย์  จ้อยก็ลุกขึ้นมาจัดแจงตัวเอง  แอบยืมน้ำมันใส่ผมตันโจของสิงห์มาลูบลงผมสักนิดพอให้หายยุ่ง  คว้าเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่สิงห์ซื้อให้มาสวม  เผื่อพี่เห็น พี่จะได้ดีใจที่น้องไม่ได้เอาไปทิ้งขว้าง

     

                    และหากพบกันสองคน  หากเป็นไปได้  จ้อยก็อยากจะเอ่ยปาก ขอโทษสักคำ

     

    ****************************

     

                    จันทร์ไม่สกาว  ดาวจึงแข่งแสงซุกซน  ฟ้าบนมืดเหมือนผืนกำมะหยี่  ประดับอัญมณีเป็นรูปเป็นรอย  ตรงนั้นลูกไก่ ๗ ตัว  ตรงโน้นจระเข้  ตรงนู้นคันไถ 

                    หนังจบแล้ว  คนึงขับรถพาเด็กๆ เดินเที่ยวตลาดโต้รุ่งเลียบคลองเมือง  สง่ากับสันติได้ข้าวหลามคนละกระบอก  ส่วนคุณชายเดินแทะไหมฝันสีฟ้าอย่างใจลอยอ้อยอิ่ง  เดินกินกันไปคุยกันไปใต้แสงดาวพราว

                    ทำไมทุกคนในหนังถึงพูดเสียงเดียวกันหมด เลอมานถามสง่าและสันติถึงประเด็นข้องใจในหนังที่เพิ่งดู แล้วทำไมผู้หญิงพูดเสียงแหลมอย่างนั้นเหมือนกันทุกคน

                    “ไม่รู้หรอกหรือสง่าร้องถามแล้วหัวเราะเอิ้กอ้าก

                    รู้หรือเปล่าว่าผู้ชายเป็นคนพากย์สันติถามกลับ คนพากย์คนเดียวพูดแทนหมดทุกตัวแล้วก็หัวร่อกันใหญ่  เลอมานได้แต่พยักหน้าหงึก  เพิ่งรู้เอาเดี๋ยวนั้นเองว่าคนพากย์มีความสามารถแค่ไหน  พูดคล่องคนเดียวได้ตลอดเรื่อง  ไม่มีตะกุกตะกักเลย

                    อาจารย์หนุ่มเดินรั้งท้ายตามหลัง  คล้ายระมัดระวังความปลอดภัยให้นักเรียนในความดูแล  แต่สายตาจับจ้องอยู่เพียงคนเดียว 

                    คำว่าฉิบหายแปลว่าอะไรเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ถามซื่อๆ แต่เล่นเอาคนฟังแทบสำลัก  สันติทำหน้าเหมือนข้าวหลามติดคอขึ้นมาดื้อๆ  อาจารย์คนึงกระแอมไอ  ต่างพากันอธิบายอยู่นานกว่าเลอมานจะนึกออกว่าตรงกับภาษาอังกฤษว่า ‘Damn’ นั่นเอง 

                    เออ คุณเล็กสง่าก็อยากถามบ้าง ทำไมฝรั่งมันจูบกันแต่ละที  ขยี้ซะปากบิดปากเบี้ยวไม่ถามเปล่า  ทำปากยื่นปากยาวประกอบเสียด้วย  เล่นเอาคุณชายหัวเราะคิก 

                    “เมืองนอกมันหนาวละม้างสันติออกความเห็น  ดันแว่นขึ้นดั้งจมูกท่าทางทรงภูมิ 

                    “คุณเล็กเคยจูบใครปากบี้อย่างนั้นหรือเปล่าสง่าเล่นถามแบบนี้  คนถูกถามถึงขั้นหน้าร้อนวาบ  เหลือบมองคนตัวโตที่เดินตามหลังมาติดๆ

                    เคยแต่ถูกจูบ

                    “ฮ้า!” สง่าร้องลั่น  ตาโตเท่าไข่ห่าน สาวฝรั่งนี่ใจกล้าขนาดนั้นเชียว

     

                    เลอมานไม่ตอบคำ  ได้แต่ยิ้มละมุนก้มหน้าบิไหมฝันเนื้อนุ่มเข้าปาก  รสหวานซ่านแล่นลามจากปลายลิ้นสู่หัวใจ

