คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่่ ๓ : คมตาฟ้าซื่อสื่อรักโลมใจ
บทที่ ๓
คมตาน้องแก้วสบแล้วไยเมิน
บาดใจเหลือเกินทรวงพี่เผชิญความขม
ตราตรึงซึ้งอยู่สู้เพียงคิดข่ม
ตางามซ้ำบ่ม อกตรมขมขื่น ดึกดื่นทุกคืนคอยใฝ่*
แปดโมงครึ่ง โรงเรียนสั่นกระดิ่งเรียกนักเรียนหนุ่มอายุระหว่าง ๑๖-๑๘ ปี กว่า ๕๐๐ คนออกมายืนเข้าแถว แต่วันนี้แตกต่างจากทุกวันเมื่อมีกลุ่มจิ๊กโก๋ประจำหมู่บ้านมาจับกลุ่มคุยกันลั่นใต้ร่มหูกวางข้างสนาม
“พิลึกว่ะไอ้ลอย” ลูกชายกำนันเสริมบ่นปากเบ้ พัดหมวกปีกในมือไปมาระบายความร้อน “ถ้าเป็นโรงเรียนหญิงก็ว่าไปอย่าง แต่นี่อะไรวะ มาเฝ้าออกันในโรงเรียนชาย หันไปทางไหนก็มีแต่ผู้ชาย”
นายสิงห์หมายถึงโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูที่เพนียดคล้องช้าง ที่นั่นมีบรรดานักเรียนหญิงหน้าแฉล้มแช่มช้อยเดินกันให้เกลื่อน
“เถอะน่าพี่สิงห์” ร่างใหญ่หนามีรอยสักเก้ายอดที่ท้ายทอยว่าพลางชะเง้อชะแง้มอง “อย่างน้อยคุณชายก็ดูเข้าที เป็นเพื่อนกันไว้ก็ไม่เสียหาย เผลอๆถ้าเขามีน้องสาว ไอ้ลอยอาจจะได้เด็ดดอกฟ้าก็งานนี้”
“ทำเป็นพูดดี วันก่อนพี่สิงห์ยังมาเกาะรั้วแอบดูไอ้จ้อยอยู่เลยนี่นา” ลูกสมุนร่างผอมเกร็งว่าพลางหัวเราะแหลม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้องโอ๊ยเมื่อถูกลูกพี่ยันเข้าชายโครง
“เดี๋ยวเถอะไอ้หมาน ไอ้ปากเสีย ข้ามาแอบดูมันเมื่อไร!” มือใหญ่ถูจมูกฟุดฟิด “วันนั้นข้ามาทวงค่าดอกมันหรอกโว้ย”
“พวกเอ็งมาช่วยข้าหาคุณชายก่อนเร็วเข้า เด่นๆอย่างนั้นคงหาไม่ยากหรอก” ไอ้ลอยรีบห้ามทัพ ทำให้ทุกคนช่วยกันมองหาอย่างที่มันบอก ยกเว้นนายสิงห์ที่ได้แต่ส่ายหน้าระอา
“พวกนั้นใครกัน” หม่อมราชวงศ์หนุ่มถามบ่าวคนสนิท ตอนนี้เขายืนหลบแดดอยู่หน้าอาคารเรียน ไม่ได้ออกไปยืนหน้าแถวนักเรียนเหมือนอาจารย์คนอื่นๆ ดวงตาคู่สวยมองไปทางกลุ่มนักเลงใต้ต้นหูกวางอย่างเหยียดหยัน
นายแช่มเขม้นมองอยู่พักหนึ่งก็ถึงบางอ้อ “ลูกชายกำนันเสริมไงคุณชาย เมื่อคืนเขาก็อยู่ในงานเลี้ยง เอ..แต่เมื่อคืนไม่ยักเห็นมีเพื่อนมาด้วย”
“เฮ้ยๆๆ เจอแล้วโว้ยเจอแล้ว อยู่นั่น แหม้..แอบไปยืนอยู่ตรงนั้นเอง มองเผินๆนึกว่ารูปปั้นที่ไหน” ไอ้ลอยร้องลั่นขึ้นมาอย่างดีใจ “มองมาทางนี้ด้วยเว้ย วู้!! คุณชาย! ทางนี้ วู้!”
