ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาหงส์ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ ๑๗ : ชายเดียวในดวงใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.99K
      30
      28 ส.ค. 55

    บทที่ ๑๗

     

    ชายเดียวในดวงใจ

     

    อ้อมอกเธอเสมอห้องที่จะคอยป้องกันภัย

    ฉันจะแอบแฝงกายอยู่ใกล้ตรงดวงใจนั้น

    วงแขนเธออีกสองจะโอบกันผองโพยภัยฉกรรจ์

    อ้อมอกเธอนี่เท่านั้นฉันพร้อมจะมอบดวงใจ*

     

     

                    เล็ก!!” คนึงตะโกนสุดเสียงแข่งกับเสียงพายุฝน  เสียงฟ้าคำรามครืนครัน  ดั่งธรรมชาติคลุ้มคลั่งอาละวาดไม่จบสิ้น  เสียงลมเสียดวี้ดในช่องหู  กระแสน้ำเชี่ยวกรากเวียนวน  แม้กระทั่งคนว่ายน้ำแข็งอย่างเขายังยากจะทรงตัว  แล้วเด็กหนุ่มที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างเลอมานเล่า?

                    เหมือนมีใครมาปลิดหัวใจเขาออกจากขั้ว  แรงดันน้ำบีบพื้นที่ปอดจนเสียดแน่นไปทั้งอก  คนึงดำลงน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า  สองมือควานหาสะเปะสะปะใต้สายน้ำขุ่นข้น  น้ำเข้าตาจนแดงก่ำแสบพร่า  หยดนั้นจากฟ้า  หยดนั้นจากคลอง  หยดนั้นคือน้ำตาที่เอ่อขึ้นจากหัวใจเจียนสลาย  ผุดดำลงไปก็เจอแต่ห้วงน้ำมืดมิด  ครั้นพอโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเหลียวรอบกายก็เจอแต่ท้องน้ำแปรปรวนเกลื่อนไปด้วยกิ่งไม้ใบไม้  ท่ามกลางความมืดที่เข้มข้นอย่างอำมหิต  มืดเหมือนทั้งโลกถูกแช่จนชุ่มในหมึกดำ  ชั่วขณะที่ฟ้าแลบนั่นละที่ส่องทุกอย่างให้สว่างโพลน 

     

                    เล็ก!!” เสียงห้าวตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่า  ดำผุดดำว่ายอยู่อย่างนั้นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 

                    ตายไม่ได้  ไม่ยอมให้ตายเด็ดขาด!

                    เลอมานจะมาตายต่อหน้าเขาเหมือนอย่างจินดาไม่ได้!

     

                    จนชั่วขณะหนึ่งที่ฟ้าแลบปลาบ  กลางม่านฝนพร่าเลือน  ชายหนุ่มเห็นร่างหนึ่งทะลึ่งตัวขึ้นพ้นน้ำ  แล้วร่างนั้นก็จมดิ่งลงไปอีก  เล็ก!” เขาร้องเรียกเหมือนคนบ้า  ประกายความหวังถูกจุดขึ้น  เรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหน  เขาว่ายฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกรากเข้าไปหา  ดำลงไปไขว่คว้าบ้าคลั่ง  จนสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อเย็นชืดที่ยังเหลือแรงทุรนทุราย  มือใหญ่กระชากร่างน้อยพาขึ้นเหนือน้ำทันที

     

                    ทันทีที่ทะลึ่งตัวขึ้นพ้นน้ำ  เลอมานสูดหายใจเข้าปอดลึกก่อนสำลักไอจนตัวโยน  ตื่นตระหนกเสียขวัญ  ดิ้นรนจนคนึงกลัวพวกเขาจะพากันจมน้ำตายทั้งคู่  ชายหนุ่มตัดสินใจใช้รักแร้หนีบบ่าเล็ก  วางแขนพาดผ่านหน้าอก  ว่ายน้ำตะแคงข้างพาเลอมานเข้าฝั่ง  ทุกวินาทีที่หายใจราวมีเข็มนับพันเสียดแทงปอดจนเจ็บร้าวไปหมด

                    ถึงพื้นดินแล้วทั้งสองโผเข้ากอดกันแทบจะในทันที  เลอมานนั้นกอดด้วยความหวาดกลัวเสียขวัญ  ฝ่ายคนึงนั้นกอดดั่งกอดดวงใจที่เกือบทำพลัดลอยหาย  อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามฟ้ามาตั้งไกล  หวุดหวิดจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียแล้ว  ถ้าเขาคว้าตัวไว้ไม่ทัน  ไม่อยากคิดเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น

                    ขอเถอะ.. เขาทนรับการสูญเสียไม่ได้อีกแล้ว

     

                    ร่างเล็กทั้งหอบทั้งสำลักไอจนหน้าแดงก่ำ  เนื้อตัวสั่นสะท้านเหมือนลูกนกที่หลงเข้าไปในใจกลางพายุ  หยาดน้ำฝนหยดน้ำตาเนืองนองเต็มใบหน้าขาวซีด  คนึงคลายอ้อมกอดออกเพื่อให้ร่างเล็กหายใจสะดวก  ลูบหลังลูบไหล่เรียกขวัญจนเด็กหนุ่มทุเลาความตระหนกลง    

                    ฟ้าฝนไม่ได้บรรเทาลงเลย  ซ้ำยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ  ชายหนุ่มแหงนมองกิ่งก้านต้นมะขามสูงแล้วให้พรั่นพรึง  รู้ดีว่าเมื่อฟ้าคะนองให้หลีกเลี่ยงต้นไม้ใหญ่  อ้อมแขนล่ำสันจึงช้อนอุ้มร่างเล็กขึ้นแนบอก  หมายพาไปที่ที่ปลอดภัย  แขนเรียวคล้องรอบคอเขาแน่น  ซุกใบหน้าเข้ามาราวกับจะยึดเอาเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียว  ฟ้าแลบแปลบสว่างวาบอีกหน  ทัศนียภาพตรงหน้าขาวโพลนเพียงเสี้ยววินาที 

                    หากเพียงเสี้ยววินาทีนั้นก็ทำให้อาจารย์หนุ่มรู้ว่าตอนนี้เขากับเลอมานถูกน้ำพัดมาขึ้นฝั่งที่ใด

     

                    ที่นาของยายช้อย!