                    อยากบอกสง่าเหลือเกินว่า สาวฝรั่งที่ไหน  หนุ่มไทยใกล้ตัวนี่ละ  ร้ายนักเชียว    

     

                    ศิษย์อาจารย์พากันเดินกลับมายังรถจี๊ปที่จอดไว้  สง่าตาไวกว่าใคร  เพียงเห็นเพื่อนตัวเล็กเดินมาแต่ไกลก็โบกมือร้องเรียกโหวกเหวก  ดึงดูดสายตาอีกสามคนที่เหลือให้หันมองเป็นตาเดียว

                    คนที่เป็นฝ่ายตกใจกลับเป็นจ้อย  หนุ่มน้อยทำหน้าเหมือนเด็กขโมยขนมแล้วถูกจับได้  ได้แต่ยืนทื่อเป็นตุ๊กตายอมให้สองสหายลากแขนคนละข้างมาคุยกันที่รถแต่โดยดี

                    โอ้โห.. แล้วนี่จะไปไหน  แต่งตัวเสียเรี่ยม สง่าเพิ่งเห็นเพื่อนรักถนัดตา  เจ้าตัวกะเปี๊ยกในเสื้อเชิ้ตตัวใหม่  รีดเรียบ  ซ้ำยังหอมกลิ่นการบูรอ่อนๆ  คนถูกสำรวจด้วยสายตาได้แต่ยืนเก้อ มือไม้ลูบผมเงอะงะเหมือนไม่รู้จะเอามือไว้ตรงไหน 

                    ทีเราชวนละไม่ยอมมาคุณชายโอดไม่จริงจังนัก  แต่เพียงคมตาคมปลาบเหมือนใบข้าวตวัดฉับเดียวจ้อยก็หน้าเจื่อนแล้ว    

                    นัดสาวที่ไหนหรือจ้อยอาจารย์คนึงแซวขึ้นมาบ้าง  เล่นเอาจ้อยโบกไม้โบกมือหน้าตาตื่น  ครั้นพอให้เหตุผลว่าคุณนายพูนทรัพย์ใช้ให้มาตามหาลูกชาย  เพื่อนๆ ของจ้อยก็บ่นเป็นเสียงเดียวกัน  ทั้งบ่นเมียกำนันที่ใช้งานไม่ดูเวล่ำเวลา  ทั้งติเตียนเจ้านักเลงที่ดีแต่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้คนอื่น

                    ยิ่งพอรู้ว่าจ้อยเดินขาลากตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาด  เที่ยวเสาะหาตามโรงบิลเลียด  แม้กระทั่งซ่องนางทองใบก็ไปด้อมๆ มองๆ มาแล้ว  เสียงบ่นก็ทวีความเผ็ดร้อนเป็นเสียงก่นด่าแทน  คนึงเห็นวงหน้าอ่อนใสชื้นเหงื่ออย่างนั้นก็สงสาร  ชักชวนกึ่งบังคับให้ขึ้นรถไปตามหาด้วยกัน 

     

                    จ้อยสุดแสนจะเกรงใจ  แต่เขาปฏิเสธอาจารย์ไม่เป็นจริงๆ 

     

    ***********************

                   

                    ดึกดื่นป่านนี้  โรงเหล้ากลับยังครึกครื้น  ปกติก็เป็นแหล่งมั่วสุมเหล่าอบายชนผู้มัวเมากับสุราอยู่แล้ว  คืนนี้ยิ่งทวีความคึกคักเป็นสิบเท่า   

                    เพราะคืนนี้มีเจ้ามือใหญ่  ประกาศอู้ฟู่ว่าจะเลี้ยงเหล้าให้กับทุกคน  ดื่มกินกันได้ไม่อั้น  แบบนี้พวกขี้เมาทั้งหลายก็หวานหมู  มากันแน่นขนัดทั้งหัวหงอกหัวดำ  ตาสุ่มขี้เมาประจำตลาดถึงขั้นนอนกองอยู่หน้าร้าน  สองมือยังกอดขวดเหล้าขาวแนบแน่นประหนึ่งเมียรัก

     

                    ทุกบาททุกสตางค์ลงบัญชีคุณนายพูนทรัพย์ ศรีตลา 

     

                    เอ้าชนโว้ย!” เสียงห้าวประกาศลั่น  ไอ้ลอย ไอ้เลิศ ไอ้หมานเฮรับลูกพี่แล้วยกแก้วชนกันดังเคร้ง   

