ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาหงส์ [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่่ ๓ : คมตาฟ้าซื่อสื่อรักโลมใจ

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 55



    บทที่ ๓

     

    คมตาน้องแก้วสบแล้วไยเมิน

    บาดใจเหลือเกินทรวงพี่เผชิญความขม

    ตราตรึงซึ้งอยู่สู้เพียงคิดข่ม

    ตางามซ้ำบ่ม อกตรมขมขื่น ดึกดื่นทุกคืนคอยใฝ่*

     

     

                แปดโมงครึ่ง  โรงเรียนสั่นกระดิ่งเรียกนักเรียนหนุ่มอายุระหว่าง ๑๖-๑๘ ปี กว่า ๕๐๐ คนออกมายืนเข้าแถว  แต่วันนี้แตกต่างจากทุกวันเมื่อมีกลุ่มจิ๊กโก๋ประจำหมู่บ้านมาจับกลุ่มคุยกันลั่นใต้ร่มหูกวางข้างสนาม  

     

                พิลึกว่ะไอ้ลอย ลูกชายกำนันเสริมบ่นปากเบ้  พัดหมวกปีกในมือไปมาระบายความร้อน ถ้าเป็นโรงเรียนหญิงก็ว่าไปอย่าง  แต่นี่อะไรวะ  มาเฝ้าออกันในโรงเรียนชาย  หันไปทางไหนก็มีแต่ผู้ชาย

                นายสิงห์หมายถึงโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูที่เพนียดคล้องช้าง  ที่นั่นมีบรรดานักเรียนหญิงหน้าแฉล้มแช่มช้อยเดินกันให้เกลื่อน

                เถอะน่าพี่สิงห์ร่างใหญ่หนามีรอยสักเก้ายอดที่ท้ายทอยว่าพลางชะเง้อชะแง้มอง  อย่างน้อยคุณชายก็ดูเข้าที  เป็นเพื่อนกันไว้ก็ไม่เสียหาย  เผลอๆถ้าเขามีน้องสาว ไอ้ลอยอาจจะได้เด็ดดอกฟ้าก็งานนี้

                ทำเป็นพูดดี  วันก่อนพี่สิงห์ยังมาเกาะรั้วแอบดูไอ้จ้อยอยู่เลยนี่นาลูกสมุนร่างผอมเกร็งว่าพลางหัวเราะแหลม  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้องโอ๊ยเมื่อถูกลูกพี่ยันเข้าชายโครง

                เดี๋ยวเถอะไอ้หมาน ไอ้ปากเสีย ข้ามาแอบดูมันเมื่อไร!” มือใหญ่ถูจมูกฟุดฟิด วันนั้นข้ามาทวงค่าดอกมันหรอกโว้ย

                พวกเอ็งมาช่วยข้าหาคุณชายก่อนเร็วเข้า  เด่นๆอย่างนั้นคงหาไม่ยากหรอก  ไอ้ลอยรีบห้ามทัพ  ทำให้ทุกคนช่วยกันมองหาอย่างที่มันบอก  ยกเว้นนายสิงห์ที่ได้แต่ส่ายหน้าระอา

     

                พวกนั้นใครกันหม่อมราชวงศ์หนุ่มถามบ่าวคนสนิท  ตอนนี้เขายืนหลบแดดอยู่หน้าอาคารเรียน  ไม่ได้ออกไปยืนหน้าแถวนักเรียนเหมือนอาจารย์คนอื่นๆ  ดวงตาคู่สวยมองไปทางกลุ่มนักเลงใต้ต้นหูกวางอย่างเหยียดหยัน 

                นายแช่มเขม้นมองอยู่พักหนึ่งก็ถึงบางอ้อ  ลูกชายกำนันเสริมไงคุณชาย  เมื่อคืนเขาก็อยู่ในงานเลี้ยง  เอ..แต่เมื่อคืนไม่ยักเห็นมีเพื่อนมาด้วย

                เฮ้ยๆๆ เจอแล้วโว้ยเจอแล้ว  อยู่นั่น  แหม้..แอบไปยืนอยู่ตรงนั้นเอง  มองเผินๆนึกว่ารูปปั้นที่ไหนไอ้ลอยร้องลั่นขึ้นมาอย่างดีใจ มองมาทางนี้ด้วยเว้ย  วู้!! คุณชาย! ทางนี้ วู้!”

