ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาหงส์ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ ๑๐ : ถ้าเธอจะรัก ฉันก็จะรอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.54K
      38
      4 ก.พ. 55

     บทที่ ๑๐

     

    ถ้าเธอจะรัก ฉันก็จะรอ

     

    ถ้าเธอตั้งใจไว้ว่าสักวัน เธออาจรักฉัน
    ฉันจะรอวันนั้นเสมอ 
    จะเก็บหัวใจไว้เพื่อสนองรักเธอ 
    อดออมรักพร้อมเสนอไว้เพื่อเพียงเธอถึงวันรอคอย 

     

    ถ้าเธอจะรักฉันก็จะรอ 
    จะไม่ย่อท้อรอจะรอมอบดวงหทัย *

     

     

                งานวัด?” ใบหน้าอ่อนใสเงยขึ้น ละสายตาจากแปลงผักกาดเขียวสด  เม็ดเหงื่อเกาะพราวตามไรผมสีอ่อน  คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น งานวัดคืออะไร?”

                “คุณชายไม่เคยไปงานวัดเรอะสันติถามพาซื่อ  ก่อนถูกสง่าเขกหัวเข้าให้ด้วยที่วักน้ำด้ามยาวจนแว่นเลื่อนจากดั้งจมูก 

                ที่เมืองนอกจะไปมีงานวัดได้ยังไงเล่า ถามแปลกๆข้อลำล่ำสันวักน้ำจากคูเล็กๆข้างแปลง รดใส่แปลงผักกาดเขียวสด  ระหัดที่เลอมานออกเงินซื้อสูบน้ำขึ้นมาหล่อแปลงได้เยี่ยม  พวกนักเรียนชมรมกสิกรรมไม่ต้องลำบากไปตักน้ำจากท่าให้มือด้านอีกต่อไป   

                งานวัด.. ก็ไปนั่งชิงช้าสวรรค์  ดูสาวน้อยตกน้ำ  มอเตอร์ไซค์ไต่ถัง  สนุกนะสง่าร่ายก่อนป้องปากพูดทั้งที่ไม่ลดเสียง  แถมยังยักคิ้วหลิ่วตา รับรองสาวๆเพียบ

     

                เลอมานกลอกตาทำท่าคิด  เขานึกภาพสิ่งที่สง่าพูดไม่ออก

     

                เทมเปิ้ลแฟร์จ้อยช่วยตอบให้  นึกขำเพื่อนที่พูดถึงงานวัดกลับนึกถึงแต่เรื่องโลกีย์  เด็กดีอย่างจ้อยน่ะต้อง.. ไปไหว้พระทำบุญ  ปิดทอง  จัดแค่ปีละครั้งเองนะครับ

     

                เรื่องที่เป็นหัวข้อสนทนาของเหล่านักเรียนโรงเรียนฝึกหัดครู รวมไปถึงชาวบ้านชุมชนตลาดยอดในระยะนี้  เห็นทีจะไม่พ้นเรื่องงานบุญที่วัดหน้าพระเมรุจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี  ระยะทางก็ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก  แค่ข้ามสะพานคลองเมืองไปประมาณ 2 กิโลเมตรก็ถึง

                ท่ามกลางวิถีชีวิตที่สงบเงียบจนราบเรียบ  งานรื่นเริงที่นานทีปีหนจะมี  เป็นธรรมดาที่ใครๆต่างพากันพูดถึงและอยากไปจนตัวสั่น  แม้แต่คนเพิ่งมาอยู่อย่างหม่อมราชวงศ์เลอมานเองก็เถอะ

                จ้อยพูดว่า Temple Fair แล้วคุณชายค่อยเข้าใจขึ้นมาหน่อย  ดวงตาคู่สวยลุกวาวเป็นประกาย  เหมือนเด็กอยากได้ของเล่น

     

                งั้นไปกันเถอะ  ไปคืนนี้เลยดีไหมเสียงใสชักชวนกระตือรือร้น  หันมองคนนี้ทีคนนี้ทีอย่างจะหาพวก

     

                จ้อยบุตรชายท่านทูตมานั่งยองๆ ช่วยเก็บผักแล้วอดอมยิ้มขำไม่ได้  มือขาวราวกระเบื้องเคลือบบัดนี้มอมแมมด้วยเศษดิน  และเมื่อยกขึ้นปาดเหงื่อก็ทิ้งคราบไว้บนแก้มเนียนใส  มอมแมมไม่ต่างอะไรกับลูกตาสีตาสาอย่างเขา

                แต่หากเมื่อพออาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่  เด็กมอมแมมก็กลายกลับเป็นหนุ่มน้อยงามสง่าอ่าองค์  ยิ่งตอนยืนสอนภาษาอังกฤษอยู่หน้าชั้นยิ่งโดดเด่น  จนจ้อยนึกดีใจที่ในโรงเรียนไม่มีนักเรียนหญิง  ไม่อย่างนั้นคงเอาแต่จ้องครูฝึกสอนรูปหล่อกันจนไม่เป็นอันเรียน

                คนอะไรจะดูดีได้ทุกกิริยาอย่างนั้น  ไม่แปลกที่ใครต่อใครจะชอบมอง คุณชายเล็กของจ้อย  ก็แม้แต่จ้อยเองยังชอบมองเลย  ว่าก็ว่า.. แม้แต่อาจารย์คนึงก็เถอะ  จ้อยสังเกตได้โดยบังเอิญ  หันไปทีไรก็เห็นสายตาอาจารย์กำลังมองคุณชายอยู่เรื่อย

               

                แน่ละ..

                ผีเสื้อแสนสวยกางปีกอยู่ตรงหน้า  ใครเล่าจะละสายตาได้

     

                แต่จ้อยชอบตอนนี้มากกว่า  ตอนที่คุณชายคล้ายผีเสื้อที่ปลดปีกออกคืนสู่การเป็นดักแด้  ตอนที่นั่งยองๆ กับแปลงผัก ช่วยเขาเด็ดผักกาดเขียวสด แต่พอคุ้ยเจอไส้เดือนก็แหกปากร้องลั่น  ตอนที่เพิ่งตื่นนอนตอนเช้า  นั่งหัวยุ่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียงรอจ้อยไปเก็บที่นอนให้  ตอนที่ถือจานข้าวสวยโปะไข่เจียว  เดินตามพวกเขามานั่งกินด้วยกันที่ท่าน้ำ  เล่าเรื่องตลกขบขัน หัวเราะกันดังก้องเวิ้งน้ำ

                จ้อยรู้สึกดีใจและภูมิใจ  ที่ได้เป็นคนหนึ่งที่ได้ข้ามผ่านกำแพงมิตรภาพของเลอมาน  ได้เห็นแง่มุมของคนถือตัวที่ใครหลายคนไม่มีโอกาสได้เห็น

     

                “นะจ้อย  ไปกันเถอะนะ

     

                อย่างตอนนี้ก็ด้วย  มือเลอะเทอะเขย่าแขนจ้อยไปมา  ดวงตาสีน้ำตาลใสเป็นประกายเหมือนเด็ก

               

                จนจ้อยนึกสงสาร  แต่เขาต้องปฏิเสธ  “จ้อยต้องช่วยยายขายขนม  ไปกับจ้อยไม่สนุกหรอก

                เลอมานทำปากอูดก่อนหันหาเป้าหมายต่อไป.. สง่ากับสันติ  สองหนุ่มมีทีท่าเลิ่กลั่กกระอักกระอ่วน

                ผมนัดกับน้องมาลี โรงเรียนฝึกหัดครูหญิงไว้แล้วสง่าว่ายังงั้น

                ผมก็..นัดกับน้องเนื้อแพรเหมือนกันสันติก็ว่ายังงี้

     

                คุณชายเซ็งเลย  มือเรียวจิ้มๆ เขี่ยๆ ใบผักกาดเล่น

     