     

                    ขึ้นชื่อว่าเหล้าแล้วไซร้  เมื่อกินเข้าไปต้องเมาแน่ 

                    ขึ้นอยู่กับว่าจะเมามากเมาน้อยเท่านั้นแหละ

     

                    คนอย่างไอ้สิงห์  ได้ชื่อว่าเป็นนักดวดคอทองแดงแข็งโป๊ก  ค่าที่ริอ่านหัดดื่มเหล้ามาตั้งแต่นมเพิ่งแตกพาน  ดังนั้น  ทั้งที่ชายหนุ่มปักหลักนั่งดื่มมาตั้งแต่หัวค่ำ  ป่านฉะนี้ออกอาการเพียงแค่เลือดลมสูบฉีดร้อนกรุ่น  ใบหน้าคมคร้ามขึ้นสีแดงเรื่อ  แต่สุ้มเสียงยังชัดแจ๋ว  ไม่ได้ยืดยาดยานคางเหมือนขี้เมาบางคน   

                    หัวหน้าอันธพาลคึกคักเฮฮา  เฮฮาจนผิดปกติ  มีแต่ไอ้ลอยที่ดูออกว่าลูกพี่ของมันพยายามเอาเหล้าเข้ากลบรอยแตกร้าวในจิตใจ

                    ในที่สุดไอ้สิงห์คนเดิมก็กลับคืนมา  ตั้งแต่เช้า  ลูกพี่พาไปมั่วสุมอยู่ในบ่อน  พอบ่ายก็ไปต่อที่โรงบิลเลียด  ตกเย็นก็นั่งเคล้าเหล่าอีตัวที่ซ่องอีทองใบ  จนค่ำก็พากันมาที่โรงเหล้า 

                    มันต้องแบบนี้สิ  ไอ้สิงห์ที่ไอ้ลอยรู้จัก  เลวครบสูตรแบบนี้  หาดีไม่ได้แบบนี้ 

                    ไม่ใช่พอย่ำเย็นผีตากผ้าอ้อมก็รีบร้อนกลับไปกินข้าวบ้าน  อาบน้ำนอนแต่หัวค่ำเหมือนช่วงหลายวันที่ผ่านมา   

     

                    สิงห์ยกแก้วเหล้ากรอกปากแก้วแล้วแก้วเล่า  เทลงคอพรวดๆ เหมือนน้ำเปล่า  เคาะโต๊ะร้องเพลงกันโหวกเหวก  เที่ยวขุดคุ้ยเรื่องคนนั้นคนนี้ขึ้นมาคุย  หัวเราะกันอึกทึก  แต่ทุกช่วงจังหวะผีผ่าน  วงเหล้าครื้นเครงพลันเงียบกริบชั่วขณะ  ลูกพี่มองแก้วเหล้าตรงหน้าด้วยดวงตาหมองเศร้า  ไอ้ลอยเห็นแล้วได้แต่ยิ้มหยัน 

                    ทะเลาะกับไอ้จ้อยมาล่ะสิลูกน้องคนสนิทถามพลางเทของเหลวสีอำพันลงคอ  มันหรี่ตามองเห็นลูกพี่ทำท่าแทบสำลัก  ตาดำเบิกกว้าง

                    มึงพูดอะไรใบหน้าคมสันแดงก่ำ  เจ็บจี๊ดตรงใจดำที่ถูกแทงอย่างจัง 

                    “เห็นที่ร้านกาแฟเมื่อเช้าก็รู้แล้ว  แค่ไอ้เจ๊กมันนินทาหน่อยเดียว  พี่ก็โดดไปชกปากมัน  แตะไม่ได้เลยสินะไอ้ลอยหยิบถั่วคั่วเข้าปาก  พูดเรื่อยเปื่อยเหมือนทองไม่รู้ร้อน แล้วเป็นไง  มันมาดูดำดูดีพี่บ้างไหม  คงไม่เลยสิ  พี่ถึงออกมาหาพวกฉันแบบนี้