                ไม่เรียกเปล่า  โบกไม้โบกมือไหวๆเสียด้วย  พวกลูกสมุนก็พากันทำตาม 

                น่ารำคาญจริงริมฝีปากบางสวยบ่นอุบพลางเบือนหน้าหนี  ถ้าเป็นไปได้  เลอมานอยากแทรกกายจมหายลงไปในดินเสียเดี๋ยวนี้  เมื่อเหล่านักเรียนหน้าเสาธงหันมองเขาที หันมองเจ้าพวกนั้นที  ทั้งอับอาย ทั้งรำคาญ และทั้งโกรธที่ถูกนักเลงบ้านนอกเรียกราวกับเพื่อนเล่น 

     

                พวกไอ้ลอยโหวกเหวกโวยวายอย่างสถุลไพร่  ไม่สนใจเหล่ามันสมองของชาติที่กำลังจะเคารพธงชาติที่มองมายังพวกมันเป็นตาเดียว  จนเมื่ออาจารย์คนึงเดินไปเจรจาด้วยตัวเอง  พวกนั้นถึงได้สงบปากสงบคำ

                นายสิงห์มองอาจารย์ฝ่ายปกครองร่างสูงแล้วเบ้ปาก  ไอ้เกรงใจน่ะก็เกรงใจอยู่  แต่ความหมั่นไส้มันมากกว่า  ก็เจ้าอาจารย์คนนี้ไม่ใช่หรือที่แสดงท่าทีห่วงใยไอ้จ้อยนัก  ที่ไอ้จ้อยมันได้เรียนหนังสือก็เพราะได้หมอนี่ช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย  เป็นญาติกันหรือก็เปล่า  ทำตัวตีสนิทผิดปกติ  แน่จริงก็จ่ายหนี้ที่มันค้างอยู่แทนมันด้วยสิวะ

                ลูกชายกำนันคิดพลางเหลือบมองยังหัวแถว  ตำแหน่งประจำของนักเรียนฝึกหัดครูผู้เป็นลูกหนี้ของมารดาเขา  สบเข้ากับดวงตากลมโตที่จ้องมองมาอย่างตำหนิ  ปากขมุบขมิบเป็นคำด่าที่ฟังไม่ได้ยิน  นักเลงหนุ่มได้แต่ถลึงตาข่มขู่กลับไป    

                เรียกแล้วทำเมินว่ะ  หยิ่งแท้ไอ้ลอยยังมองไปทางเป้าหมายของมันอย่างแน่วแน่  ใบหน้าคมเข้มด้วยไรเคราเขียวดูไม่สบอารมณ์ 

                เป็นข้า ข้าก็เมินวะ  ก็สารรูปเอ็งมันน่ากลัวออกปานนี้  นายสิงห์คิดในใจพลางแค่นหัวเราะ  ก่อนเร่งบรรดาสมุนให้ย้ายพวกออกจากโรงเรียนไปหาอะไรที่สนุกกว่านี้ทำ  เหลือแต่ไอ้ลอยที่ยังอ้อยอิ่งรั้งท้ายไม่อยากจากไป

                ถ้าสิงห์หันมามอง  เขาจะได้เห็นแววตาคมวาวดุดันอย่างประสงค์ร้ายจ้องเขม็งไปยังคุณชายผู้เย่อหยิ่ง  มันกัดปากพึมพำถ้อยคำที่มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นได้ยิน

     

                คอยดูเถอะไอ้คุณชาย  สักวันไอ้ลอยคนนี้จะสอยให้ร่วงจากฟ้าลงมาอยู่ใต้ตีน!”

     

    ***************************

     

                หลังเข้าแถวเคารพธงชาติและสวดมนต์  หม่อมราชวงศ์เลอมานถูกอาจารย์วิรัชหัวหน้าแผนกภาษาอังกฤษพาไปที่ห้องเรียนเพื่อทำความรู้จักนักเรียนในฐานะอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่

                อาการกุมมือและค้อมหลังพินอบพิเทาเกินเหตุของวิรัชยังความรำคาญมาให้เขานัก

                อาคารเรียนเป็นอาคารไม้ขนาดยาวสองชั้น  อาจารย์หนุ่มร่างสันทัดพาเขาขึ้นบันไดด้านข้างเดินตรงไปยังระเบียงด้านหลัง  เข้าไปในห้องเรียนห้องหนึ่ง  เป็นชั้นเรียนที่สะอาดสะอ้าน  หน้าต่างเปิดรับลมทุกบานกระดานดำแผ่นใหญ่ติดเต็มฝาผนังด้านหนึ่ง  นักเรียนชายสี่สิบกว่าคนในเครื่องแบบกางเกงขายาวสีกากีและเสื้อเชิ้ตขาวนั่งอยู่เต็มห้อง

                ผมหม่อมราชวงศ์เลอมาน  บูรพวงศ์เด็กหนุ่มเชิดหน้าแนะนำตัวขณะเหล่านักเรียนพากันมองอย่างชื่นชมในรูปสวยงามสง่า  อาจารย์วิรัชช่วยเสริมให้เสร็จสรรพว่าเขามาจากอังกฤษและจะมาสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนนี้เป็นเวลา ๑ ปี    

                มีใครอยากถามอะไรคุณชายเล็กบ้างสิ้นเสียงอาจารย์หนุ่ม  นักเรียนร่างเล็กที่นั่งอยู่หน้าสุดก็ยกมือพรึ่บ 