ไม่เรียกเปล่า โบกไม้โบกมือไหวๆเสียด้วย พวกลูกสมุนก็พากันทำตาม
“น่ารำคาญจริง” ริมฝีปากบางสวยบ่นอุบพลางเบือนหน้าหนี ถ้าเป็นไปได้ เลอมานอยากแทรกกายจมหายลงไปในดินเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อเหล่านักเรียนหน้าเสาธงหันมองเขาที หันมองเจ้าพวกนั้นที ทั้งอับอาย ทั้งรำคาญ และทั้งโกรธที่ถูกนักเลงบ้านนอกเรียกราวกับเพื่อนเล่น
พวกไอ้ลอยโหวกเหวกโวยวายอย่างสถุลไพร่ ไม่สนใจเหล่ามันสมองของชาติที่กำลังจะเคารพธงชาติที่มองมายังพวกมันเป็นตาเดียว จนเมื่ออาจารย์คนึงเดินไปเจรจาด้วยตัวเอง พวกนั้นถึงได้สงบปากสงบคำ
นายสิงห์มองอาจารย์ฝ่ายปกครองร่างสูงแล้วเบ้ปาก ไอ้เกรงใจน่ะก็เกรงใจอยู่ แต่ความหมั่นไส้มันมากกว่า ก็เจ้าอาจารย์คนนี้ไม่ใช่หรือที่แสดงท่าทีห่วงใยไอ้จ้อยนัก ที่ไอ้จ้อยมันได้เรียนหนังสือก็เพราะได้หมอนี่ช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย เป็นญาติกันหรือก็เปล่า ทำตัวตีสนิทผิดปกติ แน่จริงก็จ่ายหนี้ที่มันค้างอยู่แทนมันด้วยสิวะ
ลูกชายกำนันคิดพลางเหลือบมองยังหัวแถว ตำแหน่งประจำของนักเรียนฝึกหัดครูผู้เป็นลูกหนี้ของมารดาเขา สบเข้ากับดวงตากลมโตที่จ้องมองมาอย่างตำหนิ ปากขมุบขมิบเป็นคำด่าที่ฟังไม่ได้ยิน นักเลงหนุ่มได้แต่ถลึงตาข่มขู่กลับไป
“เรียกแล้วทำเมินว่ะ หยิ่งแท้” ไอ้ลอยยังมองไปทางเป้าหมายของมันอย่างแน่วแน่ ใบหน้าคมเข้มด้วยไรเคราเขียวดูไม่สบอารมณ์
เป็นข้า ข้าก็เมินวะ ก็สารรูปเอ็งมันน่ากลัวออกปานนี้ นายสิงห์คิดในใจพลางแค่นหัวเราะ ก่อนเร่งบรรดาสมุนให้ย้ายพวกออกจากโรงเรียนไปหาอะไรที่สนุกกว่านี้ทำ เหลือแต่ไอ้ลอยที่ยังอ้อยอิ่งรั้งท้ายไม่อยากจากไป
ถ้าสิงห์หันมามอง เขาจะได้เห็นแววตาคมวาวดุดันอย่างประสงค์ร้ายจ้องเขม็งไปยังคุณชายผู้เย่อหยิ่ง มันกัดปากพึมพำถ้อยคำที่มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นได้ยิน
“คอยดูเถอะไอ้คุณชาย สักวันไอ้ลอยคนนี้จะสอยให้ร่วงจากฟ้าลงมาอยู่ใต้ตีน!”
***************************
หลังเข้าแถวเคารพธงชาติและสวดมนต์ หม่อมราชวงศ์เลอมานถูกอาจารย์วิรัชหัวหน้าแผนกภาษาอังกฤษพาไปที่ห้องเรียนเพื่อทำความรู้จักนักเรียนในฐานะอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่
อาการกุมมือและค้อมหลังพินอบพิเทาเกินเหตุของวิรัชยังความรำคาญมาให้เขานัก
อาคารเรียนเป็นอาคารไม้ขนาดยาวสองชั้น อาจารย์หนุ่มร่างสันทัดพาเขาขึ้นบันไดด้านข้างเดินตรงไปยังระเบียงด้านหลัง เข้าไปในห้องเรียนห้องหนึ่ง เป็นชั้นเรียนที่สะอาดสะอ้าน หน้าต่างเปิดรับลมทุกบานกระดานดำแผ่นใหญ่ติดเต็มฝาผนังด้านหนึ่ง นักเรียนชายสี่สิบกว่าคนในเครื่องแบบกางเกงขายาวสีกากีและเสื้อเชิ้ตขาวนั่งอยู่เต็มห้อง
“ผมหม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์” เด็กหนุ่มเชิดหน้าแนะนำตัวขณะเหล่านักเรียนพากันมองอย่างชื่นชมในรูปสวยงามสง่า อาจารย์วิรัชช่วยเสริมให้เสร็จสรรพว่าเขามาจากอังกฤษและจะมาสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนนี้เป็นเวลา ๑ ปี
“มีใครอยากถามอะไรคุณชายเล็กบ้าง” สิ้นเสียงอาจารย์หนุ่ม นักเรียนร่างเล็กที่นั่งอยู่หน้าสุดก็ยกมือพรึ่บ
เลอมานจำเด็กหนุ่มคนนี้ได้ขึ้นใจ คนที่ลูบหลังให้ยามเขาอาเจียนอย่างหมดท่า.. และคนที่เห็นเขาเปลือยในโรงอาบน้ำ
ช่างเป็นการพบกันที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย
จ้อยลุกขึ้นยืนเมื่อได้รับอนุญาต แม้ดวงตากลมโตใสแป๋วและรอยยิ้มกว้างนั้นดูจะจริงใจ แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบหน้านักเรียนคนนี้โดยไม่มีเหตุผล
“ร้องเพลงอังกฤษให้ฟังซักเพลงสิครับ”
เลอมานแทบสำลักลมหายใจ สิ้นประโยคนั้น เหล่านักเรียนในห้องพากันปรบมือเป่าปากกันเกรียวกราว ไม่มีใครสังเกตเห็นริมฝีปากบางที่เริ่มเม้มแน่น
เจ้านักเรียนชั้นต่ำพวกนี้ทำกับเขาเหมือนเป็นตัวตลก
“หุบปาก!” เลอมานตวาดลั่น เล่นเอาทั้งห้องเงียบกริบ “ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นพวกนาย!”