                    สิงห์นิ่งงัน  กำหมัดเกร็งแน่น  เข็มเล่มหนึ่งปักตรึงอยู่กลางใจ  เจ็บแสบเหลือดี

                    “ใช่สิ  มันเป็นนักเรียนครูนี่  อีกปีสองปีก็ได้ดิบได้ดี  มีคนยกมือไหว้ทั้งตำบล  ส่วนเรามีแต่คนถ่มน้ำลายไล่หลังไอ้ลอยพล่ามไม่หยุด นี่ขนาดมันยังไม่ได้เป็นครูนะ  ถ้ามันเป็นครูแล้วมันมิถีบหัวพี่เลยเรอะ

     

                    เข็มเล่มเดิมกดลึกลงไปอีก

     

                    “ไอ้ลอยถ้ามึงพูดอีกคำเดียว..มือใหญ่โจนเข้าขยุ้มคอเสื้อลูกน้องคนสนิท  ดวงตาลุกโชนราวสัตว์ป่า  แต่ไม่อาจทำให้คนตรงหน้าสะดุ้งสะเทือนได้สักนิด 

                    “พี่จะชกปากฉันเหมือนไอ้เจ๊กหรือไงไอ้ลอยเพียงยิ้มมุมปาก  จ้องตาอย่างไม่เกรงกลัว  ก่อนเหลือบมองเห็นร่างเล็กเดินตรงเข้ามา  มันบุ้ยปากให้ลูกพี่หันไปดู ดูสิ ใครมา

     

                    สิงห์หันขวับ  พอเห็นว่าเป็นใครก็เท่านั้น  มือที่ขยุ้มคอเสื้อลูกน้องก็คลายออกโดยอัตโนมัติ

                    ไอ้จ้อยมันช่างอายุยืนดีแท้  พูดถึงไม่ทันขาดคำ  จู่ๆ ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า  ดวงตาสีเข้มสำรวจคนตรงหน้าหัวจรดเท้า  นักเรียนครูตัวเล็กในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่มองปราดเดียวก็จำได้ว่าเป็นตัวที่เขาซื้อให้เองกับมือ  วงหน้าอ่อนใสแม้จะดูประหม่า  แต่เมื่อมายืนอยู่ตรงนี้  ในสถานที่แบบนี้  จ้อยก็ดูยังผ่องแผ้วเหมือนดอกไม้ขาวหอมที่ปลิวตามแรงลมมาตกลงบนกองสวะ 

                    มาทำไมนักเลงโตถามเสียงห้วน  เบือนหน้าหนีไปทางอื่น  กรอกเหล้าเข้าปากอีกอึกใหญ่

                    จ้อยกลืนน้ำลายลงคอฝืดฝืน  เหงื่อออกชุ่มมือจนต้องกุมกันไว้  ไอ้ลอย ไอ้เลิศ ไอ้หมานมองมาเป็นตาเดียว แต่คนที่อยากให้มองที่สุด  กลับไม่เหลียวหันมาสักนิด 

                    หนุ่มน้อยรวบรวมความกล้าพูดออกไป กลับบ้านเถอะ

     

                    ยังไม่หันมาอีก..

     

                    ประโยคต่อไป  จ้อยต้องรวบรวมความกล้ามากกว่าเดิม  เติม หัวใจใส่ลงไปหนึ่งเหยาะ

     

                    เป็นห่วง

     

                    สองคำ  เบาหวิว  แสนสั้น  แค่สองคำเท่านั้นเอง  แต่สิงห์ไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้  ว่าทำไมคำง่ายๆ สองคำแค่นั้นถึงทำให้หัวใจอันห่อเหี่ยวอับเฉา  กลับพองฟูแทบทะลุอก  ทำให้ดวงจิตอันมืดหม่น  เกิดแสงสว่างเรืองรองเหมือนดาวดวงช่วงโชนสู่ใจได้เพียงนี้   

     

                    “เอ็งห่วงพี่เป็นด้วยหรือนักเลงหนุ่มตวัดถามเสียงห้วน  ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราหันมองน้อง  ดวงหน้านวลละอองผ่องใสมองมา  ดาวดวงใดบรรจุอยู่ในหน่วยตากลมโตนั้น 

                    สิงห์ตาไม่ฝาดแน่เขาเห็นจ้อยพยักหน้านิดเดียว.. นิดเดียวเท่านั้น

                    เท่านั้นก็มากเกินพอแล้ว

     