                เลอมานจำเด็กหนุ่มคนนี้ได้ขึ้นใจ  คนที่ลูบหลังให้ยามเขาอาเจียนอย่างหมดท่า.. และคนที่เห็นเขาเปลือยในโรงอาบน้ำ

     

                ช่างเป็นการพบกันที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย 

     

                จ้อยลุกขึ้นยืนเมื่อได้รับอนุญาต  แม้ดวงตากลมโตใสแป๋วและรอยยิ้มกว้างนั้นดูจะจริงใจ  แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบหน้านักเรียนคนนี้โดยไม่มีเหตุผล       

                ร้องเพลงอังกฤษให้ฟังซักเพลงสิครับ

               

                เลอมานแทบสำลักลมหายใจ  สิ้นประโยคนั้น  เหล่านักเรียนในห้องพากันปรบมือเป่าปากกันเกรียวกราว  ไม่มีใครสังเกตเห็นริมฝีปากบางที่เริ่มเม้มแน่น 

                เจ้านักเรียนชั้นต่ำพวกนี้ทำกับเขาเหมือนเป็นตัวตลก

     

                หุบปาก!” เลอมานตวาดลั่น  เล่นเอาทั้งห้องเงียบกริบ  ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นพวกนาย!”

     

                เพราะรีบกระแทกเท้าเดินออกจากห้อง  เขาจึงไม่ทันเห็นว่าจ้อยหน้าเสียแค่ไหน  และทุกๆคนในห้องรู้สึกแย่เพียงใด  รู้เพียงแต่ว่าอาจารย์วิรัชรีบตามมาดึงแขนขอโทษขอโพยเขา  ซึ่งเขาก็ตอบคำขอโทษนั้นด้วยการสลัดแขนออกอย่างก้าวร้าว

     

    **************************

     

              ล้มเหลว   

     

                คนึงเขียนคำนั้นตัวใหญ่ๆด้วยปากกาสีแดงลงในใบรายงานความประพฤติวันแรกของอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่  พลางถอนใจเฮือก  ถ้าไม่เพราะท่านชายฝากฝังเอาไว้ละก็  เขาจะไม่สนใจเจ้าเด็กจองหองคนนี้เลย 

                ดูแลเด็กนักเรียนทั้งโรงเรียน  ยังเหนื่อยใจไม่ถึงเสี้ยวดูแลหม่อมราชวงศ์เลอมานเพียงคนเดียว   

     

    **************************

     

                นายแช่มจับรถไฟกลับกรุงเทพตามรับสั่งของหม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชในเช้าวันรุ่งขึ้น

     

                อาจารย์ใหญ่และคนึงขับรถจี๊ปของโรงเรียนไปส่งถึงสถานีรถไฟตั้งแต่เช้ามืด  ในขณะที่ผู้เป็นนายเพียงครางรับรู้เบาๆจากใต้โปงเมื่อบ่าวหิ้วกระเป๋าไปลาที่ข้างเตียง  ไม่แม้จะเลิกผ้าห่มขึ้นมองดู  จนอาจารย์หนุ่มอดดูแคลนไม่ได้

                โดยไม่รู้ว่าดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นโศกเศร้าแค่ไหน

     

                พอนายแช่มไป  วิปโยคของหม่อมราชวงศ์เลอมานก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น 

     

                เด็กหนุ่มตื่นนอนเอาตอนตะวันขึ้นสายโด่ง  เพราะคนึงไปส่งนายแช่มจึงไม่มีใครปลุกเขาไปออกกำลังเช่นเมื่อวาน  ใบหน้าขาวจัดนั่งหัวยุ่งอยู่บนเตียงพร้อมความรู้สึกอ้างว้างจับใจเมื่อไม่มีบ่าวคนสนิทอยู่ใกล้เช่นทุกที

                เขาอาบน้ำและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่นายแช่มอุตส่าห์รีดไว้ให้ก่อนไป  หลังจากนั้นก็นั่งรอ..

                รออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง  ก็ยังไม่เห็นมีใครเชิญเขาไปกินอาหารเช้า  ดังนั้นเมื่อโรงเรียนสั่นกระดิ่งเรียกเข้าแถว  เขาจึงหิ้วท้องออกไปยืนหลบแดดอย่างเสียไม่ได้ 

                คาบเรียนช่วงเช้าผ่านไปอย่างว่างเปล่า  ถ้าไม่นั่งแกร่วที่โต๊ะประจำตัวในห้องพักครู  ก็ตามอาจารย์วิรัชไปดูการสอนที่น่าเบื่อหน่าย 