                คุณชายลองชวนอาจารย์สิจ้อยแนะนำเสียงใส  คุณชายยิ่งหน่ายใจเข้าไปใหญ่  คนเคร่งขรึมระเบียบจัดแบบนั้น  จะมีแก่ใจพาเขาไปเที่ยวได้ล่ะหรือ 

     

    ****************************

               

                “ไม่คนึงถอดแว่นวางบนโต๊ะ  ปิดหนังสือปุบ ครูไม่ว่างถึงขนาดจะพาเราไปเที่ยวเล่นหรอกนะ

               

                กะแล้วเชียว  เลอมานถอนใจแรง  กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกัน

     

                ความจริงวันนี้เขาเจอคนึงตั้งหลายครั้ง  มีโอกาสจะขออนุญาตก็หลายหน  แต่พอจะเริ่มต้นพูดทีไร  ปอดก็ใหญ่พองคับอก  เบียดพื้นที่หัวใจจนเหลือเท่าปลาซิวทุกทีสิน่า

                รอจนค่ำ  ลมเย็นสบาย กลิ่นดอกไม้หอมพรู  กะจังหวะตอนอาจารย์อารมณ์ดีๆ  อ่านหนังสือไปอมยิ้มไป  ถึงได้รวบรวมความกล้าขออนุญาตนี่ละ 

     

                แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยอย่างนี้น่ะสิ

     

                นะคร้าบอาจารย์.. นะเสียงหวานปานจะหยด  มือเล็กเอื้อมไปเขย่าแขนล่ำสัน  ก่อนชะงักดึงมือกลับมาปิดปากเมื่อนึกขึ้นได้

                เผลอทำกิริยา ออดอ้อนเข้าใส่อย่างลืมตัวจนได้สิหนอ  แต่ขอโทษเถอะ  ในโลกนี้มีไม่กี่คนหรอกที่เขาจะทำท่าแบบนี้ให้เห็น  ซึ่งกับคนึงนี่ออกจะเป็นอะไรที่เกินคาด  หากตั้งแต่ค่ำคืนที่สองดวงใจเปิดเผยให้กัน  ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ก็ดูเปลี่ยนไปในทางที่ดี

                ในห้องน้อยริมสุดบนเรือนไม้  คล้ายมีกล้าอ่อนค่อยๆผุดขึ้น  ใบอ่อนเขียวสดแทงยอดจากเนื้อดิน  ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา  แต่สัมผัสได้ด้วยใจ  รับรู้ได้ว่ามีสิ่งสะอาดพิสุทธิ์ใสกำลังค่อยๆเติบโตงอกงาม

     

                คนึงยิ้มจาง  มองเด็กหน้าขาวตัวหอมตรงหน้า  สัมผัสอุ่นจากมือนิ่มยังทิ้งรอยไว้บนท่อนแขน 

                อ่านหนังสือให้ครูฟังก่อนอาจารย์เสนอข้อแลกเปลี่ยน  มือใหญ่ยื่นหนังสือกวีนิพนธ์ที่อ่านค้างไว้ไปตรงหน้าศิษย์  บทกวีอิงการเมืองที่อ่านอยู่เน้นเสรีนิยมและเพื่อสังคม  ไม่น่าจะมีบทไหนมีฤทธิ์ทำให้ระรื่นใจถึงขั้นกลั้นยิ้ม 

                เมื่อกี้ที่แอบอมยิ้ม  ก็เพราะเจ้าเด็กแก้มแดงๆ ที่มายืนลับๆล่อๆ ผลุบๆโผล่ๆ แอบมองเขาจากข้างชั้นหนังสือต่างหาก 

     

                เลอมานถอนใจเฮือก  แต่ก็ยอมหยิบหนังสือเล่มบางมาเปิดหน้าที่ถูกคั่นไว้แต่โดยดี 

     

                คนตัวโตเดินไปทิ้งกายลงบนเตียง  คงสบายกายสบายใจมากถึงขนาดต้องคราง อาห์..ยามแผ่นหลังสัมผัสที่นอนนุ่ม  มือแกร่งยกขึ้นหนุนหัว  ท่าทางผ่อนคลายหนักหนา

                คุณชายทำหน้ามุ่ยใส่บทกวีในมือ  ลากเก้าอี้มาใกล้เตียง  เงยหน้าขึ้นมองคนบนเตียงก็เห็นแววตายั่วล้อกับรอยยิ้มแพรวพราย

                ทำท่าเหมือนพร้อมจะขำเต็มที่  เหมือนคราวเขาอ่าน เสมอว่า เส-มอ อ่าน นาฬิกาว่า นา-ฟิ-กา”  อ่าน สามารถว่า สา-มา-รดเหมือนเมื่อคืนก่อนๆ กระมัง 

                ทีตัวเองออกเสียงตัว H ว่า เฮ็ชเขายังไม่เคยล้อสักคำ 

                จะว่าไป ถ้าจะล้อคงต้องล้อทั้งโรงเรียน  เพราะ เฮ็ชกันทั้งโรงเรียนจริงๆ 

                ไม่รู้ไปเอามาจากไหนสิน่า

     

                กว่าเลอมานจะพากเพียรอ่านจนจบบท  ก็โดนอาจารย์หักแต้มเสียจนแทบเหลือศูนย์ 

     

                ผมก็อ่านจบแล้วไง  อาจารย์จะพาไปไหมบอกกันมาตรงๆ เลยดีกว่า

                เฮ้อ.. อ่านถูกได้แค่สองคำก็อ่านผิดซะสามคำคนขี้แกล้งยังสงวนทีท่า  เล่นเอาเถิดเจ้าล่ออยู่นั่น 

                พอเถอะ  ไม่อยากพาไปก็พูดมาตรงๆคนขี้งอนปิดหนังสือปุบ  ความน้อยใจแล่นพรู  ดีนะที่เขากลืนคำพูดประชดประชัน ใช่สิ ก็ผมไม่ใช่จินดานี่ ลงคอได้ทัน  หารู้ไม่ว่าคำพูดต่อไปจะทำให้คนฟังมีอาการซะยิ่งกว่าคำพูดที่เพิ่งกลืน

                ผมไปกับพวกสิงห์ก็ได้ว่าแล้วก็ผินหลังกลับฝั่งตัวเองอย่างปั้นปึ่ง  คนที่เมื่อกี้ยังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง  ลุกพรวดเดียวโจนถึงตัวได้ยังไงก็ไม่รู้

                ไม่ได้!” เสียงทุ้มห้าวมาพร้อมมือแข็งจับหมับที่ต้นแขน ห้ามไปกับใครทั้งนั้น  เดี๋ยวครูจะพาเราไปเอง

     

                เลอมานค่อยยิ้มออก  ดวงตาใสกระจ่างหันมา  สุกปลั่งยิ่งกว่าดวงดาวบนฟากฟ้า  มือเล็กกระพุ่มไหว้ลงอกกว้าง  ก่อนฮัมเพลงหงุงหงิงกลับไปนอน 

                ดอกมหาหงส์ที่ตัดมาปักแก้วน้ำหอมแรงกว่าทุกวัน  คนึงลูบอกซ้ายที่กำลังเต้นประท้วงคลุ้มคลั่ง  อันตราย.. มีเสน่ห์เล่ห์กลใดในแววตาคู่นั้น  ปีศาจหรือเทพบุตรตัวน้อยแฝงกายซ่อนเร้น  จึงทำให้เขาใจเต้นแรง  สูญเสียความเป็นตัวเองไปได้มากมายเช่นนี้

     

    ****************************

               

                ค่ำแล้ว..