     

                    คนึงจำแนวมหาหงส์ที่ขึ้นขนัดริมตลิ่งได้  จำต้นมะม่วงเขียวเสวยที่แตกก้านกางใบปกคลุมหัวคันนาตรงนั้นได้ด้วย  เดินเลยไปอีกหน่อยก็จะพบทุ่งนาโล่งกว้าง  และที่ปลายนา  มีกระท่อมที่ยายช้อยปลูกไว้เก็บอุปกรณ์ทำนาอยู่หลังหนึ่ง

                    เขาตัดสินใจพาเลอมานไปที่นั่นทันที

     

                    กระท่อมร้างตั้งอยู่ปลายนาที่รกร้างมานานปี  ตั้งแต่ยายช้อยเอาที่นาผืนนี้ไปจำนองไว้กับเมียกำนัน  ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครมาแตะต้องมันอีก  อาจารย์หนุ่มประคองร่างเล็กขึ้นบันได  ตัวกระท่อมยกพื้นไม่สูงจากดินมากนัก  พื้นฟาก ฝาขัดแตะ หลังคามุงใบจากเริ่มหลุดร่อนตามกาลเวลา  ท่ามกลางลมฝนแปรปรวน  หาที่กำบังได้เท่านี้ก็ดีเหลือแสน  

                    ชายหนุ่มหอบหนักจนตัวโยน  หลังอุ้มพาเลอมานลัดเลาะอ้อมไปทางเรือกสวนแทนที่จะลุยลัดผ่านทุ่งนาโล่งแจ้งให้เป็นเป้าสายฟ้า  แม้จะเหนื่อยหนักเพียงใด  อ้อมแขนที่เขาค่อยประคองวางร่างเล็กลงก็ยังทะนุถนอม 

                    ดวงตาสีเข้มหันมองรอบกระท่อม  สายฟ้าแลบปลาบสาดส่องให้เห็นเคียวเกี่ยวข้าวเหน็บติดฝา  คันไถเก่าวางอิงผนังด้านหนึ่ง                    

                    เลอมานไม่สนใจสิ่งใดเลย  เด็กหนุ่มเนื้อตัวเปียกโชกนั่งกอดเข่าสั่นสะท้าน  สองมือเล็กยกขึ้นปิดหู  สะดุ้งสุดตัวทุกครั้งเมื่อฟ้าคำรามลั่นเปรี้ยง  คนึงเห็นอย่างนั้นให้นึกสงสารจับใจ   

                    คนที่ดูภายนอกเหมือนเข้มแข็ง  หากพอถึงขีดสุดของความหวาดกลัว  ไยตัวสั่นได้น่าเวทนานัก 

                    เลอมานเหมือนคนที่สร้างเกราะห่อหุ้มแข็งแกร่งไว้  เพื่อปกป้องบางสิ่งที่แสนเปราะบางภายใน  คนึงยิ่งตระหนักรู้ขึ้นทุกที  ภายใต้ท่าทีเย่อหยิ่งทระนง  มีเพียงความอ่อนแออ่อนไหวซุกซ่อนไว้

     

                    ร่างสูงใหญ่สำรวจรอบกระท่อม  ค้นเจอผ้าผวยผืนเก่าและหมอนขิดใบหนึ่งที่มุมกระท่อม  ยายช้อยคงเอาไว้ใช้เมื่อครั้งแกต้องนอนเฝ้านา  ผ้าผวยมีกลิ่นอับไปหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย  คนึงสะบัดไล่ฝุ่นอยู่สองสามทีก็นำมาให้ร่างที่คู้กายสั่นเทิ้ม    

                    วงหน้าอ่อนเยาว์ซีดเผือดแทบไร้สีเลือด  หยดน้ำจากเรือนผมสีอ่อนหยดไหลลงพื้นแหมะๆ  น้ำตายังไหลพรากจากดวงตาแดงก่ำ  ชายหนุ่มใจหายวาบเมื่อแตะเนื้อตัวเปียกปอนแล้วพบว่ามันร้อนผ่าว  มือใหญ่รีบปลดเงื่อนบนสาบเสื้อที่เขาเป็นคนผูกให้เมื่อเช้าออกทันที  กางเกงชุ่มน้ำก็ด้วย  ก่อนคลี่ผ้าห่มคลุมร่างเปลือยเปล่าให้  และใช้ผ้าผืนเดียวกันนั่นแหละเช็ดผมเปียกชื้นให้อย่างอ่อนโยน

                    เล็กเสียงนุ่มละมุนกระซิบแผ่ว กลัวหรือเปล่า  หนาวไหม

                    เลอมานพยักหน้าแทนคำตอบ  กระชับผ้าผวยแนบตัว  เปราะบางเหมือนแก้วจนอาจารย์อดใจไม่ได้ที่จะรั้งศีรษะเล็กเข้ามาแนบอก  หากหยดน้ำจากเสื้อเขาสร้างรอยชื้นให้ร่างเล็กตัวสั่นขึ้นมาอีก  คนึงตัดสินใจสลัดมันออกทันที  

                    ไม่เป็นไรนะ  ครูอยู่นี่  ครูอยู่กับเล็กเสียงห้าวปลอบประโลม  มือใหญ่ลงแรงยีผ้าผวยกับหลังไหล่ขาวสะอาดเพื่อหวังให้เด็กหนุ่มอบอุ่นขึ้น  ผ้าผวยเพียงผืนเดียว  เขาสละให้เลอมานทั้งหมด  เขาก็หนาว.. แต่เขาทนได้ 

                    อาจารย์รัดอ้อมแขนกระชับร่างน้อยแน่นขึ้น  ส่งกระแสไออุ่นถ่ายทอดทางเลือดเนื้อ  อาการสั่นสะท้านของเลอมานค่อยทุเลาลงแล้วเชียว  ทว่าเมื่อสายฟ้าแลบปลาบ  ก่อนติดตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่ากึกก้อง  คุณชายก็สะดุ้งสุดตัว  แขนเรียวผวากอดรัดร่างกำยำไว้จนแน่น

                    “ฮือ..ผมอยากกลับบ้าน..น้ำตาที่แห้งไปแล้วรินไหลลงมาอีก  คนึงกอดลูกนกของเขาเอาไว้เต็มอ้อมแขน  ไม่เหลือช่องว่างใดระหว่างกัน  ทั้งกายและใจ.. มือใหญ่ลูบผมเปียกชื้น  ไล้รอยน้ำตาให้  กระซิบถ้อยคำปลอบประโลมข้างใบหูเล็ก

                    แล้วอะไรกันหนอดลจิตดลใจ  ความรัก.. ความหลง.. ความสงสาร.. หรืออะไรบางอย่างที่แม้คนึงเองก็ไม่อาจหาคำตอบ  ร่างบอบบางในอ้อมกอด  มีเลือดเนื้อ  มีอุ่นไอ  มีความโหยหาแทรกมาในมวลอากาศหนาวเหน็บ 

                    ริมฝีปากอุ่นจรดลงบนเรือนผมสีอ่อน.. ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..   