                ทั้งเบื่อหน่าย ทั้งขัดใจ วิรัชเองพูดภาษาอังกฤษยังไม่แตกฉานด้วยซ้ำ  ออกสำเนียงก็ผิด  และเมื่อเขาโต้แย้งขึ้นมาว่าผิดต่อหน้านักเรียนทั้งห้อง  ทุกคนก็มองเขาแปลกๆ  อาจารย์วิรัชหน้าเสียเล็กน้อย  ก่อนจะเข้าสู่ท่าประจำตัวคือเอามือกุมเป้าค้อมหัวปะหลกๆ พูดครับๆๆ เหมือนหุ่นยนต์สอพลอ

     

                เพียงข้ามวันกิตติศัพท์ความเย่อหยิ่งจองหองของหม่อมราชวงศ์เลอมานก็สะพัดไปทั่วโรงเรียน   

     

                เขาเองก็รู้สึกได้ถึงความจริงข้อนี้  เมื่อเดินผ่านกลุ่มนักเรียน แม้จะพากันโค้งคำนับแต่ก็รีบๆโค้งรีบๆเดินหนีไปไม่อยากสนทนาด้วย  แม้แต่พวกอาจารย์ก็หลบหน้าเขาแปลกๆ  แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งสะเทือนนัก  เขาไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนที่ตนไม่แยแสอยู่แล้ว

                จะมีเหงาบ้างก็เพราะคิดถึงนายแช่มเท่านั้น

     

                เที่ยงตรงท้องเขาร้องโครกครากเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า  ร่างโปร่งบางเดินตามเหล่าอาจารย์ที่ชักชวนตามมารยาทให้ไปโรงอาหารด้วยกัน  แต่พอถึงแล้วก็แยกย้ายหายหัว  ทิ้งเขาให้ยืนแกร่วอยู่ลำพังอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร

                ถ้าเป็นเมื่อวานตอนนายแช่มยังอยู่  มันก็จะให้เขานั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้วไปต่อคิวยาวเหยียดให้  สักพักก็จะกลับมาพร้อมถาดหลุมอะลูมิเนียมที่มีอาหารใส่อยู่พูนสองใบ

     

                หม่อมราชวงศ์หนุ่มนั่งรอที่โต๊ะตัวยาว  เหลียวซ้ายแลขวาเผื่อว่าจะมีใครเอาอาหารกลางวันมาให้เขา  แต่กลับพบเพียงสายตาหลายคู่ที่หันมามองแล้วก้มหน้าซุบซิบกัน  สักพักก็ทนเสียงเรียกร้องจากกระเพาะอาหารไม่ไหว  ตัดสินใจเดินไปต่อแถวที่หดสั้นเหลือแค่ ๒-๓ คนด้วยตนเอง

                ดวงตาสีน้ำตาลมองอาหาร ๓-๔ อย่างในหม้อในถาดตรงหน้า  เขาพยายามมองหาของทอดของจืดที่ตัวเองรู้จักและพอกินได้แต่ก็เห็นแต่แกงสีจัดจ้าน  แม่นกแก้ว แม่ครัวใหญ่ร่างอ้วนของโรงเรียนยิ้มให้อย่างใจดีพลางตักกับข้าวให้เขาทั้ง ๔ อย่างเป็นกรณีพิเศษ  แถมยังเอาอะไรก็ไม่รู้ที่ปั้นเป็นผลไม้ย่อส่วนสีสดใสใส่ลงไปในหลุมหนึ่งให้ด้วย ๕-๖ ลูก 

               

                เลอมานนั่งมองถาดหลุมใส่อาหารสารพัดตรงหน้าราวกับมันเป็นของแปลกประหลาดอยู่สักพัก  จนเมื่อท้องร้องโครกจนตัวเองยังสะดุ้ง  เหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นคนอื่นกินกันเอร็ดอร่อย  มือบางจึงค่อยๆตักเจ้าก้อนกลมสีส้มนุ่มนิ่มวางลงบนข้าวราดด้วยน้ำจิ้มสีม่วงคล้ำแล้วส่งเข้าปาก 

                แค่คำเดียวก็ได้เรื่อง..

                 

                อึ่ก!”

     

                รสชาติพิลึกพิลั่นก่อตัวขึ้นในปาก  เหมือนถั่วเละๆหวานเจี๊ยบผสมกับรสเปรี้ยวเค็มจัด  กลิ่นคาวเค็มเหมือนถุงเท้าเน่าอวลขึ้นโพรงจมูก  และที่รุนแรงที่สุดคือความเผ็ดร้อนที่แสบซ่านไปถึงคอจนทำให้เขาสำลักรุนแรง

                แค่กๆๆๆเลอมานโก่งคอไอโขลกอย่างสุดจะกลั้น  ยกมือปิดปากไม่ทันจนเศษอาหารจากปากกระเด็นเปื้อนเสื้อ  ยิ่งไอก็ยิ่งสำลัก  ยิ่งสำลักก็ยิ่งน้ำตาคลอ  รู้สึกได้ถึงเศษอาหารเข้าไปในโพรงจมูกจนแสบร้อน  นึกโทษตัวเองที่เมื่อครู่เขาไม่เอาน้ำดื่มมาด้วย

                ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือหลายคนในโรงอาหารต่างหันมามองเขาแล้วหัวเราะคิกคักอย่างไม่เก็บอาการ

                อายแสนอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  แต่แผ่นดินไม่แยกลงไปให้เขาแทรก สิ่งที่ทำได้คือพยายามลุกออกไปให้พ้นสายตาขบขันของใครหลายคน  แต่ยังไม่ทันจะลุกออกไปดั่งใจ  ก็มีมือหนึ่งยื่นแก้วน้ำมาให้ตรงหน้า  มือบางรีบคว้ามาดื่มเหมือนมันเป็นน้ำทิพย์

                ค่อยๆดื่มนะจ้อยว่าพลางนั่งลงลูบหลังให้อย่างร้อนรน  ดีขึ้นหรือยังครับ

                เลอมานแทบสำลักรอบสองเมื่อเห็นว่าคนที่ยื่นมือมาช่วยตนเป็นใคร  ทำไมเจ้านักเรียนซอมซ่อคนนี้ต้องมาเห็นเขาในสภาพน่าอนาถอยู่เรื่อย

                หม่อมราชวงศ์หนุ่มเบี่ยงกายหนีมือที่ลูบหลังอย่างถือตัวทั้งที่ยังกระแอมไอ  เหลือบมองนักเรียนตัวเล็กที่ยังหน้าตื่นไม่หาย  อ้อ..ไม่ได้มาคนเดียว  พาเพื่อนมาอีกสองคนเสียด้วย

                คุณชาย จ้อยตะลึงไปเมื่อเห็นสภาพอาหารที่ยังคาช้อน ทำไมกินลูกชุบกับน้ำพริกกะปิล่ะ

                พรึ่ด!” สง่าหัวเราะออกจมูกอย่างกลั้นไม่อยู่  แต่ก็สะดุ้งไปเมื่อถูกเพื่อนตัวเล็กเตะเข้าให้ที่หน้าแข้งพร้อมจ้องตาเขียว 

                สันติ  ไปขอให้พี่นกแก้วเจียวไข่ให้ทีจ้อยหันไปสั่งเพื่อนใส่แว่น  ซึ่งสันติก็พยักหน้าหงึกหงักก่อนวิ่งตื๋อไปอย่างเต็มใจ

                คุณชายยังนั่งหน้าตูมเป็นม้าหมากรุก  จนกระทั่งมือเล็กถือวิสาสะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้เขา  ดวงตาคู่สวยมองผ้าผืนเก่าอย่างสะอิดสะเอียน

                เอาผ้าสกปรกไปให้พ้นๆนะแหวใส่พลางปัดมือที่หวังดีออกอย่างไร้เยื่อใย  จนจ้อยหน้าเสีย 

                หน้าคุณชายตอนนี้สกปรกกว่าผ้าอีก  ข้าวออกมาทางจมูกแล้วนั่นสง่าว่าเข้าให้อย่างเหลืออด  เลอมานตาโตเอามือปิดจมูกหมับแล้วพรวดพราดลุกขึ้นวิ่งออกจากโรงอาหารอย่างรวดเร็ว  โดยมีเสียงหัวเราะฮาครืนไล่หลัง

               

                ทุกอย่างอยู่ในสายตาของอาจารย์คนึงที่ยิ้มหยันอย่างสมใจ

     

    ************************

                 

                หลังจากหนีความวุ่นวายมาหลบอยู่ในห้องพักได้สักพัก  เสียงเคาะประตูไม้ก็ทำให้เด็กหนุ่มสูงศักดิ์สะดุ้งเฮือก   

                คุณชาย  จ้อยเองครับ

     

                เจ้านั่นอีกแล้ว?!  เขาอดจึ๊ปากอย่างรำคาญไม่ได้  แต่ก็ลุกไปเปิดประตูให้แต่โดยดี

                ข้าวร้อนๆโป๊ะไข่เจียวกรอบฟูหอมกรุ่นยื่นมาให้ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยี 

     

                บุตรชายท่านทูตเพิ่งรู้สึกว่าข้าวเปล่ากับไข่เจียวเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกก็วันนี้ 

     

                จ้อยนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น  นิ่งมองคุณชายรับประทานอาหารกลางวันบนโต๊ะเขียนหนังสือ  จนเกลี้ยงฉาดไม่เหลือข้าวสักเม็ด เขาก็ลุกขึ้นเตรียมเก็บจาน 

                คุณชายเล็ก ข้าวติดผมแน่ะ หนุ่มน้อยเอียงคอทักยิ้มๆ  ชี้ผมตัวเองบอกตำแหน่ง ไม่ใช่  อีกข้างนึง