เพราะรีบกระแทกเท้าเดินออกจากห้อง เขาจึงไม่ทันเห็นว่าจ้อยหน้าเสียแค่ไหน และทุกๆคนในห้องรู้สึกแย่เพียงใด รู้เพียงแต่ว่าอาจารย์วิรัชรีบตามมาดึงแขนขอโทษขอโพยเขา ซึ่งเขาก็ตอบคำขอโทษนั้นด้วยการสลัดแขนออกอย่างก้าวร้าว
**************************
‘ล้มเหลว’
คนึงเขียนคำนั้นตัวใหญ่ๆด้วยปากกาสีแดงลงในใบรายงานความประพฤติวันแรกของอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่ พลางถอนใจเฮือก ถ้าไม่เพราะท่านชายฝากฝังเอาไว้ละก็ เขาจะไม่สนใจเจ้าเด็กจองหองคนนี้เลย
ดูแลเด็กนักเรียนทั้งโรงเรียน ยังเหนื่อยใจไม่ถึงเสี้ยวดูแลหม่อมราชวงศ์เลอมานเพียงคนเดียว
**************************
นายแช่มจับรถไฟกลับกรุงเทพตามรับสั่งของหม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชในเช้าวันรุ่งขึ้น
อาจารย์ใหญ่และคนึงขับรถจี๊ปของโรงเรียนไปส่งถึงสถานีรถไฟตั้งแต่เช้ามืด ในขณะที่ผู้เป็นนายเพียงครางรับรู้เบาๆจากใต้โปงเมื่อบ่าวหิ้วกระเป๋าไปลาที่ข้างเตียง ไม่แม้จะเลิกผ้าห่มขึ้นมองดู จนอาจารย์หนุ่มอดดูแคลนไม่ได้
โดยไม่รู้ว่าดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นโศกเศร้าแค่ไหน
พอนายแช่มไป วิปโยคของหม่อมราชวงศ์เลอมานก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
เด็กหนุ่มตื่นนอนเอาตอนตะวันขึ้นสายโด่ง เพราะคนึงไปส่งนายแช่มจึงไม่มีใครปลุกเขาไปออกกำลังเช่นเมื่อวาน ใบหน้าขาวจัดนั่งหัวยุ่งอยู่บนเตียงพร้อมความรู้สึกอ้างว้างจับใจเมื่อไม่มีบ่าวคนสนิทอยู่ใกล้เช่นทุกที
เขาอาบน้ำและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่นายแช่มอุตส่าห์รีดไว้ให้ก่อนไป หลังจากนั้นก็นั่งรอ..
รออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่เห็นมีใครเชิญเขาไปกินอาหารเช้า ดังนั้นเมื่อโรงเรียนสั่นกระดิ่งเรียกเข้าแถว เขาจึงหิ้วท้องออกไปยืนหลบแดดอย่างเสียไม่ได้
คาบเรียนช่วงเช้าผ่านไปอย่างว่างเปล่า ถ้าไม่นั่งแกร่วที่โต๊ะประจำตัวในห้องพักครู ก็ตามอาจารย์วิรัชไปดูการสอนที่น่าเบื่อหน่าย
ทั้งเบื่อหน่าย ทั้งขัดใจ วิรัชเองพูดภาษาอังกฤษยังไม่แตกฉานด้วยซ้ำ ออกสำเนียงก็ผิด และเมื่อเขาโต้แย้งขึ้นมาว่าผิดต่อหน้านักเรียนทั้งห้อง ทุกคนก็มองเขาแปลกๆ อาจารย์วิรัชหน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะเข้าสู่ท่าประจำตัวคือเอามือกุมเป้าค้อมหัวปะหลกๆ พูดครับๆๆ เหมือนหุ่นยนต์สอพลอ
เพียงข้ามวันกิตติศัพท์ความเย่อหยิ่งจองหองของหม่อมราชวงศ์เลอมานก็สะพัดไปทั่วโรงเรียน
เขาเองก็รู้สึกได้ถึงความจริงข้อนี้ เมื่อเดินผ่านกลุ่มนักเรียน แม้จะพากันโค้งคำนับแต่ก็รีบๆโค้งรีบๆเดินหนีไปไม่อยากสนทนาด้วย แม้แต่พวกอาจารย์ก็หลบหน้าเขาแปลกๆ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งสะเทือนนัก เขาไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนที่ตนไม่แยแสอยู่แล้ว
จะมีเหงาบ้างก็เพราะคิดถึงนายแช่มเท่านั้น
เที่ยงตรงท้องเขาร้องโครกครากเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า ร่างโปร่งบางเดินตามเหล่าอาจารย์ที่ชักชวนตามมารยาทให้ไปโรงอาหารด้วยกัน แต่พอถึงแล้วก็แยกย้ายหายหัว ทิ้งเขาให้ยืนแกร่วอยู่ลำพังอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
ถ้าเป็นเมื่อวานตอนนายแช่มยังอยู่ มันก็จะให้เขานั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้วไปต่อคิวยาวเหยียดให้ สักพักก็จะกลับมาพร้อมถาดหลุมอะลูมิเนียมที่มีอาหารใส่อยู่พูนสองใบ
หม่อมราชวงศ์หนุ่มนั่งรอที่โต๊ะตัวยาว เหลียวซ้ายแลขวาเผื่อว่าจะมีใครเอาอาหารกลางวันมาให้เขา แต่กลับพบเพียงสายตาหลายคู่ที่หันมามองแล้วก้มหน้าซุบซิบกัน สักพักก็ทนเสียงเรียกร้องจากกระเพาะอาหารไม่ไหว ตัดสินใจเดินไปต่อแถวที่หดสั้นเหลือแค่ ๒-๓ คนด้วยตนเอง
ดวงตาสีน้ำตาลมองอาหาร ๓-๔ อย่างในหม้อในถาดตรงหน้า เขาพยายามมองหาของทอดของจืดที่ตัวเองรู้จักและพอกินได้แต่ก็เห็นแต่แกงสีจัดจ้าน แม่นกแก้ว แม่ครัวใหญ่ร่างอ้วนของโรงเรียนยิ้มให้อย่างใจดีพลางตักกับข้าวให้เขาทั้ง ๔ อย่างเป็นกรณีพิเศษ แถมยังเอาอะไรก็ไม่รู้ที่ปั้นเป็นผลไม้ย่อส่วนสีสดใสใส่ลงไปในหลุมหนึ่งให้ด้วย ๕-๖ ลูก
เลอมานนั่งมองถาดหลุมใส่อาหารสารพัดตรงหน้าราวกับมันเป็นของแปลกประหลาดอยู่สักพัก จนเมื่อท้องร้องโครกจนตัวเองยังสะดุ้ง เหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นคนอื่นกินกันเอร็ดอร่อย มือบางจึงค่อยๆตักเจ้าก้อนกลมสีส้มนุ่มนิ่มวางลงบนข้าวราดด้วยน้ำจิ้มสีม่วงคล้ำแล้วส่งเข้าปาก
แค่คำเดียวก็ได้เรื่อง..
“อึ่ก!”