                    ชายหนุ่มกระแอมไอ  บอกพวกลูกน้องโดยไม่มองหน้า กูกลับล่ะ  เดี๋ยวแม่บ่นหูชา  ขี้เกียจฟังว่าแล้วก็รีบร้อนลุกพรวดพราด  ไม่รู้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะหัวใจเต้นรัวจนเสียการทรงตัวกันแน่  ร่างสูงใหญ่จึงเสียหลักเซแซ่ด  คงจะล้มไปแล้วถ้าคนตัวเล็กไม่ปราดเข้ามาประคองไว้ 

                    ใกล้แสนใกล้  ใกล้จนได้กลิ่นแป้งละมุนอ่อนใส  เนื้อตัวหรือก็นุ่มนิ่ม  ตรงข้ามกันเหลือเกินกับเขาที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า  กล้ามเนื้อแข็งกระด้างแถมยังมอมแมมโสโครก   

     

                    คนตัวโตผละออกห่าง  โบกไม้โบกมือไล่  บอกเสียงแข็งว่าเดินเองได้

                    ไม่ได้รังเกียจน้อง  แค่กลัวกายใจอันโสมมของเขาจะทำให้น้องแปดเปื้อน 

                   

                    จ้อยจึงเพียงตามหลัง  ยามสิงห์เดินออกจากโรงเหล้าด้วยกิริยาของนักเลงเกรื่องกร่างที่พยายามซ่อนหัวใจอันอิ่มเอิบไว้สุดความสามารถ 

                    ทว่ากลุ่มคนที่ยืนคุยกันอยู่ข้างรถจี๊ปสีขาวที่จอดนิ่งหน้าร้านนั้นทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงักนิ่ง  ทั้งร่างชาวาบ

     

                    ไอ้คนึง ไอ้ชายเล็ก ไอ้สง่า ไอ้สันติ!

                    พวกมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!?

     

                    หัวสมองที่ถูกกระตุ้นเร้าด้วยสุรา  หัวใจที่ถูกกระตุ้นเร้าด้วยพิษรักแรงหึง  ปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นเองได้ไม่ยากเย็น

     

                    สิงห์เหมือนร่วงจากฟ้าลงดินแข็ง  ความเจ็บและชาเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่ง  ดีใจแล้วพลันเสียใจ  หวานชื่นแล้วพลันขมปร่า  ชายหนุ่มไม่คิดว่าอารมณ์เหล่านั้นจะเกิดกับตัวเองในเสี้ยววินาที  เขาหันขวับจนแทบชนน้องที่เดินตามหลังมา  มือใหญ่บีบข้อมือเล็กแน่น  ลากตัวไปตรึงกับข้างฝา 

                    ท่ามกลางคนเป็นสิบในโรงเหล้า  แต่ทุกคนต่างมัวเมา  ไม่มีใครสนใจ 

                    ยกเว้นไอ้ลอยที่ลอบมองมาอย่างเงียบงัน

     

                    “หมายความว่ายังไงนักเลงเลือดร้อนเค้นถามเสียงปร่า  ยิ่งเห็นตาใสๆ มองมาอย่างไม่เข้าใจ  ไฟฟอนยิ่งโหมกระพือในหัวใจแทบคลั่ง

                    “ทำไมถึงมาด้วยกัน!” เสียงห้าวตะคอกลั่น ไปดูหนังกับพี่ไม่ได้  แต่ไปกับพวกมันได้ใช่ไหม!”

                    ปะ..เปล่านะ.. แค่บังเอิญเจอกันจ้อยละล่ำละลักแก้ตัว  มือใหญ่ยิ่งบีบแน่นจนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ

                    “งั้นหรือสิงห์แค่นหัวเราะ  สายตาเยาะหยันสำรวจคนตรงหน้าหัวจรดตีน แล้วทำไมต้องแต่งตัวอย่างนี้มือแข็งเป็นคีมเหล็กบีบคางเล็กแน่นจนหน้าเบ้  จับกระแทกกับข้างฝาดังตึงๆ  ไม่สนใจว่าน้องจะเจ็บแค่ไหน  “ผัดหน้าเสียนวลเชียวนะ  ไว้รอใครมาหอมล่ะ  หรือทั้งสี่คน

     

                    ปีศาจตนใดสิงสู่ใจ  หรือมันซ่อนเร้นแฝงกายอยู่ในนั้นมาตั้งแต่ต้น  ดวงตาเคียดแค้นจ้องมองวงหน้าอ่อนใสราวจะกินเลือดกินเนื้อ  มือใหญ่เพิ่มแรงบีบจนจ้อยน้ำตาคลอ 