                นภาแพร้วดาษดาวสกาวใส

     

                เคยซ้อนจักรยานใครสักคนไหมเล่า  รู้สึกถึงกระแสลมที่สัมผัสแผ่นหลังไหม  เป็นลมที่ละเอียดกว่าเวลาขี่มอเตอร์ไซค์  อ่อนหวานกว่าลมจากช่องหน้าต่างรถยนต์  ได้กลิ่นมากมายหลั่งไหลเข้ามา  กลิ่นดอกไม้ที่ยิ่งดึกยิ่งหอม  กลิ่นน้ำค้างเย็นชื่น  กลิ่นสะพานไม้เก่าแก่  กลิ่นคลองเมืองที่ไหลล่องเงียบสงบราวชายชรากำลังเอนกายพักผ่อน 

                หากกลิ่นที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นกลิ่นจากแผ่นหลังกว้างตรงหน้า  เย็นชื่นหอมสะอาดจนต้องเผลอสูดเข้าปอดลึก  แม้ท้องฟ้าจะมีดาวเกลื่อนกล่นงดงามเพียงใด  ก็ไม่อาจดึงดูดสายตาเลอมานได้เท่าแผ่นหลังกว้างตรงหน้านี้เลย

                เอ้า เกาะแน่นๆ จะลงสะพานแล้วนะใบหน้าคมคร้ามเอี้ยวมาบอกยิ้มๆ  เด็กหนุ่มแทบกลั้นใจยามยื่นมือไปแตะเบาๆ ที่ช่วงเอวสอบ  ลอบยิ้มในเงาจันทร์เมื่อจักรยานตราจระเข้ที่เก่าจนหาสีเดิมไม่เจอ  พาร่างเขากระเด้งกระดอนเอนเข้าหาแผ่นหลังกว้าง

               

                อุ่น.. ซ่านไปถึงหัวใจ

     

                จักรยานคันน้อยแล่นเลียบคลองสระบัว  เสียงเครื่องไฟแว่วมาแต่ไกล  ไฟหลากสีประดับประดาเรียงรายสองข้างทาง  ยิ่งใกล้เขตวัดเท่าไรผู้คนยิ่งหนาตา 

                ดวงตาสีน้ำตาลใสแพรวพราวมองโน่นนี่รอบๆตัวอย่างสนใจ  หารู้ตัวไม่ว่าตนตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครตั้งแต่อาจารย์เลี้ยวรถเข้ามาในวัด  คนึงปัดขาตั้งจอดจักรยานใต้ต้นพิกุลใหญ่  ดอกเล็กหอมพรูร่วงหล่นติดเรือนผมสีอ่อน  ในขณะที่เจ้าตัวเอาแต่เบิกตากว้างอย่างตื่นใจ  ผู้คนมากมายราวกับรวมคนทั้งเกาะเมืองมาไว้ที่นี่  ต่างอุ้มลูกจูงหลาน  เสื้อผ้าสีสวยสด  ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส  ชิงช้าสวรรค์ตั้งตระหง่าน  ตรงนั้นมีม้าหมุน  ได้ยินเสียงปี่พาทย์จากโรงลิเกไกลๆด้วย 

                รอยยิ้มสดใสแต่งแต้มบนใบหน้าอ่อนเยาว์  ร่างเพรียวบางเดินไปหาแผงน้ำตาลปั้นสีสวยสด  หากมือใหญ่กลับรั้งแขนไว้ได้ทัน

                ไปไหว้พระก่อนคนึงปราม  เมื่อนั้นเลอมานจึงเพิ่งสังเกตว่าเขาตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนรอบตัวเพียงใด  ทุกก้าวย่างที่เดินไปโบสถ์  มีแต่สายตาจับจ้อง  บางคนมองตามเขาจนเหลียวหลัง  คุณชายยิ่งระมัดระวังกิริยา  ฝืนทำหน้าขรึมทั้งที่อยากยิ้มแทบขาดใจ

               

                เด็กๆสวมหมวกแขกทำด้วยกระดาษ  คล้องพวงมาลัยขนมปังลูกมะยม  กำลังถือดาบไม้ไล่ตีกัน ถึงกับหยุดชะงักเมื่อเห็นเขา  มือเล็กชี้ชวนกันดู

                ผิวขาวสะอาดเนียนผ่อง  ผมและดวงตาสีอ่อนกว่าใคร  แต่งตัวรึก็ไม่เหมือนคนแถวนี้  เชิ้ตแขนยาวสวมทับด้วยเสื้อกั๊กไหมพรมลายข้าวหลามตัดสีน้ำตาล  ยามเดินผ่านก็มีกลิ่นหอมๆ โชยรื่นจากตัว  ไอ้จุกไอ้แกละคงจะอดคิดไม่ได้ว่า พระเอกหนังหลุดมาจากจอผ้าใบหรือไงน้อ..

     

                ข้างพระอุโบสถมีวิหารน้อยประดิษฐานพระพุทธรูปปิดทองอร่าม  ผู้คนมากมายห้อมล้อมองค์พระ  กลิ่นธูปควันเทียนอบอวล  คุณชายกำลังมองโน่นมองนี่เพลินๆ  ช่อดอกบัวธูปเทียนก็ถูกยัดใส่มือ  ธูปนั้นจุดมาเรียบร้อยแล้ว 

                ถอดรองเท้าก่อนเสียงทุ้มบอกเบาๆ  เลอมานทำตามอย่างว่าง่าย  ถอดไปวางเคียงกันไว้ ๒ คู่

                ครูสอนศิษย์ทีละขั้นตอนจนปักธูปในกระถางเรียบร้อย  เด็กหนุ่มลูกเสี้ยวแพ้ควันธูปจนจมูกแดงตาแดงก่ำอย่างน่าสงสาร  สูดจมูกฟืดๆ ยามเอื้อมมือปิดทองเปลวบนองค์พระ

                ปิดที่มือ  จะได้ลายมือสวยๆอาจารย์แนะนำยิ้มๆ  

                หา..ลูกศิษย์ทำหน้างง  ทำท่าจะเอาแผ่นทองเปลวแปะหลังมือตัวเองซะนี่ 

                “ไม่ใช่มือเรา คนึงคว้ามือบางไว้แทบไม่ทัน  ส่ายหน้าระอา มือพระซี่” 

                อ้อคุณชายหน้าม้าน  ได้แต่หวังว่าคงไม่มีใครเห็นเขาทำเปิ่น  ขณะปิดทองที่หัตถ์พระตามที่อาจารย์บอก  ความคิดบางอย่างก็แล่นวาบ  ทองเปลวเหลืออีกสองแผ่น  เด็กหนุ่มเลือกปิดที่พระเนตรแผ่นหนึ่ง  เขาจะได้อ่านหนังสือ(ภาษาไทย)เก่งๆ  ส่วนแผ่นสุดท้าย  มือเรียวปิดลงที่พระอุระข้างซ้าย  ตรงตำแหน่งของหัวใจ

                อธิษฐาน.. ขอให้เขาได้เป็นที่รัก.. ด้วยเถิด..

     

     

                ครั้นดึงมือศิษย์ออกมาจากกลุ่มคนเบียดเสียดได้สำเร็จ  คนึงจึงเพิ่งสังเกตเห็นสะเก็ดทองเปลวติดตามหน้าผากเนียนจนระยิบระยับ 

                พอบอกว่าทองติดหน้าผาก  มือเล็กก็ลนลานปัด  ทว่ายิ่งปัดก็ยิ่งเกลื่อนหน้า  หล่นไปจนถึงเปลือกตา  หากเข้าตาไปละก็.. คุณชายเดินเที่ยวไม่สนุกแน่ 

               

                เล็ก  หลับตาก่อน  เดี๋ยวครูเอาออกให้

     

                เลอมานหลับตาลง  มือใหญ่คว้าผ้าเช็ดหน้าเนื้อนิ่ม  โน้มใบหน้าลงไปใกล้  บรรจงเช็ดเกล็ดทองที่ติดแพขนตา พลางเป่าให้อย่างแผ่วเบา

                ใครไม่รู้เดินเบียดเสียดมากระแทกหลังคนึงอย่างแรงจนเซ

                กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

                ริมฝีปากครูก็ประทับลงบนเปลือกตาศิษย์ไปแล้ว!