                    หน้าผาก  เปลือกตา  ปลายจมูกโด่งรั้น  สองแก้มนิ่มเย็น  ไม่มีตรงไหนไม่ถูกชิมรส  ไม่มีตรงไหนไม่หวานละมุน  โดยเฉพาะกลีบปากอิ่มนุ่ม  หวาน.. ดั่งน้ำตาล

                    อาจารย์..เลอมานครางแผ่ว  คำเดียวสั้นๆ  ฉุดกระชากสติคนึงกลับคืนมาทั้งหมด  ใบหน้าที่โน้มลงซุกไซร้ซอกคอขาวชะงักกึก 

                    เหมือนถูกใครตบหน้าฉาดใหญ่เขาทำบ้าอะไรลงไป!

                    คนที่อยู่ตรงหน้า  เป็นศิษย์  เป็นหม่อมราชวงศ์  เป็นเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ที่ข้ามฟ้ามาให้เขาดูแลปกป้อง 

                    ในสถานการณ์เช่นนี้  เขาควรทำแบบนี้หรือ

     

                    ต้องรีบหยุดก่อนที่จะหยุดไม่ได้

     

                    เลอมานประหลาดใจไม่น้อย  เมื่อจู่ๆ อ้อมแขนอุ่นล้ำที่ซุกกายอยู่ผลักไสเขาออกอย่างรวดเร็ว  ชั่วขณะที่ฟ้าแลบสว่างโพลน  เขาเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่ายแจ่มชัด  ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก  อาจารย์ก็ลุกหนีออกไปนั่งเสียไกลที่อีกฝั่งกระท่อม 

                    ทำราวกับเขาเป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจ

                    อาจารย์ร่างเล็กขยับเข้าไปหา    

                    แต่เสียงห้าวก็ตวัดฉับขาดรอน อย่าเข้ามา

                    “อาจารย์..ความกลัวทำให้เขาไม่เชื่อฟัง  แต่แล้ว..

                    “บอกว่าอย่าเข้ามา!” อาจารย์ตะคอกกลับมา  ท่ามกลางความมืด  เลอมานไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบไหน  เพียงแค่เสียงห้ามไร้เยื่อใย  ก็ทำให้ใจเขาแทบสลายลง  ยอมถอยกลับมาอยู่ที่เดิม 

     

                    เสียงอะไรที่ดั่งแว่ว  ร่วงกราวเผาะๆ  เสียงหยาดฝนที่ซึมผ่านรอยรั่วบนหลังคามุงจากหยดลงสู่พื้นฟาก  หรือเสียงน้ำตาของเขาเอง..        

                    ร่างเล็กกอดเข่าซุกกาย  อ้อมแขนอบอุ่นที่คอยปกป้องหายไปแล้ว  เหลือเพียงผ้าผวยผืนเก่าที่ไม่ว่าจะห่มคลุมอย่างไรก็อุ่นได้ไม่เท่าไออุ่นจากกายใครคนนั้น

                    เขากลัวเสียงฟ้าร้อง  กลัวพายุฝนกระหน่ำ  และที่กลัวที่สุดคือการต้องทนฟังเสียงเหล่านั้นในความมืดมิดเพียงลำพัง

                    ความกลัวนี้มีที่มา..

     

                    เมื่อก่อน.. เสียงสั่นพร่าเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ตอนผมเพิ่งเข้าโรงเรียนอีตัน เลื่อนลอย.. เบาหวิว.. คล้ายรำพันกับตัวเอง  ไม่ได้หวังให้คำพูดนี้เดินทางฝ่าเสียงฝนไปเข้าหูอีกฝ่าย  พวกรุ่นพี่..บอกว่าผมมาจากประเทศล้าหลัง.. ชอบแกล้งผมทุกวัน

     

                    เลอมานหารู้ไม่  ใครอีกคนที่ตีตนออกห่าง  ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ

     

                    แกล้งเอาแมลงสาบมาปล่อยบนเตียง  แกล้งเอาขยะมาใส่ในล็อคเกอร์ผมนัยน์ตาแดงช้ำจับจ้องแต่ปลายเท้าขาวซีดของตน  ริมฝีปากเผือดยังคงพร่ำเพ้อ มีอยู่คืนหนึ่ง.. พายุแรงเหมือนวันนี้.. พวกนั้น..

                    คนึงรอฟังด้วยใจจดจ่อ  ..ขังผมไว้ในห้องเก็บของ..คนเดียว..ผมต้องทนฟังเสียงฟ้าร้องอยู่ในนั้น.. มันมืด..มันหนาว..มันน่ากลัว”    

                    คนฟังวาดภาพเด็กชายตัวเล็กวัย ๑๒-๑๓ ตกอยู่ในวงล้อมเด็กหนุ่มฝรั่งตัวโต  ก่อนถูกผลักไสเข้าไปขังในห้อง  พวกมันทำอะไรเลอมานของเขาอีกบ้าง  แค่นึกก็ปวดอกแปลบ 

                    แล้วตอนนี้.. การที่เขาทิ้งคนกลัวฟ้าร้องให้นั่งตัวสั่นอยู่คนเดียว  จะแตกต่างอะไรกับพวกนั้น..

                    โดยไม่รู้ตัว.. ร่างสูงใหญ่ขยับกายเข้าหาทีละนิด..

     

                    “ผมต้องทำตัวเสมอกับพวกนั้น  ให้พวกเขายอมรับ.. ด้วยการดูถูกนักเรียนคนไทยด้วยกันบ้าง พูดถึงตรงนี้ก็สะอื้นฮั่กอย่างสุดกลั้น  ซุกหน้าลงกับเข่าจนเสียงที่เปล่งออกมาอู้อี้ ผมไม่ได้ตั้งใจเกลียดตัวเองที่เป็นคนไทย  ไม่ตั้งใจดูถูกเมืองไทย  ผมขอโทษ..

                    ฟ้าแลบเปรี๊ยะก่อนตามมาด้วยเสียงลั่นเปรี้ยงกึกก้อง  เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว  หวีดร้องสุดเสียงด้วยความตระหนก  วินาทีนั้นทั้งร่างถูกรวบเข้าหาอ้อมแขนอบอุ่น  กอดรัดแน่นราวกับไม่มีวันปล่อย 

                            

                    ขวัญเอ๋ยขวัญมาเสียงทุ้มกระซิบริมหู  กดจูบซ้ำๆ ที่เรือนผม  เลอมานไม่เข้าใจความหมายของคำที่อาจารย์พูดหรอก  แต่ประโยคสั้นๆ นั้นโอบกอดหัวใจเขาเอาไว้ทั้งดวง

                    ฮือ..อย่าทิ้งผมไป..แขนเล็กกอดตอบอย่างโหยหาไออุ่น  ปล่อยน้ำตาเรี่ยรายลงแผงอกล่ำสัน   

                    “ไม่ทิ้ง.. ครูอยู่นี่..ครูอยู่กับเล็กนะ..คนึงคลายอ้อมกอดออกเพื่อใช้สองมือประคองใบหน้าเล็กไว้อย่างทะนุถนอม  ปลายหัวแม่มือเกลี่ยไล้รอยน้ำตา  แตะลงกลีบปากอิ่มร้อนผ่าว   