                    “ผู้ชายเดิมตามเป็นฝูงเลย  ชอบสิท่า  เอ็งชอบคนไหนล่ะ  ไอ้คนึงที่ออกเงินให้เรียน  หรือไอ้คุณชายที่ซื้อของให้  อ้อ  ไอ้สองตัวนั่นก็เคยกอดไหล่กอดคอเอ็งนี่ใบหน้าคมสันโน้มเข้ามาใกล้  ลมหายใจรวยรินกลิ่นเหล้าคลุ้ง ร่านเหมือนแม่ไม่มีผิด

                    จ้อยเงยหน้ามองราวกับไม่เชื่อหู  ริมฝีปากเม้มแน่น  น้ำตาแห่งความผิดหวังคลอเบ้า  รวบรวมเรี่ยวแรงผลักร่างสูงใหญ่ออก  มือเล็กเงื้อขึ้นตบหน้าคนใจทรามจนหน้าหัน  เกิดเสียงฉาดดังสนั่น   

                    นักเลงหนุ่มเจ็บจนชา  แต่ยังไม่ถึงเสี้ยวความเจ็บที่หัวใจ  สายตาเคียดแค้นชิงชังนิ่งมองกันละกัน  น้องหอบหนักจนตัวสั่นสะท้าน  พี่ซื้ดปากยกมือลูบคาง  แต่ริมฝีปากกลับยิ้มหยันน่าพรั่นพรึง 

                    พี่โจนพรวดเดียวถึงตัว  มือใหญ่จิกผมนุ่มกระชากจนหน้าแหงน  จับกระแทกกับข้างฝาอย่างรุนแรงป่าเถื่อน 

     

                    โอ๊ย!”

     

                    เสียงจ้อยร้องลั่นมาจากในโรงเหล้า  ดังจนได้ยินมาถึงข้างนอก  เลอมาน คนึง สง่าและสันติชะงักกึก  ไม่ต้องรอปรึกษากัน  ทั้งสี่วิ่งตรงเข้าไปข้างในทันที

                    ภาพที่เห็น  ไม่ว่าจะมองยังไง  ก็คือภาพนักเรียนครูกำลังถูกอันธพาลรังแกชัดๆ  ร่างสูงใหญ่เป็นหินผาตรึงเด็กหนุ่มตัวเล็กไว้กับข้างฝาด้วยมือเดียว  อีกมือจิกผมจ้อยไว้แน่น  มือเล็กพยายามแกะออก  ทั้งร้องทั้งดิ้นรนด้วยความเจ็บ  แต่ไอ้คนใจต่ำไม่แยแสสักนิด   

                    ปล่อยจ้อยนะไอ้ชั่ว!” สง่าก็เลือดร้อนไม่น้อยหน้าใคร  เด็กหนุ่มตะคอกลั่น  คนึงปราดเข้าไปหมายช่วยลูกศิษย์  ในขณะที่เลอมานได้แต่ยืนเงอะงะทำอะไรไม่ถูกอยู่กับสันติผู้รักสงบสมชื่อ    

                    “เรื่องของนายกับบ่าวพวกมึงไม่เกี่ยว!” ไอ้อันธพาลชี้นิ้วกราด  มือยังคว้าแขนเล็กไว้แน่น อย่ามาแหยม  ใครแส่กูจะยิงแม่งให้หมด!”

                    “อะไรกันแหยม  อะไรกันแส่สถานการณ์แบบนี้คุณชายยังจะถามพาซื่อ 

                    “ก็แปลว่าเสือกน่ะซีไอ้โง่!” คนตัวสูงเด่นแค่นหัวเราะ  พ่นน้ำลายถ่มถุยดูเป็นอสุรกุ๊ยอย่างแท้จริง 

                    คนรักถูกมันสบประมาทอย่างนั้น  ขีดความอดทนของอาจารย์หนุ่มขาดผึง  ร่างสูงใหญ่ทัดเทียมกันเดินอาดไปผลักอกกว้างอย่างแรง  ฤทธิ์สุราทำให้คนกร่างเซแซ่ดไปชนโต๊ะหงายล้มระเนระนาดทั้งคนทั้งโต๊ะอย่างน่าทุเรศ  คนึงดึงจ้อยออกมาได้ทันท่วงที  เลอมานผวาไปรับ  หนุ่มน้อยถึงกับตัวสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนเพื่อนผู้สูงศักดิ์