     

                ราวประกายไฟแล่นปลาบ  ต่างคนต่างสะดุ้งผงะ  ต่างผละออกเบือนหน้ากันไปคนละทาง  คนึงกระแอมไอ  เลอมานเช็ดหน้าเลิ่กลั่ก  เสียงผู้ชายกล่าวขอโทษขอโพยถูกกลบลบสำเนียงด้วยเสียงก้อนเนื้อในอกเต้นเหมือนรัวกลอง 

     

              ความรักดูๆก็แปลก..

              ไม่เอาพระเจ้าก็แจก..

              ให้ลองรัก        

               

                พระอุโบสถตระหง่านทาสีขาวบริสุทธิ์  หน้าบันเป็นไม้แกะสลักปิดทองรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ  เลอมานถึงกับตะลึงพรึงเพริดเมื่อเข้าไปภายใน  พระพุทธรูปประธานทรงเครื่องใหญ่สีทองอร่าม  ทั้งงดงามและศักดิ์สิทธิ์  ภายในไม่อนุญาตให้จุดธูป  เขาจึงค่อยทุเลาจากอาการแสบตา 

                อาจารย์พาศิษย์คุกเข่าพนมมืออธิษฐาน  ตามด้วยกราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง  ศิษย์มองอาจารย์.. จดจำ.. ไม่น่ายาก  แค่พนมมือ  ก้มกราบ  วางมือแตะพื้น  ไม่ยาก..

                ศิษย์ทำตามโดยพลัน

     

                อาจารย์หันมาเห็นเจ้าถึงกับสะดุ้ง

     

                ยังกะจิงโจ้เอย มาโล้สำเภา

     

                เคยแต่สอนไหว้  แต่ไม่เคยสอนกราบสักที

                คนกระโดกกระเดกกราบไม่เป็น  ถึงได้ทำบั้นท้ายโด่งจนแทบจะทิ่มหน้าคุณป้าข้างหลังอยู่แล้ว 

     

                เก็บหน่อยอาจารย์ชะโงกหน้ามากระซิบ  เมื่อเลอมานกำลังจะก้มกราบที่สอง

                ฮื๊อ  เก็บอะไรลูกศิษย์แทบโดดเหย็ง  ก้มมองพื้นล่อกแล่ก  อะไร  ผมทำอะไรหล่น

                “เก็บ..คนึงกระแอมไอ  เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแผ่ว ก้น..

                คุณชายทำหน้างง  งงจริงๆ  งงแบบไม่ได้เสแสร้ง เก็บทำไม  มันก็อยู่ของมันที่เดิมมีการยืนยันด้วยการตบปุๆ ลงเนินเนื้อให้ดูซ้ำ 

                เอาเถอะคนบอกชักปลงๆ  เดี๋ยวกลับไปค่อยสอนกันใหม่  ว่าแล้วก็ทนดูลูกศิษย์ตัวดีกลายร่างเป็นจิงโจ้โล้สำเภาอีกสองหน

     

                คุณชายมองกระบอกไม้สีแดงบรรจุแท่งไม้เล็กๆ ในมือคนึงด้วยความฉงน

                เขาเรียกเซียมซี  เอาไว้เสี่ยงทายวงหน้าคมสันยิ้มอุ่น  เขย่าห้าหกที  แท่งไม้แท่งหนึ่งก็ร่วงหล่นจากกระบอก  ทำเอาเลอมานตาโตอย่างนึกสนุก

                ครั้นพอมือใหญ่ส่งกระบอกเซียมซีให้  มือขาวเขย่าแก๊กๆ แค่สองที  แท่งไม้ทั้งกระบอกก็หกพรวดกระจายเต็มพื้นพรม  ดวงตาผิดหวังเงยขึ้นมองอาจารย์  เดือดร้อนอีกฝ่ายต้องช่วยเก็บงกๆ

                ไม่เป็นไร ลองใหม่

                ลองอีกก็หกกระจายอีก  คุณชายเงยหน้าขึ้นสบตา  ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้  คนต่อคิวยาวเป็นหางว่าว  มองมาตาเป็นกอบ 

                อาจารย์เลยแก้ปัญหา  เก็บแท่งติ้วมาคละๆรวมๆกันในกระบอก  สั่งให้เลอมานหลับตาหยิบขึ้นมา ๑ แท่ง  สิ้นเรื่องสิ้นราว

     

                คนึงได้ใบที่สอง  เลอมานได้ใบที่สิบ

     

                ใบที่สองเรอะครูชายชราเฝ้าตู้เซียมซีหัวเราะมีเลศนัย  ดวงตาสีเทาดูยั่วล้อตอนมือเหี่ยวย่นฉีกใบทำนายให้ นั่นแน่.. ร้ายไม่เบา  เห็นหงิมๆ หยิบชิ้นปลามัน

                เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ขมวดคิ้วมุ่น  ในหัวมีภาพทอดมันปลากรายที่นางนกแก้วทอดลอยแวบผ่านมา 

                ทำไมหรือลุงเขาถามแกไปจนได้ 

                เอ๊า  เก๊าะคนได้ใบที่สองน่ะพ่อเฒ่าลดเสียงเป็นกระซิบ เขาว่าจะเจอเนื้อคู่น่ะสิไอ้หนูแล้วตะแกก็หัวเราะลั่นจนเห็นฟันดำ

                ไอ้หนูยิ่งงงหนัก  ในหัวมีภาพก้อนเนื้อหมูสองก้อนวางเคียงกันบนเขียง  รอนางนกแก้วเอาไปทอดกระเทียมพริกไทย

     

                เอ..หรือสงสัยเขาจะหิว

     

                คนตัวโตเลี่ยงไปยืนอ่านใบเซียมซี  อมยิ้มอยู่คนเดียว

     

                                                    ใบที่สองต้องกันเหมือนจันทร์ฉาย 

              เปรียบกับต้นพฤกษาคราที่ตาย     แล้วกลับกลายได้เป็นเหมือนเช่นเดิม       

              ได้ผลิดอกออกใบไสวสว่าง                   ต้องน้ำค้างลมเชยรำเพยเสริม

               

                เลอมานเห็นอาจารย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  ใบหน้าอ่อนใสเขยิบเข้าใกล้  ชะโงกอ่านด้วยคนอย่างใคร่รู้  คนที่เมื่อกี้ยังยิ้มเรี่ยกลับหุบยิ้มฉับ  ขึงหน้าตึงเป็นสะดึงยามหันมาดุเขา

                เป็นเด็กอย่าอ่านหนังสือข้ามไหล่ผู้ใหญ่  มันเสียมารยาท    แล้วมือใหญ่ก็พับกระดาษแผ่นเล็กเก็บลงกระเป๋าเสื้อ  ก่อนหันมาสั่งเสียงเรียบ อ่านของเราให้ครูฟังซิ

     

                เด็กหนุ่มเบ้หน้า  นี่ออกพ้นเขตโรงเรียนแล้วเขายังถูกกวดขันให้อ่านภาษาไทยอีกหรือ  แต่กระนั้นก็ยังยอมอ่านอย่างเสียไม่ได้

                ใบที่สิบ..เหมือนหงส์ที่หลงฝูง  จะพยุงชีวิตให้ผิดที่  เข้าฝูงกาฝูงนกเค้าให้เข้าที  จะหมดศรี..เสื่อมยศศักดิ์ ไม่รักตน  เสียเพราะเพื่อนเตือนไว้ด้วยใจหวัง..

     

                เลอมานอ่านไปเรื่อยๆ  อาจารย์หนุ่มยืนฟังเพลิน  นึกชมเปาะในใจ  เจ้าเด็กดื้ออ่านภาษาไทยคล่องขึ้นเยอะ

                จนกระทั่ง..