รสชาติพิลึกพิลั่นก่อตัวขึ้นในปาก เหมือนถั่วเละๆหวานเจี๊ยบผสมกับรสเปรี้ยวเค็มจัด กลิ่นคาวเค็มเหมือนถุงเท้าเน่าอวลขึ้นโพรงจมูก และที่รุนแรงที่สุดคือความเผ็ดร้อนที่แสบซ่านไปถึงคอจนทำให้เขาสำลักรุนแรง
“แค่กๆๆๆ” เลอมานโก่งคอไอโขลกอย่างสุดจะกลั้น ยกมือปิดปากไม่ทันจนเศษอาหารจากปากกระเด็นเปื้อนเสื้อ ยิ่งไอก็ยิ่งสำลัก ยิ่งสำลักก็ยิ่งน้ำตาคลอ รู้สึกได้ถึงเศษอาหารเข้าไปในโพรงจมูกจนแสบร้อน นึกโทษตัวเองที่เมื่อครู่เขาไม่เอาน้ำดื่มมาด้วย
ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือหลายคนในโรงอาหารต่างหันมามองเขาแล้วหัวเราะคิกคักอย่างไม่เก็บอาการ
อายแสนอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่แผ่นดินไม่แยกลงไปให้เขาแทรก สิ่งที่ทำได้คือพยายามลุกออกไปให้พ้นสายตาขบขันของใครหลายคน แต่ยังไม่ทันจะลุกออกไปดั่งใจ ก็มีมือหนึ่งยื่นแก้วน้ำมาให้ตรงหน้า มือบางรีบคว้ามาดื่มเหมือนมันเป็นน้ำทิพย์
“ค่อยๆดื่มนะ” จ้อยว่าพลางนั่งลงลูบหลังให้อย่างร้อนรน “ดีขึ้นหรือยังครับ”
เลอมานแทบสำลักรอบสองเมื่อเห็นว่าคนที่ยื่นมือมาช่วยตนเป็นใคร ทำไมเจ้านักเรียนซอมซ่อคนนี้ต้องมาเห็นเขาในสภาพน่าอนาถอยู่เรื่อย
หม่อมราชวงศ์หนุ่มเบี่ยงกายหนีมือที่ลูบหลังอย่างถือตัวทั้งที่ยังกระแอมไอ เหลือบมองนักเรียนตัวเล็กที่ยังหน้าตื่นไม่หาย อ้อ..ไม่ได้มาคนเดียว พาเพื่อนมาอีกสองคนเสียด้วย
“คุณชาย” จ้อยตะลึงไปเมื่อเห็นสภาพอาหารที่ยังคาช้อน “ทำไมกินลูกชุบกับน้ำพริกกะปิล่ะ”
“พรึ่ด!” สง่าหัวเราะออกจมูกอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่ก็สะดุ้งไปเมื่อถูกเพื่อนตัวเล็กเตะเข้าให้ที่หน้าแข้งพร้อมจ้องตาเขียว
“สันติ ไปขอให้พี่นกแก้วเจียวไข่ให้ที” จ้อยหันไปสั่งเพื่อนใส่แว่น ซึ่งสันติก็พยักหน้าหงึกหงักก่อนวิ่งตื๋อไปอย่างเต็มใจ
คุณชายยังนั่งหน้าตูมเป็นม้าหมากรุก จนกระทั่งมือเล็กถือวิสาสะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้เขา ดวงตาคู่สวยมองผ้าผืนเก่าอย่างสะอิดสะเอียน
“เอาผ้าสกปรกไปให้พ้นๆนะ” แหวใส่พลางปัดมือที่หวังดีออกอย่างไร้เยื่อใย จนจ้อยหน้าเสีย
“หน้าคุณชายตอนนี้สกปรกกว่าผ้าอีก ข้าวออกมาทางจมูกแล้วนั่น” สง่าว่าเข้าให้อย่างเหลืออด เลอมานตาโตเอามือปิดจมูกหมับแล้วพรวดพราดลุกขึ้นวิ่งออกจากโรงอาหารอย่างรวดเร็ว โดยมีเสียงหัวเราะฮาครืนไล่หลัง
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของอาจารย์คนึงที่ยิ้มหยันอย่างสมใจ
************************
หลังจากหนีความวุ่นวายมาหลบอยู่ในห้องพักได้สักพัก เสียงเคาะประตูไม้ก็ทำให้เด็กหนุ่มสูงศักดิ์สะดุ้งเฮือก
“คุณชาย จ้อยเองครับ”
เจ้านั่นอีกแล้ว?! เขาอดจึ๊ปากอย่างรำคาญไม่ได้ แต่ก็ลุกไปเปิดประตูให้แต่โดยดี
ข้าวร้อนๆโป๊ะไข่เจียวกรอบฟูหอมกรุ่นยื่นมาให้ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยี
บุตรชายท่านทูตเพิ่งรู้สึกว่าข้าวเปล่ากับไข่เจียวเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกก็วันนี้
จ้อยนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น นิ่งมองคุณชายรับประทานอาหารกลางวันบนโต๊ะเขียนหนังสือ จนเกลี้ยงฉาดไม่เหลือข้าวสักเม็ด เขาก็ลุกขึ้นเตรียมเก็บจาน
“คุณชายเล็ก ข้าวติดผมแน่ะ” หนุ่มน้อยเอียงคอทักยิ้มๆ ชี้ผมตัวเองบอกตำแหน่ง “ไม่ใช่ อีกข้างนึง”
ดวงตายิ้มได้มองอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่ปัดผมตัวเองให้วุ่น แต่เศษข้าวก็ยังอยู่ที่เดิม จนมือเล็กต้องถือวิสาสะหยิบข้าวที่ติดผมตั้งแต่อยู่โรงอาหารออกให้
เอาจานออกไปเก็บแล้วจ้อยก็กลับเข้ามาใหม่ นั่งลงกับพื้นอย่างสบายใจ ไม่สนใจเจ้าของห้องที่มองตาขวางอย่างเคลือบแคลง
อยู่กันท่ามกลางความเงียบ แต่เหมือนมีเลอมานเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด
“คุณชายอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง” นักเรียนตัวเล็กชวนคุย แต่ก็ได้รับคำตอบเพียงสายตาเย็นชาที่เงยขึ้นจากหนังสือแวบหนึ่ง
“คิดถึงบ้านไหมครับ” คำถามใหม่.. แต่คำตอบที่ได้เหมือนเดิม..