                    เขากำลังอยู่ที่นี่  ตรงนี้  มีชีวิต  เลือดเนื้อ  ลมหายใจ  มีใครคนหนึ่งกำลังเปิดเผยซอกมุมเร้นลับกับเขาหมดใจ

                    แทบไม่รู้ตัวยามโน้มใบหน้าลงชิมรสหวานจากริมฝีปากสั่นระริก 

                   

                    ดั่งฉายภาพซ้ำ  เหตุการณ์เมื่อครู่ไหลวนคืนมาอีก  หากไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

                    อาจารย์คนึง วนาสัยและหม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่า.. จูบนั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล 

     

      

                พายุแห่งแรงสวาทปรารถนา

                ได้พัดพาเพลงแผ่วพรแว่วหวาน

                ฝนน้ำค้างพร่างพรูสู่วิมาน

                เริงสำราญระหว่างห้วงสองดวงใจ**

     

                    ........................

     

                    คนึงเคาะไม้เรียวในมือลงพื้นอย่างใช้ความคิด  คิ้วเข้มขมวดมุ่น  บรรยากาศในห้องเรียนอึมครึมเหมือนท้องฟ้าขมุกขมัวภายนอก  นักเรียนทั้งห้องเงียบกริบ  มีเพียงเสียงไม้เรียวเคาะพื้นดังก๊อกๆ  แสนอึดอัดและกดดัน

                    แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กนักเรียนตรงหน้านี่จะไม่สะทกสะท้านสักนิด 

                    ทำไมมาสายเสียงห้าวถามห้วน  ดวงตาสีเข้มเคร่งเครียด 

                    “ไปธุระครับจินดาตอบกลับมาสั้นๆ  ใบหน้าหวานคมเรียบเฉย  ดวงตาคู่สวยมองสบมาแน่วแน่  ชายหนุ่มพยายามมองหาความเกรงกลัวในแววตาคู่นั้น  แต่กลับไม่พบแม้เพียงเศษเสี้ยว 

                    พบเพียงความอวดเก่ง  ถือดี

                    “ธุระอะไร

                    “เรื่องส่วนตัวครับคำตอบแทบจะในทันที  ยังคงสู้สายตาไม่ลดละ 

                   

                    คนึงลอบกัดฟันกรอด  กำไม้เรียวในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว  สายตาตำหนิสำรวจอีกฝ่ายหัวจรดเท้า  เด็กหนุ่มตรงหน้า.. จินดา  นักเรียนในความดูแลของเขาคนนี้  ร่างเล็กผอมบางอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดอกจำปาที่มีรอยปะชุนสองสามแห่ง  กางเกงขายาวสีกากีเก่าจนซีด  ผมเผ้าแม้ไม่ถึงกับยาวรุงรังแต่ก็ถือว่าผิดระเบียบ  ไม่รู้ว่าไม่มีเงินค่าตัดผมหรือจงใจทำตัวเป็นกุ๊ยกันแน่ 

                    แล้วนั่น.. ประกายอะไรในแววตา  ก้ำกึ่งกันระหว่างความเด็ดเดี่ยวและโอหัง  มีรอยบาดบางๆ บนแก้มขาว  มือข้างหนึ่งก็พันผ้าพันแผล  ดูท่า.. คงไม่พ้นไปหาเรื่องต่อยตีกับใครมา 

                    คนึงพิพากษาในใจ  พวกดื้อเงียบ  เด็กพวกนี้จัดการยากกว่าพวกเกะกะเกเรเสียอีก

                    ความจริง  การเรียนของจินดาถือว่าพอใช้  แต่ที่ต่ำติดลบคือระเบียบวินัย  ขนาดเป็นแค่นักเรียนครูยังมาเข้าเรียนสายเป็นชั่วโมงได้ทุกวัน  แถมบางคาบยังนั่งหลับต่อหน้าต่อตาเขาในห้องเรียน  ถ้าจบออกไปเป็นครู  จะดูแลสั่งสอนนักเรียนได้หรือ

                    คนเคร่งครัดอย่างเขาต้องสั่งสอนให้หลาบจำ

     

                    ไม้เรียวฟาดลงสะโพกนักเรียนตัวเล็ก ๑๐ ที  เขานึกทึ่งนิดหนึ่งที่จินดาไม่ส่งเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดสักนิด  ขณะที่พวกนักเรียนคนอื่นถึงกับครางอือเหมือนเจ็บแทน

                    จากนั้นมือใหญ่เปิดลิ้นชัก  คว้ากรรไกรคมกริบมายืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม  ดึงปอยผมที่ยาวระใบหูออกมาแล้วตัดฉับจนแหว่ง  เสียงคมกรรไกรบั่นเส้นผมนิ่มดังฉับอยู่ในความเงียบงัน  มีความตื่นตระหนกอยู่ในดวงตาคู่สวยแวบหนึ่ง  ก่อนเส้นผมที่ถูกตัดร่วงละลิ่วลงพื้น

                    นักเรียนทั้งห้องส่งเสียงฮือฮา  บางคนถึงขั้นลูบผมตัวเองอย่างเสียวไส้  อาจารย์ผู้เข้มงวดยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น  กรรไกรในมือยังคงทำหน้าที่ของมัน  ตัดปลายผมที่ยาวผิดระเบียบออกอีก ๔-๕ จุดจนทั้งหัวจินดาแหว่งวิ่นเหมือนหนูแทะ 

                    จินดาไม่ขัดขืน ไม่โอดครวญอะไรเลย  จนกระทั่งคนึงถอยออกมาพิจารณาผลงานตัวเอง 

                    หวังว่าพรุ่งนี้จะเห็นเจ้าเด็กดื้อเงียบในทรงผมที่ถูกระเบียบ 

     

                    ชายหนุ่มเห็นเงาตัวเองฉายชัดในดวงตาคู่สวยที่คลอรื้น  แต่เขาไม่สนใจ  กลับยิ่งหงุดหงิดเสียมากกว่า  เป็นผู้ชายทั้งแท่ง  โดนลงโทษแค่นี้อย่ามาบีบน้ำตาเหมือนผู้หญิงหน่อยเลย

                    ความจริง.. แค่นี้มันยังน้อยไป  

                    “ถ้าไม่อยากเรียนนัก  คาบนี้ก็ไม่ต้องเรียน เขาสั่งเสียงกร้าว  ชี้ไปที่สนามหน้าโรงเรียน ดวงตายังไม่คลายความโกรธลงเลย ไปวิ่งรอบสนาม ๑๐ รอบ