     

                ถามเนื้อคู่ คู่เป็น..เป็น..ปากแดงเรื่อขมุบขมิบสะกด  หอ มอ อา ยอ หมาย..หมายไม้โท..

     

                ม้าย!

     

                ถามเนื้อคู่ คู่เป็นม้ายไม่ไกลนัก  เขาสม..อ่านได้แค่นั้นก็ต้องชะงัก  เมื่อมือใหญ่ดึงใบเซียมซีออกจากมือเขาดังฟึ่บ เลอมานยังตาค้าง  ยามคนึงพับกระดาษเก็บหน้าตาเฉย  ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง  แย่งกระดาษที่คนอื่นกำลังอ่านอยู่มันไม่เสียมารยาทเลยนะอาจารย์            

                ผมยังอ่านไม่จบเขาประท้วง  

                “ไม่ต้องอ่านแล้วคนร้อนตัวสั่งเสียงห้วน  เลอมานพ่นลมออกจมูกอย่างขัดใจ  แต่พอลองสังเกตดีๆ  เหมือนแก้มอาจารย์จะขึ้นสีเรื่อๆ ในแสงจันทร์นวล

                อาจารย์คุณชายตัดสินใจถามให้หายข้องใจ เนื้อคู่คืออะไร  ม้ายคืออะไร  เนื้อคู่เป็นม้ายมันเป็นยังไงหรือ

     

                คนตัวโตปวดหัวหนึบจนต้องกดหัวแม่มือนวดหว่างคิ้ว  เบือนหนีวงหน้านวลที่ลอยหน้าลอยตาถาม  ยิ่งนึกถึงกิตติศัพท์ความแม่นยำของเซียมซีที่วัดนี้ยิ่งร้อนวาบไปทั้งหน้า  รีบเบี่ยงเบนความสนใจเด็กช่างถามด้วยซุ้มสอยดาวที่มีผู้คนเนืองแน่น   

                อาศัยช่วงคุณชายแหงนดูสลากหลากสีที่ผูกไว้เต็มต้นกัลปพฤกษ์  คนที่เพิ่งตีหน้าเครียดไปหยกๆ เอาแต่ลอบยิ้มให้กับประโยคนั้นในใบทำนายเซียมซีหมายเลขสิบ 

     

              ถามเนื้อคู่ คู่เป็นหม้ายไม่ไกลนัก 

     

    *************************

     

              ..ฮัดชาสลาม  ฮัดชาสลาม  ฮัดชาสลาม สลาม สลาม สลามมานา..

    มีมาก็ต้องมีไป มีเรือใบก็มีเรือเมล์

    มีปี่ก็ต้องมีฆ้อง มีคนร้องก็ต้องฮาเฮ

    ฮัลเลวังกา ขอเชิญท่านมาชมลิเก..

     

                เสียงลิเกออกแขกดังแว่วมาจากโรงลิเกท้ายวัด  ยายช้อยชะเง้อชะแง้มองจนคอยืด  หรี่ตามองเวทีที่เปิดไฟสว่างขับฉากสีสดให้โดดเด่น  ผู้คนมากมายจับจองพื้นที่หน้าเวทีเต็มไปหมด  มองจากตรงนี้หญิงชราเห็นอาบังที่รำป้ออยู่หน้าเวทีเป็นเพียงจุดขาวเล็กๆ มัวๆ

                จ้อยกับยายช้อยพายเรือหอบข้าวของมาตั้งแผงตั้งแต่หัวค่ำ  ชื่อเสียงขนมยายช้อยเลื่องลือ  จนข้าวเหนียวปิ้งร้อนๆจากเตาถ่านขายดีเป็นเทน้ำเทท่า  ยายห่อข้าวเหนียวมาจากบ้านแล้วเอามาปิ้งที่วัด  คนซื้อจะได้กินข้าวเหนียวร้อนๆ สดใหม่ 

    แถมพ่อค้าหน้ามนก็ช่วยเรียกลูกค้าสาวๆ ได้ดีนักแล  ขายดิบขายดีจนปิ้งแทบไม่ทัน 

                จนกระทั่งลิเกออกแขกนี่ล่ะ  จ้อยเห็นได้ชัดว่ายายไม่มีกะใจจะขายแล้ว             

               

                ยายไปดูเถอะจ้ะ  เดี๋ยวหนูขายเอง เห็นยายอยากดูลิเกจนน้ำหมากย้อยแล้วอดสงสารไม่ได้  หากหญิงชรากลับส่ายหัวด๊อกแด๊ก 

                เฮ่อะ  พระเอกจมูกยังกะลูกชมพู่  สวยสู้หลานยายก็ไม่ได้ยายโบกไม้โบกมือให้วุ่น  หันมาหยิบห่อข้าวเหนียววางบนตะแกรง  แต่พอเผลอก็หันไปมองโรงลิเกอีก  

                ยายนั่งเฝ้าอย่างนี้  สาวๆ เขาจะนึกว่ามานั่งคุมหนูนะจ้อยยิ้มอย่างรู้ทัน  หยิบห่อที่ยายวางเอียงกะเท่เร่มาเรียงให้สวย ถ้ายายไม่นั่งอยู่ด้วย  ขายหมดไปนานแล้ว

                ยายนิ่งไป  มองหน้าขาวผ่องของหลาน  แล้วก็มองไปทางแม่พวกเขียวๆ แดงๆ ที่แอบชะแง้แลตาอยู่ไม่ไกล  แกหัวเราะเฮ่อะๆ อย่างสุดแสนจะภูมิใจ 

                เนื้อหอมเหมือนยายตอนสาวๆ ไม่มีผิด จ้อยเอ๋ย..

     

                ดังนั้น  พอพวกยายธรรม ยายมี ยายสะอิ้งเดินมาชักชวนไปโรงลิเก  ยายช้อยก็คว้าตะกร้าหมากเดินตามไปต้อยๆ  คุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนย้อนวัยกันไปห้าสิบกว่าปี                 

                           

                คล้อยหลังยายไม่ทันไร  ผู้หญิงก็มารุมแผงข้าวเหนียวปิ้งของจ้อยจริงดังว่า  มีทั้งสาวน้อยจากโรงเรียนฝึกหัดครูหญิง  มีทั้งสาวแก่แม่ม่าย  ที่แวะมาซื้อทีไรก็หยิกแก้มเขาเป็นของแถมทุกที  ยิ้มหวานๆ ตาหวานๆ สาวไหนเห็นเข้าก็ใจละลายทุกราย  

                แต่กลุ่มที่ลุ่มหลงเสน่ห์ของจ้อยที่สุด  คือผู้หญิงที่เตี้ยกว่าเอวจ้อยลงไป  วัยกำลังขบเผาะ ๓-๑๐ ขวบ 

                จ้อยชอบเด็ก  เพราะชอบเด็กถึงได้อยากเป็นครู  เด็กๆ ก็ชอบจ้อย  โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง  พี่จ้อยยิ้มสวย  ใจดี  ชอบแถมขนมให้เสมอ

                โดยเฉพาะ น้ำฝนลูกสาววัย ๕ ขวบของน้าแป้น คนรับใช้บ้านกำนันเสริม  แม่หนูเห็นพี่จ้อยทีไรต้องวิ่งเข้ามากอดเอวกอดแขนนัวเนียทู้กที    

                นั่นไง  แค่คิดก็มาแล้ว  จูงมือกันมาสองแม่ลูก  แค่เห็นเขาเท่านั้นเด็กหญิงก็วิ่งตุบตับทั้งเท้าเปล่ามากอดหมับจนจ้อยแทบหงายหลังตกจากเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก  เอาหน้ากลมเป็นกะโล่ทาชันเกลือกแขนเขาไปมา   