                    เสียงโครมครามทำให้ขี้เมาทั้งร้านหันมองเป็นตาเดียว  ไอ้ลอยเพิ่งเข้ามาช่วยประคองลูกพี่ลุกขึ้น  ไอ้หมานยืนเบ่งอยู่ข้างๆ ราวกับพวกจิ้งเหลนริมถนน  ส่วนไอ้เลิศนอนกรนเหมือนหมูน้ำลายยืดนองโต๊ะไปนานแล้ว 

                    “ทำไมต้องจิกผมด้วย เลอมานลูบผมจ้อยที่ยังตัวสั่นอย่างน่าสงสาร  คราวนี้เขาเหลือทนแล้วจริงๆ 

                    “มันเป็นขี้ข้ากู  กูจะทำอะไรกับมันก็ได้!” นักเลงโตว่ากักขฬะหยาบคาย  หน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์โทสะ

                    “แกมันใจร้ายเหมือนสัตว์ไม่มีผิดสันติโพล่งขึ้นมาบ้าง

                    “มึงน่ะซีสัตว์!” สิงห์ร้องโต้ตอบทันควัน ไอ้พวกสัตว์หัวสูงทำเป็นผู้ดี  ถ้านักเลงจริงก็มาสิโว้ย

     

                    คนึงกำหมัดแน่น  ขบกรามจนข้างแก้มขึ้นเป็นสัน  สุดจะทนได้อีกต่อไป  แต่คนเป็นครูบาอาจารย์อย่างเขาไม่ควรใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา  อาจารย์รั้งแขนเด็กๆ ไว้ กลับเถอะ พูดกับลูกศิษย์แต่สายตาคมกร้าวมองพวกอันธพาลอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ อย่าลดตัวลงไปแลกกับคนพวกนี้

     

                    แต่น้ำกำลังเชี่ยว  คลื่นโถมซัดสาดคลุ้มคลั่ง  เรือใหญ่แค่ไหนก็ขวางไว้ไม่อยู่

                    “ไอ้พวกกุ๊ยชั้นต่ำ  วันๆ สร้างแต่ความเดือดร้อนให้คนอื่น  โตเป็นควายแล้วแท้ๆสันติชี้หน้าด่าเจ็บแสบ

                    “จ้อยใกล้จะสอบแล้ว  ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้เขาต้องอ่านหนังสือนะ  กุ๊ยอย่างแกจะไปเข้าใจอะไร  เขามีการศึกษา  ส่วนแกมันนักเลงหัวไม้โง่เง่า  ฉันถามตรงๆนะ  โปสเตอร์ตรงโน้นน่ะ  แกอ่านออกหรือเปล่าสง่าร่ายเป็นชุด  แต่ละคำแทงใจไอ้สิงห์อย่างจัง   

                    “มึงพูดอะไร  ดูถูกกูเรอะมันเค้นเสียงถามคั่งแค้น  กำหมัดแน่น 

                    “แกมันกระจอก  ไอ้พวกไม่มีดีแต่ทำเป็นอวดเก่ง  อันธพาลกระจอกเอ๊ย!”

     

                    สง่าพูดไม่ทันขาดปาก  ไอ้สิงห์ก็เสือกเข้าให้ที่กกหู  นักเรียนปากกล้าเซแซ่ดไปปะทะกับเพื่อนและอาจารย์  เขาสลัดหัวตั้งหลักแล้วโจนเข้าใส่อีกครั้ง  จ้อยเข้ามาขวางก็ถูกผลักออกไปเสียไกล  และแล้ววงตะลุมบอนก็เกิดขึ้น  ปัดคำว่ากติกาทิ้งไปได้เลย  ผู้คนแตกฮือเป็นฝูงผึ้ง  ไอ้หมานซัดหมัดโครมเข้าขากรรไกรสันติจนแว่นกระเด็น    ไอ้ลอยหมายหัวเลอมานไว้  มันปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อแต่ก็ถูกคนึงตะครุบไหล่หันกลับไปชกเข้ากระโดงคางจนหน้าหัน 

                    อย่าชกกันเลย  ขอทีเถอะ  ถ้าอยากจะชกก็มาชกจ้อยนี่!” ตัวการของเรื่องทั้งหมดปราดเข้ามากางแขนขวางกลางสง่าและไอ้สิงห์ที่ใบหน้าบอบช้ำกันทั้งคู่ 