                    นักเรียนทั้งห้องฮือฮากันขึ้นมาอีกครั้ง 

                    “ครับแต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับตอบรับสั้นๆ  ก่อนวิ่งตื๋อออกไปวิ่งรอบสนามอย่างยอมรับความผิด

     

                    คนึงดึงความสนใจนักเรียนที่เหลือด้วยการสอนหนังสือดังเดิม  นาน.. นานเท่าไรก็ไม่รู้ได้  นาน.. จนเขาเกือบลืมไปแล้วว่ามีเด็กนักเรียนคนหนึ่งถูกลงโทษให้วิ่งรอบสนามอยู่ข้างนอก

                    จนกระทั่งฝนตกลงมาดังคาด  เทกระหน่ำมืดฟ้ามัวดิน  นักเรียนฝั่งริมหน้าต่างลุกขึ้นปิดหน้าต่างวุ่นวาย  อาจารย์หนุ่มออกไปยืนหน้าห้อง 

                    ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเจ้าเด็กดื้อคนนั้นยังวิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝน  ท่าทางโผเผอ่อนล้าเต็มที  มองจากชั้นสองตรงนี้  ร่างนั้นราวกับจุดเล็กๆ จางๆ กลางใยแก้วนับหมื่นสาย 

                    เพื่อนๆ ในห้องพากันมาชะโงกดูอย่างห่วงใย

                    อาจารย์..คือ..นักเรียนคนหนึ่งอ้อมแอ้มเรียกเขา  พอดวงตาดุๆ หันไปมองก็ทำท่ากลัวจนหัวหด  แต่ก็ยังตั้งใจพูดสิ่งที่อยากพูด จินดา..ตั้งแต่เช้ามืด..เขาไปรับจ้างตัดหญ้าแฝกให้พ่อผม  ผมเป็นคนจ้างเขาเอง  เห็นว่าเขาไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม  ผมก็เลย..

                    คล้ายมีค้อนหนักๆ ตีกลางแสกหน้า

                    แล้วทำไมไม่พูด

                    “ก็.. ก็อาจารย์น่ากลัว  ผมก็เลย..

     

                    ไวเท่าความคิด  อาจารย์หนุ่มวิ่งฝ่าสายฝนตรงไปยังร่างที่เดินสะโหลสะเหล  หากพอเห็นเขา  จินดาก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง..วิ่ง..และวิ่ง  วิ่งไปทั้งที่หอบเหนื่อยจนตัวโยน 

                    “จินดากลับเข้าห้องเดี๋ยวนี้!” มือใหญ่กระชากต้นแขนขาว  ร่างเล็กเปียกปอนไปทั้งตัว  เสื้อบางเฉียบแนบเนื้อ  เท้าเปล่าเปื้อนโคลนเฉอะแฉะ

                    “ยังเหลืออีก ๖ รอบเสียงแหบพร่าตอบกลับมา  ซ้ำยังออกแรงผลักเขาออกห่างแล้วตั้งหน้าวิ่งต่อไป  คนึงใจหายวาบ  เส้นรอบสนามเป็นระยะทาง ๔๐๐ เมตร จินดาวิ่งมา ๔ รอบแล้ว.. งั้นก็..

                    “พอแล้วครูบอกให้กลับเข้าห้อง!” คนึงปราดเข้าไปหาอีกครั้ง  หากร่างเล็กกลับทรุดฮวบลงต่อหน้าต่อตา จินดา!”

                    คนตัวโตวิ่งไปยังร่างที่นอนคว่ำหน้าสิ้นสติกับพื้นดินเจิ่งน้ำ  จินดา!” เขาพลิกร่างบอบบางขึ้นทันที  หากใบหน้าขาวซีดที่เห็นกลับทำให้เลือดในกายทุกหยดเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง

                    เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน  ขนตายาวเป็นแพทาบแก้ม  จมูกโด่งเชิดรั้น  ริมฝีปากบางเฉียบซีดเผือดไร้สีเลือด

     

                    นี่.. ไม่ใช่จินดา..

     

                    เล็ก!” คนึงตะโกนก้อง  ร่างน้อยแน่นิ่งราวไร้ลมหายใจ  ไม่ว่าเขาจะเขย่าหรือพร่ำเรียกเท่าไรดวงตาคู่นั้นก็ไม่ลืมขึ้น ไม่จริง.. เล็กเล็ก!”

                    มันเจ็บเหมือนมีใครมากระชากหัวใจเขาหลุดจากขั้ว 

     

     

                    “เล็ก!” ชายหนุ่มตะโกนสุดเสียง  เอื้อมมือคว้าไขว่ในอากาศไม่รู้ตัว

                    หืม..เสียงเล็กครางงัวเงียอยู่ใกล้ๆ  พลันนั้นคนึงสะดุ้งลืมตาโพลง

     

                    เลอมานนอนซบอิงอยู่ในอ้อมกอด  ดวงตาคู่ใสมองมาตาแป๋ว  กลีบปากสีเรื่อคลี่ยิ้มน้อยๆ  คนึงเหลียวมองรอบตัว  เช้าแล้ว.. แสงแรกของวันใหม่ทอสายเข้ามาตามช่องว่างข้างฝา  เสียงไก่ขันดังแว่วอยู่ไกลๆ 

                    ฝันไปหรือนี่!?

     

                    “ฝันร้ายหรือครับเด็กหนุ่มในอ้อมกอดถามอย่างห่วงใย  มือนุ่มนิ่มเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายเต็มหน้าผากให้  ชายหนุ่มกลับคืนสู่ความจริงเต็มสติ  ความห่วงหาแล่นพรูจับหัวใจ  คว้ามือน้อยนั้นมาจูบซ้ำๆ  ก่อนรวบร่างขาวผุดผาดเข้ามาแนบอก  ราวกับจะตอกย้ำความจริง  ขับไล่ฝันร้ายที่ทำเอาใจหายวาบ  ร่างเล็กในอ้อมกอด มีเลือดเนื้อ มีอุ่นไอ ไม่ได้เย็นชืดอย่างในความฝัน  พรมจูบลงขมับชื้นเหงื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า   

                    ความใคร่มลายหายไปแล้ว  เหลือเพียงความอบอุ่น อ่อนหวานโอบพันรอบดวงใจจนเต็มตื้น     

     

                    เลอมานเงยหน้าจูบปลายคางคนึง  มองริมฝีปากที่คลี่ยิ้มด้วยความหลงใหล  รัดเขาอีกแน่นๆ เหมือนเด็กที่รู้แล้วว่าได้กลับบ้าน  มอบให้เขาไปหมดแล้วทั้งตัวและหัวใจ  ใส่พานประคองรองดอกไม้ยื่นให้  ดีใจเหลือเกินที่อาจารย์ไม่ปัดทิ้ง  หากกลับทะนุถนอมวางแนบไว้ข้างหัวใจ 