จ้อยทำปากอูดใส่คนใจดำที่พูดด้วยก็ไม่ยอมพูดด้วย หันไปสำรวจรอบห้องแก้เก้อ เครื่องประทินผิวนานาวางอยู่เต็มโต๊ะเล็กข้างเตียง ตาวาวอย่างสนใจเมื่อเห็นกระเป๋าเครื่องเล่นแผ่นเสียงแต่ก็ไม่กล้าเสียมารยาทไปดูใกล้ๆ ตะกร้าผ้าข้างตู้เสื้อผ้าที่มีเสื้อผ้าอยู่เต็ม ผ้าห่มกองเขละบนเตียงนอนยับย่น
“คุณชายคงไม่มีเวลา จ้อยมาทำความสะอาดให้เอาไหม” ร่างเล็กแนะอย่างกระตือรือร้น พลางลุกขึ้นพับผ้าห่มให้ “เก็บที่นอน กวาดถูห้อง รีดผ้า ซักผ้า ให้จ้อยทำให้นะ”
เสียงแค่นหัวเราะที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้มือบางชะงัก หันไปมอง
“นึกว่าอะไร” ผู้สูงศักดิ์กว่าปิดหนังสือปุบ ดวงตาคู่สวยฉายแววเหยียดหยัน แต่ยังไม่เจ็บแสบจนหน้าชาเท่าประโยคถัดไป “มาตีสนิทกับฉัน ที่แท้ก็อยากได้เงินจากฉันใช่ไหม”
ประตูไม้เปิดผางออก ปรากฏร่างสูงใหญ่ของเจ้าของห้องอีกคน
คนึงได้ยินประโยคสุดท้ายนั้นชัดเจน
“อาจารย์คนึง” นักเรียนหนุ่มทักหน้าตื่นๆ ก่อนหันกลับไปปฏิเสธละล่ำละลักกับอีกคน “ปะ..เปล่านะครับคุณชาย.. จ้อยไม่ได้..”
“ก็เอาสิ คิดค่าจ้างเท่าไรล่ะ” มือบางหยิบกระเป๋าสตางค์หนังขึ้นเปิดค้างไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบก็ล้วงธนบัตรสีน้ำตาลขึ้นมาหนึ่งใบโยนด้วยปลายนิ้วใส่ร่างที่ยืนเก้กัง “เท่านี้คงพอนะ”
คนึงกัดฟันกรอดเมื่อเห็นท่าทียโสนั้น พยายามข่มโทสะไว้ยามเอ่ย “อาจารย์ใหญ่ให้คุณไปพบที่ห้องธุรการ”
เลอมานเชิดหน้าใส่ยามเดินผ่านอาจารย์ร่างสูง
“อ้อ ที่หน้าบันไดนั่นดอกอะไร” หันมาถามจ้อยอย่างไม่ใส่ใจคำตอบ “ไปหามาปลูกให้ฉันหน่อย ฉันจะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับดอกไม้ของบางคน”
ดวงตาคู่สวยเหลือบมองคนตัวโตเมื่อถึงประโยคสุดท้ายอย่างจงใจ ก่อนเดินออกจากห้องไป
คนึงถอนใจอย่างสุดกลั้น หันไปเอ็ดใส่น้องชายของอดีตคนรักเสียงเขียว
“กับคนแบบนี้อย่าไปทำดีด้วย รู้ไหมจ้อย” แล้วเดินเข้ามาใกล้ ลดเสียงเป็นกระซิบ
“เขาเป็นคนทำให้จินดาตายนะ ลืมไปแล้วหรือ” ทิ้งท้ายไว้อย่างรวดร้าวก่อนก้าวออกจากห้องไป ทิ้งจ้อยไว้เพียงลำพัง
ร่างเล็กก้มหยิบธนบัตร ๑๐ บาทที่พื้น แล้วนำมันไปวางไว้บนโต๊ะ
*************************
ยามสนธยามาถึง เสียงนกการ้องแว่วมา โรงเรียนเข้าสู่ความเงียบสงบ นักเรียนไปกลับต่างกลับบ้าน นักเรียนประจำก็แยกย้ายกันกลับหอ
ล่วงเข้าเวลาเย็นย่ำแบบนี้ เลอมานยิ่งรู้สึกว้าเหว่จับใจ ร่างโปร่งนั่งคนเดียวบนม้านั่งใต้ต้นหูกวางข้างสนาม ตรงหน้าคือกลุ่มอาจารย์และนักเรียน ๖ คน กำลังเล่นกีฬาที่เขาไม่รู้จักอย่างสนุกสนาน ลูกแก้วสีน้ำตาลใสมองตามลูกหวายหวือหวิวจากคนโน้นข้ามตาข่ายไปหาคนนี้ด้วยสายตาที่เหงาหงอย