                    พอลูกพี่หยุด  ลูกสมุนก็หยุดตาม  ไอ้หมานปล่อยคอเสื้อสันติอย่างเสียไม่ได้  ส่วนไอ้ลอยลดหมัดที่จะตะบันหน้าอาจารย์หนุ่มลง 

                    หัวหน้าอันธพาลนิ่งมองนักเรียนครูตัวเล็กตรงหน้าด้วยดวงตาคลอวับ  และโดยไม่มีใครตั้งตัวทัน  มือแข็งดั่งคีมนรกคว้าหมับเข้าที่ลำคอขาว  กระชากตรึงกับข้างฝาอย่างรุนแรง  จ้อยปิดตาแน่นตอนกำปั้นนั้นเงื้อง่าขึ้นแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็วจนลมเสียดหูดังวี้ด..

     

                    ปึ้ง!

     

                    ผิดคาดแทนที่จะชกหน้าจ้อย  หมัดนั้นกลับกระแทกเข้าข้างฝา  ไม่ใช่แค่ทีเดียว  แต่มันกระหน่ำชกรัวอยู่ร่วมสิบครั้ง  เสียงห้าวคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง  ฟังเหมือนสัตว์ป่าเจ็บปวด  ต่อให้หมัดมันแข็งแค่ไหนก็คงแข็งสู้ไม้ประดู่ไม่ได้แน่  เลือดสดๆ ไหลซิบตามข้อนิ้วแตกยับ 

     

                    “มึงจะดูถูกกู กูไม่ว่าสิงห์หอบสะท้าน  จ้องมองลึกลงไปในดวงตาตื่นตระหนก  ราวจะเค้นหาคำตอบจากส่วนลึก  มือที่บีบรอบลำคอเล็กค่อยคลายลง แต่ทำไมต้องพาพวกมาดูถูกกูด้วย

                    แค่ก.. มะ..ไม่ใช่อย่างนั้นนะ..จ้อยถอนสะอื้นทั้งยังสำลัก  ปฏิเสธเสียงสั่น  ครั้นพอเห็นดวงตาสีสนิมเหล็กมองมาอย่างไม่ยอมรับฟังคำใด  น้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลง ไว้สร่างเมาแล้วค่อยมาคุยกัน

                    เพื่อนนักเรียนครูกรูกันเข้ามาลากจ้อยออกไป  หนุ่มน้อยหันมองพี่ทั้งน้ำตานองหน้า 

                    เขาไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้  ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย 

     

                    สิงห์ได้แต่มองตามด้วยสายตาปวดร้าวระคนเคียดแค้น  ไอ้ลอยจับลูกพี่ที่ยังทิ้งสายตาไว้หน้าประตูให้นั่งลงเก้าอี้  รินเหล้าให้อย่างเอาอกเอาใจ  โรงเหล้าเริ่มโล่ง  นักเลงตีกันทีผู้คนก็ซาลงไปเยอะ 

     

                    “ไม่ได้เรื่อง  เป็นฉันนะ  ป่านนี้มันท้องไปนานแล้วมันส่ายหน้าระอา  ยิ้มมุมปากคล้ายจะหยัน  สิงห์ไม่พูดอะไร  คว้าแก้วเหล้าซัดเข้าปากเพียวๆ  หวังราดลงไปดับไฟแค้นที่คุกรุ่น

                    หารู้ไม่ว่าให้ผลตรงกันข้าม

     

                    มัวแต่เป็นคนดี  สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรสักอย่าง  ทั้งตัวทั้งใจเหล้าเป็นน้ำมันชั้นเยี่ยม  คำพูดยุยงเป็นเชื้อไฟชั้นยอด  ไอ้ลอยคอยเติมทั้งน้ำมัน  ทั้งเชื้อไฟไม่ให้พร่อง แต่ถ้าพี่เลว  อย่างน้อย.. พี่ยังได้ตัวมัน

     

                    ไฟกองเดิมพลันสว่างวาบ  ลุกโชน 

                    ราวปีศาจร้ายที่พร้อมจะแผดเผาทำลายทุกสิ่งให้มอดไหม้เป็นผุยผง 

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

     

    *อกเอยมันแค้น, ธาตรี คำร้อง, ณพดฬ ชาวไร่เงิน ขับร้อง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×