                    ดอกรักงอกงามขึ้นมาแล้ว  ง่ายแสนง่าย  เหมือนหยอดเมล็ดลงดินในช่วงสองสามอาทิตย์แล้วผลิกิ่งก้านใบ  หลับลงอีกไม่กี่คืน  ดอกไม้สวยหอมก็เบ่งบานรับอรุณ 

     

    ***************************

     

                    เช้าวันนั้น  อาจารย์อุ้มเขาลัดเลาะออกมาที่ริมคลอง  ใจเขาอยากเดินเองแต่ไม่รู้เรี่ยวแรงหดหายไปไหนหมด  ลมหายใจร้อนผ่าว  ลำคอแห้งผากเป็นผุยผง  รออยู่ที่ท่าไม่นานก็พบเรือชาวบ้าน  ไหว้วานให้ช่วยพาไปส่งที่โรงเรียนได้ไม่ยาก

                    เลอมานนอนซมเพราะพิษไข้อยู่สองวันสองคืนเต็ม  อย่าว่าแต่ลุกเดินเลย  แค่ขยับตัวแต่ละทีก็เจ็บระบม  ซ้ำยังแปลบปลาบตามเนื้อตัวที่เกลื่อนไปด้วยรอยจูบแดงช้ำ  ระหว่างนั้นคนึงทะนุถนอมเขาเหมือนแก้ว  เลอมานแทบไม่ต้องหยิบจับอะไร  แม้แต่เวลาจะกิน  ก็มีใครคนหนึ่งรีบร้อนจากหน้าที่การงานมาป้อนข้าวให้  ซ้ำยังคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อย่างไม่คิดรังเกียจ 

     

                    แม้ยามนอน  คนึงยังทิ้งเตียงมานอนเคียงข้าง  เด็กหนุ่มสูงศักดิ์หลับใหลอย่างเป็นสุขทุกคืนในอ้อมแขนอุ่นจัดที่คอยตระกองกอด 

                    ล่วงเข้าวันที่สาม  อาการไข้สร่างลงแล้วจนเกือบหายเป็นปกติ  แต่อาจารย์ก็ยังไม่ยอมให้เขาออกไปไหน  ฝ่ายนั้นให้เหตุผลว่า  เขายังไม่หายดี ไม่อยากให้ออกไปต้องแดดต้องลม  แต่เลอมานพอจะเดาออกว่าอีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะรอยรักที่เริ่มห้อเลือดจนเปลี่ยนเป็นสีม่วงรอบลำคอเขามากกว่า  อาจารย์ถึงต้องให้สวมเสว็ตเตอร์ปิดคอไว้ยามที่มีใครมาเยี่ยมเยียน      

                    มีไม่กี่คนหรอกที่มาเยี่ยมเขา  นับนิ้วได้ก็มีอาจารย์ใหญ่และภรรยา  อาจารย์ประพนธ์  สง่า สันติและจ้อย  อ้อ.. อาจารย์วิรัชก็มาด้วยแต่ดูเป็นห่วงเป็นใยเขาเกินจริงอย่างไรพิกล

     

                    เช้านี้หม่อมราชวงศ์หนุ่มได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องเสียที  หลังจากอยู่แต่ในห้องมาตั้ง ๓ วัน  รอยจูบที่คอก็จางลงจนแทบมองไม่เห็นแล้ว  เขาจึงมาขลุกอยู่กับพวกจ้อยที่ชมรมกสิกรรมตามความเคยชิน 

                    ช่วงที่นอนป่วยโดยที่ไม่มีคนึงอยู่ใกล้ๆ ช่างน่าเบื่อหน่าย  เลอมานฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือ  ต้องเป็นหนังสือภาษาไทยด้วยเพื่อฝึกปรือ  เด็กหนุ่มจึงได้รับรู้เรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง 

                    ชื่อคนไทยนั้นมีความหมายต่างๆ มากมี  ไม่เหมือนชื่อฝรั่ง  

     

                    ณ แปลงผักกาดเขียวสด  สายลมพัดโชยไอเย็นจากคลองมากระทบใบหน้า  หอมกลิ่นดินชอุ่มฝน  แดดเช้าสาดมาตามคาคบใบมะม่วง  เป็นสายแสงเรืองรองจรดพื้นดิน  ห้องเรียนภาษาไทยที่สวยที่สุดของเลอมานก่อตัวขึ้นตรงนั้น

                    สันติแปลว่าอะไรเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ในเสื้อโปโลกางเกงขาสั้นเอ่ยถามเจ้าของชื่อ  ละมือจากการเด็ดวัชพืชจากแปลงผัก  เงยใบหน้าหมดจดขึ้นถามตาแป๋ว

                    “สันติ แปลว่า ความสงบสุข พีซสันติตอบได้ทันที  ผายมือออกเป็นวงกว้างราวกับมหาศาสดา  ดวงตาใต้กรอบแว่นกลมหลับลง  จะได้ดู สงบสุขสมชื่อ 

                    “แล้วสง่าแปลว่าอะไรเลอมานหันหาเป้าหมายต่อไป

                    สง่าสะดุ้งโหยง  เรียนภาษาอังกฤษมา ๖ ปีแล้ว แต่เหมือนไม่ค่อยจะเข้าหัว  ขอตอบเป็นภาษาไทยแทนคงไม่ผิด  มีการกระแอมเรียกขวัญเสียด้วย แปลว่า  คนที่ผึ่งผาย  น่าเกรงขาม  น่ายกย่อง  ยิ่งใหญ่  องอาจ

                    อธิบายไปก็ยืดอก กำหมัด เบ่งกล้ามอย่างนักเพาะกายไป  หารู้ไม่ว่าคำตอบนั้นทำเอาคนถามงงยิ่งกว่าเก่า    

                    “แกรนด์ แม็กซ์นิฟิเซ็นต์จ้อยหัวเราะ  เงยหน้าจากแปลงขึ้นมาตอบให้ซะเลย

                    โอ้ว เยส แกรนด์ แม็กนิฟิเซ็นต์สง่าว่าเสียงสูง  ตบมือฉาด  แล้วก็พึมพำความหมายชื่อตัวเองไปมา  แหม.. แกรนด์ แม็กนิฟิเซ็นต์  มันเท่น้อยอยู่เมื่อไร

                    แล้วจ้อยล่ะคุณชายหันหาเป้าหมายต่อไป 

                    “ก็เหมือนชื่อคุณชายนั่นละหนุ่มน้อยตอบพลางยิ้มอ่อนหวานมาให้ 

                    “หืมม์?” เลอมานงงจนคิ้วผูกโบว์  เผลอใช้ปลายนิ้วมอมแมมเกาขมับจนเลอะเป็นปื้นไม่รู้ตัว เลอมานหรือ?”