                ดวงตายิ้มได้มองอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่ปัดผมตัวเองให้วุ่น  แต่เศษข้าวก็ยังอยู่ที่เดิม  จนมือเล็กต้องถือวิสาสะหยิบข้าวที่ติดผมตั้งแต่อยู่โรงอาหารออกให้     

                เอาจานออกไปเก็บแล้วจ้อยก็กลับเข้ามาใหม่  นั่งลงกับพื้นอย่างสบายใจ  ไม่สนใจเจ้าของห้องที่มองตาขวางอย่างเคลือบแคลง

                อยู่กันท่ามกลางความเงียบ  แต่เหมือนมีเลอมานเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด 

                คุณชายอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง นักเรียนตัวเล็กชวนคุย  แต่ก็ได้รับคำตอบเพียงสายตาเย็นชาที่เงยขึ้นจากหนังสือแวบหนึ่ง

                คิดถึงบ้านไหมครับคำถามใหม่.. แต่คำตอบที่ได้เหมือนเดิม..

               

                จ้อยทำปากอูดใส่คนใจดำที่พูดด้วยก็ไม่ยอมพูดด้วย  หันไปสำรวจรอบห้องแก้เก้อ  เครื่องประทินผิวนานาวางอยู่เต็มโต๊ะเล็กข้างเตียง  ตาวาวอย่างสนใจเมื่อเห็นกระเป๋าเครื่องเล่นแผ่นเสียงแต่ก็ไม่กล้าเสียมารยาทไปดูใกล้ๆ  ตะกร้าผ้าข้างตู้เสื้อผ้าที่มีเสื้อผ้าอยู่เต็ม  ผ้าห่มกองเขละบนเตียงนอนยับย่น

                คุณชายคงไม่มีเวลา  จ้อยมาทำความสะอาดให้เอาไหมร่างเล็กแนะอย่างกระตือรือร้น  พลางลุกขึ้นพับผ้าห่มให้ เก็บที่นอน  กวาดถูห้อง  รีดผ้า  ซักผ้า  ให้จ้อยทำให้นะ

                เสียงแค่นหัวเราะที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้มือบางชะงัก  หันไปมอง

                นึกว่าอะไรผู้สูงศักดิ์กว่าปิดหนังสือปุบ  ดวงตาคู่สวยฉายแววเหยียดหยัน  แต่ยังไม่เจ็บแสบจนหน้าชาเท่าประโยคถัดไป  มาตีสนิทกับฉัน  ที่แท้ก็อยากได้เงินจากฉันใช่ไหม     

                ประตูไม้เปิดผางออก  ปรากฏร่างสูงใหญ่ของเจ้าของห้องอีกคน 

     

                คนึงได้ยินประโยคสุดท้ายนั้นชัดเจน

     

                อาจารย์คนึง นักเรียนหนุ่มทักหน้าตื่นๆ  ก่อนหันกลับไปปฏิเสธละล่ำละลักกับอีกคน ปะ..เปล่านะครับคุณชาย.. จ้อยไม่ได้..

                ก็เอาสิ  คิดค่าจ้างเท่าไรล่ะ มือบางหยิบกระเป๋าสตางค์หนังขึ้นเปิดค้างไว้  เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบก็ล้วงธนบัตรสีน้ำตาลขึ้นมาหนึ่งใบโยนด้วยปลายนิ้วใส่ร่างที่ยืนเก้กัง  เท่านี้คงพอนะ 

                คนึงกัดฟันกรอดเมื่อเห็นท่าทียโสนั้น  พยายามข่มโทสะไว้ยามเอ่ย อาจารย์ใหญ่ให้คุณไปพบที่ห้องธุรการ

                เลอมานเชิดหน้าใส่ยามเดินผ่านอาจารย์ร่างสูง 

                อ้อ  ที่หน้าบันไดนั่นดอกอะไรหันมาถามจ้อยอย่างไม่ใส่ใจคำตอบ  ไปหามาปลูกให้ฉันหน่อย  ฉันจะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับดอกไม้ของบางคน 

                ดวงตาคู่สวยเหลือบมองคนตัวโตเมื่อถึงประโยคสุดท้ายอย่างจงใจ  ก่อนเดินออกจากห้องไป

     

                คนึงถอนใจอย่างสุดกลั้น  หันไปเอ็ดใส่น้องชายของอดีตคนรักเสียงเขียว

                กับคนแบบนี้อย่าไปทำดีด้วย รู้ไหมจ้อยแล้วเดินเข้ามาใกล้  ลดเสียงเป็นกระซิบ

                เขาเป็นคนทำให้จินดาตายนะ  ลืมไปแล้วหรือ  ทิ้งท้ายไว้อย่างรวดร้าวก่อนก้าวออกจากห้องไป  ทิ้งจ้อยไว้เพียงลำพัง