แสงแดดยามเย็นย้อมให้ท้องฟ้าหม่นหมองไปถนัดใจ รวมไปถึงหัวใจของเขาตอนนี้ เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงท่านพ่อ คิดถึงหม่อมแม่ คิดถึงนายแช่ม คิดถึงทุกอย่างที่ไม่ใช่ที่นี่ ทุกอย่างที่นี่ทำให้เขาอึดอัด รู้สึกเหมือนตนเป็นสิ่งแปลกปลอมที่หลงเข้ามา ยิ่งนึกถึงบทสนทนากับอาจารย์ใหญ่เมื่อตอนบ่ายแล้วยิ่งกลัดกลุ้ม
นอกจากมีหน้าที่สอนภาษาอังกฤษนักเรียน ๒ ชั้น เขายังต้องเรียนภาษาไทยกับนายอาจารย์คนึงนั่นด้วย
ลูกหวายลอยหวือมาตกอยู่แทบเท้า เขาก้มลงเก็บให้ เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับใบหน้าหล่อคมเรียบตึงของคนที่ไม่ถูกชะตาด้วยเอาเสียเลย
ไหนว่ามีหน้าที่ดูแลเขา ไม่เห็นจะดูแลให้สมหน้าที่สักนิด
“คุณชาย มาเล่นด้วยกันไหม” อาจารย์ประพนธ์ในเสื้อยืดกางเกงขาสั้นวิ่งเข้ามาชวน
“นี่เรียกว่าอะไร” มือบางจับลูกกลมในมือพลิกไปมา
“ตะกร้อไง เคยเล่นไหม” ใบหน้าเปื้อนยิ้มเอ่ยต่อเมื่อเห็นเขาส่ายหน้าดิก “ไม่ยากหรอก เดี๋ยวผมสอนให้”
เลอมานพยักหน้าหงึกหงัก รอยยิ้มน้อยๆปรากฏบนใบหน้างามหวานเป็นครั้งแรกของวันก็ว่าได้ ประพนธ์เดาะตะกร้อให้เขาดูเป็นตัวอย่าง อธิบายกติกาคร่าวๆแล้วลองส่งให้เตะ แม้เขาจะเตะวืดตลอด แต่ทุกคนก็ส่งเสียงเอาใจช่วย
แข้งเขายังไม่ได้สัมผัสลูกสักนิดตอนมีมือใหญ่มาดึงต้นแขนไว้จนชะงัก
“พอเถอะ เสียเวลาเปล่า” ใบหน้าหล่อคมมองมาอย่างรำคาญ แขนแกร่งออกแรงดึงเขาออกไปจากวงตะกร้ออย่างแรงจนเซ “เป็นผู้ดีอย่าลดตัวลงมาเล่นกีฬาของชาวบ้านเลย”
วาจาเชือดเฉือนนั้นเล่นเอาคนอื่นๆมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คนใจดีอย่างประพนธ์ถึงขั้นมองหน้าคนพูดนิ่ง
แต่สำหรับเลอมาน ความรู้สึกต่างๆหลั่งไหลพรั่งพรูจนสับสน ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจระคนกัน
ร่างโปร่งบางตัดสินใจหันหลังให้วงตะกร้อ ซ่อนดวงตาเหว่ว้าให้พ้นจากคนใจดำ เดินเล่นไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนอยู่หน้าประตูโรงเรียน
มือบางเกาะซี่กรงประตูโรงเรียน อีกฝั่งหนึ่งของถนนลูกรังคือท้องทุ่งนากว้างไกล ต้นตาลยืนต้นทิ้งระยะเป็นช่วงๆ มองเห็นคลองเมืองอยู่ลิบๆ ฝูงเป็ดไล่ทุ่งเดินเตาะแตะหากิน มือบางเปิดประตูออกเบาๆเมื่อพบว่ามันไม่ได้คล้องโซ่