                    “ไม่ช่าย..จ้อยส่ายหัวจนผมสะบัดระแก้มใส เล็กไง  ไทนี่ไม่ตอบเปล่า  มีการจีบนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ให้ดูด้วย  สื่อความหมายว่า เล็กจิ๊ดริด

                    “อ้อ..

     

                    “เพราะตอนเกิดจ้อยมันตัวเล็กกะจ้อยร่อย  ยายช้อยเลยตั้งชื่อให้ว่าจ้อยสง่าแทรกเข้ามาสาธยายเพิ่ม  พวกเขาไปบ้านจ้อยบ่อย  ยายช้อยได้น้ำขาวไปสี่ซ้าห้าอึกก็เผาหลานรักเสียป่นเป็นผุยผง 

                    ตอนแรกจ้อยเกือบชื่อแดงแล้ว  รู้ไหมทำไมสันติเข้ามารับช่วงเป็นลูกคู่  พอเห็นคุณชายส่ายหน้า สง่าก็ตอบโพล่ง

                    “ตัวแดงแจ๋เลยน่ะสิ  แดงเหมือนลูกหนู  แม้แต่ไข่ยังแดงแปร๊ด

                    สง่า!” จ้อยเอ็ดเพื่อนเสียงเขียว  มือเล็กตบป้าบเข้าให้กลางหลังล่ำสัน  แต่อีกฝ่ายเหมือนไม่สะเทือนสักนิด 

                    “โตขึ้นมาถึงได้ขาวจั๊วะ  คุณชายรู้ไหม  เด็กแรกเกิดมันตัวแดงๆ เหมือนกันหมด  ถ้าอยากรู้ว่าโตขึ้นจะขาวหรือดำให้ดูที่ไข่เรื่องเรียนละไม่ค่อยเอาความ  ทีเรื่องลามกจกเปรตละของถนัดของสง่าล่ะ  ถ้าไข่แดงก็ขาว  ถ้าไข่ดำก็ดำ  อย่างผมนี่ไง  ตอนเด็กตัวขาวจั๊วะ  ไข่ดำปี๋  โตขึ้นมาก็อย่างที่เห็นนี่แหละ

                    “ไข่?” คุณชายไม่เข้าใจที่สง่าพูดสักคำ  ไข่แดงไข่ขาวไข่ดาวไข่เจียวอะไร  ไม่เห็นรู้เรื่อง!

     

                    “ไข่อะไรหรือจ้อยคุณชายถามจริงจัง  ซีเครียดเลยเชียวล่ะ

                    จ้อยกับสันติมองหน้ากัน  แล้วนายสี่ตาคงแก่เรียนก็เป็นคนตอบอ้อมแอ้ม เอ่อ..อัณฑะ

    คนถามยิ่งทำหน้างงหนักเข้าไปใหญ่   

                    “เทสทิสจ้อยสงเคราะห์ตอบให้เป็นภาษาอังกฤษ  ตอบโดยไม่สบตา  เอาแต่ก้มหน้าดึงหญ้างุดๆ  ก็เลยไม่ได้เห็นดวงตาคู่สวยค่อยๆ เบิกกว้าง  เลือดสูบฉีดจนแก้มขาวซับสีเลือด  ก่อนแดงเถือกไปถึงใบหู 

                    ถ้ายายช้อยมาเห็นคงอุทาน หน้าแดงเป็นตูดลิงเชียวพ่อ!’

     

                    ไฮ้ นั่นมันเอกพจน์  ไข่อยู่เป็นคู่  เป็นพหูพจน์  ต้องเทสทีสสส์ สง่าม้วนลิ้นออกเสียงสำเนียงฝรั่งด้วยลีลาเหมือนมีหนอนแก้วนอนกกอยู่ในปาก  เล่นเอาจ้อยคันไม้คันมือ  นึกอยากเอาปุ๋ยคอกยัดปากเพื่อนขึ้นมาตงิดๆ  ทีเรื่องพรรค์นี้ละฉลาดนัก 

    ครานี้  เลอมานเลยได้ศัพท์ใหม่เพิ่มมาอีกคำหนึ่ง  จะจำใส่หัวไปจนตายเลยเชียว 

                    “อย่าเอาไปพูดกับอาจารย์เชียวนะ  เดี๋ยวโดนตีตายสันติดักคอไว้ก่อนเมื่อเห็นเพื่อนสูงศักดิ์หน้าแดงซ่าน  ตาเหม่อลอยชวนฝัน 

                    “รู้น่ะ หม่อมราชวงศ์หนุ่มตวัดเสียงฉับ  หากกลับโพล่งขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้ เออนี่  ฉันถามอีกชื่อนึงสิ  ชื่อสุดท้ายแล้ว นักเรียนกึ่งสหายทั้งสามมองมาเป็นตาเดียว  คุณชายกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก  หน้ายังแดงซ่านยามเอ่ย..

                    “คนึง.. แปลว่าอะไร

                   

                    สง่าเกาหัวแกรก  เพิ่งตระหนักรู้ว่านอกจากภาษาอังกฤษจะไม่กระดิก  ภาษาไทยของเขาก็ยังอ่อนหัดเหลือหลาย 

                    แปลว่าคิดถึง..สันติต้องเป็นคนตอบให้ 

                    “คิดถึงด้วยใจผูกพันโดยมีจ้อยช่วยขยายเพิ่ม 

     

                    ความหมายอันแสนอบอุ่นทำเอาหัวใจเลอมานพองโต    

                    ‘คิดถึงด้วยใจผูกพันอย่างนั้นหรือ

                    ใบหน้าอ่อนเยาว์ร้อนวูบ  ในอกราวกับมีดอกไม้เบ่งบาน  ริมฝีปากเรื่อคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้แปลงผักโดยไม่รู้ตัว 

     

                    แกรนด์ แม็กนิฟิเซ็นต์สง่าพึมพำความหมายชื่อตัวเอง  คุ้นๆ คลับคล้ายคลับคลา  พอนึกออกก็ดีดนิ้วเป๊าะ เดอะ แม็กนิฟิเซ็นต์ เซเว่น  เจ็ดเสือแดนสิงห์  คุณชายดูหรือยัง  ไปดูกันไหม  ฉายที่โรงเปรมประชา

                    คุณชายตาลุกวาว  เอได้ยินชื่อหนังคาวบอยในดวงใจ  นำโดยสตีฟ แมคควีน  เคยดูมาสองรอบแล้วเมื่อครั้งยังอยู่อังกฤษ  ที่ต้องดูถึงสองรอบเพราะชอบแสดงนำทั้ง ๗ คน  เหลือเชื่อว่าจะได้ดูครั้งที่สามที่นี่ 