                ร่างเล็กก้มหยิบธนบัตร ๑๐ บาทที่พื้น  แล้วนำมันไปวางไว้บนโต๊ะ 

     

    *************************

               

                ยามสนธยามาถึง  เสียงนกการ้องแว่วมา  โรงเรียนเข้าสู่ความเงียบสงบ  นักเรียนไปกลับต่างกลับบ้าน  นักเรียนประจำก็แยกย้ายกันกลับหอ 

                ล่วงเข้าเวลาเย็นย่ำแบบนี้  เลอมานยิ่งรู้สึกว้าเหว่จับใจ  ร่างโปร่งนั่งคนเดียวบนม้านั่งใต้ต้นหูกวางข้างสนาม  ตรงหน้าคือกลุ่มอาจารย์และนักเรียน ๖ คน  กำลังเล่นกีฬาที่เขาไม่รู้จักอย่างสนุกสนาน  ลูกแก้วสีน้ำตาลใสมองตามลูกหวายหวือหวิวจากคนโน้นข้ามตาข่ายไปหาคนนี้ด้วยสายตาที่เหงาหงอย 

                แสงแดดยามเย็นย้อมให้ท้องฟ้าหม่นหมองไปถนัดใจ  รวมไปถึงหัวใจของเขาตอนนี้  เขาคิดถึงบ้าน  คิดถึงท่านพ่อ คิดถึงหม่อมแม่ คิดถึงนายแช่ม  คิดถึงทุกอย่างที่ไม่ใช่ที่นี่  ทุกอย่างที่นี่ทำให้เขาอึดอัด  รู้สึกเหมือนตนเป็นสิ่งแปลกปลอมที่หลงเข้ามา  ยิ่งนึกถึงบทสนทนากับอาจารย์ใหญ่เมื่อตอนบ่ายแล้วยิ่งกลัดกลุ้ม 

                นอกจากมีหน้าที่สอนภาษาอังกฤษนักเรียน ๒ ชั้น  เขายังต้องเรียนภาษาไทยกับนายอาจารย์คนึงนั่นด้วย

                ลูกหวายลอยหวือมาตกอยู่แทบเท้า  เขาก้มลงเก็บให้  เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับใบหน้าหล่อคมเรียบตึงของคนที่ไม่ถูกชะตาด้วยเอาเสียเลย 

                ไหนว่ามีหน้าที่ดูแลเขา  ไม่เห็นจะดูแลให้สมหน้าที่สักนิด 

                คุณชาย  มาเล่นด้วยกันไหมอาจารย์ประพนธ์ในเสื้อยืดกางเกงขาสั้นวิ่งเข้ามาชวน        

                นี่เรียกว่าอะไรมือบางจับลูกกลมในมือพลิกไปมา

                ตะกร้อไง  เคยเล่นไหมใบหน้าเปื้อนยิ้มเอ่ยต่อเมื่อเห็นเขาส่ายหน้าดิก ไม่ยากหรอก  เดี๋ยวผมสอนให้ 

     

                เลอมานพยักหน้าหงึกหงัก  รอยยิ้มน้อยๆปรากฏบนใบหน้างามหวานเป็นครั้งแรกของวันก็ว่าได้  ประพนธ์เดาะตะกร้อให้เขาดูเป็นตัวอย่าง อธิบายกติกาคร่าวๆแล้วลองส่งให้เตะ  แม้เขาจะเตะวืดตลอด  แต่ทุกคนก็ส่งเสียงเอาใจช่วย 

                แข้งเขายังไม่ได้สัมผัสลูกสักนิดตอนมีมือใหญ่มาดึงต้นแขนไว้จนชะงัก 

     

                พอเถอะ  เสียเวลาเปล่าใบหน้าหล่อคมมองมาอย่างรำคาญ  แขนแกร่งออกแรงดึงเขาออกไปจากวงตะกร้ออย่างแรงจนเซ  เป็นผู้ดีอย่าลดตัวลงมาเล่นกีฬาของชาวบ้านเลย

                วาจาเชือดเฉือนนั้นเล่นเอาคนอื่นๆมองหน้ากันเลิ่กลั่ก  คนใจดีอย่างประพนธ์ถึงขั้นมองหน้าคนพูดนิ่ง 

                แต่สำหรับเลอมาน  ความรู้สึกต่างๆหลั่งไหลพรั่งพรูจนสับสน  ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจระคนกัน

               

                ร่างโปร่งบางตัดสินใจหันหลังให้วงตะกร้อ  ซ่อนดวงตาเหว่ว้าให้พ้นจากคนใจดำ  เดินเล่นไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย  มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนอยู่หน้าประตูโรงเรียน