                พี่จ้อยหอมเหมือนขนมเลยปากแดงจิ้มลิ้มฉอเลาะ  วันนี้แม่หนูมาในชุดสวยที่สุดที่มี  เสื้อสีชมพูที่เก่าจนหม่น  มีรอยเปื่อยที่คอ  ผมม้าตัดตรงล้อมวงหน้าขาวเหมือนตุ๊กตา

                น้าแป้นเป็นสาวใหญ่ร่างท้วมอายุอานามปาเข้าไปจะสี่สิบ  หากเพิ่งมีลูกหลง  หน้ากลมแป้นพิมพ์เดียวกับลูกสาวค่อนขอด  น้อยหน่อยอีฝน  เมื่อกี้เพิ่งไปเกาะขาคนขายซาลาเปามาแหม่บๆ  โดนเขาไล่ออกมา  ขายขี้หน้าไหมล่ะ

                หนูน้อยหน้าม่อย  จ้อยนึกเอ็นดูระคนเวทนา  เลือกข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก ไส้กล้วยอันสวยๆยื่นให้ห้าหกห่อโดยไม่คิดเงิน     

                รักพี่จ้อยที่สุด”  มือเล็กตบแปะๆ ดีอกดีใจ  ก่อนหันไปดึงชายผ้าถุงแม่ แม่.. หนูอยากแต่งกับพี่จ้อย  

     

                คนถูกทาบทามหัวเราะจนน้ำตาไหล  มือเรียวโรยกากมะพร้าวลงในเตาเพื่อรมควันข้าวเหนียวให้หอมนวล  นี่ถ้าน้ำฝนเจอคุณชายนะ  รับรองลืมพี่แน่”  

                “เจอฉันแล้วทำไมหรือ เสียงนุ่มที่แสนคุ้นเคยมาพร้อมกลิ่นหอมประจำตัว  จ้อยเงยหน้าขึ้นเห็นวงหน้าขาวแย้มยิ้มมาให้  มือไขว้หลังโน้มตัวลงสูดกลิ่นขนมบนเตา ขายอะไรน่ะ  หอมจัง

     

                เด็กหญิงตัวกลมหันหลังขวับไปมองบ้าง   

     

              แรกพบประสบพักตร์  แน่งน้อยน่ารักนักหนา

     

                กามเทพแผลงศรรักปักอกแม่สาวน้อยดังฉึก  น้ำฝนอ้าปากค้าง เบิกตาโตมองคุณชายจนน้ำลายไหลยืด  คุณชายเอาแต่ฟังอาจารย์คนึงอธิบายให้รู้จักข้าวเหนียวปิ้งจนไม่ทันสังเกต 

                หนูน้อยยิ้มขวย อ่อนระทวยไปทั้งร่าง  กำปั้นเล็กทุบหลังไหล่พ่อค้าขนมแก้เขินดังตุบตับ  จ้อยหัวเราะร่วน หลงรักเขาตั้งแต่แรกพบเลย  พี่จ้อยอกหักซะแล้วซี

                ยิ่งพอคุณชายหันมายิ้มให้  เด็กหญิงแทบจะขดตัวม้วนเกาะติดอยู่กับหลังจ้อย 

                น้ำฝน..จ้อยถามยั่วล้อ พี่จ้อยกับพี่คุณชายใครหล่อกว่ากันจ๊ะ

                ตากลมป๊องจ้องมองเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสวย  ยิ่งเห็นดวงตาสีอำพันจ้องกลับมาอย่างกรุ้มกริ่ม  แม่สาวน้อยก็ซุกหน้ากับแผ่นหลังคนรักเก่า  สะเทิ้นอายจนหน้าแดงแปร๊ดเป็นลูกตำลึงสุก  พูดอุบอิบ พี่คุณชายหล่อกว่า

                เรียกเสียงหัวเราะได้ฮาครืน  โดยเฉพาะคนถูกชม  แม้แต่อาจารย์ผู้เคร่งขรึมยังยิ้มกว้างจนตาหยี 

     

                เลอมานขำจนท้องแข็ง  ในบรรดาคนที่เคยเกี้ยวพาเขา  แม่หนูตากลมคนนี้อายุน้อยที่สุดเลยก็กว่าได้  แถมยังใจกล้าชนิดสาวลอนดอนมาเห็นยังต้องหลบ  และที่สำคัญ  เขาไม่เคยนึกเอ็นดูคนพวกนั้นเท่าเด็กหญิงตรงหน้า 

                บุตรชายท่านทูตพิจารณาลูกสาวคนรับใช้  วงหน้าอ่อนใสไร้เดียงสาในเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งคงเคยเป็นชุดสวยของคนอื่น  เท้าเปล่าเปื้อนดิน  ไม่มีองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ จำพวกสร้อยขนมปัง อมยิ้ม สายไหม น้ำตาลปั้น กังหันลม หรือลูกโป่งสวรรค์อย่างที่เด็กคนอื่นๆ มี

                คุณชายตัดสินใจเดินไปซื้อลูกโป่งสวรรค์ที่ยืนเรียกลูกค้าอยู่ใกล้ๆ  แล้วกลับมาย่อตัวลงตรงหน้าเด็กน้อยที่ยังขวยเขินไม่หยุด  มือขาวผูกเชือกลูกโป่งเข้ากับข้อมือกลมป้อมหลวมๆ  โดยไม่ลืมกำชับ ผูกไว้จะได้ไม่ทำหลุดขึ้นฟ้าเนอะ

                น้ำฝนมัวแต่เคอะเขิน  จนนักเรียนครูอย่างจ้อยต้องทักว่าไหว้ขอบคุณหรือยัง  นั่นละ มือน้อยๆ จึงกระพุ่มไหว้ถอนสายบัว    

                   

                สายตาที่คนึงมองลูกศิษย์ตัวดีสะท้อนความอิ่มเอิบในหัวใจอย่างไม่อาจซ่อนเร้น  ดอกไม้ที่แค่คลี่กลีบอย่างไว้ตัวในตอนแรก  บัดนี้ไกวก้านแกว่งใบ  มีประกายดาวในตา  มีแสงจันทร์นวลในแก้ม 

                อาจารย์คนึงนึกอยากเป็นกระต่าย  จะได้ฝังกายในแสงจันทร์ 

     

                งอนแล้ว  ผู้หญิงหลายใจจ้อยแกล้งสะบัดหน้าหนีฉากรัก  สาละวนพลิกขนมบนเตา เบื่อเขาแล้วตัวก็อย่ามากอดเขาซี่

                “แต่พี่จ้อยน่ารักกว่าหนูน้อยเกิดสองจิตสองใจ  รักพี่เสียดายน้อง  รักคุณชายเสียดายพี่จ้อย  จะเด็ดทีเดียวเสียทั้งคู่  ครวญคิดดูอยู่ไม่นาน..