                    เลอมานพยักหน้าหงึก  นัดแนะไปดูกันในคืนวันศุกร์  หมายมาดว่าจะชวนอาจารย์คนึงไปด้วย  ยิ่งเพื่อนสูงศักดิ์ออกปากว่าจะเลี้ยง  สง่ากับสันติยิ่งตกลงทันทีไม่รีรอ  มีแต่จ้อยที่อิดออด  อ้างว่ากลัวคุณนายกำนันจะดุ  จนคุณชายต้องเคี่ยวเข็ญกึ่งบังคับให้ไปด้วยกันให้ได้  กระทั่งจ้อยจนใจ  รับปากอุบอิบ

                   

                    สามคนที่เหลือคุยกันเรื่องหนังโขมงโฉงเฉง  หากหลานยายช้อยกลับลอบถอนใจเฮือกใหญ่  ตั้งแต่เกิดมาจ้อยยังไม่เคยไปเหยียบโรงหนังเลยสักครั้ง  เคยดูก็แต่หนังกลางแปลงตามงานวัด  มีคนมาชวนทั้งทีมีหรือจะไม่อยากไป

                    แต่ไม่รู้ว่าจะผ่านด่านคุณนายพูนทรัพย์ได้หรือเปล่าน่ะซี 

     

    *************************

                    ไม่ได้ย่ะ!”

     

                    นั่นไงจ้อยว่าแล้ว  แค่เอ่ยปากขออนุญาตไปดูหนังกับเพื่อนเท่านั้นละ  ยังไม่ทันได้อธิบายเหตุผลหรือชี้แจงรายละเอียดอะไรเลย  คุณนายพูนทรัพย์ก็ตั้งท่าปฏิเสธแล้ว

                    จ้อยอุตส่าห์คว้าช่วงเวลาก่อนมื้อเย็นเป็นฤกษ์ดี  คุณนายเอนกายอ่านนิยายกับหมอนขวาน  ส่วนกำนันก็กำลังบิมะละกอป้อนนกหัวจุกท่าทางอารมณ์ดี

                    เวลานี้แหละเหมาะ  จ้อยต้องรีบขออนุญาตก่อนไอ้สิงห์จะกลับมา

                    แต่ดูท่าจะเหลวเสียแล้ว

     

                    แหม้..ริมฝีปากเคลือบสีแดงสดแสยะยิ้มเหยียดหยัน  มองจิกหนุ่มน้อยที่นั่งพับเพียบกับพื้นหัวจรดเท้า  เป็นขี้ข้าริอ่านจะเข้าโรงหนังเรอะยะ  แกว่างนักรึไง  งานกองอยู่ท่วมหัวยังคิดจะไปเที่ยวเล่น

                    นักเรียนครูคนซื่อไม่เถียงสักคำ  ได้แต่ก้มหน้าเจียมตน  กำนันเสริมลอบถอนหายใจอยู่ไกลๆ

                    คบเข้าไปสิเพื่อนเลวๆ น่ะ  หนอย.. พากันเข้าโรงหนัง  เดี๋ยวอีกหน่อยคงพากันไปเสียผู้เสียคนสิ้นเสียงเมีย  กำนันถึงกับส่ายหัว  แม่ทรัพย์ด่าคนอื่นไม่ดูลูกชายตัวเองเล้ย

                    คุณชายเล็กเป็นคนดีนะจ๊ะวงหน้าอ่อนใสเงยขึ้นประท้วง  ป้าทรัพย์จะว่าจ้อยอย่างไรจ้อยไม่ว่า  แต่อย่ามาว่าเพื่อนรักของจ้อย

                    ไม่รู้ละ  ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้คุณนายว่าเฉียบขาด เลิกเรียนแล้วรีบกลับมาทำงาน  จะไปเที่ยวเถลไถลเหมือนใครเขาไม่ได้ อย่าลืมสิว่าแกมันไม่ได้มีพ่อมีแม่เหมือนคนอื่นเขา  จำใส่กะลาหัวไว้

                   

                    จ้อยก้มหน้าซ่อนสายตาปวดร้าว

     

                    คำว่า ไอ้ลูกไม่มีพ่อมีแม่คล้ายลิ่มแหลมที่ตอกตรึงอยู่ในใจจ้อยตั้งแต่เด็ก  ตอกย้ำความไร้ค่า ไม่เป็นที่ต้องการของใครกระทั่งพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมานานเนิ่น  เพราะถูกพ่อแม่ทิ้งไป  จ้อยจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียน  เพื่อภายภาคหน้าจะได้เป็นครูสมดั่งใจหวัง  จะได้ทำตนให้มีค่า  เป็นที่ต้องการของใครต่อใครขึ้นมาได้บ้าง 

                    แต่จ้อยไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอกย้ำดูแคลนเช่นนี้จากปากผู้ใหญ่ที่ใครต่อใครพากันยกมือไหว้

     

                    จะอะไรกันนักหนาแม่ทรัพย์กำนันเสริมตัดบทอย่างสุดทน  ส่ายหน้าเอือมระอาเต็มที  ให้เด็กไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถอะน่า  อีกอย่างครูก็เป็นเด็กดี  คงไม่ไปก่อเรื่องเสื่อมเสียที่ไหนหรอก  กดขี่ข่มเองกันเกินไปแบบนี้  ชาวบ้านรู้ถึงไหนแม่ทรัพย์นั่นแหละจะอายถึงนั่น

                    ลุงกำนันพูดแบบนี้จ้อยค่อยยิ้มออก  ความหวังเรืองรองระยิบในดวงตาใสแจ๋วเหมือนลูกแก้ว  ตาแบบนี้ละที่คุณนายเงินกูรังเกียจนัก

                    ไม่รู้ละฝันไปเถอะว่าคนอย่างคุณนายจะยอมลงให้ง่ายๆ  กำนันถือท้ายมันไปคนแล้ว  แต่ไอ้จ้อยคงลืมไปว่าบ้านนี้ยังมีคนที่เป็น นายของมันอีกคน 

                   

                    แกต้องไปขออนุญาตตาสิงห์ก่อน  ถ้าเขาให้ไปแล้วค่อยว่ากัน

     

                    ชื่อใครอีกคนที่ได้ยินเล่นเอาใจจ้อยเต้นรัวขึ้นมาจนอึดอัดไปทั้งอก  และยิ่งสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงห้าวดังมาพร้อมฝีเท้าหนักแน่นขย่มเรือน

     

                    ใครจะขออนุญาตอะไร!”

     

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

    *ชายเดียวในดวงใจ, พยงค์ มุกดา คำร้อง, สวลี ผกาพันธ์ ขับร้อง

    **สร้อยเสน่หา, อนุสรณ์ ลิ่มมณี

    มีฉากไม่เหมาะสมถูกตัดออกไปค่ะ
    ตามไปอ่านฉบับเต็มได้ คลิกที่แฟนเพจ 'จิฮิโร่และดอกไม้' ได้เลยค่า

    รักคนอ่าน

    ดอกไม้^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×