                มือบางเกาะซี่กรงประตูโรงเรียน  อีกฝั่งหนึ่งของถนนลูกรังคือท้องทุ่งนากว้างไกล  ต้นตาลยืนต้นทิ้งระยะเป็นช่วงๆ  มองเห็นคลองเมืองอยู่ลิบๆ  ฝูงเป็ดไล่ทุ่งเดินเตาะแตะหากิน  มือบางเปิดประตูออกเบาๆเมื่อพบว่ามันไม่ได้คล้องโซ่

     

                แดดเริ่มริบหรี่  ท้องฟ้ากลืนสีเป็นม่วงอมส้ม  เลอมานเดินไปตามถนน  ฝูงเป็ดนับร้อยเดินตามกันเป็นคลื่นดูตื่นตา  เมื่อเดินมาถึงหน้าวัดข้างโรงเรียน  เขาก็เห็นมอเตอร์ไซค์ ๒ คันมุ่งตรงมาทางนี้  เปิดไฟจ้าจนต้องยกมือป้อง

     

                นึกว่าใคร  คุณชายนี่เองเสียงไอ้ลอยทักก่อนที่มันจะจอดรถเสียอีก  ร่างใหญ่หนายิ้มร่า  ดวงตาเป็นประกายวาววับ

                จะไปไหนค่ำๆมืดๆนายสิงห์ถามบ้างด้วยความสงสัยเหลือล้น  ที่เห็นเด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์มาเดินท่อมๆอยู่ลำพัง

                เอ่อ..ดวงตาคู่สวยมองหน้าชายหนุ่มทั้งสี่สลับกัน  คิ้วเรียวขมวดมุ่น  คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนแต่ก็คิดไม่ออก

                ผมนายสิงห์ลูกกำนันเสริม  นี่ไอ้ลอย  ไอ้หมาน  ไอ้เลิศหัวโจกร่างสูงแนะนำตัวเรียงคน ที่ไปตะโกนเรียกคุณชายเมื่อเช้าไง

                อ้อ

                ไอ้ลอยพิศมองวงหน้างามได้รูปของเด็กหนุ่มตรงหน้า  จมูกโด่งสวย  ปากได้รูป  ผมสีน้ำตาลอ่อนท่าทางนุ่มมือ  แม้ดวงตาวาวแววราวอัญมณีคู่นั้นดูหม่นเศร้าลงจากวันแรกที่พบ  แต่ก็ยังดึงดูดจนละสายตาไม่ได้ 

                พวกผู้ดีนี่ทำไมมันสวยนักวะ  เป็นผู้ชายแท้ๆ

     

                พวกเรากำลังจะไปเล่นบิลเลียด  คุณชายไปด้วยกันไหม

     

                แม้จะแทบไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนท่าทางถือตัวขนาดนั้นจะยอมไปกับนักเลงบ้านนอกอย่างมัน  แต่ความอ้างว้างที่มันจับได้ในดวงตานั้น  ทำให้ไอ้ลอยลองเสี่ยงดวงชักชวน  แม้แต่นายสิงห์ยังหันมองอย่างงงๆ 

                ความหวังริบหรี่นั้นกลับลุกโชนยิ่งกว่าโยนไต้เข้ากองฟาง  เมื่อดวงหน้างดงามพยักช้าๆ 

                ไปสิ

                พวกจิ๊กโก๋หัวเราะร่าอย่างลิงโลด  โดยเฉพาะไอ้ลอยที่ดูจะดีใจกว่าใคร  มันออกปากไล่ไอ้หมานที่ซ้อนท้ายอยู่ให้ไปอัดเบียดกับอีกคัน  เพื่ออาสาเป็นสารถีให้คุณชายรูปงามนั่งซ้อน  ใจเต้นแรงเมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่เบียดกระชับแผ่นหลัง 

                ได้กลิ่นโคโลญจน์หอมอ่อนใส  ชื่นใจเสียจนต้องสูดลึกลงปอด    

     

                กลิ่นดอกฟ้านี่หอมจริงโว้ย  แค่กลิ่นยังหอมขนาดนี้  อยากรู้นักว่ารสชาติจะหวานขนาดไหน 

     

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

     

     

    *เพลงคมตา, ยรรยง เสลานนท์ ขับร้อง, สวัสดิ์ คำร้อง, เอื้อ สุนทรสนาน ทำนอง


    สวัสดีค่ะ คนอ่านทุกท่าน 
    (ตั้งแต่ลงนิยายเรื่องนี้มายังไม่เคยคุยกันเลยเนอะ^^)

    ก่อนอื่นขอแนะนำตัว "ดอกไม้"ค่ะ
    ชอบอะไรเก่าๆ โบราณๆ ย้อนยุคๆ และชอบอ่านนิยายวาย
    เลยถือกำเนิดเกิดเป็นนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ

    ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ทุกคอมเม้นท์เราเซฟเก็บไว้หมดเลยค่ะ
    เป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ขอบคุณมากนะคะ 

    ดอกไม้
    วันแม่ ๒๕๕๔


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×