                โอ๊ย พอๆๆ ลูกคนนี้น้าแป้นยังหัวเราะคึ่กๆไม่หาย  มือหยาบกร้านจูงแขนกลมป้อม  พลางแกะข้าวเหนียวยื่นให้ลูกสาว เอ้า กินขนม จะได้โตเป็นสาวเร็วๆ

               

                สองแม่ลูกจูงกันเดินไป  จ้อยมองตามจนสุดตา  ดวงตาคู่ใสหม่นแสงลง 

     

                ภาพครอบครัวที่ได้เห็น ได้สัมผัสแม้เพียงชั่วครู่  ทำให้จ้อยอดคิดถึง ครอบครัวของตัวเองไม่ได้  ครอบครัวที่เคยมีกันอยู่สามคน  ยาย เขา และพี่จินดา   เขายังคงถวิลหาวันเก่าที่แสนสุข  ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีทางกลับคืนมาได้อีกแล้ว     

                ปีที่แล้ว  พี่ยังมางานนี้ด้วยกัน  พี่จินดาใจดี อ่อนโยน  แต่ในความอ่อนโยน  มีหัวใจที่เข้มแข็งเคียงคู่อยู่ในนั้น  มือของพี่เขียนหนังสือได้สวย พอๆกับรับจ้างตัดอ้อยได้ฉับไวคมกริบ  เสียงของพี่กังวาน สอนหนังสือได้สนุก พอๆ กับเรียกลูกค้าได้เก่งนัก

                พี่ที่น่าสงสาร  ตั้งแต่เกิดมาก็ลำบาก ทำงานหนักมาทั้งชีวิต  แม้วาระสุดท้าย  ยังจากไปอย่างอ้างว้าง  จากไปอย่างเดียวดายท่ามกลางสายน้ำเชี่ยวกรากเยียบเย็น 

     

                จ้อยคุณชายละเอียดอ่อนพอจะสังเกตเห็นความอาดูรในแววตา  เป็นอะไรหรือ

                หนุ่มน้อยปาดน้ำตาที่คลอรื้นได้ทันก่อนมันจะหยด  ตอบไปอย่างที่ใจคิด  คิดถึงพี่จินดา

     

                ชื่อนั้นทำให้ทั้งคนึงและเลอมานชะงักงัน  สองสายตาประสานกันก่อนอาจารย์เป็นฝ่ายเบือนหลบก่อน  ล่ำลาพ่อค้าขนม  แล้วเดินนำศิษย์ออกมาเงียบๆ  โดยไม่มีคำพูดใดระหว่างกัน     

     

    ****************************

               

                คล้อยหลังอาจารย์และคุณชายไปไม่ทันไร  หนุ่มๆ รุ่นน้องจากโรงเรียนห้าหกคนมาช่วยอุดหนุนข้าวเหนียวปิ้งของจ้อย  พ่อค้าทักทายยิ้มแย้มแจ่มใส  คนกันเองทั้งนั้นเลยหัวเราะพูดคุยกันครึกครื้น 

                หิวโว้ย!!” เสียงห้าวโวยวายดังลั่นมาแต่ไกล  จ้อยชะงักจนแทบทำห่อใบตองหล่น  มือเล็กกำแน่น  แค่ได้ยินเสียงก็ปวดมวนในกระเพาะจนอยากโก่งคอ 

                เฮ้ย! เกะกะโว้ย!” ลูกชายกำนันพร้อมลูกน้องสามคนเดินฝ่ากลุ่มคนเข้ามา  เหล่านักเรียนครูพากันหลีกทางให้  ใครมัวงกเงิ่นก็โดนมือใหญ่ผลักอกอย่างไม่ไว้หน้า  หลีกๆๆ หลีกไปสิวะ  ใครไม่หลีกพ่อจะแจกตีนให้กินแทนข้าวเหนียวให้หมด!”

                จ้อยเหลือบตามองแผงใกล้ๆ อย่างจะหาที่พึ่งเผื่อจวนตัว  แต่ต้องล้มเลิกความคิดเมื่อหันซ้ายก็เจอยายทองขายข้าวเกรียบว่าว  หันขวาก็เจอตาแม้นขายข้าวหลาม  เฒ่าชะแรแก่ชรากันทั้งนั้น

                ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเสียแล้ว

     

                หนุ่มน้อยจ้องหัวหน้าอันธพาลที่ย่อตัวลงตรงหน้าด้วยแววตาชิงชัง  รู้สึกว่าวันนี้ไอ้สิงห์จะหล่อเป็นพิเศษ  ผมดำสนิทหวีเรียบลงน้ำมันแทบไม่กระดิกสักเส้น  เรือนกายสูงใหญ่กำยำในกางเกงยีนส์สีเข้มและเสื้อเชิ้ตลายสก็อตที่ยกปกตั้งขึ้น  ซองบุหรี่ถูกสอดไว้เหนือไหล่ ใต้เสื้อ  ใบหน้าคมคร้ามชะโงกมาใกล้จนจ้อยได้กลิ่นแป้งน้ำหอมเย็น

     

                มันจะหล่อ จะหอมแค่ไหนก็อัปลักษณ์และเหม็นสาบนักในความรู้สึกจ้อย  ไอ้พวกหมาหมู่  พวกนักเลงชั้นต่ำที่กล้าทำระยำอัปรีย์ไว้กับเขา  ยิ่งนึกถึงค่ำคืนนั้น  จ้อยยิ่งขยะแขยงแทบขย้อน      

                ไอ้ลอย ไอ้เลิศ ไอ้หมาน หยิบขนมบนเตาไปแกะกินหน้าตาเฉย  ทิ้งห่อใบตองกลาดเกลื่อนอย่างสถุลไพร่ 

                “เหลือเยอะไหมพ่อค้าลูกชายกำนันถาม  หากดวงตาแพรวพรายนั้นกลับกระด้างลงทันควันเมื่อพ่อค้าตัวน้อยไม่ตอบคำ  ซ้ำยังมองเมินไปทางอื่นอย่างจองหอง  สิงห์กัดฟันกรอด  ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  ประกาศก้อง ที่เหลือข้าเหมาหมด!”

     

                “ไม่ขายพ่อค้าปฏิเสธเด็ดขาด  เงยหน้าจ้องตาไม่เกรงกลัว อยากกินเท่าไรก็กิน  จะคิดซะว่าทำทาน  แต่ไม่ขาย

                ให้มันรู้ซะบ้าง  ว่าจ้อยไม่เคยอยากได้อะไรของมัน  โดยเฉพาะเงิน!  

     

                คนตัวโตขบกรามแน่นจนข้างแก้มขึ้นเป็นสันนูน  เค้นเสียงลอดไรฟัน  ถ้ากูจะเอา  กูต้องได้.. ทุกอย่าง

                และแล้วสิงห์ก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด  มือใหญ่ล้วงปืนลูกโม่ยิงขึ้นฟ้า! 

               

              ปัง!!

     

                ชาวบ้านหลบกันวี้ดว้าย  เด็กเล็กร้องไห้จ้ายามนักเลงโตประกาศลั่น  เฮ้ยใครหน้าไหนกล้ามาซื้อขนมไอ้จ้อย  กูจะยิงแม่งให้ไส้แตกให้หมด!”

     

                แถมยังควักเงินห้าหกใบโยนใส่จ้อย  หนุ่มน้อยโมโหจนหน้าแดงก่ำ  จ้องมองคนตรงหน้าอย่างจงเกลียดจงชัง  ก่อนมือเล็กลนลานเก็บข้าวของ  ห่อข้าวเหนียวเอย ตะแกรงเอย เตาเอย เก็บทุกอย่างยกเว้นธนบัตรสีน้ำเงินที่กระจายเกลื่อนพื้น

     

                “มึงมานี่!” มือแข็งราวคีมเหล็กกระชากแขนผอมบางลุกขึ้น  เรี่ยวแรงมหาศาลจนจ้อยแทบปลิวหวือเหมือนกระดาษ  แต่แม้จะอ่อนด้อยกว่าในทุกด้าน  หลานยายช้อยก็สู้สุดใจอย่างไม่ยอมแพ้       

                จนกระทั่งลูกน้องสามคนตีวงล้อมเข้ามา  มือใหญ่บีบกรามเล็กแน่นจนแทบแหลกคามือ  จ้อยเจ็บจนน้ำตาคลอ  ไร้ทางสู้  หมดทางหนี  ตัวสั่นยามใบหน้าคมสันโน้มลงกระซิบเหี้ยม

                ถ้ามึงไม่ยอมไปกับกูดีๆ  กูจะให้ไอ้สามคนนี่ไปกระทืบยายมึง   

     

                เพียงประโยคเดียวจ้อยก็ยอมจำนน  ยอมปล่อยให้พวกอันธพาลลากแขนไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม 

     

                พวกมันจะพาเขาไปไหน  ยิ่งพกปืนมาด้วยแบบนี้  จะพาเขาไปฆ่าปิดปากเรื่องในคืนนั้นหรือเปล่า  หลังวัดเป็นป่าช้า  เงียบสงัดห่างไกลผู้คน  ถ้าจะมีใครถูกฆ่าตายที่นั่นก็คงไม่มีใครรู้

                อย่าหาว่าจ้อยคิดเกินกว่าเหตุ  คนชาติชั่วอย่างไอ้สิงห์มันทำได้แน่  จ้อยรู้ดี  เพราะมันเคยทำมาแล้วตอนเด็กขนาดตอนปีกขายังอ่อน  มันยังเลวขนาดนั้น  แล้วตอนนี้ที่มันปีกกล้าขาแข็ง  โผผงาดร่อนถลาไม่เกรงกลัวใคร  มันจะระยำได้สักแค่ไหน  จ้อยไม่อยากจะคิด!