แดดเริ่มริบหรี่ ท้องฟ้ากลืนสีเป็นม่วงอมส้ม เลอมานเดินไปตามถนน ฝูงเป็ดนับร้อยเดินตามกันเป็นคลื่นดูตื่นตา เมื่อเดินมาถึงหน้าวัดข้างโรงเรียน เขาก็เห็นมอเตอร์ไซค์ ๒ คันมุ่งตรงมาทางนี้ เปิดไฟจ้าจนต้องยกมือป้อง
“นึกว่าใคร คุณชายนี่เอง” เสียงไอ้ลอยทักก่อนที่มันจะจอดรถเสียอีก ร่างใหญ่หนายิ้มร่า ดวงตาเป็นประกายวาววับ
“จะไปไหนค่ำๆมืดๆ” นายสิงห์ถามบ้างด้วยความสงสัยเหลือล้น ที่เห็นเด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์มาเดินท่อมๆอยู่ลำพัง
“เอ่อ..” ดวงตาคู่สวยมองหน้าชายหนุ่มทั้งสี่สลับกัน คิ้วเรียวขมวดมุ่น คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนแต่ก็คิดไม่ออก
“ผมนายสิงห์ลูกกำนันเสริม นี่ไอ้ลอย ไอ้หมาน ไอ้เลิศ” หัวโจกร่างสูงแนะนำตัวเรียงคน “ที่ไปตะโกนเรียกคุณชายเมื่อเช้าไง”
“อ้อ”
ไอ้ลอยพิศมองวงหน้างามได้รูปของเด็กหนุ่มตรงหน้า จมูกโด่งสวย ปากได้รูป ผมสีน้ำตาลอ่อนท่าทางนุ่มมือ แม้ดวงตาวาวแววราวอัญมณีคู่นั้นดูหม่นเศร้าลงจากวันแรกที่พบ แต่ก็ยังดึงดูดจนละสายตาไม่ได้
พวกผู้ดีนี่ทำไมมันสวยนักวะ เป็นผู้ชายแท้ๆ
“พวกเรากำลังจะไปเล่นบิลเลียด คุณชายไปด้วยกันไหม”
แม้จะแทบไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนท่าทางถือตัวขนาดนั้นจะยอมไปกับนักเลงบ้านนอกอย่างมัน แต่ความอ้างว้างที่มันจับได้ในดวงตานั้น ทำให้ไอ้ลอยลองเสี่ยงดวงชักชวน แม้แต่นายสิงห์ยังหันมองอย่างงงๆ
ความหวังริบหรี่นั้นกลับลุกโชนยิ่งกว่าโยนไต้เข้ากองฟาง เมื่อดวงหน้างดงามพยักช้าๆ
“ไปสิ”
พวกจิ๊กโก๋หัวเราะร่าอย่างลิงโลด โดยเฉพาะไอ้ลอยที่ดูจะดีใจกว่าใคร มันออกปากไล่ไอ้หมานที่ซ้อนท้ายอยู่ให้ไปอัดเบียดกับอีกคัน เพื่ออาสาเป็นสารถีให้คุณชายรูปงามนั่งซ้อน ใจเต้นแรงเมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่เบียดกระชับแผ่นหลัง
ได้กลิ่นโคโลญจน์หอมอ่อนใส ชื่นใจเสียจนต้องสูดลึกลงปอด
กลิ่นดอกฟ้านี่หอมจริงโว้ย แค่กลิ่นยังหอมขนาดนี้ อยากรู้นักว่ารสชาติจะหวานขนาดไหน
โปรดติดตามตอนต่อไป
*เพลงคมตา, ยรรยง เสลานนท์ ขับร้อง, สวัสดิ์ คำร้อง, เอื้อ สุนทรสนาน ทำนอง
(ตั้งแต่ลงนิยายเรื่องนี้มายังไม่เคยคุยกันเลยเนอะ^^)
ก่อนอื่นขอแนะนำตัว "ดอกไม้"ค่ะ
ชอบอะไรเก่าๆ โบราณๆ ย้อนยุคๆ และชอบอ่านนิยายวาย
เลยถือกำเนิดเกิดเป็นนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ
ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ทุกคอมเม้นท์เราเซฟเก็บไว้หมดเลยค่ะ
เป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ขอบคุณมากนะคะ
ดอกไม้
วันแม่ ๒๕๕๔
ความคิดเห็น