     

                จ้อยหันไปทางโบสถ์  อธิษฐานต่อองค์พระในใจ  หากมันจะทำอะไร ขอร้องอย่าทำเขาถึงตาย  เขายังมียายที่ต้องดูแล  หลวงพ่อโปรดช่วยคุ้มครองให้เขารอด  เหมือนที่เคยช่วยให้เขาแคล้วคลาดมาแล้วเมื่อ ๗ ปีก่อนด้วยเถิด

     

    ****************************

               

                ตั้งแต่เดินออกมาจากแผงขนมของจ้อย  คนึงกับเลอมานก็ไม่ได้พูดกันเลยแม้แต่คำเดียว  ครูศิษย์เดินเคียงกันไปเงียบๆ  ท่ามกลางเสียงผู้คนครึกครื้นเฮฮา  ทว่าในหัวใจเลอมานกลับอ้างว้างนัก

                เหลือบมองร่างสูงใหญ่ข้างๆ  ใกล้กันแค่คืบแท้ๆ  แต่ในความใกล้  เด็กหนุ่มเห็นกำแพงก่อกั้นขึ้นมาอีก  หาใช่กำแพงอคติเช่นในครั้งแรกๆที่รู้จักกัน  แต่เป็นบางสิ่งที่งดงามพิสุทธิ์กว่านั้นมาก  มากเสียจนคุณชายไม่กล้าแม้แต่จะคิดทลายมัน

                เล็ก..จู่ๆอาจารย์ก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบระหว่างกัน  เรียกทั้งที่ไม่หันมามองหน้า  สองขายังก้าวเดินช้าๆ รู้จักจินดาใช่ไหม

                คำถามนั้นทำให้คนฟังนิ่งงันไปเสี้ยววินาที  ได้แต่ก้มหน้าตอบแผ่วเบา ครับ

                ปีที่แล้ว  ครูกับเขายังมาไหว้พระด้วยกันอยู่เลย  แต่ไม่ได้เดินเที่ยวกันอย่างนี้หรอกนะ  เขาต้องรีบไปรับจ้างล้างชาม  ตอนนั้นเขาเป็นแค่นักเรียนครู  ยังไม่มีเงินเดือน  งานสุจริตอะไรที่ทำแล้วได้เงิน เขาทำหมด  เด็กตัวนิดเดียว  ต้องเลี้ยงยาย เลี้ยงน้อง  ทำงานไปด้วย  เรียนไปด้วย

                เด็กหนุ่มสูงศักดิ์เจ็บยอกในอก  สายตาอาจารย์ยามเอ่ยถึงใครคนนั้นช่างเรืองรอง หากเคลือบไว้ด้วยความโหยหาอาลัย  แหงนหน้ามองฟ้าคล้ายพูดกับแสงดาวเบื้องบน  ริมฝีปากหยักยิ้มอ่อนโยน

                “รู้ใช่ไหมว่า.. เขากับครู..

                เท้าที่ก้าวตามต้อยๆเริ่มล้าแรงลง  ครับ

                อาจารย์หยุดเดิน  มืออุ่นจับท่อนแขนเรียวเอาไว้แน่น  ดวงตาสีเข้มอบอุ่นจ้องลึกราวจะแทรกซอนให้ถึงหัวใจ

                ตอนนี้.. ครูคง..ยังมีใครไม่ได้ มือใหญ่เพิ่มแรงบีบแน่นขึ้น เล็กเข้าใจใช่ไหม

     

                การพยักหน้าตอบผู้ใหญ่นั้นไม่สุภาพ  เลอมานรู้อยู่เต็มอก  แต่ตอนนี้ลำคอเขาตีบตันเกินกว่าจะเอ่ยวจีใดออกไป  ทำได้เพียงก้มหน้าซ่อนความรู้สึกในแววตา  พยักหน้าให้กับปลายเท้าตัวเอง   

                คนึงยิ้มจาง  มือที่ยื่นไปหมายจะไล้แก้มเนียนชะงักนิ่งเมื่อคิดถึงสถานที่อันไม่เหมาะไม่ควร  จึงเปลี่ยนเป็นวางมือลงบนศีรษะทุยสวย  ลูบเรือนผมนุ่มแผ่วเบา 

     

                “เล็กหน้าซีดๆนะ  หิวน้ำไหม”  เสียงทุ้มนุ่มถามขึ้นอย่างห่วงใย  เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอันแสนอึดอัดได้ง่ายดาย  เลอมานเงยหน้าขึ้นสูดจมูกลึก  พยายามยิ้ม  พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ 

                ผมอยากดื่ม.. ที่อาจารย์ซื้อให้ตอนไปกรุงเทพลูกแก้วสีน้ำตาลใสกลอกขึ้นอย่างใช้ความคิด เรียกอะไรน้า.. คล้ายๆ.. อเมริกาโน่..

                “โอเลี้ยง”  คนึงหัวเราะ  ก่อนกำชับ เราอยู่นี่ละ  เดี๋ยวครูจะไปซื้อให้” 

     

                ร่างสูงใหญ่เดินจากไปได้แค่สองสามก้าวก็ชะงัก  หันหลังเดินกลับมา  กุมมือน้อยกระชับ  คลี่ยิ้มจางๆ  ดวงตาคมเข้มทอประกายอ่อนเอื้อในแสงจันทร์นวลยามเสียงทุ้มกระซิบ  รอครูนะ

                เลอมานยิ้มเรื่อ  พยักหน้ารัว  ดวงตาคู่สวยเปล่งประกาย  ผมรออาจารย์ได้เขาตอบอย่างฉะฉานมั่นใจ นานเท่าไรผมก็จะรอ

     

                ผู้ชายสองคนจับมือกัน  ไม่มีใครสนใจหรอก  ถ้าเป็นผู้ชายกับผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง  ยิ่งเป็นครูกับศิษย์ด้วยแล้ว  ใครเห็นก็มองว่าศิษย์นั้นน่าเอ็นดู  ครูหรือก็มีเมตตา  แค่จะจากไปซื้อน้ำยังล่ำลาอาลัยกันด้วยใจห่วง 

     

                หารู้ไม่ 

                คำพูดนั้นเป็นความหมาย  เป็นคำมั่น  เป็นสัญญา  ที่ตราตรึงซึ้งสลักอยู่ในสองดวงใจ

                ไม่มีใครอื่นใดล่วงรู้!

     

                ยกเว้นไอ้ลอยที่ยืนกอดอกอยู่ข้างซุ้มยิงปืน  หยักยิ้มเจ้าเล่ห์  นัยน์ตาแพรวพรายมองมายังทั้งคู่อย่างมีเลศนัย

     

               

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

     

    * ถ้าเธอจะรัก ฉันก็จะรอ, พร พิรุณ คำร้อง, โฉมฉาย อรุณฉาน ขับร้อง


    กลับมาอัพต่อแล้วค่ะ
    ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนานเลย 

    ดอกไม้
    ๔ ก.พ. ๒๕๕๕

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×